ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
เขาค้อ-ทับเบิก สี่ล้อท่องไปในเมืองทะเลหมอก ภูทับเบิก (Phu Tub Berk) จ.เพชรบูรณ์
    • โพสต์-1
    นายสองสามก้าว •  กรกฎาคม 02 , 2558

    เขาค้อ-ทับเบิก สี่ล้อท่องไปในเมืองทะเลหมอก

    ลมฝนพัดพาเป็นสัญญาณของความชุ่มฉ่ำ ไม่น่าประหลาดใจนะครับที่ช่วงนี้เสียงถามไถ่ถึงวิธีการเดินทาง เส้นทางขับรถ รวมทั้งจัดโปรแกรมเที่ยว เขาค้อ-ภูทับเบิก จะมีบ่อยสักหน่อย ส่วนตัวผมมีโอกาสไปเยือน เขาค้อ-ภูทับเบิก ช่วงกลางฤดูฝนเดือนสิงหาคมปีก่อน เลยขอเล่าประสบการณ์ย้อนหลังสักนิด เผื่อใครวางแผนไปเที่ยวในฤดูฝนนี้จะได้เก็บข้อมูลกัน

    ทริปนี้ขับรถยนต์ครับเพื่อความสะดวกในการเดินทาง สี่วันสามคืน นอนเพชรบูรณ์ เขาค้อ ภูทับเบิก อย่างละคืน ซึ่งอันดับแรกก่อนขึ้นเขาค้อต้องมาว่าถึงการเดินทางกันก่อน ถนนเส้นหลักของเขาค้อคือทางหลวงหมายเลข 2196 ทางเข้าตัวอำเภอเมื่อดูจากแผนที่มีสามทางครับ คือทางหลวงหมายเลข 2258 จากตัวเมืองเพชรบูรณ์ หมายเลข 12 จากฝั่งพิษณุโลกหรืออำเภอหล่มสัก และยังมีทางตรงกลาง 2302 จากน้ำตกธารทิพย์ ซึ่งบอกก่อนเลยว่าจะสะดวกทางบนหรือล่างก็ได้ยกเว้นทางตรงกลาง ไม่เช่นนั้นจะเจอถนนนรก แคบและชำรุดตลอดเส้นทาง ไม่จำเป็นต้องลองเพราะผมลองมาให้เรียบร้อย ไม่คิดหวนกลับไปใช้งานเป็นรอบสอง!ที่เที่ยวยอดฮิตของเขาค้อส่วนมากอยู่ใกล้ตัวอำเภอ ทั้งยอดเขาค้อ พระตำหนักเขาค้อ น้ำตกศรีดิษฐ์ สวนสัตว์เขาค้อ พระบรมธาตุเจดีย์ ฯลฯ แม้กระทั่งทางไปอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงก็อยู่แถวนั้น (ที่ทำการอุทยานฯ อยู่พิษณุโลก แต่ตัวทุ่งแสลงหลวงของแท้อยู่ที่นี่) ส่วนทางหลวงหมายเลข 12 หรือที่ผมมักเรียกว่าเส้นบน อาจไม่ใช่จุดหลักแต่พลาดไม่ได้เช่นกันเพราะมีวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วกับบรรดาร้านกาแฟกิ๋บเก๋

    เห็นแผนที่ชัดๆ แบบนี้ ใครจะขับรถไปคงเตรียมตัวไม่ยากนะครับ

    ทริปนี้เดินทางสองคน ผมกับคุณนายแม่ (ทูนหัว) เริ่มต้นจากกรุงเทพ ฝั่งธนบุรี ใช้ถนนกาญจนาภิเษก เชื่อมต่อถนนพหลโยธินตรงแยกต่างระดับบางปะอิน จนถึงจังหวัดสระบุรี พอพบสามแยกพุแคก็เลี้ยวขวาสู่ทางหลวงหมายเลข 21 ทีนี้ไม่ต้องมองอะไรแล้วตรงตามถนนยิงยาวถึงเพชรบูรณ์ ระยะทางแผนที่ของอากู๋กูเกิ้ลขึ้นให้ 357 กิโลเมตร ใช้เวลา 4.41 ชั่วโมง แต่ปกติผมขับโน่นครับ 6 ชั่วโมง ที่เที่ยวรายทางเพียบ หากแวะทั้งหมดคงไม่ถึงที่หมายกระมัง

    ถึงตัวเมืองเพชรบูรณ์บ่ายแก่ๆ วิ่งลิ่วไปเที่ยวน้ำตกธารทิพย์สักหน่อย แต่ก่อนเป็นวนอุทยานฯ กระทั่งมีการตั้งอุทยานแห่งชาติเขาค้อเมื่อปี พ.ศ. 2555 ตอนแรกใช้ที่นี่เป็นที่ทำการอุทยานฯ ภายหลังที่ทำการฯ ย้ายเข้าไปตัวอำเภอเขาค้อ น้ำตกธารทิพย์เลยกลายเป็นหน่วยพิทักษ์ ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 บาท กับรถอีก 30 บาท ก็ควักจ่ายไป 70 บาท จากด่านเก็บเงินขับรถเข้าไปสัก 400 เมตร ถึงลานจอดรถ แล้วเดินเท้าทางราบเข้าไปประมาณ 300 เมตร จึงถึงตัวน้ำตกครับ

    ด้วยว่ามาหน้าฝน ผมเลยหวังจะเห็นสายน้ำซู่ซ่าฉ่ำใจ แต่ปรากฏต้องผิดหวังเพราะดันน้ำน้อยกว่ามาเที่ยวช่วงเดือนตุลาคมปีก่อนเสียอีก เจ้าหน้าที่เขาบอกว่าฝนตกทุกวัน แต่ตกบนเขาค้อ ซึ่งสายน้ำไม่ได้ไหลมาที่นี่

    น้ำมีน้อยแถมดันสีแดงขุ่นเลยได้แต่ถ่ายรูปแบบน้อยๆ ตามอรรถภาพ อยู่จนถึงประมาณห้าโมงเย็นแล้วค่อยออก ที่นี่เขาปิดให้เข้าจนถึง 16.30 น. พอเข้ามาแล้วสามารถเที่ยวเลยเวลาได้สักพักตามสมควร

    ระหว่างย้อนกลับเข้าตัวเมือง แวะอุทยานเพชรบุระไหว้พระ ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 21 ยังไงก็เจอ ที่นี่จำลององค์พระพุทธมหาธรรมราชา ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ใช้ในพิธีอุ้มพระดำน้ำของชาวเพชรบูรณ์ แต่องค์จำลองนี้มีขนาดองค์ใหญ่โตมาก ส่วนองค์จริงองค์เล็กอยู่ที่วัดไตรภูมิในตัวเมือง

    จากนั้นกลับมาหาโรงแรมที่เพชรบูรณ์ ในตัวเมืองเพชรบูรณ์มีโรงแรมเรตราคา 400-600 บาท ให้บริการเยอะมาก คงเพราะเป็นทางผ่านในการเดินทางขึ้นทั้งภาคเหนือ อีสาน หรือลงมากรุงเทพ งานนี้ได้ที่นอนโอเค แต่ดันจำชื่อโรงแรมไม่ได้แล้ว ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ

    วันต่อมาได้เวลาขึ้นเขาค้อ ใช้เส้นถนัดคือทางหลวงหมายเลข 2258 ถนนคดเคี้ยวและชันบางช่วง รถเกียร์ออโต้จะให้ดีปรับเป็นเกียร์แมนวลเพิ่มแรงส่ง อ้อ... ขอแนะนำนิดหน่อย เวลาเที่ยวเขาค้อควรเติมน้ำมันให้เต็มถังจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ เพราะข้างบนมีปั๊มขนาดเล็กแค่แห่งเดียวตรงทางแยกเข้าเขาค้อ ชื่อว่าแยกรื่นฤดี

    มาถึงแล้วแวะซัดกาแฟที่เขาค้อกาแฟสด ตรงแยกรื่นฤดีกันก่อน เข้มสะใจดีครับ แถมมีน้ำชาให้กินฟรีด้วย

    ต่อมาขึ้นพระตำหนักเขาค้อ พาคุณนายแม่ไปชมวิวสวยๆ ทางขึ้นพระตำหนักชันพอสมควร เหมือนเดิมครับคือรถเกียร์ออโต้ขึ้นไหวแต่ปรับเป็นแมนวลช่วยได้เยอะ พระตำหนักเขาค้อนั้นไม่เหมือนกับพระตำหนักราชวังทั่วไปนะครับ เพราะเป็นอาคารซึ่งข้าราชการประชาชนสร้างถวายองค์ในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์สำหรับเป็นที่ทรงงาน แปรพระราชฐาน และประทับแรมเมื่อสักสามทศวรรษมาแล้ว มิใช่เป็นพระตำหนักดั้งเดิมในรูปแบบของเวียงวังแบบนั้น เหตุผลหลักของคนที่ขึ้นมาพระตำหนักคือเพื่อชมวิว เห็นทิวเขาและอำเภอเขาค้อกว้างไกล ตรงนี้เปิดเป็นบ้านพักด้วย อยู่ในความดูแลของทหาร ราคาประหยัด ปลอดภัย หรือจะกางเต็นท์นอนก็ได้ หน้าหนาวช่วงเช้าตรู่หมอกห่มคลุม แล้วยังมีทางเดินพิชิตยอดเขาชื่อว่ายอดเขาย่า ทางประมาณ 800 เมตร และค่อนข้างชันมาก ปีก่อนผมขึ้นไปสุดมาแล้ว คราวนี้เลยขอบาย เอาภาพเก่ามาให้ชมแล้วกันครับ หากใครขึ้นมาจะเห็นพระตำหนักเขาค้อจากมุมสูงลิบๆ ขอเตือนว่าพกน้ำพกของกินเติมกำลังด้วยล่ะ ลงจากพระตำหนักแล้วก็หาที่พัก ผมมีประจำอยู่ที่หอสมุดนานาชาติ (ปัจจุบันหอสมุดปิดทำการไปแล้ว แต่ยังเที่ยวสวนดอกไม้เล็กๆ ในพื้นที่กันได้) เป็นห้องพักแบบบ้านๆ หลังกะทัดรัด ค่อนข้างเก่า โทรมตามสมควร แต่ราคาไม่แพง ใช้ซุกหัวนอนโอเค มีพัดลม ทีวีเครื่องเล็กๆ เครื่องทำน้ำอุ่น วิวสวยดี คราวก่อนมาคนเดียวคิดคืนละ 400 บาท มาปีนี้สองคนคิด 500 บาท บอกก่อนว่าเหมาะสำหรับคนหาที่พักราคาถูกเท่านั้นครับ พอจัดการหาที่พักเสร็จก็ได้เวลากิน ขับรถไปถึง บิ๊ก คอฟฟี่ ดูท่าวิวคงงามเลยจอดแวะ กินอาหารตามสั่งจานเดียวธรรมดาครับ 50-60 บาท ที่เหลือถ่ายรูปเล่นโลด มีหอคอยให้เดินขึ้นไปชมวิวสูงขึ้นอีก กิ๊บเก๋ไม่หยอก ต่อมาขึ้นยอดเขาค้อครับ จุดแรกต้องแวะคือฐานอิทธิ หรือ พิพิธภัณฑ์อาวุธ ค่าเข้า 10 บาท เข้าไปถ่ายรูปกับเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ ปืนกล เครื่องยิงจรวดเก่าๆ ซึ่งปลดระวางหมดแล้ว ที่นี่เป็นอีกแห่งที่สามารถมากางเต็นท์นอน หน้าหนาวคนเต็มเชียวแหละ ฝั่งตรงข้ามทางเข้าฐานอิทธิ หรือบริเวณไม่ไกลจากที่จอดรถ มีจุดชมวิวอีกมุมด้วย มาถ่ายรูปกันตามสบาย พอเลยจากฐานอิทธิขึ้นไปก็ถึงยอดเขาค้อแล้วครับ เป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ เพื่อรำลึกถึงเจ้าหน้าที่ ทหารและประชาชน ผู้เสียชีวิตจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เมื่อหลายสิบปีก่อน วิวสวยมาก มีการจัดสร้างบังเกอร์และที่หลบภัยจำลองตอนทหารสมัยก่อนสู้รบกับผู้ร้าย ลงจากอนุสรณ์สถานมีเวลาเหลือเฟือ เลยตั้งใจพาคุณนายแม่ไปน้ำตกศรีดิษฐ์ ระหว่างทางผ่านพระบรมธาตุเจดีย์ก็แวะกราบพระ ถึงสามแยกวัดเขาค้อพัฒนาแล้วเลี้ยวซ้ายมาตามทางหลวงหมายเลข 2358 ผ่านอ่างเก็บน้ำรัตนัยก็แวะเข้าไปซะ (ทะเลหมอกเขาค้อเกิดเหนืออ่างเก็บน้ำตรงนี้แหละ) มีบ้านพักของกรมชลประทาน และยังมากางเต็นท์นอนกันได้ ราคาหน่วยงานราชการครับ

    ต่อมาผ่านทางเข้าสวนสัตว์เขาค้อ ในความดูแลของสถานีวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาค้อ แต่ด้วยว่าใกล้เย็นแล้วเข้าไปก็เดินเที่ยวได้แป๊บเดียวเพราะเขาปิดเวลาราชการ 16.30 น. เลยไปน้ำตกดีกว่า ถ้าใครมีเวลาไปเที่ยวได้ครับ ไม่เสียค่าเข้าชม ผมเคยเที่ยวมาแล้ว แต่ถึงจะชื่อว่าสวนสัตว์เปิด จริงๆ คือสัตว์ในกรง โดดเด่นตรงไก่ฟ้า กวางป่า วัวแดง นกเงือก และมีจามรีให้ชมด้วย น่าเศร้าคือทางเนปาลให้มาสี่ตัวเมื่อนานมาแล้ว ปรับสภาพไม่ได้เลยตายหมดเหลือตัวเดียว

    มาถึงแล้วน้ำตกศรีดิษฐ์ เป็นน้ำตกชั้นเดียว สวยพอดู ปกติเล่นน้ำได้สบายใจ บังเอิญผมมาหน้าฝนจึงมีสภาพอย่างที่เห็นคือน้ำทะลักแดงขุ่น แต่ถือเสียว่ามาชมวิวไม่ซีเรียส ค่าเข้าไม่เสียอยู่แล้ว เดินก็แค่นิดเดียว ด้านหน้าทางเข้ามีอาหารขายเพียบ มาปิกนิกตามสบาย ไม่มีเวลาเปิด-ปิด กำหนดตายตัว

    ออกจากน้ำตกตอนเย็นแล้วแวะถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยรายทาง ตามรีสอร์ทร้านกาแฟ แล้วมารอชมแสงเย็นตรงที่ทำการไปรษณีย์เขาค้อ จุดนี้ตอนเช้าเป็นจุดชมทะเลหมอกที่ดีอีกจุดหนึ่ง มีลานกางเต็นท์และห้องน้ำอำนวยความสะดวก สักวันในอนาคตอาจหนีมากางเต็นท์นอนที่นี่สักคืนสองคืน วันต่อมา ตื่นแต่เช้าวาดหวังจะเพลิดเพลินกับทะเลหมอกที่จุดชมวิว แต่ปรากฏว่าลมแรงเลยไม่มีให้เห็น แต่ถึงไม่มีทะเลหมอกก็ยังถ่ายรูปวิวสวยยามเช้าได้ ผมรู้อยู่แล้วครับว่าทะเลหมอกเขาค้อนั้นขี้อาย ไม่ใช่ทุกวันทุกครั้งจะได้เห็น สรุปแล้วผมมานอนเขาค้อทั้งหมดหกคืนเคยได้เห็นทะเลหมอกครั้งเดียวเอง พอถ่ายรูปเล่นเสร็จสรรพจึงกลับไปเก็บข้าวของ แล้วค่อยเคลื่อนตัว วันนี้ครึ่งวันแรกผมตั้งเป้าให้เป็นวันถ่ายรูปคุณนายแม่ จุดหมายคือร้านกาแฟน่ารัก ริมทางหลวงหมายเลข 12 จากตัวอำเภอเขาค้อตรงมุ่งขึ้นเหนือ ถึงสามแยกแคมป์สนแล้วเลี้ยวซ้าย ไปเรื่อยๆ มีร้านกาแฟเพียบ เด่นและดังคือ Route 12 ค้ออินเลิฟ กับ Story Cup ผมแวะร้านแรกกับร้านที่สาม ร้านแรกกินข้าว ร้านที่สองกินกาแฟ แค่นี้ก็ถ่ายรูปสนุกสนานไม่ต้องมารู้สึกเกรงใจทางร้านแล้วล่ะ หลังเที่ยงถึงเวลาไปวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ระหว่างทางฝนตกกระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตา ฟ้าใสๆ ตอนเช้าหายไปไหนหมดก็ไม่รู้! ขนาดจอดรถแล้วยังต้องแกร่วรออีกครึ่งชั่วโมงกว่าฝนจะซาพอให้เดินได้บ้าง ผมมาเป็นครั้งที่สามแล้วครับ ฟ้าไม่สวยเลยไม่เสียดายเท่าไหร่ เพราะถึงยังไงวัดนี้ก็ยังสวยอลังการงานสร้างอยู่ดี (ปัจจุบันวิหารพระพุทธเจ้าห้าพระองค์สร้างเสร็จไม่มีนั่งร้านมาเกะกะสายตาเหมือนในภาพแล้วนะครับ)

    มองนาฬิกาออกจากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วตอนบ่ายสาม แนะนำมาว่าให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 2372 โดยไม่ต้องอ้อมไปทางอำเภอหล่มสัก ถือเป็นทางหลักในการขึ้นทับเบิก มีทริคเล็กน้อยคือเวลาขับรถมาตามทางหลวงหมายเลข 12 พอรู้สึกว่าลงเขาเมื่อไหร่แล้วเจอแยกไฟแดงแรกนั่นแหละให้เลี้ยวซ้ายทันที จากนั้นไม่ต้องกังวลเพราะมีป้ายบอกตลอดทาง และปรากฏว่าหลังพ้นจากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วไม่นาน ฝนก็เหือดหาย หนำซ้ำตลอดทางขึ้นทับเบิกเห็นได้ชัดว่าฝนไม่ได้ตกที่นี่เลย

    การขับรถขึ้นภูทับเบิก รถเก๋งธรรมดาขึ้นได้ครับแต่ควรปรับเป็นแมนวลช่วย ระยะทางขึ้นเขาทั้งหมดประมาณ 8 กิโลเมตร คดเคี้ยวเป็นงูเลื้อย คนนั่งเสี่ยงต่อการเมารถอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่คนนั่งเลยเพราะผมขับเองยังรู้สึกมึนด้วยซ้ำ!

    ขึ้นมาเรื่อยจนถึงด่านทับเบิก หรือด่านเก็บค่าบริการของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ต้องจอดทันที วิวสวยมาก

    หากเราเสียตังค์ผ่านด่านจะเข้าสู่เขต อช.ภูหินร่องกล้า ด้านในมีภูแผงม้าซึ่งเป็นจุดสูงสุดของภูทับเบิกด้วย แต่กับชุมชนภูทับเบิกไม่ต้องเสียค่าอะไรทั้งนั้น เลี้ยวขวาอีกสัก 2 กิโลเมตรก็ถึงแล้ว อันดับแรกต้องหาที่พัก ให้คุณนายแม่สอดสองสองข้างทางแล้วเลือกเอา ถูกใจที่พักชื่อภูกระต๊อบเงิน ราคาวอล์คอินคืนนั้น 800 บาท ไม่มีอาหารเช้า แต่มีมอเตอร์ไซค์ให้ยืมฟรี ห้องหับหลับนอนธรรมดาเรียบง่าย วิวจากระเบียงสวยดี

    วันนี้เห็นชัดว่าภูเขาทับเบิกเป็นสีน้ำตาลเสียส่วนใหญ่ ไร่กะหล่ำปลีสีเขียวสุดลูกหูลูกตาไม่เห็นจะมี เขียวแค่เป็นหย่อมๆ สอบถามที่พักเลยได้คำตอบว่าเขาเพิ่งเก็บกะหล่ำรอบแรกขายจนหมดไม่กี่วันก่อน ตอนนี้กำลังเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกรอบสอง... ซะงั้นนะ

    พอฟ้ามืดขับรถมากินข้าวกันที่ร้านโรงเตี๊ยม ว่ากันว่าดังและดีที่สุดในทับเบิก สำหรับผมถือว่าบรรยากาศโอเคครับ รสชาติไม่ขอวิจารณ์ (ฮา...) ราคารับไหว ขึ้นมาถึงนี่ต้องแพงกว่าด้านล่างนิดหน่อยเป็นธรรมดา

    ตัดมาเช้าวันรุ่งขึ้น ตีห้าครึ่งผมกระเด้งออกจากเตียงตามเสียงนาฬิกาปลุก เปิดประตูบ้านแล้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อก สิ่งที่ภาวนาไว้ก่อนนอนเป็นจริง... ทะเลหมอกทับเบิก!

    เอาละวา จะไปดูทะเลหมอกที่ไหนดี ตรงวิสาหกิจชุมชนเขาว่าสวยดี ที่ภูแผงม้าก็สูงที่สุด แต่ผมติดใจตรงด่านทับเบิกเมื่อวานเพราะเห็นถนนคดเคี้ยวเต็มตา และน่าจะอยู่ใกล้ทะเลหมอกที่สุด เลยสตาร์ตรถย้อนกลับไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ไปถึงกำลังเหมาะ สวยขนาด ปลาบปลื้มน้ำตาจะไหล ขนาดพระอาทิตย์หลบหลังเมฆยังงามถึงเพียงนี้ ถ้าวันที่ได้แสงเช้าแจ่มๆ มาด้วยคงเหมือนสวรรค์

    กลับมามองเห็นทะเลหมอกจากที่พักด้วยครับ และยังได้มุมทะเลหมอกจากไร่กะหล่ำบางแห่งซึ่งกำลังโตได้ที่นิดหน่อย แค่นี้ก็ฟินสุดยอดแล้ว ชักสายแดดแรง ยืมมอเตอร์ไซค์ที่พักไปแว้นเสียหน่อย ซิ่งชมวิวถึงวัดป่าภูทับเบิก จากนั้นถ่ายรูปเล่นตามจุดต่างๆ รวมทั้งไร่กะหล่ำบางแห่ง พยายามหามุมกันไปครับ สำหรับผมบรรยากาศเท่านี้นับว่าคุ้มกับที่ขึ้นมาแล้ว ก่อนเที่ยงเล็กน้อยจึงค่อยแพ็กกระเป๋ากลับบ้าน ปิดท้ายจบทริป เพชรบูรณ์ เขาค้อ ทับเบิก ลงแบบสนุกสนานครับ สำหรับคนที่วางแผนเที่ยวสัมผัสทะเลหมอกหน้าฝนที่นี่ ก็ขอให้โชคดีเบิกบานถ้วนหน้าครับผม...

    ----------------------------------------------------------------------------------

    อยากคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องท่องเที่ยว สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) หรือชวนเที่ยว ยินดียิ่งนะครับ

    www.facebook.com/alifeatraveller

    หรือ

    alifeatraveller.wordpress.com

    ----------------------------------------------------------------------------------

    • โพสต์-2
    MikxKongpop •  กันยายน 28 , 2559

    "1 วัน ที่ ลพบุรี....เมืองดีที่ทุกคนต้องไป" กับงบประมาณ 200 บาท

    สวัสดีครับผม นี่เป็นกระทู้รีวิวท่องเที่ยวแรกของผม ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ เคยคิดมั้ย!!!! ว่าวันหยุดภายในหนึ่งวัน จะไปไหนดี นอกจากกินๆนอนๆ อยู่ที่ห้อง หลังจากเลิกงานในวันเสาร์ เครียดมาทั้งสัปดาห์ละเอาว่ะอาทิตย์นี้ต้องออกไปเที่ยวให้ได้ คราวนี้ก็เริ่มคิดแล้วสิครับว่าจะไปไหนดี ให้คุ้มค่าในหนึ่งวัน คิดไปคิดมา เอาว่ะ "ลพบุรี" นี่แหละใกล้ดี เดินทางก็สะดวก ระหว่างนั้นก็เตรียมหาข้อมูลว่าสถานที่ที่จะไปอยู่โซนไหนบ้าง จุดไหนเด่นๆบ้าง พอเตรียมข้อมูลเสร็จแล้ว ก็พร้อมสำหรับการเดินทางในวันอาทิตย์นี้ (คิดมั้ยว่าที่อ่านตามรีวิวมา ผมจะเดินตามเขามั้ย ตอบเลยว่าไม่ ใช้ลูกมั่ว ลูกเดินไปทั่ว สไตล์เที่ยวแบบมิกซ์มิกซ์ 55) เช้าวันอาทิตย์ 24 ก.ค. 2559 ก็เดินทางไปยังสถานีรถไฟท่าเรือ เตรียมตัวซื้อตั๋วรถไฟ เพื่อมุ่งไปหาเพื่อนรักของเรา นั่นก็คือ ลิงจั๊กๆรักจริงๆ แหะ (ถามว่าทันรถไฟฟรีมั้ยตอบเลยว่าไม่ 555 ตั้วรถแบบเสียตังค์ก็ได้ว้าา ลงทุนหน่อย พอเวลา 09:13 น รถไฟก็มาแว้ววว พอถึงเวลา 09:42 น รถไฟก็จอดที่สถานีรถไฟลพบุรี อย่างรวดเร็วทันใจอ้ายมาก เมื่อถึงเป้าหมายแล้ว จะรอช้าใดเล่า ก็หาที่ถ่ายรูปสิครับรอไร มาเริ่มกันที่สถานที่แรกกันเลยดีกว่าวกว่าวกว่าวกว่ากว่ากว่ากว่า พอๆเยอะไปละ 555 สถานที่ที่ 1 : สถานีรถไฟลพบุรี (ประเดิมถ่ายรูปสักหน่อย เดี๋ยวหาว่าลอก)สวัสดีครับผม นี่เป็นกระทู้รีวิวท่องเที่ยวแรกของผม ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ เคยคิดมั้ย!!!! ว่าวันหยุดภายในหนึ่งวัน จะไปไหนดี นอกจากกินๆนอนๆ อยู่ที่ห้อง หลังจากเลิกงานในวันเสาร์ เครียดมาทั้งสัปดาห์ละเอาว่ะอาทิตย์นี้ต้องออกไปเที่ยวให้ได้ คราวนี้ก็เริ่มคิดแล้วสิครับว่าจะไปไหนดี ให้คุ้มค่าในหนึ่งวัน คิดไปคิดมา เอาว่ะ "ลพบุรี" นี่แหละใกล้ดี เดินทางก็สะดวก ระหว่างนั้นก็เตรียมหาข้อมูลว่าสถานที่ที่จะไปอยู่โซนไหนบ้าง จุดไหนเด่นๆบ้าง พอเตรียมข้อมูลเสร็จแล้ว ก็พร้อมสำหรับการเดินทางในวันอาทิตย์นี้ (คิดมั้ยว่าที่อ่านตามรีวิวมา ผมจะเดินตามเขามั้ย ตอบเลยว่าไม่ ใช้ลูกมั่ว ลูกเดินไปทั่ว สไตล์เที่ยวแบบมิกซ์มิกซ์ 55) เช้าวันอาทิตย์ 24 ก.ค. 2559 ก็เดินทางไปยังสถานีรถไฟท่าเรือ เตรียมตัวซื้อตั๋วรถไฟ เพื่อมุ่งไปหาเพื่อนรักของเรา นั่นก็คือ ลิงจั๊กๆรักจริงๆ แหะ (ถามว่าทันรถไฟฟรีมั้ยตอบเลยว่าไม่ 555 ตั้วรถแบบเสียตังค์ก็ได้ว้าา ลงทุนหน่อย พอเวลา 09:13 น รถไฟก็มาแว้ววว พอถึงเวลา 09:42 น รถไฟก็จอดที่สถานีรถไฟลพบุรี อย่างรวดเร็วทันใจอ้ายมาก เมื่อถึงเป้าหมายแล้ว จะรอช้าใดเล่า ก็หาที่ถ่ายรูปสิครับรอไร มาเริ่มกันที่สถานที่แรกกันเลยดีกว่าวกว่าวกว่าวกว่ากว่ากว่ากว่า พอๆเยอะไปละ 555 สถานที่ที่ 1 : สถานีรถไฟลพบุรี (ประเดิมถ่ายรูปสักหน่อย เดี๋ยวหาว่าลอก)