Search and share travel destinations and experiences in Thailand Sign up Log in
    • Posts-1
    Taya@ •  June 10 , 2016

    ถึงเวลากลับ...บ้าน

    สงขลาฝั่งนที กลิ่นสารภียังตรึงเตือน แสงเดือนเตือนตรึงใจ สนแกว่งไกว ดูแสนงาม....

    ได้ยินเพลงนี้ทีไรชวนให้นึกย้อนเมื่อวัยเด็กที่นั่งกินไอติมใต้ต้นสนทะเล 

    เมืองสิงขร.. น้อยคนจะรู้ว่าคือเมืองสงขลาจากข้อสันนิษฐานที่ว่า "สงขลา" เพี้ยนมาจากชื่อ "สิงหลา" (อ่าน สิง-หะ-ลา) หรือสิงขร

    สิงหลา แปลว่าเมืองสิงห์ โดยได้ชื่อนี้มาจากพ่อค้าชาวเปอร์เซีย อินเดีย แล่นเรือมาค้าขาย ได้เห็นเกาะหนู เกาะแมว เมื่อมองแต่ไกล จะเห็นเป็นรูปสิงห์สองตัวหมอบเฝ้าปากทางเข้าเมืองสงขลา ชาวอินเดียจึงเรียกเมืองนี้ว่า สิงหลา ส่วนไทยเรียกว่า เมืองสทิง เมื่อมลายูเข้ามาติดต่อค้าขายกับเมืองสทิง ก็เรียกว่า เมืองสิงหลา แต่ออกเสียงเพี้ยนเป็นสำเนียงฝรั่งคือ เป็นซิงกอร่า (Singora) ไทยเรียกตามเสียงมลายูและฝรั่งเสียงเพี้ยนเป็นสงขลา อีกเหตุผลหนึ่งอ้างว่า สงขลาเพี้ยนมาจาก "สิงขร" แปลว่า ภูเขา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชวินิจฉัยไว้ว่า "สงขลา" เดิมชื่อสิงหนคร (อ่านว่า สิง-หะ-นะ-คะ-ระ) เสียงสระอะอยู่ท้าย มลายูไม่ชอบ จึงเปลี่ยนเป็นอา และชาวมลายูพูดลิ้นรัวเร็ว ตัดหะ และ นะ ออก คงเหลือ สิง-คะ-รา แต่ออกเสียงเป็น ซิงคะรา หรือ สิงโครา จนมีการเรียกเป็น ซิงกรา Cr. สำนักงานจังหวัดสงขลา

    หลายปีดีดักหลังจากเดินออกจากซุ้มประตูเมืองสงขลา หรือที่เรียก "บ่อยาง" เข้าสู่เมืองกรุง ยังคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ สามแยกสำโรง หรือชื่อเรียกของคนพื้นที่ที่รวบคำ สามแยกสำโรง คือ สามแยกโหมง เป็นประตูด่านแรกเข้าตัวเมือง (ในขณะนั้น ทางเข้าเมืองมี 2 ทางคือ ทางแพขนานยนต์กับทางถนนกาญจนวนิช แต่ปัจจุบันมาได้ 4 เส้นทางค่อยมาเล่านะว่าเพิ่มทางได้อย่างไร) ใกล้กันคือโรงพยาบาลจิตเวชสงขลา (หรือโรงพยาบาลประสาท ชื่อเดิม) และสามแยกเก้าเส้งที่สามารถขับรถไปตามถนนเลียบชายทะเล ระหว่างทางกลับบ้าน ขอนั่งรถชื่นชมหาดชลาทัศน์ที่เป็นหาดเชื่อมต่อกับแหลมสมิหลา น้ำทะเลและท้องฟ้าสีครามท่ามกลางแดดช่วงบ่ายของวัน ยังคงเห็นผู้คนนั่งปูเสื่อล้อมวงกินส้มตำ ลูกชิ้น ไก่ย่างและอื่นๆ ตามชายหาด 

    แม้จะได้ยินข่าวคลื่นลมแรงซัดต้นสนถอนรากล้มไปหลายต้น น้ำทะเลและคลื่นเซาะชายหาดจนน้ำเกือบถึงฝั่งถนน แต่หลังพายุสงบความสวยงามของธรรมชาติก็ยังคงน่าหลงใหลอยู่เสมอ  

    ลิบๆ ยังคงเห็นทิวสนทะเลเรียงตัวอย่างสวยงาม แต่ที่แปลกตาคือกระสอบทรายที่วางเรียงตัวเหมือนหินก้อนใหญ่ คอยกันคลื่นและน้ำทะเลเซาะชายหาดเพิ่มเติม

    ทรายยังคงละเอียดและนุ่มน่าสัมผัสเหมือนเดิม นึกเสียดายที่นักท่องเที่ยวบางคนไม่มีวัฒนธรรมยังคงทิ้งเศษขวดและเศษอาหารไว้เป็นร่องรอยการมาเยี่ยมเยือน ทำให้นึกย้อนสมัยเรียนมัธยมที่จังหวัดได้ปลูกฝั่งให้เยาวชนรักทะเลและชายหาด โดยมีกิจกรรมรวมตัวกันทั้งหน่วยงานราชการและสถานศึกษาทุกระดับเดินเก็บขยะบริเวณชายหาดและแหลมสมิหลาเป็นระยะทางเกือบ 10 กิโลเมตร

    หลังจากเพลียแดดและแรงลม น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มออกเสียงเตือน เพราะตั้งแต่เช้ามั่วแต่รีบ กลัวว่าจะขึ้นเครื่องไม่ทันเลยยังไม่มีอะไรตกท้อง ถัดจากชายหาด เลยแยกวชิราจนถึงแยกสนามกีฬาติณสูลานนท์ เลี้ยวซ้ายเข้าเมืองเพื่อจะไปตลาดเรือนจำ หรือตลาดใหม่ (ชื่อนี้ก็มีที่มา) หาอะไรอร่อยๆ กระแทกปากดีกว่า

    ในตลาดมีขนมคุ้นตามากมาย ณ เวลานี้อยากกินไปซะทุกอย่าง ดูปริมาณกับราคามันช่างเชื้อชวนให้ลองลิ้มเสียจริง... สุดท้ายมาสะดุดตรงข้าวยำ กลิ่นหอมของน้ำเคยแท้ชวนให้ลิ้มลอง บวกกับภาชนะที่ใส่คือใบตองตานีใบใหญ่ ปริมาณกับราคาพอเหมาะไม่แพงเกินไป เลยจัดการไปซะคนละ 2 ห่อ เอาให้หายอยาก 555 

    กลับมาบ้านรอบนี้ ขอหยุดยาวหลายวันเพื่อเพิ่มพลังใจให้มีแรงกลับไปสู้ต่อ ได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ให้หายคิดถึง บวกกับได้ย้อนรอยความทรงจำดีดี

    เช้าวันที่ 2 ตื่นเช้าสุดในรอบ 10 ปี เพื่อทักทายหาดสมิหลาขอสูดอากาศให้เต็มปอด บิดมอเตอร์ไซด์ฮ่างเลียบชายทะเลอีกครั้ง ยังคงเห็นบรรยากาศผู้คนในวัยเกษียณ เดิน-วิ่ง ออกกำลังกาย ช่างน่าอิจฉาเป็นที่สุด 

    พระอาทิตย์ออกมาทักทายยามเช้า คลื่นลมเริ่มสงบนิ่ง ยั้งใจไว้ไม่อยู่ต้องขอไปนอนลอยคอปล่อยใจและกายให้ผ่อนคลายไปตามกระแสคลื่นลม

    ท้องฟ้าสว่างมากขึ้น หลังจากเหนื่อยจากการดำผุดดำว่าย ขอมานอนเกลือกกลิ้งชายหาด ดีใจได้เห็นปลาดาวนอนเรียงรายกลิ้งเกลือกกัน เลยต้องจัดท่าใหม่ให้สวยงามนิดส์นึงนะ ^^

    จากหาดหลังสนามกีฬาติณสูลานนท์ ไปตามชายหาดจะสุดทางเชื่อมต่อแหลมสมิหลา จุด Check In ของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนสงขลาคือรูปปั้นนางเงือกทอง เขาว่ากันว่าใครอยากกลับมาสงขลาและต้องการเป็นเขยหรือสะใภ้ชาวสงขลาต้องอย่าลืมจับนมนางเงือกด้วยนะ 555 ตรงจุดนี้ขอไม่รับรองแต่ถ้าใครอยากพิสูจน์ก็ขอเชิญนะค่ะ^^ ใกล้กันมีวงเวียนหลังโรงแรม BP สมิหลา บีช มีรูปปั้นประติมากรรมคนอ่านหนังสือ เคยได้ยินมา จุดประสงค์ของผู้สร้างต้องการสื่อว่าเมืองสงขลาเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ บรรยากาศสบายๆ เลยขอจัดสัก 1 ท่า

     ระหว่างกำลังชื่นชมธรรมชาติ สะดุดตากับคู่นี้ คิดแล้วก็ไม่รู้ว่าเราจะมีอายุยืนยาวพอที่จะมีใครมานั่งคุยอย่างนี้หรือเปล่า ^^

    เวลาเช้ายังเหลือ เลยบิดมอเตอร์ไซด์คันเก่งไปตระเวณแหลมสนอ่อนที่ร่มรื่นไปด้วยทิวสนทะเล บริเวณปลายแหลม สมิหลา เป็นที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ แต่ต้องแวะระหว่างทางที่เป็นจุด Check In  ที่ 2 ใกล้กับวงเวียนนางเงือก เป็นประติมากรรมประตูเมืองสงขลาจำลอง(ประตูเมืองนี้ก็มีเรื่องราว) ข้างหลังมีรูปปั้นแมวกับหนูซึ่งเปรียบกับเกาะหนูเกาะแมวที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองสงขลาตั้งอยู่ด้านหลังเสมือนเป็นฉากที่มีชีวิตอีกจุดที่ขอแวะคือช่องเขาตังกวน-เขาน้อย เพราะจะไปเยี่ยมครอบครัวเจ้าจ๋อที่มารอต้อนรับ จุดนี้ถือเป็นบ้านของเหล่าน้องจ๋อ เขาตังกวนเป็นอีกจุดที่อยาก Check In แต่ด้วยยังเช้ามาก ลิฟท์ที่จะขึ้นเขายังไม่เปิดบริการ จะเดินขึ้นไปทางบันไดก็สงสารสังขารตัวเอง แต่ก็ถือว่าได้ย้อนรอยความทรงจำแล้วล่ะ สบายใจ อิอิ ย้อนกลับมาผ่านสระบัวที่อยู่เชิงเขาตังกวน เห็นประติมากรรมที่ไม่คุ้นตาเลยขอแวะทักทาย บิดมอเตอร์ไซด์ไม่กี่นาทีก็ถึง สวนสองทะเล ซึ่งเป็นแหลมที่คั่นระหว่างทะเลอ่าวไทยกับทะเลสาบสงขลา เป็นที่ตั้งของประติมากรรมพญานาคพ่นน้ำเป็นสัญลักษณ์ของเมืองสงขลา มีการสร้างขึ้น 3 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่งหัวพญานาค ส่วนที่สองสะดือพญานาค และส่วนที่สามหางพญานาค แต่ต้องลองค้นหาตามเส้นทางนะค่ะ เพราะจะอยู่ในเขตเมืองสงขลาทั้งหมด นี้เป็นกลยุทธ์ให้นักท่องเที่ยวท่องทั่วสงขลาเลยนะเนี้ยะ 555 พญานาคพ่นน้ำจะมีความสวยงามที่แตกต่างกันทั้งกลางวันและกลางคืน ถัดไปอีกนิดใกล้กันคืออนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็นอีกจุดที่มีวิวทะเลที่สวยงาม กลับมาครั้งนี้จึงขอแวะสักการะเสด็จเตี่ยเพื่อเพิ่มขวัญและกำลังใจสักหน่อย หลังเพิ่มพลังใจจากอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ขอเดินหน้าต่อไปยังท่าแพขนานยนต์ระหว่างตัวเมืองสงขลากับหัวเขาแดง อำเภอสิงหนคร ค่าบริการ รถยนต์ 20 บาท ตั้งแต่ตีห้าถึง 4 ทุ่มของทุกวัน แต่ต้องมาสะดุดกะประติมากรรมที่แปลกตาเพราะสมัยเด็กยังไม่มี ที่ตั้งตระหง่านอยู้ติดทะเลฝั่งทะเลสาบซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าแพ จะมีที่นั่งตลอดเส้นทางของสวนสองทะเลและยังคงเห็นผู้คนปั่นจักรยาน เดิน-วิ่งตามเส้นทาง  เรามาถึงผู้คนยังคงบางตา เลยได้เห็นบรรยากาศสงบเงียบ สบายๆ ทำให้ย้อนถึงสมัยวัยละอ่อน ลุ้นมากตอนรถกำลังขึ้นแพ แต่ก็หมดความกลัวเมื่อเรือแพเริ่มออกจากท่า ลมพัดเย็นๆ ล่อใจให้ต้องลงจากรถไปสัมผัส สูดกลิ่นน้ำเค็มผสมกลิ่นเหงื่อของผู้คนที่ร่วมเดินทาง ไม่ถึง 10 - 15 นาทีก็ถึงฝั่งหัวเขาแดง ต้องกลับมาลุ้นอีกครั้งในรถก่อนที่จะขึ้นฝั่ง   แดดเริ่มแรง ต้องรีบกลับบ้านไปอาบน้ำอีกรอบ เพราะเริ่มเหนียวตัว แต่ขอบอกเมื่อเช้าที่เล่นน้ำไป มีห้องน้ำสาธารณะอยู่ใกล้หาด ก็ได้ใช้บริการอาบน้ำจืดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนะค่ะ ไม่งั้นตะลอนขนาดนี้ตัวคงขึ้นเกลือและเป็นปอดบวมตาย 555 บรรยากาศยามเย็นของบริเวณท่าแพฯ ก็สวยงามไปอีกแบบ หากมีเวลาว่างๆ มานั่งชมพระอาทิตย์ตกดินตรงหัวเขาแดง จะเห็นบรรยากาศผู้คนนั่งตกเบ็ดเป็นกิจกรรมยามว่าง หรือชาวประมงที่หาปลาหากุ้งเป็นอาชีพ สามารถซื้อหาต่อรองราคากันได้ ขอบอกงานนี้เจอของสด ตัวเป็นๆ จริงๆ แต่จะได้แค่บริเวณนี้เท่านั้นเพราะใกล้อนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ เป็นเขตอภัยทานห้ามจับสัตว์น้ำทุกชนิด หลังจากเปลี่ยนองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้ว น้ำย่อยเริ่มกระตุ้นอีกครั้ง คิดสิว่าอยากกินอะไรเพราะที่สงขลามีของกินอร่อยๆ ทั้งนั้น ใจนึกเป็นตัวเลือกแรกคือ "เต้าคั่ว" นึกถึงป้าจวบร้านอร่อยระดับ 10 ดาว ว่าแล้วก็ต้องเสี่ยงดวงไปดูว่าขายหมดหรือยัง ตามถนนนางงามเป็นถนนสายวัฒนธรรมย่านใจกลางเมืองเก่า ที่มีเรื่องเล่าว่าผู้ที่ได้รับตำแหน่งนางงามสงขลาคนแรกในขณะนั้นอาศัยอยู่ถนนสายนี้ เดิมชื่อถนนเก้าห้องจึงเรียกติดปากว่าเป็นถนนของนางงาม ในถนนนางงามเป็นแหล่งของกินที่อร่อยหลายร้าน เช่น ร้านขนมไทยสองแสน ร้านขนมไทยแม่ฉวี ร้านไอติมยิว (จิ่น กั้ว หยวน) ร้านไอติมโอ่ง ร้านอาหารแต้เฮี้ยงอิ้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวใต้ถุนโรงงิ้ว ร้านเกียดฟั่งข้าวสตู เป็นต้น ร้านเหล่านี้เป็นร้านที่มีชื่อเสียงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงขอแวะวันหลัง ด้วยขณะนี้ใจอยากกิน เต้าคั่ว เลยพุ่งตรงประเด็นมาที่ร้านป้าจวบ ซึ่งอยู่บนถนนยะหริ่ง เป็นถนนตัดจากถนนนางงามเลี้ยวซ้ายเข้าไปไม่ถึง 200 เมตรก็เจอ หน้าตา "เต้าคั่ว" อร่อยสมใจอยาก นอกจากเต้าคั่วแล้วยังมีก๋วยเตี๋ยวกระดูกหมูก็รสชาติอร่อยไม่แพ้กันนะ               
      
    • Posts-2
    Taya@ •  June 11 , 2016

    ตามสัญญา..

    เมื่อท้องอิ่ม ตามสัญญาที่ให้กับพี่ๆ น้องๆ ว่าจะพาเด็กๆ ไปเที่ยวชมเมืองต่อ สถานีแรกที่จะจอดคือ สวนสัตว์สงขลา ตั้งอยู่ในตำบลเขารูปช้างซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง ทางไปอำเภอจะนะ บริเวณนั้นจะเรียก "สวนตูล" พอถึงแยกสวนตูลให้เลี้ยวขวาจะเห็นป้ายสวนสัตว์ขนาดใหญ่ไม่ต้องกลัวหลง เข้าไปในถนนสายรองระยะทางอีกประมาณ 5 -6 กิโลเมตรก็ถึงทางขึ้น จะตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะต้องขึ้นไปตามสันเขา แต่บรรยากาศสุดยอด ค่าเข้าก็ไม่แพงถือว่าคุ้ม ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็กนักเรียน 20 บาท นักศึกษา ครู ทหาร ตำรวจ (ในเครื่องแบบ อิอิ) 50 บาท สำหรับผู้สูงอายุเข้าฟรีคร้า รถยนต์ 50 บาท มอเตอร์ไซด์ 10 บาทเอง ยิ่งถ้าไปช่วงมีโปรโมชั่นถูกกว่านี้มาก

    ที่สวนสัตว์มีทั้งที่พัก ร้านอาหาร จุดชมวิว สวนน้ำ และสถานที่จัดแสดงสัตว์แต่ละจุด สามารถสัมผัสใกล้ชิดสัตว์แต่ละประเภท แม้กระทั้งเสือแต่จะมีกระจกกั้นนะค่ะ อย่าเพิ่งต๊กใจ 5555

    เห็นนกเงือกอยู่เป็นคู่แล้วอิจฉา 5555 ขณะที่ยืนชมต๊กใจทุกครั้งที่บินมาโฉบใกล้ๆ เพราะจริงๆ ตัวคุณน้องเงือกก็ไม่เล็กเลยนะ ลุ้นสุดๆ กลัวจะงอยปากจะโดนหัว 555

    สวนน้ำหากใครไม่ได้เอาชุดเล่นน้ำมาเปลี่ยนเขามีให้เช่านะ สำหรับใครที่ไม่อยากเล่นแต่อยากเข้าไปสัมผัสไอแดด 555 หรือจะลองเอาเท้าจุ่มน้ำเย็นๆ เขาก็มีรองเท้ากันลื่นให้เช่า 20 บาทเจ้าค่ะ

    สวนน้ำแม้อากาศจะร้อน แต่ด้วยวิวที่ยั่วยวนเห็นทะเลและตัวเมือง ทำให้กล้าลุยแดด ให้มันรู้ไปใครจะดำ 5555 หลังจากเพลียแดดกันไปแล้ว สถานีถัดไปเลือกที่จะไปวัดถ้ำเขารูปช้าง ตั้งอยู่ตำบลปาดังเบซาร์ ห่างจากตลาดปาดังเบซาร์ประมาณ 13 กิโลเมตร อยู่ในอำเภอสะเดา ถึงแม้ระยะทางจากตัวเมืองสงขลาจะค่อนข้างห่างไกลประมาณ 80 กิโลเมตร แต่ด้วยเสียงลือเสียงเล่าว่างามจึงต้องตามมาพิสูจน์

    มาถึงตะลึงงันกับความงามที่อยู่ตรงหน้าท่ามกลางหุบเขา บรรยากาศเงียบสงบ (อาจเป็นเพราะนักท่องเที่ยวยังบางตา) ยิ่งเข้าไปข้างในยิ่งสงบเงียบและเย็นเนื่องจากเจดีย์ทำจากหินอ่อนทั้งหมด ชั้น 2 สามารถเดินชมวิวได้รอบ 360 องศา ถือว่าเป็นจุดพักสงบกายและใจจริงๆ

    เดินชมวัดจนอิ่มใจ คราวนี้ท้องเริ่มหิว กลับมาบ้านครั้งนี้อาหารทะเลยังไม่ตกถึงท้องเลยต้องจัดไปสักมื้อ อยากกินปูต้องนึกถึงร้าน "นายหวาน" ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องปูสดเนื้อหวานแน่น แต่อย่างอื่นไม่รับรองต้องไปพิสูจน์เอง 555 ร้านอยู่ไม่ไกล ตั้งอยู่บริเวณวงเวียนนางเงือก ร้านอาหารร้านแรกด้านขวามือตรงมุมป้อมตำรวจเมื่อท้องอิ่มเลยต้องไปยึดเส้นยึดสายสักหน่อย เดินย้อนรอยถนนสายวัฒนธรรมย่านเมืองเก่า คือ ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม ที่บรรดานักเซลฟี่จะแพ้ทางเพราะมีมุมถ่ายรูปเยอะมาก เอาเป็นว่าเดินไปตามถนนทั้ง 3 เส้นนี้ อย่างน้อยรูปที่ถ่ายไม่ต่ำกว่า 50 รูปละกัน 555 (ถูกใจนักเซลฟี่กันละงานนี้) เมืองสงขลามีถนนคนเดินหลายที่ เช่น สงขลาแต่แรก ตลาดสองเล(หลาดสองเล) เป็นต้น แต่วันนี้เป็นวันเสาร์จึงได้มาเดินถนนคนเดิน "สงขลาแต่แรก" อยู่บริเวณถนนด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์พธำมรงค์ (พะธำมะรง) อยู่ใกล้กับพิพิธภัณสถานแห่งชาติสงขลา มีอาหารเสื้อผ้าและของใช้ พ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าพลุกพล่าน เลยเดินไปชิมไปจนหนังตาหย่อนไปตามๆ กัน      
    • Posts-3
    Taya@ •  June 11 , 2016

    ได้เวลาต้องกลับ

    ยังรู้สึกไม่อิ่มใจเพราะเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลายคนยังไม่เจอหน้ากัน แต่ก็ต้องถึงเวลากลับไปสู่วิถีแบบเดิมที่ต้องดิ้นรนไปตามจังหวะชีวิตของแต่ละคน วันนี้เลยขอทิ้งทวนเที่ยวใกล้ๆ ก่อนกลับ ตัดสินใจเดินทางไปทางสะพานติณสูลานนท์ซึ่งเป็นสะพานที่ทำให้เมืองสงขลากับตำบลเกาะยอใกล้ชิดกันมากขึ้น จากเดิมหากต้องการไปเกาะยอต้องนั่งเรือไปเท่านั้น 

    ไม่ลืมที่จะไปเกาะยอ ตำบลหนึ่งที่เป็นเกาะในทะเลสาบสงขลา ปัจจุบันพัฒนาไปมากมีร้านอาหารแหล่งท่องเที่ยว โฮมสเตย์ที่ชวนให้พักผ่อนผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด รู้สึกตื่นตาตื่นใจเพราะเปลี่ยนไปเยอะและดีใจที่ยังอนุรักษ์โครงสร้างแบบวิถีชาวบ้านดั่งเดิมไว้ มีร้านอาหารทะเลสดบรรยากาศดีมากมายที่ขึ้นชื่อหลายร้าน เช่น ร้านศิรดา ชมจันทร์ น้าเคียงดิน คุณจิตซีวิว ฯลฯ

    เริ่มต้นขอไปเก็บบรรยากาศบนสถาบันทักษิณคดีศึกษาที่เห็นวิวของสะพานติณสูลานนท์ สะพานที่ 2 อย่างชัดเจน บวกกับบรรยากาศของพิพิธภัณฑ์คติชนวิทยาที่มีเรื่องราวให้ศึกษาวัฒนธรรมคนปักษ์ใต้อย่างเต็มที่ จะเก็บไว้ในบันทึกความทรงจำหน้าถัดไป

    วันนี้มีเวลาน้อยจึงขอหาร้านกาแฟ สบายๆ กินรองท้องก่อนกลับละกัน เริ่มตะลุยร้านแรกนั่งเล่นหน้าเล Bistro Cafe' ต่อด้วย I am Cake ใครอยากลองชิมรสชาติอาหาร เค้ก และเครื่องดิ่มขอแนะนำทั้ง 2 ร้านอยู่ในเกาะยอ ไม่ทำให้ผิดหวังรวมท้ังบรรยากาศสบายๆ แต่ขอบอกว่าหากมาตอนเย็นที่ร้านนั่งเล่นหน้าเลจะได้สัมผัสกับการนั่งจิบชา เครื่องดื่ม กินขนมคลุกกลิ่นไอน้ำเค็ม ชมดาวกลางลานกว้าง เสียดายที่ต้องรีบกลับไม่งั้นไม่พลาด ^^

    ก่อนกลับต้องขอไปสักการะหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดที่วัดพะโคะ เดิมชื่อวัดหลวง ปัจจุบันชื่อวัดราชประดิษฐาน อยู่ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระซึ่งเป็นวัดเก่าแก่และมีเรื่องราว เรามันลูกหลานหลวงปู่ทวด กลับมาทั้งทีต้องขอกราบท่านสักนิด

    และแล้วก็ถึงเวลากลับจริงๆ แล้วสินะ จดจำทุกความทรงจำที่ดี มิตรภาพของเพื่อนฝูงญาติพี่น้องยังติดตรึงใจ ตัวเราท่องเที่ยวมามากมายแต่บ้านของตัวเองเที่ยวมากี่ปีก็ยังรู้สึกเที่ยวยังไม่หมด มีเรื่องราวทั้งที่น่าชื่นใจและน่าวิตกกังวลเกิดขึ้น ภูมิใจทุกครั้งเมื่อใครถามเป็นคนที่ไหน ตอบได้เต็มปากเลยคร้าว่า คนสงขลา เมืองสิงขรยังมีสถานที่เที่ยวทั้งธรรมชาติ ภูเขา น้ำตก ทะเล แม้กระทั่งแหล่งท่องเที่ยวจากการสรรค์สร้างของคนเมือง เชื่อไหม?? กรุงเทพเมืองหลวงมีอะไร สงขลาน๊ะหรือจะไม่มี 555

    โบกมือลาถิ่นเกิดเพื่อกลับมาอีกครั้ง เพราะยังมีคนที่เรารักและรักเราหลายคนรออยู่ อีกไม่นานคงเสร็จสิ้นภารกิจกับการทำหน้าที่ที่ยังคงค้าง แล้วฉันจะคิดถึงเธอ "เมืองสิงขร"