ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
สองล้อตะลอนไป จากเชียงใหม่ถึงฮอด ตะลึงสุดยอดประติมากรรมจากธรรมชาติ ถนนเชียงใหม่-ฮอด จ.เชียงใหม่
    • โพสต์-1
    นายสองสามก้าว •  พฤษภาคม 21 , 2558

    สองล้อตะลอนไป จากเชียงใหม่ถึงฮอด ตะลึงสุดยอดประติมากรรมจากธรรมชาติ

    เชียงใหม่หน้าร้อนมีอะไรให้เที่ยว? พอบอกใครว่าผมจะหนีเมืองกรุงมุ่งขึ้นเหนือไปแอ่วเชียงใหม่ตอนกลางเดือนพฤษภาคม อากาศกำลังร้อนตับแล่บแดดแผดเผาก็เจอถามคำถามนี้ทุกครั้ง ซึ่งผมได้แต่ตอบไปว่าของดีเชียงใหม่เยอะแยะจะตาย ฤดูไหนก็สามารถเที่ยวได้หมดแหละน่า ไม่จำเป็นต้องรอหน้าหนาวเลย

    การตะลอนเชียงใหม่หน้าร้อนคราวนี้ ผมวางเป้าหมายจากตัวเมืองลงไปทางอำเภอหางดง อำเภอดอยหล่อ อำเภอฮอด เที่ยวอุทยานแห่งชาติออบขาน ผาช่อ - อุทยานแห่งชาติแม่วาง และอุทยานแห่งชาติออบหลวง ซึ่งทั้งหมดเพื่อยลโฉมงานประติมากรรมผาหินอลังการจากธรรมชาติ บวกกับที่เที่ยวเก๋ๆ อย่างสวนสนบ่อแก้ว ที่ใครต่อใครนิยามให้เป็นเกาะนามิเมืองไทย

    แล้วจะเที่ยวอย่างไรล่ะ? ง่ายๆ สั้นๆ ชัดเจนคือมอเตอร์ไซค์เช่าครับ เที่ยวเชียงใหม่กี่ครั้งผมเช่ามอเตอร์ไซค์ซิ่งตลอดศก จะดอยปุย ดอยอินทนนท์ ลุยมาแล้วหายห่วง ขอแค่พกฝีมือกับความชำนาญในการขี่มาด้วยก็พอ

    ทริปนี้เริ่มเดินทางเหมือนทุกครั้งครับ นั่งรถทัวร์รอบดึกจากหมอชิตไปสถานีขนส่งเชียงใหม่ คนที่นั่นเรียกว่าอาเขต ผมขึ้นรอบห้าทุ่มครึ่งถึงราวเก้าโมงเช้าแดดกำลังดี จากนั้นเดินไปเลยข้างโรงแรมแกรนด์ ไดมอนด์ มีร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ เมื่อก่อนมีร้านเดียวคือ Bikky แต่เดี๋ยวนี้เพิ่มเป็นสองสามร้านแล้วล่ะ แถมขยายเวลาเปิด-ปิด เป็น 6.00-21.00 น. เอาใจคนชอบขี่รถเที่ยวเต็มที่

    ผมเลือกร้านประจำ Bikky นั่นแหละครับ เช่ามาหลายที บางครั้งนานเป็นสัปดาห์ ไม่เคยมีปัญหาทั้งเรื่องสภาพเครื่องและการคืนรถ หากไม่เอาไปล้มจนยับเยิน มีรอยขูดขีดธรรมดาเขาไม่ถือสา ราคาเกียร์ธรรมดา200 บาท ออโต้ 250 บาท แต่ผมเลือกแกรนด์ ฟิลาโน่ ออโต้แบบใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ 300 บาท เพราะจุของได้เยอะ มัดท้ายได้ วางตรงที่วางเท้าได้ ใต้เบอะเก็บของได้อีก

    พอได้รถคู่ชีพแล้วเริ่มลุยตามเส้นทางที่วางไว้ มุ่งหน้าลงใต้แวะก่อนเลยคือเติมท้องที่ร้านข้าวซอยประจำ มาเชียงใหม่กี่รอบต้องกินทุกรอบ ร้านฟ้าฮ่าม เชฟยุ่น ถนนราชพฤกษ์ ไม่ไกลจากทางเข้าอุทยานหลวงราชพฤกษ์ ร้านใหญ่ นั่งสบาย เท่าที่ลองมาผมว่าอร่อยทุกอย่างนะ ข้าวซอยเนื้อ หมู ขนมจีนน้ำเงี้ยว แกงเนื้อ เขียวหวาน

    อิ่มท้องแล้วค่อยผลาญแคลเลอรี่ที่เพิ่งยัดมา (ฮา...) ไปกันที่อุทยานแห่งชาติออบขาน อยู่อำเภอหางดง ไม่ไกลจากราชพฤกษ์ครับ วิ่งลงมาตามถนนเลียบคลองชลประทานเรื่อยๆ จะเห็นป้ายเลี้ยวขวาเข้าอุทยานฯ ไปอีกประมาณ 15 กิโลเมตร

    บอกเลยว่าออบขานเป็นอุทยานฯ ขนาดเล็ก ยังไม่ได้มีการประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาเป็นทางการ ก็เลยยังไม่เก็บค่าเข้าชม แต่เป็นหนึ่งอุทยานฯ ในดวงใจของผมครับ วันที่ไปเป็นวันหยุดพืชมงคลเลยมีคนมาเล่นน้ำหนาตากว่าปกติ ทว่าโดยรวมบรรยากาศยังสบายมาก

    คำว่าออบของคนเหนือคือหน้าผาหินหรือภูเขาที่มีน้ำไหลผ่านผ่าตรงกลาง ออบขานจึงหมายถึงออบซึ่งมีแม่น้ำขานไหลผ่าน การชมออบขานก็เดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติตรงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนั่นแหละ

    ออบขานยาวสักสามร้อยเมตรเห็นจะได้ พอสุดออบแล้วจะเห็นแม่น้ำขานที่ไหลเลื้อยมาจากป่าเขาครับ

    ใครอยากเล่นน้ำหาจุดเหมาะๆ ริมแม่น้ำขานกันตามสบาย โดยส่วนตัวผมยกให้ที่นี่เป็นจุดเล่นน้ำที่ดีที่สุดของเชียงใหม่ครับ สวย ใส น้ำไม่เชี่ยวเกินไป

    ผมเตร็ดเตร่อยู่ที่ออบขานถึงเกือบสี่โมงเย็น ถ่ายรูป แช่เท้า กอบโกยความสุขจากธรรมชาติเต็มที่ นักท่องเที่ยวทยอยมากันเรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับหนาตา ถ้าเป็นวันธรรมดาก็บอกเลยว่าเงียบสงบอย่างแรง

    ออกจากออบขานแล้วบิดรวดเดียวไปอำเภอฮอดครับ ระยะทางเน้นๆ 90 กิโลเมตร ใช้ถนนเลียบคลองชลประทานนี่แหละทะลุออกทางหลวงหมายเลข 108 (เชียงใหม่-ฮอด) ที่อำเภอสันป่าตอง ผ่านอำเภอดอยหล่อ อำเภอจอมทอง จนถึงตัวอำเภอฮอด หมดเวลาเกือบสองชั่วโมง ถึงตอนเคารพธงชาติพอดี

    ที่พักผมหาในอินเทอร์เน็ตแล้วโทรถามตั้งแต่อยู่ที่ออบขานแล้วครับ “เฮือนฮักฮอด” ห่างจากตัวอำเภอแค่สองกิโล คืนละ 500 บาท แอร์ น้ำอุ่น ไวไฟ เต็มพิกัด เพิ่งเปิดมาปีนิดๆ ห้องยังใหม่อยู่ สบายเลยคืนนี้

    วันรุ่งขึ้น ตอนเช้ามีกาแฟขนมปังให้ เขมือบรองท้องแล้วลุยโลด เป้าหมายคืออุทยานแห่งชาติออบหลวง... จำได้ไหมครับว่าออบขานคือออบที่แม่น้ำขานไหลผ่าน แต่ออบหลวงไม่ใช่ออบที่แม่น้ำหลวงไหลผ่านนะ! เพราะคำว่าหลวงของชาวเหนือหมายถึงใหญ่โตหรือยิ่งใหญ่ ออบหลวงเลยแปลว่าออบซึ่งมีขนาดใหญ่ ส่วนแม่น้ำที่ไหลผ่านออบหลวงคือลำน้ำแม่แจ่ม เป็นสาขาของแม่น้ำปิง

    17 กิโลเมตร คือระยะทางจากตัวอำเภอฮอดไปออบหลวงตามทางหลวงหมายเลข 108 ซึ่งช่วงนี้คนนิยมเรียกว่า ฮอด-แม่สะเรียง ไม่ได้เรียกเชียงใหม่-ฮอด แล้ว ถนนคดเคี้ยวเลียบแม่น้ำแม่แจ่มจนถึงออบหลวงเลยครับ

    ถึงออบหลวงแล้วประหลาดใจสองอย่างคือเพิ่งรู้ว่าออบหลวงตั้งอยู่ริมถนน (แต่จะมองจากถนนไม่เห็นเพราะต้นไม้บัง) และต่อมาคือลำน้ำแม่แจ่มมีน้ำสีแดงขุ่นเข้มเหมือนน้ำป่าทั้งที่อยู่ในช่วงแล้งหนัก สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่าข้างนอกอาจฝนไม่ตกแต่ในป่าต้นน้ำมีฝนอยู่เรื่อยๆ เลยเป็นอย่างที่เห็น

    เคยเห็นว่าคนที่มาออบหลวงช่วงเช้าจะได้ภาพย้อนแสง ผมเลยไม่รีบร้อนครับ กินข้าวเสร็จก็เดินเล่นถ่ายรูปเล่นเรื่อยเปื่อยแถวศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

    ที่นี่มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้วย เขาเรียกเก๋ๆ ว่าดินแดนมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เพราะค้นพบหลุมฝังศพ กับภาพเขียนโบราณ แต่ที่ผมสนใจมากกว่าคือจุดชมวิว ผาช้าง กับผาเต่า เส้นทางทั้งหมดวนรอบราวกิโลเมตรครึ่ง พร้อมแล้วก็พกน้ำไปหนึ่งขวดแล้วออกเดินกันเลย

    ทางเดินไม่ยากครับ แป๊บเดียวก็ผ่านหลุมฝังศพ ภาพเขียนโบราณ จนถึงผาช้าง มีทางต้องปีนป่ายแต่ก็แค่สั้นๆ ขึ้นมาแล้วจะได้ชมวิว... เอ่อ... ถนน! ถนนสายฮอด-แม่สะเรียง ตัดผ่านผืนป่าของอุทยานฯ

    อีกฝั่งของจุดชมวิวผาช้างมองเห็นป่าและทิวเขาสีเขียวสดชื่นดี ว่ากันว่าช่วงหน้าหนาวต้นไม้ผลัดใบ ที่นี่ป่าจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวสลับน้ำตาลสวยมาก ไว้คราวหน้าจะมาใหม่นะ จากนั้นเดินต่อสักครึ่งกิโลเมตรก็ถึงผาเต่า เหมือนเดิมครับคือมาชมวิวถนน (ฮา...) ให้ภาพคล้ายกับผาช้าง ไม่ต่างกันมากในความรู้สึกผม

    แผนที่บอกว่าจากผาเต่าจะมีทางวนกลับไปจุดเริ่มต้น แต่มองป่าตรงนี้แล้วตาลายครับ เส้นทางไม่ชัดและป้ายชี้ทางดันไม่มีซะอย่างนั้น ผมเดินไปสักพักเลยคิดว่าหันหลังกลับทางเดิมท่าจะเป็นไอเดียที่ดีกว่า เพราะระยะทางไม่ไกลกว่ากันสักเท่าไหร่

    ใช้ทางเก่ากลับมาถึงออบหลวงบ่ายโมงกว่าๆ แดดบ่ายคล้อยเป็นทิศสมใจ แสงอาทิตย์สาดส่องลงออบหลวง เปิดให้เห็นรายละเอียดของหน้าผาสูงใหญ่ซึ่งทำให้ได้ภาพสวยและมีมิติกว่าการถ่ายย้อนแสง ก็ลั่นชัตเตอร์แบบปลื้มปริ่มกันไป

    ถึงบ่ายสองครึ่งค่อยลุยต่อ จากออบหลวงไปสวนสนบ่อแก้ว ตามถนนฮอด-แม่สะเรียงนั่นแหละ อีก 18 กิโลเมตร ขี่เรื่อยๆ กินฝุ่นเพลินๆ เพราะกำลังทำถนนยาวหลายกิโล (ฮา...) มาถึงสวนสนบ่อแก้วแล้วแทบกรี๊ดแตก สวยโรแมนติกมากครับ ขนาดหน้าร้อนยังสวยแล้วตอนเช้าหน้าหนาวหมอกบางๆ จะขนาดไหนเนี่ย!

    ถ่ายรูป เดินเล่น แบบสบายๆ พักใหญ่แล้วเป็นอันเสร็จภารกิจ มาทางไหนก็กลับทางนั้น ถนนมีอยู่เส้นเดียวไม่ต้องกลัวหลง กลับถึงที่พักใกล้เย็นย่ำ นอนตากแอร์ให้หายร้อนแล้วค่อยออกไปหาอะไรกินที่ตัวอำเภอ เป็นการเที่ยวแบบไม่ต้องเยอะสถานที่ แต่สนุกและมีความสุขมากครับ

    เช้าวันต่อมา เก็บของ แพ็กเป้ มัดติดท้ายรถ แล้วแว้นจากฮอดย้อนมาตามทางหลวงหมายเลข 108 ผ่านอำเภอจอมทอง จนมาถึงอำเภอดอยหล่อ จุดหมายคือไฮไลท์ของทริปนี้สำหรับผม “ผาช่อ” เคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนกุมภา แวะมาโฉบและรีบร้อนมาก เพราะตอนนั้นแหละครับเลยรู้ว่าจะเที่ยวผาช่อให้สวยเด็ดสะระตี่ต้องมาช่วงสายๆ แดดกำลังลง คล้อยเที่ยงไปแล้วความอลังการจะเหือดหายลงหลายดีกรี

    ออกจากฮอดตอนแปดโมง ระยะทาง 61 กิโลเมตร ขี่มาเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงตามคาด ผาช่ออยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วาง ผมมาถึงด่านตรวจเก้าโมงเป๊ะ เจ้าหน้าที่ยังไม่มาก็เลยสบายตัวไม่ต้องจ่ายตังค์ค่าธรรมเนียม (ฮา...) ระยะทางจากด่านถึงผาช่อ 5 กิโลเมตร แต่อาจเป็นห้ากิโลที่ยาวนานจับใจ เพราะทางลูกรังทุกเซนติเมตร กระเด้งกระดอนสนุกสนาน รถเก๋งไปช้าๆ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงอยู่นะ

    ถึงที่จอดรถแล้วเดินอีกเล็กน้อยสี่ร้อยเมตร ในที่สุดก็ถึง ไม่มีคำบรรยายครับ ถ่ายภาพรัวๆ อย่างเดียว (ฮา...)

    ตามข้อมูลบอกว่าในอดีตบริเวณนี้น่าจะเป็นทางไหลของแม่น้ำปิง แต่ต่อมาแม่น้ำเปลี่ยนทิศทิ้งไว้เพียงชั้นตะกอนหินดินทรายซึ่งทับถมกัน หลังจากนั้นแผ่นดินมีการยกตัวเกิดเป็นหน้าผา ประกอบกับลมฝนช่วยกันสรรค์สร้างประติกรรมแสนวิจิตรนี้ขึ้น ระหว่างทางเดินเราจะเห็นหินแม่น้ำมนเกลี้ยงที่แทรกตัวกันบนชั้นตะกอน ยืนยันว่าต้องเคยมีแม่น้ำไหลผ่านเมื่อเป็นแสนเป็นล้านปีมาแล้ว

    ใกล้กับผาช่อ ยังมีหน้าผาคล้ายกันอีกสองจุดครับคือผาแดง กับกิ่วเสือเต้น แต่ถนนค่อนข้างลำบาก ไม่อนุญาตให้รถยนต์เข้า ผมขี่มอเตอร์ไซค์เจ้าหน้าที่บอกว่าไปได้แต่ทางจากผาแดงไปกิ่วเสือเต้นต้องใช้ฝีมือสักหน่อย ผมไปถึงแค่ผาแดงครับ กิ่วเสือเต้นอีกนิดเดียว 1.6 กิโลเมตรเท่านั้น แต่คิดว่าพอแล้วดีกว่า คราวหลังเป็นรถที่สมบุกสมบันกว่าเจ้าแกรนด์ ฟิลาโน่ ค่อยว่ากัน

    หมดจากผาช่อ ก็เป็นอันว่าบนเส้นทางเชียงใหม่-ฮอด ที่ต้องการมาเที่ยวเฉพาะงวดนี้ครบแล้วล่ะ อะไรก็ตามหลังจากนี้ถือว่าเป็นของแถม ผมแว้นกลับมากินข้าวตอนบ่ายที่ร้านข้าวซอยประจำเจ้าเก่าใกล้ราชพฤกษ์ นั่งคิดวนไปวนมาหลายตลบว่าจะเที่ยวไหนต่อ สุดท้ายได้เป้าหมายคือ ถ้ำเมืองออน อำเภอแม่ออน ก่อนถึงน้ำพุร้อนสันกำแพง เคยผ่านตอนไปเที่ยวน้ำพุร้อนสองครั้ง แต่ไม่ได้แวะที่นั่นสักที

    จากราชพฤกษ์ไปถ้ำเมืองออน 60 กิโลเมตร ดูเหมือนไกลแต่เส้นทางง่ายมาก ใช้วงแหวนรอบเมืองเชียงใหม่ ไม่ต้องผ่านตัวอำเภอสันกำแพงด้วยซ้ำ ถนนค่อนข้างโล่ง รถไม่เยอะ มีไหล่ทางสำหรับมอเตอร์ไซค์เกือบตลอดสาย ชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้วล่ะ

    บอกเลยครับว่าดีใจมากที่ตัดสินใจมา ภายในถ้ำโอ่โถงเย็นสบาย มีไฟนีออนส่องสว่างให้เดินเที่ยวชมสบาย แม้จะเป็นถ้ำตายคือไม่มีการเกิดหินงอกหินย้อยอีกแล้วทว่ายังน่าดูอยู่พอสมควร ไฮไลท์คือพระธาตุนมผา หรือหินงอกซึ่งมีลักษณะคล้ายพระธาตุ ตำนานเล่าว่าเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งพญานาคแปลงกายเป็นมนุษย์ไปขอพระองค์มาเก็บไว้สักการะ... ย้ำนะว่าตำนานคือตำนาน ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

    ออกจากถ้ำ เห็นว่ามีทางเดินขึ้นไปสักการะพระเจ้าทันใจบนยอดเขา ระยะทาง 300 เมตร บันได 700 ขั้น ต้องวัดใจกันล่ะทีนี้ ยอมรับครับว่ากินแรงใช้ได้เล่นเอาพักหอบอยู่หลายหน ด้านบนยอดเขามีพระเจ้าทันใจ พญานาค พระพิฆเนศ รูปหล่อครูบาศรีวิชัย และพระธาตุบรรจุอัฐิของท่านให้เรากราบไหว้ ตอนเดินลงมานี่ขาสั่นเหมือนกันนะ!

    คืนนี้โทรจองห้องพักไว้ที่ B2 สาขาเจ็ดยอด ราคาโลว์ซีซั่น คืนวันเสาร์ 490 บาท เหมือนจะรีโนเวทมาจากอพาร์ตเมนต์เก่า แต่โอเคดีครับ เหนื่อยขนาดนี้ที่ไหนก็สลบเหมือนเหมือนกัน!

    วันสุดท้ายแล้ว บอกเลยว่าสมองปลอดโปร่งคือไม่มีที่ไป (ฮา...) คิดแบบรวบยอดแล้วสุดท้ายขอขี่รถเที่ยวสบายๆ ฝากเป้ใบโตทิ้งไว้ที่โรงแรมมุ่งหน้าโลดไปทางแม่ริม เป้าหมายคือสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กับม่อนแจ่ม ระยะทาง 35 กิโลเมตร เทียบกับที่ผ่านมาแล้วต้องบอกว่าจิ๊บๆ

    ผมชอบขี่รถเที่ยวเส้นแม่ริมนะ ป่าเขียวร่มรื่น  ขี่มาเรื่อยเปื่อยบวกกับแวะกินข้าวริมทาง สิบโมงกว่าๆ ก็ถึงสวนพฤกษศาสตร์ ความน่าสนใจที่สุดสำหรับผมคือเรือนกระจกบนยอดเขา มีอยู่สิบกว่าหลัง แต่ละหลังแยกชนิดพรรณไม้แตกต่าง พืชน้ำ พืชทะเลทราย พืชกินแมลง บัว เฟิน ฯลฯ เดินเที่ยวชมสบายใจมาก ผมมาหลายรอบแต่ไม่เคยเดินหมดในทีเดียวสักครั้ง มาหนนี้ก็ยังชอบมากครับ

    พิเศษเพิ่มขึ้นคือตอนนี้เขาจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ Natural Science Museum ข้างในมีอะไรน่าสนใจเยอะแยะเลยล่ะ ในนี้มีภาพอาร์ตสามมิติให้โพสท่าถ่ายรูปด้วยนะ ไม่กี่ภาพหรอกแต่สาวๆ คงถูกใจ ตอนแรกกะว่าจะออกจากที่นี่สักบ่ายโมง แต่ฝนดันตกมาซู่ใหญ่ เลยต้องเดินไปเดินมาเกือบบ่ายสอง จากสวนพฤกษศาสตร์ไปม่อนแจ่มอีกไม่ไกล ทางขึ้น 6 กิโลเมตรชันบางช่วงแต่ไม่ยากเย็นอะไร สำหรับผมที่นี่เป็นตัวอย่างของสถานที่เที่ยวซึ่งโด่งดังเพราะการประชาสัมพันธ์ที่ถูกจุด คือไม่ได้สวยเลิศเลอเฟอร์เฟกต์แต่กลับได้รับความนิยมอย่างสูง คนมาที่นี่ส่วนมากก็เพื่อชมวิวและนั่งกินข้าวในบรรยากาศบนเขา ผมมาครั้งนี้เป็นรอบที่สาม ไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้ตื่นเต้น จุดประสงค์คือเพื่อนั่งพักผ่อนกินข้าวที่ว่านั่นแหละ!

    เอ้อระเหยจนราวสี่โมงเย็นค่อยบิดลงจากม่อนแจ่มกลับไปเอากระเป๋าเป้ที่โรงแรม พักเหนื่อยครู่ใหญ่แล้วค่อยเอาเจ้าแกรนด์ ฟิลาโน่ สีแดงแจ๊ดแจ๋ไปคืน รอขึ้นรถกลับบ้านเที่ยวสองทุ่มตรง เป็นอันปิดการเดินทาง

    ทริปมอเตอร์ไซค์ห้าร้อยกว่ากิโลครั้งนี้ หมดแรงแต่ก็มันสุดๆ เชียวล่ะครับ...

    อยากคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องท่องเที่ยว สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) หรือชวนเที่ยว ยินดียิ่งนะครับ

    www.facebook.com/alifeatraveller

    หรือ

    alifeatraveller.wordpress.com

    • โพสต์-2
    Chate •  พฤษภาคม 22, 2558
    • จุดเด่น:
    • จุดด้อย:
    • ข้อสรุป:
    คะแนน