ครั้งแรกกับการฉายเดี่ยว ขอเลือกเที่ยวเชียงคาน

นี่เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่ได้เดินทางเพียงลำพัง รู้สึกตื่นเต้นและไม่หวาดหวั่นอันใดเลย เพราะทุกอย่างเราเตรียมไว้เป็นอย่างดีค่ะ ไม่ว่าจะจองรถทัวร์ ที่พัก แพลนว่าจะไปไหนบ้าง เลยรู้สึกว่าไปกับตัวเองปลอดภัยและอุ่นใจ เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่น่าจะมีอะไรยากนักสำหรับการไปเชียงคาน ถือว่าง่ายสุดละ ก็เริ่มด้วยการไปขึ้นรถขนส่ง 999 ที่หมอชิตค่ะ รถออกเวลา 7.00 น. ซึ่งก็ออกเลทนิดหน่อย ที่เลือกเดินทางตอนกลางวันเป็นเพราะต้องการชมวิวข้างทางซึ่งก็งดงามตั้งแต่สระบุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ ขอนแก่น จนถึง จ.เลย ทุกทางที่ผ่านล้วนสวยงามคนละแบบ ไม่นั่งหลับเลยค่ะ นั่งมองวิวฟังเพลงไปด้วย สุดแสนจะมีความสุข มีอยู่ตอนนึงรถทัวร์วิ่งบนถนนที่มีอุโมงค์ต้นไม้ด้วย โห..บรรยายความงดงามไม่ถูกเลยทีเดียว แถมยังเลือกที่นั่งสบายมากๆ เป็นรถ ป.1 สองชั้นค่ะ เลือกนั่งชั้นบน เบอร์ A1 นั่งหน้าสุด เลยได้เหยียดขาสบาย ไม่เมื่อย จองทั้งขาไปขากลับ เลยได้ราคาลดค่ะคือเที่ยวละ 407 บาทเท่านั้นเอง จากราคาเต็มถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 480 เห็นจะได้ ถูกนะ ไม่ต้องนั่ง VIP หรอก ออ..ถ้าใครปรารถนาอยากเดินทางกลางวันเช่นนี้ มันมีแค่รอบเดียวคือ 7.00 น. นอกนั้นมีรอบกลางคืนหมดเลยค่ะ

รถสุดสายที่เชียงคานค่ะ แต่คนส่วนใหญ่ลงกันไปหมดแล้วเหลือเพียงผู้หญิงสองคนบนรถเท่านั้น คือเราและน้องผู้หญิงอีกคน ซึ่งต่างคนก็มาเชียงคานคนเดียวเหมือนกัน มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆค่ะ ไม่คิดว่าจะพบเพื่อนใหม่ต่างวัยกันตั้งแต่อยู่บนรถเลย 5555 และแล้วในที่สุดก็มาถึงเชียงคานจนได้ ในเวลาโพล้เพล้ใกล้มืดเต็มที

เราสองคนเดินตรงไปข้างหน้า ข้ามถนนไปไม่ไกลก็ถึงที่หมายแล้ว พอเข้าเขตถนนชายโขงก็มืดค่ำพอดี วันนี้เป็นวันพุธ คนน้อยมาก ร้านก็เปิดเป็นบางร้าน ซึ่งก็ได้บรรยากาศแบบสงบไปอีกฟีลนึง ก่อนอื่นเราต้องพุ่งเอาของไปเก็บที่ห้องพักที่จองไว้ นั่นคือเชียงคานริเวอร์วิวค่ะ

ได้ห้องติดริมฝั่งแม่น้ำโขงค่ะ มีแอร์ ทีวี ห้องน้ำในตัว ราคาห้องนี้อยู่ที่ 1,000 ถ้วน เป็นห้องเล็กๆ สำหรับคนเดียวก็พออยู่ได้สบายๆ เลย ตอนนี้หิวแล้ว ล้างหน้าตาแล้วลงไปเดินเล่นถนนคนเดินกัน

ของกินหน้าตาดีดีมากมาย เราสองคนเดินไปกินไปแบบสบายอารมณ์สุดๆ อย่างกล้วยปิ้งคลุกมะพร้าวนี่อร่อยมากค่ะ ใบละสิบบาทเอง นอกนั้นก็กินได้เรื่อยๆ

ระหว่างที่เดินกินกันไป เราก็มองดูบ้านเรือนไม้บนถนนชายโขงกันไป บ้านเรือนเป็นไม้เก่าๆ ส่วนใหญ่จะถูกดัดแปลงเป็นบ้านพักโฮมสเตย์กันหมด บ้างก็สร้างกันขึ้นมาใหม่เพื่อทำเป็นที่พักหรูหราบ้าง ปานกลางบ้าง แต่ก็ยังใช้ไม้ในการออกแบบอยู่ ก็เลยยังทำให้เชียงคานยังคงความเป็นเรือนไม้ที่ดูไม่โดนความทันสมัยเข้ามาทำร้ายมากจนเกินไปนัก แต่ก็มีหลุดออกมาบ้าง คือเป็นที่พักเป็นปูน เห็นแล้วก็ขัดใจนิดๆ ถ้าไม่คิดมากก็คิดซะว่าเป็นการอยู่ร่วมกันแบบร่วมสมัย ความเป็นไทยโบราณยังคงอยู่ควบคู่ไปกับธุรกิจในท้องถิ่น ยังไงคนเราก็ต้องทำมาหากิน มันคงไม่ผิดหรอกกับการที่ชาวบ้านได้ดัดแปลงบ้านตนเองเป็นที่พัก เป็นการหารายได้ให้กับตนเองและได้ผลดีเยี่ยมเลยทีเดียว

บรรยากาศโดยรอบช่างเงียบสงบ ผู้คนบางตา ถนนโล่งจนแทบจะสามารถลงไปนอนเกลือกกลิ้งเล่นๆ ให้สบายใจกันไปซะงั้น และแล้วเราก็เดินมาถึงร้าน "สองผัวเมีย" แวะดื่มน้ำชงกันค่ะ ร้านนี้ตกแต่งได้น่ารักน่านั่งมากๆ ถือโอกาสพักขาด้วยเลย

เราสั่งโกโก้เย็นค่ะ แก้วละ 60 บาท อร่อยเย็นชื่นใจ คุณเจฟเจ้าของร้านลงมือชงเองเลยค่ะ เห็นขรึมๆอย่างนี้ คุยเก่งนะคะ ร้านนี้มีโปสการ์ดขายด้วย สามารถเขียนการ์ดส่งถึงตัวคุณเอง แล้วฝากที่ร้านส่งได้ค่ะ ใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าๆ ก็น่าจะถึงกรุงเทพฯ นะ

หลังจากนั้นเราก็เดินกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงบ้านร้างหลังนึง หลังนี้ร้อยกว่าปีแล้วค่ะ เห็นเก่าขนาดนี้ยังมีเจ้าของอยู่นะคะ เพียงแต่เจ้าของบ้านย้ายไปทำงานเมืองนอกกันหมด นานๆ ถึงจะกลับมาดูบ้านที ถือว่าเป็นหลังเก่าแก่ที่สุดในชุมชนเลยก็ว่าได้ค่ะ ยิ่งเห็นเวลากลางคืนด้วยแล้ว ได้ความรู้สึกสะทกสะท้านกันเล็กน้อย 55555

ประมาณสามทุ่มกว่า ร้านก็เริ่มเก็บของ ปิดกันแล้วค่ะ ได้เวลากลับไปพักผ่อนที่ห้องกันเสียที วันนี้ก็หมดไปกับการเดินทาง พรุ่งนี้เช้าเราจะไปภูทอกกัน เราได้ติดต่อรถสกายแล็บไว้แล้วค่ะให้มารับพวกเราที่หน้าบ้านเลย ตีห้าครึ่งนะ

สกายแล็บมารับเราสองคนก่อนเวลาอีกค่ะ ไม่รอช้าพวกเรารีบมุ่งหน้าไปภูทอกทันที ไปครั้งนี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องสวยงามแค่ไหน รถวิ่งมาถึงภูทอกในระยะ 8 กม. เราลงจากรถตรงตีนภู แล้วต้องซื้อคุปองคนละ 25 บาทเพื่อนั่งรถปิคอัพของเจ้าหน้าที่ขึ้นไปบนภูอีกที เพราะที่นี่เขาไม่ให้ขับรถขึ้นไปเอง เพราะมันเป็นโค้งหักศอกและสูงชันมาก แต่ก็นะ ทางว่าเสียวด้วยชันด้วย คนขับก็ยังจะขับซิ่งให้เพิ่มความเสียวขึ้นไปอีก พี่นี่จับราวแน่นเลย 555555 เออ..ทำไมรู้สึกดีใจที่ถึงที่หมายซักที อะ นั่นไงพระอาทิตย์กำลังจะมาพอดี เห็นเพียงแสงเรืองๆ ก็สวยบาดใจแล้ว วันนี้ทะเลหมอกมากันเต็มๆ ถือว่าโชคดีมาก เอาล่ะ ขอกดรัวๆ เลยนะ ไม่ต้องกลัวแบตหมด เรามีสำรองเตรียมพร้อมไว้แล้ว

มาแว้ว ไข่แดงโผล่พ้นเหลี่ยมเขามาแล้ว มองทางนี้ก็สวย ทางโน้นก็งาม โหย..สวย 360 องศาเลย เป็นเวลาที่กดชัตเตอร์ได้อย่างเมามันและบ้าคลั่ง เช้านี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไร จะเริ่มทยอยมาก็สายๆ โน่น เมื่อแดดจ้าแล้วก็เหมือนหมดช่วงเวลาทไวไลท์ช่วงสั้นๆ ลง แต่โอเคค่ะ อิ่มใจละ กลับดีกว่า

รถของเจ้าหน้าที่จะขับวนขึ้นมาส่งนักท่องเที่ยว และก็รับคนที่ต้องการจะลงไป ตลอดเวลา และนี่คือโฉมหน้าปิคอัพที่คอยบริการพวกเรา เราขอตั้งฉายาให้เลยว่า fast & furious 8 คือขับได้เร็วเว่อทั้งที่เราอยากจะสโลว์ไลฟ์ก็ตาม อิอิ

มาถึงตีนภูด้วยสภาพหัวบาน อะ สกายแล็ปรอเราอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวเราจะไปที่อื่นกันต่อ ที่หมายต่อไปคือพระพุทธบาทภูควายเงินค่ะ

พระพุทธบาทภูควายเงิน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่เชียงคานมานานช้า ตามหลักฐานวัดนี้สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๐๐ ในอดีตวัดนี้เป็นวัดร้าง แต่จะมีพระธุดงมาปลักกลดบำเพ็ญเพียรเสมอ ในบริเวณวัดยังมีรอยพระพุทธบาทปรากฏอยู่ภายใต้ซุ้มอิฐใหญ่ ขนาดพอที่คนจะเข้าไปนั่งได้ 2 คนซึ่งในภาษาถิ่นจะเรียกสิ่งปลูกสร้างในลักษณะนี้ว่า“อุบมุง” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นชื่อหมู่บ้านทางทิศตะวันออกของวัดคือบ้านอุมุง ที่หมู่บ้านอุมุงแห่งนี้ มีชาวนาผู้หนึ่งที่มักพาควายขึ้นมาหาหญ้ากินบนภูเขาบริเวณวัด และเมื่อมีพระธุดงค์ผ่านมา ชาวนาผู้นี้ก็จะนำเอาอาหารมาถวายแก่พระธุดงค์เป็นประจำ ซึ่งอานิสงส์แห่งการถวายทานนี้เอง ทำให้ชาวนาทำนาขายข้าวได้เงินมากทุกปี จนร่ำรวยถึงขั้นเป็นเศรษฐีและด้วยความสำนึกในบุญคุณของควายที่ช่วยไถนาปลูกข้าวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ชาวนาจึงเรียกควายตัวนี้ว่า “ควายเงิน” วัดแห่งนี้จึงตั้งชื่อว่า “วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน” ตามเรื่องเล่านี้เอง

ที่วัดนี้เลี้ยงกระต่ายไว้หลายตัว เราสามารถเข้าไปเล่นหรือให้อาหารน้องต่ายได้ ซึ่งอยู่ภายในกรง เวลาเข้าไปจึงต้องคอยปิดเปิดประตูกรงให้มิดชิด กันไม่ให้ต่ายหลุดออกไปได้ น้องต่ายนี่เค้าก็มนุษย์สัมพันธ์ดีใช้ได้เลย ให้ความร่วมมือในการเป็นแบบได้ดี เป็นการถ่ายภาพกระต่ายครั้งแรกที่สะดวกสบายและสนุกสนานมากค่ะ

เดินออกจากรงกระต่าย เลยไปอีกหน่อย เราก็จะได้พบองค์พระขนาดใหญ่มีนามว่า พระเจ้าใหญ่ พุทธฉัพรรณรังสี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นสีขาวองค์ใหญ่ และตามพระวรกายยังประดับด้วยกระจกเงาชิ้นเล็กๆ ให้สาธุชนคนไทยได้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล

หลังจากได้ชื่นชมศิลปวัฒนธรรมของวัดนี้จนจุใจแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่แก่งคุดคู้ แต่อุแม่จ้าว ระหว่างทางเราได้พบเจอทุ่งทานตะวันที่กำลังบานเหลืองอร่ามในพื้นที่กว้างใหญ่ แต่ยังไม่เปิดบริการเพราะกำลังปรับแต่งพื้นที่ยังไม่เรียบร้อย คาดว่าที่นี่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของเมืองเชียงคานในอนาคตแน่นอน

ที่หมายต่อไปของเราคือที่นี่เลย แก่งคุดคู้ 

แก่งคุดคู้ เป็นแก่งหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขง ห่างจากตัวอำเภอเชียงคานประมาณ 3 กม. ประกอบด้วยหินก้อนใหญ่ๆ เป็นจำนวนมาก จากการที่หินเหล่านี้อยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน ทำให้หินเหล่านี้มีสีสันต่างๆ มากมาย ตัวแก่งกว้างใหญ่จนเกือบจรดสองฝั่งแม่น้ำโขง มีกระแสน้ำไหลผ่านไปตามช่องแคบๆ ใกล้ฝั่งไทย ซึ่งเป็นกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เวลาที่เหมาะสมในการชมแก่งคุดคู้มากที่สุดคือกุมภาพันธ์ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น้ำแห้ง สามารถมองเห็นเกาะแก่งได้อย่างชัดเจน แต่เรามาเดือนพฤศจิกายน เลยไม่เห็นแก่งหินอะไรเลยอะดิ เสียดายเนาะ และของฝากที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ มะพร้าวแก้ว ได้ยินชื่อนี้อย่าคิดว่าแข็งนะคะ มะพร้าวที่นี่เคี่ยวกับน้ำตาลจนได้ที่ ไม่หวานมากเกินไป มะพร้าวจึงมีความนิ่มนุ่ม น่ากินมากเลยทีเดียว ราคาอยู่ที่ห่อละ 100 บาท แต่ถ้ารับครึ่งโลก็ 120 บาทค่ะ ซื้อไปแล้วต้องรีบกินลงท้องภายในห้าวันนะ ก่อนที่มันจะเสียซะก่อน แต่ดูแววแล้วไม่พ้นวันเดียวก็หมดละ ห้า ห้า ห้า

สำหรับค่าบริการของรถสกายแล็ป คือไปภูทอกขาไปและขากลับเขาคิดหัวละ 100 บาท แต่เราสองคนว่าจ้างเขาไปวัดพระพุทธบาทภูควายเงินและแก่งคุดคู้ด้วย เขาก็คิดเพิ่มอีกนิดหน่อย ก็ตกอยู่ที่คนละ 200 บาท ซึ่งเจ้าของรถคันนี้อัธยาศัยดีค่ะ ถ้ามาเชียงคานขอแนะนำเลยนะคนนี้ ลีโอพุฒสกายแล็ป 093-3451566 โทรหาเขาได้เลย บริการดีมาก เอาล่ะ เห็นทีเราสองคนต้องกลับมาที่ถนนชายโขงละ แต่ขอแวะกินผัดไทยกุ้งสดที่ร้านเหลียวแลก่อน เห็นเขาลือกันว่า อร่อยมาก

ซึ่งก็อร่อยจริงๆน่ะแหละ จานนี้ 40 บาทค่ะ เมื่ออิ่มกันแล้วก็กลับไปที่พักกันดีกว่า

นี่คือระเบียงหน้าห้องพักเราเองค่ะ สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำโขงและฝั่งลาวด้านโน้นนน ได้อย่างชัดเจน ตอนนี้กลางวันยังร้อนๆอยู่ ขอพักเอาแรงและชาร์ตแบตมือถือ กล้อง อะชาร์ตคนด้วย ก่อนจะออกไปเดินเล่นข้างล่างต่อในยามเย็นนี้

พอแดดร่มลมตก เราก็ออกมาวาดลวดลายส่ายสะโพกโยกย้าย ถ่ายรูปท่ามกลางถนนที่เกือบจะไร้ผู้คน แต่ใครจะไปรู้คะว่าเราสองคนก็ยังจะได้เจอเพื่อนใหม่เพิ่มอีกหนึ่งคน เขาคนนี้ก็มาเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน งานนี้ก็ฮาสิคะคุณ เพราะคุยทักทายกันไม่กี่คำ เขาคนนี้ก็ชวนเราสองสาวไปภูทอกคืนนี้เลย เพื่อไปดูทางช้างเผือก เพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด โอกาสที่จะได้เห็นช้างจึงมีสูง ไอ้เราก็ไม่เคยเห็นช้างตัวเป็นๆ ก็โอเคสิคะ ไปกันไปกัน

หลังจากที่เราสิงร่างอยู่แถวถนนริมโขงได้สักพัก ก็เตรียมตัวเพื่อจะไปภูทอกกันอีกในคืนนี้ เราจะตามหาช้างกัน!!!

การขึ้นไปบนภูทอกในตอนกลางคืนนี้เราต้องติดต่อเป็นการส่วนตัวกับคนขับปิคอัพคนนึงค่ะที่เขาขับประจำตรงภูทอกนั่นแหละ ก็ตกลงราคากันพอเป็นสินน้ำใจเล็กน้อยในการที่จะให้เขาพาเราขึ้นไป เขาก็จะให้เราอยู่บนนั้นจนกว่าเราจะโทรให้เขาขึ้นมารับกลับ ในคืนนั้นเราก็อยู่แค่ทุ่มครึ่งหรือสองทุ่มนี่แหละ เพราะเราเห็นทางช้างเผือกกันแต่หัวค่ำ เขามาได้แป๊บเดียวก็จากไปค่ะ คุณเสือที่ชวนเรามาดูช้างก็สามารถเก็บภาพช้างไว้ได้ สวยงามจริงๆ ภาพนี้เลย

ส่วนภาพที่เราถ่ายได้ คุณเสือก็เป็นคนสอนค่ะ เป็นการถ่ายแบบชัตเตอร์บี ดาวที่ได้ก็เป็นเส้นยาวๆ ดังที่เห็นนี่แหละ

ภูมิใจสิบอกไห่เลยค่ะรูปนี้ เป็นอีกวันที่โชคดีอีกครั้งกับภูทอก ทะเลหมอกก็ได้เห็น ช้างก็ได้เห็น และที่สำคัญพรุ่งนี้เช้าตอนตีสี่ เราสามคนที่มาเที่ยวเชียงคานโดยมิได้นัดหมาย ก็จะมาดูดาว ทะเลหมอก และตะวันขึ้นที่ภูทอกนี่กันอีก ไงล่ะ ใครจะไปคิดว่ามาเชียงคานจะได้มาภูทอกถึงสามครั้ง สามครา โดยมิได้ตักบาตรข้าวเหนียวอันใดเลย เป็นการเดินทางที่เหนือความคาดหมายจริงๆ แต่ถามว่าโอเคมั้ย เหอๆๆๆๆ โอสิคะ ดูดาวที่บ้านมันไม่เจอล้านดวงเหมือนดูบนภูนะจะบอกให้

 

ณ ตอนนั้น ในขณะที่ฉันกำลังแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า เห็นดวงดาวเกลื่อนกลาดมากมาย

พลันได้ยินเสียงเพลง "ดาว" จาก โจ้ วงพอส 

ฉันได้แต่ยิ้มและฮัมเพลงตามเบาๆ ด้วยหัวใจที่เบิกบานยิ่งนัก

อรุณสวัสดิ์เช้าวันศุกร์ค่ะ เข้าสู่วันที่สามของทริปนี้ เรามาถึงตีสี่กว่าๆ นัดกับคนขับปิคอัพไว้ตรงเวลา งวดนี้ขอขับแบบสโลว์นะ ไม่อยากเสียวในยามวิกาล -_-! ขอเดินทางแบบชิวๆ ไม่รีบร้อน อะมาถึงภูทอกก่อนใครๆ แน่นอน ดาวยังคงส่องแสงอยู่เสมอ อืมมม.. ใกล้เช้าเต็มที่ละ เช้านี้ทะเลหมอกมาแบบบางๆ โชคดีที่เราได้เห็นไปแล้วเมื่อวาน คนที่มาวันนี้บอกได้เลยว่า สวยสู้เมื่อวานไม่ได้ แถมยังมีเมฆดำมาปกคลุมจนเกรงว่าเช้านี้จะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นมั้ย... แต่แล้วโชคดีก็ยังเป็นของเราค่ะ ก่อนที่ตะวันจะมา เมฆดำก็จางหายไปในบัดดล ทำให้กล้องคู่ใจได้ทำหน้าที่ของมันอย่างร่าเริง ส่วนคนถ่ายก็ระริกระรี้ กดชัตเตอร์แบบไม่ต้องขอร้องพ่อแม่หรือญาติพี่น้องคนใด ทุกความเคลื่อนไหวของดวงตะวัน มันถูกจดจำไว้ในเมโมรี่กล้องโอลิมปัสของเราแล้วเรียบร้อย (ยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง)

และนี่คือโฉมหน้าของเราทั้งสามคนที่ต่างก็หลงใหลธรรมชาติเหมือนๆกัน การท่องเที่ยวอาจทำได้แค่ไปพักตามที่ต่างๆ ถ่ายรูปกับสถานที่ยอดฮิต นั่งกินอาหารตามร้านที่โด่งดัง ได้ความสุขสุดยอดในระดับนึง แต่การเดินทางได้อะไรมากกว่านั้น ได้เผชิญปัญหาด้วยตัวเอง ได้พูดคุยกับคนแปลกหน้า ได้ระวังดูแลตัวเองโดยไม่หวั่นกลัว และได้มิตรภาพโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สุดท้ายได้รู้ว่าชีวิตนึงที่เกิดมานั้นต้องการอะไร..

ลงจากภูทอกเราก็ไปกินมื้อเช้ากันที่ ลุกโภชนา สั่งไข่กะทะมากินคนละจาน ก่อนที่คุณเสือจะร่ำลาไปลั้นลาต่อที่อื่น และหวังว่าคงจะได้มีโอกาสเจอกันที่ภูไหนซักแห่งเป็นแน่แท้

เอาล่ะตอนนี้ก็เหลือเพียงเราสองสาวที่ยังอยู่เชียงคานกันต่อ แต่คืนนี้น้องสาวเราก็จะกลับกรุงเทพฯแล้วล่ะ ส่วนเรานอนค้างอีกคืนแล้วกลับพรุ่งนี้เช้า มื้อกลางวันเราได้มีโอกาสมากินข้าวเปียกที่ร้านแม่งามอิ่มอร่อย อืมม..อร่อยจริงล่ะ เรากินร้านนี้สามครั้งเลย มื้อเย็นด้วยและมื้อเช้าก่อนกลับกรุงเทพฯ เพราะร้านนี้เปิดเช้าหกโมงเลย

ต่อจากนั้นเราก็ไปต่อของหวานกันที่ร้านกาแฟ With a View เป็นร้านขายเบเกอรี่และมีที่พักด้วย ราคาก็อยู่ที่ 1,500-2,000 กว่านิดๆค่ะ ราคาสูงแต่ก็วิวสวยดี เหมาะสำหรับคนที่ชอบความหรูขึ้นมานิดนึง บรรยากาศจะไม่ได้กลิ่นของเชียงคานเท่าไรนัก

ขนมเค้กที่นี่ราคาไม่แพงมากค่ะ อย่างเค้กมะพร้าวเนี่ยก็ 60 บาท เราก็สามารถนั่งกินไป ชมแม่น้ำโขงไป นั่งได้นานๆเลยละ

ดอกไม้แปลกหน้าก็สวยงาม ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

นั่งกันนานร่วมสองชั่วโมง รู้สึกเขินอาย เลยออกมาสำรวจบ้านเรือนกันต่อดีกว่า เรือนที่เราให้ความสนใจเป็นพิเศษนั่นคือ "เฮือนยายบับภา" ชอบที่นี่ก็ตรงผ้าม่านนิแหละ

ห้องพักที่เห็นนี่ ณเดช เคยมาถ่ายทำหนังสั้น "หลงรักเลย" เป็นหนังที่เขากำกับและแสดงเองคู่กับสายป่านค่ะ บรรยาดีทีเดียว เป็นห้องเล็กๆ ไม่ใหญ่โตอะไร แต่ราคาแอบแพงนะ ห้องนี้ก็ 2,200 อะ สำหรับเราแค่ขออนุญาติเข้าไปชมห้องก็พอใจแล้วล่ะ

ก่อนจะหมดไปอีกวันขอเก็บภาพความประทับใจไปเรื่อยๆ แล้วถ้ามีโอกาสเราก็อยากจะมาอีกนะ เราว่าเราเป็นคนชอบบ้านไม้ ยิ่งออกแนววินเทจนี่ขอบอกว่าชอบมากๆ เลย ดูอย่างบ้านในรูปซ้ายมือสุดด้านล่างเนี่ย คือชานเคียงเชียงคาน เราเกือบได้พักหลังนี้แล้ว แต่โทรไม่ติดแค่นั้นเอง เก่าจนโทรมเลยทีเดียว เป็นห้องน้ำรวมนะ

หลังจากเราไปส่งน้องสาวขึ้นรถ บขส999 กลับบ้านรอบทุ่มครึ่งแล้ว เราก็กลับมาเดินถนนชายโขงเพียงลำพัง เป็นคืนวันศุกร์ที่เริ่มมีผู้คนเยอะมากขึ้น เราได้ช้อปปิ้งและเดินเอ๋อๆอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะกลับขึ้นห้องไปนอน ก่อนจะต้องกลับกรุงเทพฯแล้วในเช้าวันรุ่งขึน ต้องขอขอบคุณครูติ๋ว เจ้าของบ้านพัก "เชียงคานริเวอร์วิ่ว" ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เราสนุกกับทริปนี้มาก เป็นการเดินทางที่ลงตัวทุกอย่าง ก่อนมาที่นี่ค่อนข้างศึกษารายละเอียดมาพอสมควรค่ะ ก็เลยไม่คอยเจอปัญหาหรือแทบไม่มีเลย ไม่ว่าจะเรื่องรถทัวร์ ที่พัก หรือรถสกายแล็ปที่พาไปภูทอกนั้นราคาเท่าไร ส่วนเรื่องไหนที่เราไม่รู้ก็ถามคนเชียงคานได้ ทุกคนก็เหมือนญาติพี่น้องเราทั้งนั้นแหละค่ะ อยู่ที่นี่เราอาจจะตื่นเต้นกับความใจดีของผู้คนเป็นพิเศษ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยได้เจอในสังคมกรุงเทพฯเท่าไหร่เลย

ขอสรุปค่าเสียหายในทริปนี้ให้รับรู้กันดังนี้ค่ะ

1_ค่ารถ บขส999 กรุงเทพฯ-เชียงคาน 407 บาท รวมไปกลับ 814 บาท (ได้ลดราคาเพราะจองไปกลับภายใน 7 วัน)

2_ที่พัก “เชียงคานริเวอร์วิว” ห้องติดริมโขง ห้องน้ำในตัว คืนละ 1000 นอนสองคืนเป็นเงิน 2000 คืนที่สามย้ายไปนอนห้อง 600 บาท ห้องน้ำรวม รวมที่พักสามคืนเป็นเงิน 2,600 บาท

3_ค่ากิน กล้วยปิ้ง 10 บาท / กุ้งเสียบย่างสามไม้ 50 หารสองคนละ 25 บาท / ปาท่องโก๋ยัดไส้หมูสับ 50 บาท / ช็อคโกแลตเย็นร้านสองผัวเมีย 60 บาท / มื้อใหญ่มีข้าวและกับสี่อย่าง น้ำอัดลม ทั้งหมด 700 หารสามคนละ 233 บาท / มะพร้าวแก้วครึ่งโลหนึ่งถุง 120 กับที่แพ็คใส่ถุงอยู่แล้วสองถุงๆละ 100 รวมสามถุงเป็นเงิน 320 บาท / ผัดไทกุ้งสด 40 บาท / ข้าวเหนียวหมูทอด 20 / หมูปิ้งไม้นึง 10 บาท / ปีกไก่ทอดชิ้นนึง 10 บาท / ไข่กระทะ 50 บาท / ข้าวเปียกมื้อแรกใส่ไข่ 40 มื้อสองกับสามไม่ใส่ไข่ 30 รวมสามมื้อเป็นเงิน 100 บาท / เค้กมะพร้าวกับช็อคโกแลตเย็น 120 บาท รวมค่ากินทั้งสิ้นเป็นเงิน 1,048 บาท

4_ช้อปปิ้ง เสื้อยืดสามตัว 160 /100/150 เป้ใบเล็ก 250 รวมค่าช็อปเป็นเงิน 660 บาท

5_ค่ารถสกายแล็บเหมาเที่ยวคนละ 200 และค่าปิคอัพขึ้นภูทอกครั้งแรกคนละ 25 ครั้งที่สอง 300 หารสามก็คนละ 100 รวมค่ารถท้องถิ่นเป็นเงิน 325 บาท

สรุปค่าใช้จ่ายไปเชียงคานทั้งหมดสามคืน เบ็ดเสร็จอยู่ที่ 5,447 บาทถ้วนจ้า (ของเราคนเดียวนะ)

 

หน้าเพจ Facebook : ลากแตะไปแชะฝัน