คิดถึงแม่กลางหลวง คิดถึงลมซ่อนรัก คิดถึงมิตรภาพ

ขอย้อนรอยทริปแม่กลางหลวงปีที่ผ่านมานะคะ เผื่อว่าใครอยากจะไปเที่ยว แต่ต้องรีบเลยนะคะ

ในเดือนนี้เมื่อปีที่แล้ว..ได้มีโอกาสตามเจ้านายไปทอดกฐินที่วัดต้นผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ หลังจากเข้าวัดทำบุญเป็นที่เรียบร้อย ก็เลยขอแว๊ปไปแอ๋วสักกำนึง ณ บ้านกลางหลวง ดอยอินทนนท์

เดินทางจากสนามบินประมาณเที่ยงกว่าๆค่ะ เจ้านายเช่ารถตู้ให้พาไปค่ะ ทริปนี้เลยสบายที่สุด ปกติback pack นั่งรถทัวร์ โหนรถสองแถว โบกรถนั่งท้ายกระบะ ขับมอ'ไซค์ และเดินดุ่ม ดุ่ม รอบนี้ลองเป็นคุณหนูดูซักที อิอิ ไปกันสองคนกับน้องที่ทำงาน นางยังไม่เคยไปเชียงใหม่ค่ะ เราเลยต้องเป็นไกด์ไปในตัว

ถ้าใครยังไม่เคยไป ไปไม่ยากนะคะ บ้านแม่กลางหลวงอยู่เกือบๆ ปลายดอยอินทนนท์ ถ้าเช่ารถตู้หรือเหมารถสองแถวในเชียงใหม่ คนขับเขารู้จักกันดีค่ะ แต่ถ้างบน้อยหรืออยากได้รับอรรถรสของการเดินทางอย่างเต็มที่ แนะนำให้นั่งรถสองแถวค่ะ แต่อย่าเหมานะคะ นั่งตามระยะทางมาเรื่อยๆค่ะ เริมตั้งแต่ขนส่งเชียงใหม่2 (อาเขต) ก็ต่อรถไปลงที่ตลาดวโรรส แล้วจะมีรถสองแถวสีเหลืองสายเชียงใหม่-จอมทองค่ะ แล้วค่อยไปต่อรถสองแถวด้านข้างวัดพระธาตุจอมทองสายจอมทอง-อินทนนท์ แล้วบอกเขาว่าลงบ้านแม่กลางหลวง แต่ต้องไปต่อรถให้ทันนะคะ ถ้าไม่ทันอาจเป็นเหมือนเราตอนทริปไปแม่แจ่ม ต้องขอนอนป้อมตำรวจ หรือพูดง่ายๆ แย่งที่นอนคุณตำรวจนอนนั่นแหละค่ะ5555

พอถึงทางเข้าแค่เรามองเข้าไปก้อจะเห็นท้องทุ่งเหลืองอร่าม ช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงข้าวออกร่วงเหลืองเต็มทุ่ง และจะเริ่มเก็บเกี่ยวต้น-กลางเดือนธันวาคม(ถ้าไปเสาร์-อาทิตย์นี้น่าจะทันนะคะแต่คงเห็นทุ่งข้าวเปฌนสีทองทั้งมดค่ะ) ที่พักควรจะจองมาก่อนนะคะ เพราะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวชุกชุม อิอิ เราพลาดค่ะ เราไม่ได้จอง เราไปติดต่อหาที่พัก ให้ถามที่เดียวพอค่ะ ถ้าเขาเต็มเขาจะถามที่อื่นต่อให้ค่ะเพราะเขาเป็นญาติๆกันหมดเลยค่ะ ที่พักก็ไม่ไกลกันมากค่ะ สรุปเราไม่มีที่พักค่ะ เพราะเหลือแต่เป็นบ้านพักหลังใหญ่นอนได้หลายสิบคน ราคาบ้านก็คืนละ 4 พันค่ะ ระดับเราสองคน เห็นนั่งรถตู้ดูเป็นคุณหนูแบบนี้ไม่มีปัญญาจ่ายหรอกค่ะ สามร้อยยังคิดแล้วคิดอีกเลยค่ะ พี่เขาเลยแนะนำให้ขึ้นไปนอนโฮมสเตย์ข้างบนค่ะคืนละ300-500 บาท เราก็บังคับรถตู้พาขึ้นไปค่ะ มันสูงมากรถตู้มองหน้าเราอย่างกะจะกินเลือดกินเนื้อเราเลย แต่ว่าdon't care อิอิ สุดท้ายขึ้นไปดูแต่ไม่นอนค่ะ ไปประเลาะดื่มชาชาวบ้านแล้วก้อหนีกลับลงมาค่ะ แล้วมาอ้อนวอนขอร้องเจ้าของที่พักที่เดิมค่ะ ขอต่อราคานิดนึง ขอคืนละ1พันนะคะ เจ้าของถึงกลับยิ้มแบบอึ้งๆ เราเลยรีบบอกว่าขอแบ่งห้องเดียวค่ะ ส่วนที่เหลือถ้าใครมาก็พักห้องอื่นได้ค่ะ เจ้าของมองหน้าคุณหนูตกยากทั้งสองคนแล้วก็ยินยอมแต่โดยดี

หลังนี้ไม่ใช่นะคะ มันเล็กไปสำหรับสองคน55555555++++

หลังตรงกลางสีแดงสองชั้นนั่นแหละค่ะ ของเราสองคน (เสียดายน้องที่มาด้วยเป็นแม่หญิง..??) หลังจากได้ที่พักแล้ว เราก็ต้องออกสำรวจและหาข้าวเย็นกินค่ะ เพราะกว่าจะได้ที่พักก็เกือบห้าโมงเย็นแล้วล่ะค่ะ

ร้านกาแฟอุ่นเอิบหรืออุ่มเอิบ แล้วแต่จะอ่านค่ะ เป็นร้านชิวๆ น่ารักมากค่ะ ยามค่ำคืนมีน้ำปรับอุณหภูมิในร่างกายให้ดื่มด้วยนะคะ ฮั่นแน่ ชอบล่ะซิ คริๆ แต่เราไม่ได้กินข้าวเย็นที่นี่นะคะ เราตัดสินใจกลับไปกินที่ที่พักค่ะ

บ้านหลังนี้น่ารักไหมคะ ระหว่างทางกลับที่พักค่ะ บ้านแม่กลางหลวงไม่ได้มีแค่นาขั้นบันไดนะคะ ยังมีลำธารใสๆ น่าลงเล่นมากเลย แต่ได้แค่คิดค่ะ เพราะตอนนี้อยากได้ผ้าห่มมากกว่าค่ะ

ถึงร้านอาหารที่พัก หลังจากสั่งอาหารเสร็จ เจ้าของที่พักบอกว่าจะมีคนมาขอพักร่วมบ้านกับเราแล้วนะ พร้อมชี้มือไปยังบุรุษหนุ่ม(มันมืดๆนะก็คิดว่าหนุ่มแหละ)นั่งเก้าอี้บนโต๊ะมีขวดเบียร์พร้อมยิ้มฟันขาวมาให้ เราก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ส่วนในใจคิดว่า เราต้องนอนร่วมชายคากับผู้ชายหน้าแปลกหรือนี่ เอาน่าเรามีหน้าตาเป็นอาวุธอยู่ล่ะ นอกจากพี่เขาจะกินเบียร์เกิน2โหล อันนั้นก้อแล้วแต่..

เช้าตรู่มากกกกกของวันใหม่ ด้วยความเป็นกุลสตรีศรีสยามอย่างเรา ไม่เคยตื่นก่อนไก่ แต่มาวันนี้ถูกปลุกให้ตืนขึ้นมาด้วยเสียงส้นเท้ากระทบกับพื้นไม้กระดานอย่างรุนแรง(ใครว่ะ ไม่เคยเดินบ้านไม้เลยรึไง)ต่อให้หลับลึกแค่ไหนก็ต้องตื่น เพราะตกใจคิดว่าแผ่นดินไหว แต่ก็ต้องขอบคุณแขกร่วมบ้านตัวสูงๆ ผอมๆ ถือกล้องกับขาตั้งกล้องดูทะมัดทะแมง วิ่งขึ้นวิ่งลง ดูรีบเร่งเพื่อให้ทันแสงแรกของพระอาทิตย์ อิอิ ดูๆไปก็แอบเท่เหมือนกันนะเนี่ย

จุดดำๆนั่นแหละ คนที่ปลุกให้เราทันตื่นขึ้นมาได้รูปทุ่งนาสีเหลืองทองดูหนานุ่ม น่าโยนตัวลงไปนอนจัง

แสงแรกมาแล้วค่า เธอฝ่าสายหมอกจางๆ มาทักทาย ต้องขอบคุณพี่ร่วมชายคาที่ใจดีช่วยปลุกนะคะ เรามีความเชื่อจากจิตใต้สำนึกเสมอว่า นักเดินทางเสมือนนักบุญมักเอื้อเฟื้อเกื้อกูลซึ่งกันและกันด้วยหัวใจ ความวางใจและมิตรภาพจึงเกิดขึ้นเสมอเมื่อเราออกเดินทาง

ข้าวรวงทอง โค้งรอเคียวคม

จริงๆ เมื่อคืนนอนตรงนี้ก็ได้เนอะ ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ที่สำคัญฟรีด้วย..อิอิ

บ้านกลางหลวงนอกจากจะทำนาขั้นบันไดแล้ว ยังทำไร่สตอเบอรี่และเลี้ยงปูขนด้วยนะคะ ตอนไปเดินถ่ายรูปแอบตกลงไปในร่องน้ำจมหายไปครึ่งตัว ชาวถิ่นได้แต่ยิ้มๆขำๆ ยืนถือกระบวยรดน้ำอมยิ้มแก้มตุ่ย เราเลยแก้เก้อด้วยการเข้าไปพูดคุย จึงได้ความมาว่าข้าวที่ปลูกจะเก็บเกี่ยวเสร็จประมาณเดือนธันวาคมผลผลิตส่วนใหญ่ขายให้โครงการหลวง พอเดือนมกราคมผลสตอเบอรี่ก็สุกและเก็บขายได้ค่ะ และถ้าดูจากรูปภาพข้างใต้นี้จะเห็นบ่อปูขนใกล้ๆกับไร่สตอเบอรี่และทุ่งข้าว ปูขนจะโตพอได้ขนาดและน้ำหนักตามความต้องการของตลาดประมาณช่วงเดือนเมษยน-พฤษภาคม แล้วก็ปลูกข้าวต่อค่ะ ฟังแล้วชาวบ้านกลางหลวงมีรายได้ตลอดทั้งปีเลยใช่ไหมคะ แถมยังมีรายได้พิเศษในช่วงเดือนท่องเที่ยวด้วยนะคะ ทั้งหมดนี้คือพระมหากรุณาจากพระราชดำริของในหลวงค่ะ พระมหาราชาของปวงชนคนในประเทศไทยค่ะ เชื้อสายหรือชาติกำเนิดไม่เกี่ยว แค่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ก็ได้รับพระมหากรุณานี้ทั่วกัน"จะเป็นลูกที่ดีของพ่อตลอดไป" ประโยคนี้ช่วยกันทำนะคะ

อยากให้ดูว่าประมาณ 10 โมงเช้า อากาศอยู่ที่ตามนั้นเลยค่ะ ย้ำๆ ดูองศานะคะ ประโยคดังกล่าวไม่เกี่ยวเน้อเจ้า..หลังจากเขียนรีวิวจบแล้ว เราอาจได้พบกันที่บ้านแม่กลางหลวงก็ได้นะคะ..ปล.ลืมบอกค่ะว่าละครเรื่องลมซ่อนรักมาถ่ายทำที่นี้ช่วงเดือนสิงหาคมด้วยนะคะ ใครสนใจดูละครย้อนหลังเอาล่ะกันค่ะ^..^