ถึงเมืองมัณฑะเลย์ในเวลาเช้าพระอาทิตย์ยังไม่ทันสว่าง เดอะแก๊งฯ รีบจัดแจงล้างหน้าล้างตา แปรงฟันแต่ไม่อาบน้ำ 5555 ที่ห้องน้ำในบริษัทที่ขายตั๋ว ห้องน้ำที่นั้นจะมีจำกัดใช้รวมกันทั้งผู้หญิงผู้ชาย ในเวลาเช้าผู้คนที่เดินทาง พ่อค้าแม่ค้า และบรรดาแท็กซี่ต่างๆ เยอะแยะ
![]()
![]()
![]()
![]()
นั่งๆ อยู่ จะมีสามเณร และพระสงฆ์มารอรับบิณฑบาตแบบประชิดตัว ขนมนมเนยน้ำอัดลมที่ทางรถทัวร์แจก เดอะแก๊งฯ จึงได้ทำบุญถวายไปแบบหมดเนื้อหมดตัว อิอิ
![]()
ไปกันต่อ เช้านี้ภารกิจต้องไปจองตั๋วเพื่อไปพุกามหรือบะกัน (ตามที่พม่าเรียกชื่อเมืองนี้ หากไปบอกเขาว่าไปพุกาม จะไม่มีใครรู้จัก) เดอะแก๊งฯ เดินทางตามหาบริษัทมินิบัสที่จะไปพุกาม ซึ่งอยู่คนละฝั่งกับบริษัทรถทัวร์ย่างกุ้ง อย่างที่บอกไม่ต้องห่วงจะมีคนเข้ามาถามตลอดว่าต้องการแท็กซี่ไหม ไปไหน คล้ายๆ กับตามสถานีขนส่งในเมืองไทยนี้แหละ เราก็แค่เดินสวยๆ เชิดๆ ไม่ทำหน้าโง่ๆ งงๆ ให้เขาเห็นก็พอ 5555
![]()
กว่าจะคุยกันรู้เรื่องได้ว่าเราต้องการจองตั๋วไปพุกามในช่วงเวลาที่พอจะให้เดอะแก๊งฯ ตะลอนเที่ยวในมัณฑะเลย์ก่อนเล่นเอาล่ามจำเป็นมือวางอันดับสองเหนื่อย เพราะจะมีคนมารุมเสนอขายตั๋วให้ แต่เดอะแก๊งฯ ขอประชุมวางแผนกันนิดหนึ่งก่อนเพราะมาแล้วต้องเอาให้คุ้ม สรุปจบอยู่ที่จองตั๋วเที่ยว 4 โมงเย็น เพราะจะได้ไปถงพุกามไม่ดึกมาก ตารางเดินรถถ้าจำไม่ผิด พอดีกำลังแปลภาษาและสื่อสารกันเลยจำไม่ค่อยได้ จะมีตั้งแต่เวลา 7, 9, 12, 14, 16, 18 นาฬิกา ราคาตั๋วอยู่ที่คนละ 9,000 จ๊าด ประมาณ 243 บาท
![]()
เมื่อได้ตั๋วเรียบร้อย ขั้นต่อไปคือต่อรองราคากับแท็กซี่ที่คอยมาป็นล่ามซื้อตั๋วรถทัวร์ เดอะแก๊งฯ ต่อรองกับนายหน้าว่าจะไปไหนบ้าง เรากางแผนที่ชี้นิ้วว่าอยากไปทุกสถานที่ แต่ด้วยเวลาที่จำกัด เขาจึงแนะนำว่าไปได้ประมาณ 5 แห่ง เพราะต้องรีบกลับมาเช็คอินก่อนขึ้นรถประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง แหม+++ ยังกะจะขึ้นเครื่อง กว่าจะคุยกันรู้เรื่องเล่นเอาเมื่อยมือ มาถึงจังหวะที่ต้องต่อราคา เดอะแก๊งค์ฯ ใช้กลยุทธ์ยืนล้อมเหมือนอย่างที่เหล่าแท็กซี่เคยรุมเร้า สาวสวยฯ กะสาวเท่ห์ฯ ทำหน้าที่ต่อรองราคา ด้วยการกดเครื่องคิดเลข ง่ายสุดเพราะหากพูดเดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันคนละราคา ส่วนสาวคิกขุฯ กะสาวห้าวฯ ยืนประกบพร้อมเป็นลูกคู่ประสานเสียง พรีส พรีส พรีส (Please : กรุณา) ทำเอานายหน้าระอา และคงรำคาญเพราะเดอะแก๊งฯ ไม่พูดอะไรยกเว้นคำเดียวคือ พรีสสสสสส เป็นอันสำเร็จ จากราคา 60,000 จ๊าด เป็น 50,000 จ๊าด ประมาณ 1,350 บาท
![]()
นามบัตรพี่แท๊กซี่ ชื่อโจ พอดีจำชื่อไม่ได้ไม่แน่ใจว่าชื่อนี้หรือเปล่า อิอิ พี่เขาใจดี สามารถเรียกใช้บริการได้ค่ะ^^
เวลาขณะนั้น ประมาณ 8 โมงเช้า โชคดีที่คนขับแท็กซี่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ สาวสวยฯ จึงบอกความต้องการแบบม้วนเดียวจบว่า ตอนนี้หิวมากมายอยากหาอะไรกินก่อนไปตามจุดต่างๆ นิ้วชี้ตามแผนที่ ประมาณ 5 สถานที่ พี่แท็กซี่บอกฉันสามารถ งั้น+++ เราไปกันเลย go go go อะไรจะไปก่อนหลังแล้วแต่ลูกพี่จัดให้ อัพทูยู (Up to you : แล้วแต่คุณ) ไปเล้ย แต่ขอเอาให้ครบ พี่แท็กซี่ก็ตอบโอเคๆ สถานที่แรกในมัณฑะเลย์คือ “สะพานไม้อูเบ็ง” พี่แท็กซี่พาไปร้านอาหารที่อยู่หน้าวัด ??? (จำไม่ได้ 555) มื้อที่ 3 ก็อาหารพม่า จัดไป>>>>
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
เมื่อท้องอิ่ม ไปเดินสวยๆ กันบนสะพานไม้อูเบ็ง เป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก อากาศเย็นๆ สบาย ๆ ผู้ค้าแม่ขาย นักท่องเที่ยวเริ่มหนาตามากขึ้น ตั้งใจจะเดินไปให้สุดสะพาน แต่เพราะแวะเก็บภาพตลอดทาง
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
ฟังลุงเล่นดนตรีและร้องพลงท้องถิ่นให้ฟัง
![]()
มองดูเวลารีบไปต่อดีกว่าเพราะอีกหลายจุดที่ให้เก็บภาพ
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
เสียดายอย่างเดียวสะพานนี้ขึ้นชื่อในการนั่งดูพระอาทิตย์ตก แต่เดอะแก๊งฯ ไม่สามารถอยู่รอชมได้ เสียด๊าย เสียดาย
เป้าหมายต่อไปตามใจพี่แท็กซี่จะพาไปไหนก็ไป นั่งรถมาไม่เกิน 15 นาที จำเส้นทางไม่ได้หรอกนะ ขนาดถนนในเมืองไทยยังหลงแล้วหลงอีกเลย ^^ พี่แท็กซี่เล่าให้ฟังในรถว่าจุดหมายต่อไปคือ ไปเมืองอังวะ (Inwa or Ava) เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของมัณฑะเลย์
ลงจากรถไปขึ้นเรือเพื่อต่อรถม้า ราคาค่าเรือคนละ 1,200 จ๊าด ประมาณ 32 บาท
![]()
![]()
![]()
![]()
รถม้าคิดราคา 2 ชั่วโมง 10,000 จ๊าดต่อคัน ประมาณ 270 บาท เดอะแก๊งฯ เพลิดเพลินไปกับความสวยงามของเมือง บรรยากาศคล้ายๆ บ้านเราเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ว้าย!!!! รู้เลยว่าเดอะแก๊งฯ อายุเท่าไร อิอิ ไม่แคร์คร้า หน้าเด็กเข้าสู้ ^^
ได้รับบรรยากาศสบายๆ คนขับรถม้าจะพาเราไปที่ไกลสุดก่อนนั่งผ่านซากกำแพงเมืองเก่า และสถานที่ต่างๆ
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
เราปักหมุดที่แรกคือ วัดบากะยา ตัวโบสถ์แกะสลักจากไม้สักทั้งหลัง สัมผัสได้ถึงความขลังจากเสาไม้สักที่มีอยู่ถึง 267 ต้น ฟังจากไกด์จำเป็นคือคนขับรถม้า หากผิดพลาดขออภัยเพราะกำลังเบลอและง่วงนอน 5555
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
หลังจากชมและถ่ายรูปกันจนเหนื่อย นึกขึ้นได้เราต้องไปต่อเพราะยังมีอีกหลายที่ รอบนี้ตามใจคนขับรถม้าจะพาไป โปรดอย่าถามว่าไปที่ไหน เพราะจำชื่อไม่ได้ เรียกไม่ถูก แต่ดีที่ถ่ายรูปไว้ จึงขอเรียกตามป้ายเลยนะค่ะ เจดีย์ Yadana Hsemee ที่นี้บรรยากาศคล้ายอยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน แต่ลดสัดส่วนลงมา
![]()
![]()
![]()
![]()
ที่นี้มีจิตรกรหลายคนกำลังนั่งวาดภาพสีน้ำมัน และขายภาพวาด สาวเท่ห์ฯ พุ่งตรงมานั่งข้างๆ สมาชิกคนอื่นเดินตามหาเพื่อนที่จู่ๆ ก็หายวับไป เล่นเอาใจหายนึกว่าเธอหายข้ามช่วงเวลาเหมือนทวิภพเสียแล้ว 555
![]()
![]()
สาวเท่ห์ฯ นั่งมองภาพวาด เลยเสนอให้วาดรูปเดอะแก๊งฯ ลงในภาพ
สื่อสารกันทั้งภาษาอังกฤษและภาษาใบ้ ในที่สุดก็ได้ภาพวาดที่ถูกใจสาวเท่ห์ฯ แถมด้วยการสลักชื่อของทั้งสี่สาวลงในภาพ ราคาอยู่ที่แผ่นละราคา 2,000 จ๊าด ประมาณ 54 บาท
![]()
เดินชมภาพอยู่พักใหญ่มีไกด์ชาวบ้านเรียกพร้อมชี้นิ้วให้ไปชม ลิตเติ้ล มังค์ (little Monk) แนะนำบอกว่าให้ไปดูเพราะอยู่ส่วนด้านใน พอเจ้าตัวบอกเสร็จก็หายตัววับไม่อธิบายต่อที่สำคัญเราก็ไม่รู้ว่าองค์ไหนที่เรียกว่า ลิตเติ้ล มังค์ เห้อ!!!! งานเข้าเลย ไม่ได้ทำการบ้านมาด้วยสิ
ไปกันต่อ รถม้าพาวนเข้าป่ากล้วย ผ่านหมู่บ้าน ผ่านหอคอยแห่งเมืองอังวะ สระน้ำกลางเมือง ต้องขอให้จอดรถเพื่อเก็บภาพเพราะดูขลัง และผ่านประตูเมืองเก่าที่คนขับรถม้าพาไป![]()
![]()
![]()
![]()
นั่งชมกันเพลินๆ เริ่มหิวน้ำ บริเวณเมืองอังวะเก่าจะมีร้านขายอาหาร ขายน้ำ และที่สำคัญ ขายไอติมอยู่ด้วย ไอติม(เสียงสูง) วิ่งถลาเข้าหาเลย ในการเข้าชมเมืองอังวะจะคิดค่าเข้าชมคนละ 10,000 จ๊าด ประมาณ 270 บาท
อืมมม มาแล้วก็เอาให้คุ้ม เลยเสนอว่าให้สาวเท่ห์ฯ เสียสละเข้าไปเก็บภาพคนเดียว ที่เหลือนั่งกินน้ำเย็นๆ รอหละกัน พวกเรารักเพื่อนมาก 555 คนขับรถม้ามาบอกให้เวลาประมาณ 10 นาที แต่เวลาผ่านไป 15 นาทีก็แล้ว สาวเท่ห์ฯ หายเงียบไปคงเมามันส์ในการถ่ายรูปจนต้องรีบตาม แต่…แย่แล้ว+++โทรศัพท์ที่ใช้ได้มีเครื่องเดียวอยู่ที่สาวเท่ห์ฯ ทำไงหละ
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
ปล่อยให้มันเป็นไป จนเวลาล่วงเลย พักใหญ่สาวเท่ห์ฯ จึงเดินยิ้มออกมา แหม ร่าเริงนะ สมาชิกคนอื่นยืนลุ้นอยู่ ก็เค้าไม่มีนาฬิกาอ่ะ สาวเท่ห์พูดยิ้มเจื๋อนๆ งั้น ไปไปต่อ
คนขับรถม้ารีบบอก คุณเกินเวลาไปแล้วคิดเป็น 1 ชั่วโมง ต้องจ่ายเพิ่มอีกคันละ 5,000 จ๊าดต่อชั่วโมง ประมาณ 135 บาท อ้าว!!! ไม่รู้นี่หว่า ไม่มีใครบอก ก็นั่งและเดินเพลินไปหน่อย และที่สำคัญยังไปไม่ครบทุกสถานที่ ตัดสินใจกลับเลยก็ได้ ระหว่างทางงัดวิชาเจรจาต่อรองที่ได้เคยร่ำเรียนมา เอาออกมาใช้ แต่ครั้งนี้ยากตรงที่ต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษ เหอะ เหอะ!!!! อ้างสารพัด ก็รอรูปที่เขาวาดให้อยู่บ้าง รอคิวคนถ่ายรูปบ้าง หามุมสวยเพื่อถ่ายรูปไปออกสื่อประชาสัมพันธ์หมู่บ้านให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเยอะๆ บ้าง ก็ยังไม่ใจอ่อน จนต้องใช้กลยุทธ์จอมเหวี่ยงมาใช้ ในเมื่อคุณรู้ว่ามันเลยเวลาแล้วทำไมไม่บอกไม่เตือน อีกอย่างไม่รู้ด้วยว่าถ้าเลยเวลาจะมีคิดเพิ่มอีก คนละครึ่งเลย น่าน!!!! เจอเจ้าแม่จอมเหวี่ยงเข้าไปพูดไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง อังกฤษอีกก็ งูๆ ปลาๆ แต่พอนางจะเหวี่ยง ภาษาใบ้ก็เหวี่ยงได้ 5555 สรุปคนขับรถม้าจึงจำนนพบกันเกือบครึ่งทางที่ราคา 3,000 จ๊าดต่อคัน ประมาณ 81 บาท
พอมาถึงฝั่งที่คนขับแท็กซี่รออยู่ เจอหน้าปุ๊บร้องทักทันที ยูเลท (You late : คุณสาย) อืมมมม!!! ตรูรู้แล้ว ไม่ต้องมาย้ำ ยังเคืองอยู่นะ สะเทือนใจเป็นที่สุด จึงรีบบอกให้ออกไปจากตรงนี้ให้ไว เพราะยังมีอีกหลายจุดให้เช็คอิน
ตอนนั่งเรือข้ามฟากหันมาเห็นสะพานเหล็ก พอพี่แท็กซี่ขับผ่านและวิ่งบนสะพานก็สวยไปอีกแบบ แต่ขออภัยนะค่ะ ชื่อสะพานเป็นภาษาพม่าอ่านไม่ออก ถามพี่แท็กซี่แล้วจำไม่ได้เรียกไม่ถูก อิอิ งั้นขอจำความสวยงามแค่นี้หละกัน
![]()
![]()
![]()
![]()
พี่แท็กซี่พาลัดเลาะเลยไปตามช่องเขา จำไม่ได้ว่าเขาเรียกว่าอะไร ได้เห็นมุมของชาวบ้านอีกมุม คนมายืนโบกรถข้างทาง ถามว่าเขามายืนโบกขายอะไร พี่แท็กซี่บอก เขาโบกเพื่อให้ทำบุญ โอ๊ะโอ๋!!!! กระตุ้นให้ทำบุญกันแบบประชิดตัวกันเลยทีเดียว สุดยอดดดดด
ตามเส้นทางขึ้นเขามีจุดเสียวเล็กน้อยเพราะทางชันแต่ไม่น่ากลัวเท่าไร เอ๊ะ!! หรือเดอะแก๊งฯ คุ้นชินกับทางขึ้นเขาลงห้วยซะแร้ว 5555
![]()
วัดแรกที่ไปถึงคือ Sagaing (เจดีย์ U Min Thonze) ต้องเดินขึ้นเขาเล็กน้อย มีร้านค้าขายของที่ระลึกตั้งเรียงราย แต่ที่นี้แม่ค้าไม่มีเรียกลูกค้า สังเกตจากที่ปล่อยให้เดอะแก๊งฯ เดินผ่านไปเฉยๆ หรืออาจเป็นเพราะสัญชาตญาณว่ากลุ่มนักท่องเที่ยว 4 สาวกลุ่มนี่ถึงเรียกไปก็เท่านั้น คงขายไม่ออกสักชิ้น ปล่อยๆ ไปเหอะ 5555
![]()
![]()
![]()
เดินขึ้นสักพักเริ่มมีอาการหอบให้เห็น แต่พอขึ้นไปถึงบนสุดหายเหนื่อยเลย วิวสวย พระสวย และมีที่นั่งพักสบายๆ ลมเย็นๆ พัดผ่านตลอดไม่ร้อนนั่งเพลินจนเกือบหลับ พอนึกขึ้นได้ เฮ๊ยๆๆๆ ไปต่อกัน รีบไปเก็บภาพมุมต่างๆ ดีกว่า ^^
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
ถัดไปห่างกันสุดทางโค้ง (ประมาณเอง แต่ระยะทางไม่ไกล) จะเจออีกที่ ที่มีวิวสวย คือ Mandalay Hill ที่สามารถมองเห็นเจดีย์ตั้งเรียงรายตามไหล่เขา และเห็นแนวเมืองกับแนวแม่น้ำกั้นขนานกันไป ชอบดอกไม้สำหรับการบูชาสวยดี แดดร้อนหน่อยแต่เดอะแก๊งฯ ยังสามารถลัลลาได้ ไม่กลัวอยู่แล้วกับความดำ ยิ่งตอนนี้ผิวสีแทนกำลังอินเทรน 555
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
เวลาเริ่มกระชั้นเข้ามา เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงจะต้องไปเช็คอินขึ้นรถ แต่เดอะแก๊งฯ ยังไปไม่ครบเลยอีกอย่างเรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย จึงถามพี่แท็กซี่ว่าเราสามารถไปได้อีกสถานที่ไหม แล้วค่อยแวะกินข้าวก่อนขึ้นรถ พี่แท็กซี่บอกยังพอมีเวลา จึงขอไปที่วัดพระมหามัยมุนี (MAHA MYAT MUNI PAGODA) ลุ้นมาก เพราะเจารถติดระหว่างทาง และบริเวณทางเข้าวัดการจราจรหนาแน่นมากกกกก จึงหันไปมองหน้าพี่แท๊กซี่ถามทางสายตาว่าจะไปทันไหม แต่แหม!!! พี่แท็กซี่เหมือนจะรู้ทัน รีบหันมาบอก เด๋วจะส่งตรงทางเข้าก่อนนะให้เดินลงไปก่อนแล้วจะไปเวียนหาที่จอดรถ แต่เรานั่งรถคันเดียวกันแล้ว จึงบอกไม่เป็นไรไปที่จอดรถด้วยกันเลย หากหากันไม่เจอก็เสียเวลาอีก แต่โชคดีที่มีที่จอดรถว่างหนึ่งที่สำหรับรถเราพอดิบพอดี รีบวิ่งลงจากรถเลยสิค่ะ พอเดินเข้าไปเจ้าหน้าที่บอกทันที หากเราต้องการถ่ายรูปกับกล้องจะต้องจ่ายเงินก่อนนะ จำไม่ได้ว่าเท่าไร เพราะเราไม่ได้ใช้กล้องถ่ายรูป อิอิ กะมือถือนี้แหละง่ายสุด เรามีเวลาจำกัดกับการมาไหว้พระ เดอะแก๊งฯ จึงรีบพุ่งตรงมาที่หน้าพระมหามัยมุณี เสียดายที่ไม่ได้ร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ล้างพระพักตร์ แต่ก็ถือว่าได้มาไหว้และเยี่ยมชม 1 ใน 5 ของมหาบูชาสถานในพม่าแล้ว เสียดายอีกรอบที่เราไม่สามารถไปชื่นชมได้ใกล้ๆ เพราะผู้ชายเท่านั้นที่สามารถเข้าไปใกล้องค์พระ ส่วนผู้หญิงสามารถไหว้เฉพาะบริเวณที่จัดไว้ให้ แต่เดอะแก๊งฯ มาแล้วขอนิดส์หนึ่งนะค่ะ ขอชื่นชมให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงเดินวนอยู่ 1 รอบ ได้ชื่นชมองค์พระ ช่างงดงามมาก ปลื้มใจเป็นที่สุด
![]()
![]()
ออกจากวัดพระมหามัยมุนี มาถึงที่รถบัสตรงเวลาที่นัดหมายเป๊ะบ่ายสามโมงครึ่ง ยังคงมีเวลากินข้าว อาหารมื้อที่ 4 ก็ยังคงเป็นอาหารพม่า เริ่มเรียกร้องหาไข่เจียว ไข่ดาว เดอะแก๊งฯ รีบสื่อภาษา ไฟต์ เอ้กก์ (Fried egg = ไข่ดาว) แม่ค้ามองหน้า เดอะแก๊งฯ เริ่มไม่มั่นใจ เอ๊ะ!!! หรือมันต้องพูดว่า Egg Star ว้า 5555 จนต้องเชิญพี่แท็กซี่มาเป็นล่ามพูดภาษาพม่าให้ จนแล้วจนรอด สาวคิกขุฯ ยังไม่วาย เอ๋อๆ ไป ก่อนจะพูดขอแก้วน้ำอีกใบ แต่นางดันบอก ขอแก๊ส วันมอร์ ห๋า++++ อะไรนะ แก๊ส นะแก๊ส สมาชิกเริ่มมึน แก๊สไรว่ะ จนสาวคิกขุฯ ยกแก้วน้ำ ถึงกับหัวเราะก๊ากจนเจ้าของร้านมองหน้า เห้ย!! เขาเรียก กลาส (glass) ป่ะ 5555
พี่แท็กซี่บอกถ้าไม่ทันรถทัวร์สามารถเหมาแท็กซี่ไปส่งได้นะ แต่แหม พอดีงบที่ตั้งไว้เป็นราคารถทัวร์ และอยากนอนสบายๆ ใกล้เวลาบ่ายสี่โมงแล้วรีบวิ่งขึ้นรถก่อนที่เขาจะมาตาม กระหึดกระหอบกัน ไปเราไปต่อกันที่เมืองพุกาม โปรดติดตามตอนต่อไป เดอะแก๊งฯ จะเจออะไรอีก สนุกกว่าเดิมแน่นอน ^^