เริ่มเข้าสู่หน้าร้อนแบบจริงจังแล้ว  ช่วงนี้ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะไปไหนดี ส่วนใหญ่หน้าร้อนคนมักจะชอบไปทะเล  แต่ถ้าร้อนขนาดนี้สำหรับผมคงขอผ่าน  ที่จริงผมเองคิดไว้แล้วว่าอยากไปนอนแพหรือไปเขื่อน แต่ว่าในพื้นที่ละแวกใกล้เคียงผมก็ไปมาเกือบหมดแล้ว (เขื่อนเขาแหลม, ศรีนครินทร์ ฯลฯ ) มีอยู่ที่หนึ่งซึ่งหาโอกาสจะไปอยู่ แต่ติดตรงที่ว่ามันไกลไปหน่อย คือ อุทยานแห่งชาติเขาสก/เขื่อนเชี่ยวหลาน แฟนผมแนะนำว่าลองไปกันดู หลังจากตัดสินใจได้ก็เริ่มหาข้อมูล

     เนื่องด้วยทริปนี้ หากไปกันสองคนมันต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะพอสมควร ทั้งค่าเรือ และค่าที่พัก เลยต้องหาสมาชิกเพิ่มเพื่อร่วมกันแชร์ค่าใช้จ่าย ตอนแรกตั้งใจจะไปกันหลายคน แต่ว่าพอเราเช็คที่พักแล้ว ที่พักเต็ม ถูกจองคิวยาวไปจนถึงเดือนเมษา ผมเองเกือบจะถอดใจเหมือนกัน ว่าทริปคงล่ม ไม่ได้ไปแล้ว แต่ว่าต้องยกความดีให้แฟนผมซึ่งเธอขยันโทรไปหาอุทยานฯ อยู่หลายวัน จนกระทั่งทราบว่า ที่พักของอุทยาน คือ แพนางไพร มีนักท่องเที่ยวยกเลิกการจองที่พักไปในวันที่ 12 – 13 มี.ค.59 

     ทุกอย่างเลยฉุกละหุก เพราะไม่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า วันที่เรารู้ว่าแพว่าง คือ วันพฤหัส ผมเลยตัดสินใจจองที่พัก แต่ทริปนี้มันกระทันหันไปหน่อย ต้องเดินทางตอนคืนวันศุกร์ สมาชิกบางคนก็ติดงานไปไม่ได้ สุดท้ายก็ยกเลิกก๊วนใหญ่ไป กลายเป็นทริปส่วนตัว แต่ก็มีน้องๆ ที่สะดวก จะขอร่วมทริปกับเราอีก 2 คน  

     การเดินทาง ใช้รถยนต์ส่วนตัว ระยะทาง ประมาณ 700 กม. ผมออกเดินทางจาก กทม. คืนวันศุกร์ที่ 11 มี.ค.59 ตอนสี่ทุ่ม ขับไป พักไป เป็นระยะๆ  เบ็ดเสร็จใช้เวลาประมาณ  10 ชม.  ถึงเขื่อนเชี่ยวหลาน 

     เรือที่จะไปส่งเราที่แพพัก นัดเวลาไว้ ตอน 10 โมง เรามาตามเวลานัด หลังจากที่ฝากรถไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ขนของลงเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังที่พัก ณ แพนางไพร 

      น้ำในเขื่อนใสมาก จนออกเขียว เขื่อนอื่นๆ ที่ผมเคยไปน้ำก็ไม่ใช่สีนี้ จากการถามคนเรือ บอกว่าแต่เดิมก่อนจะเป็นเขื่อน ที่นี่เคยเป็นเหมืองแร่มาก่อน เลยส่งผลให้น้ำเป็นสีนี้ ดูๆ แล้ว บรรยากาศคล้ายกับการไปเที่ยวเกาะเลยครับ

     ที่พักเราไม่ได้หรูหรา และไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ มีแต่ฟูก หมอน กับ ผ้าห่ม สำหรับไฟฟ้าที่นี่ไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟ เริ่มเปิดในช่วงเวลา 6 โมงเย็น – เที่ยงคืน ใครที่จะชาร์ตแบตมือถือก็ใช้ช่วงเวลานี้ครับ สำหรับสัญญาณโทรศัพท์ มีแต่ของค่าย AIS ค่ายอื่นๆ ไม่มีสัญญาณเลย        โดยรวมผมชอบความเป็นธรรมชาติ เสียดายว่าในวันหยุดเรือจะวิ่งเยอะ ส่งผลให้น้ำหน้าแพขุ่นออกเป็นสีนวลๆ ตัดกับน้ำสีฟ้า จุดเด่นอีกอย่างของที่นี่คือปลาเยอะมาก ละลานตาไปหมด เรียกว่าเป็นวังปลาเลยครับ       

     แพกเกจที่จองกับอุทยานฯ มีอาหารเลี้ยง 3 มื้อ (กลางวัน – เย็น – เช้า) มาถึงแพก็ได้เวลาทานข้าวกลางวันพอดี

     ระหว่างทานข้าวมี จนท. มาแนะนำโปรแกรมนั่งเรือ ซึ่งก็มีหลากหลายเส้นทาง เช่น ชมถ้ำ, เล่นน้ำ, ดูพระอาทิตย์ตก แต่ด้วยสภาพร่างกายไม่พร้อมลุย เลยขอแบบเบาๆ เอาแค่นั่งเรือไปจุดเล่นน้ำ และชมพระอาทิตย์ตก แค่นี้ก็พอ     หลังจากตกลงใจเรียบร้อย ทาง จนท. นัดหมายเราให้มาขึ้นเรือประมาณ 4 โมงเย็น ผมจึงอาศัยเวลาช่วงบ่ายงีบเอาแรง เพราะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง ขอเก็บแรงเอาไว้ลุยตอนเย็นต่อ    

     ได้เวลานัดหมาย เรามาลงเรือเพื่อไปจุดเล่นน้ำ กัปตันเป็นคนอารมณ์ดีครับ ตอนถึงที่หมายมีขู่ด้วยว่าวันนี้ถ้าใครไม่ลงน้ำ ห้ามกลับ สมาชิกกลุ่มผมนี่ไม่มีใครว่ายน้ำเป็นเลย แต่อาศัยใจกล้า มีชูชีพ ไหนๆ ก็มาแล้ว ต้องลงแช่น้ำครับ

     หลังจากเล่นน้ำเสร็จ เค้าก็พาเราไปดูพระอาทิตย์ตก    ผมแอบเก็บภาพพี่กัปตันมาด้วย เท่ห์มาก

     จบโปรแกรมล่องเรือ ก็กลับแพที่พัก กินข้าวเย็นกัน วันนี้ผมรู้สึกเพลียๆ เลยเข้านอนไวหน่อย แต่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ประมาณ ตี 3 กะว่าจะลุกมาดูดาว เผื่อฟ้าเปิด โชคดีที่พอเห็นดาวบ้าง หลังจากเก็บภาพเสร็จก็นอนต่อยาวยันเช้า 

     ตื่นมาในตอนเช้า อากาศดีมากครับ มีหมอกลอยอ้อยอิ่ง จึงเรียกสมาชิกมาเก็บภาพ แต่ละคนอยู่ในสภาพเพิ่งตื่นนอน เจอบรรยากาศแบบนี้ยิ่งทำให้ยังไม่อยากกลับเลย      

     หลังจากจัดการเรื่องส่วนตัว/กินข้าวเช้าเรียบร้อย ก็ทยอยขนสัมภาระลงเรือ ก่อนกลับก็ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ใครที่เคยมาแพนางไพร น่าจะคุ้นเคยกับ จนท. คนนี้ เค้าชื่อ “วัฒน์” ครับ ผมชอบความจริงใจและความเป็นกันเอง ที่คอยให้ข้อมูล/แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว และดูแลแขกที่มาพักดีมากๆ ครับ 

ได้เวลากลับแล้ว ระหว่างทางคนเรือพาไปชมเขาสามเกลอ       หลังจากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ก่อนออกเดินทาง เราแวะไปถ่ายรูปตรงสันเขื่อนก่อนกลับ

     เป็นอีกทริปที่ประทับใจ เสียดายที่มีเวลาดื่มด่ำน้อยไปหน่อย ใครจะมาลองวางแผนการเดินทางดูครับ แต่แนะนำให้มาเครื่องบินแล้วหารถเช่าเหมาพามาจุดลงเรือ น่าจะสะดวกและประหยัดเวลากว่าครับ

     จบการแชร์ประสบการณ์  ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ