หนีร้อนไปนอนหนาวที่ภูผาหมอก

การเดินทางครั้งนี้ไปกับคนในพื้นที่ นอนพักที่บ้านผู้ใหญ่โสทร บ้านละมอ อ.นาโยง จ.ตรัง ตื่นนอนตอนตีห้าครึ่ง ตื่นมาเห็นผู้ใหญ่นั่งรับประทานอาหารอยู่ เกิดคำถามว่าต้องกินข้าวแล้วเหรอ มีคนบอกว่าต้องกินเพราะเราต้องไปบ้านผู้ใหญ่อีกหมู่บ้านหนึ่งตอนเจ็ดโมงครึ่ง สงสัยมากว่าทำไมผู้ใหญ่โสถึงรับประทานเหมือนอาหารเช้าปกติมาก ได้รับคำตอบว่าตื่นมาตั้งแต่ตีสามครึ่ง แล้วรดน้ำผักตอนตีสี่ครึ่ง นึกได้ทีหลังว่าที่นั่นเป็นสวนยางพารามันคงเป็นเวลาปกติของคนที่นั้น รับประทานชา กาแฟ พ่อของผู้ใหญ่ออกไปซื้อปาท่องโก๋ตัวโตมาให้มา นั่งคุยพ่อของผู้ใหญ่ถามว่าภูผาหมอกเป็นอย่างไรบ้าง พ่อของผู้ใหญ่โสบอกว่าหนาว และมีหมอกตลอดเวลาจึงได้ชื่อว่าภูผาหมอก แล้วก็ใช้นิ้วลากขึ้นไปทางชันให้ดู บ้านนี้มีรังผึ้งอยู่ด้วยเขาบอกมีสามรัง เวลาเดินก็ระวังผึ้งตามพึ้นเพราะอาจเหยียบได้ ถ้าเป็นที่บ้านฉันคงไล่ไปแล้ว แต่ที่นี่เขาอยู่ด้วยกันได้รอเดือนห้าเขาก็น้ำผึ้งนี่แหละมั้งที่เขาเรียกว่าพึ่งผาอาศัยกัน สักหกโมงเราก็รับประทานอาหารเช้าเตรียมตัวออกเดินทาง เรานั่งรถกระบะของพี่จาไปยัง ต.นาชุมเห็ด อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง เป็นบ้านของผู้ใหญ่บ้านนาชุมเห็ด บ้านผู้ใหญ่บ้านนาชุมเห็ดเป็นโฮมสเตย์ แต่สิ่งที่ฉันแปลกใจมากก็คือจำนวนคนที่มาบ้านผู้ใหญ่เยอะมาก เขาแต่งตัวธรรมดาเหมือนอยู่บ้านเช่นใส่กางเกงขาสั้น เสื้อแขนสั้น ตอนแรกเข้าใจว่าลูกบ้านมาหาผู้ใหญ่บ้านเฉยๆ ป่าวนั่นคือลูกหาบต่างห่าง ลูกหาบจำนวนพอๆกับนักท่องเที่ยวเลยทีเดียว แล้วเขาก็แบ่งของกันหาบ คนที่ไปด้วยกันบางคนก็แบกเอง บางคนก็ให้ลูกหาบแบกให้ แล้วแต่ความสามารถ ส่วนฉันก็เหมือนเดิมแบกแค่กล้องกับเสื้อผ้า ขาตั้งกล้องกับถุงนอนฝากแบก แล้วเราก็นั่งรถผู้ใหญ่นาชุมเห็นไปทางขึ้นผา เส้นทางผ่านสวนยาง สวนปาล์มของชาวบ้าน สิ่งหนึ่งที่ฉันเห็นแล้วรู้สึกถึงความสมบูรณ์ของป่าที่นี่ได้คือระบบไฟฟ้าพลังน้ำ จะทำได้ต้องมีน้ำตลอดปีและนั่นความว่าป่าต้องอุดมสมบูรณ์มาก เมื่อถึงขนัมจุดที่รถกระบะไปไม่ได้แล้ว พวกเราก็ลงรถเพื่่อเดินต่อ สิ่งแรกที่ฉันทำคือถามว่ามีทากไหม มีคนตอบว่ามี ฉันนั่งใส่ถุงทากก่อนเลย ระหว่างที่ส่วนใหญ่เดินไปก่อนแล้ว แต่พี่ไก่ยังรอฉันอยู่ คณะลูกหาบขี่มอเตอร์ไซด์ไปก่อน บางส่วนคนก็ลงเดินตามหลัง บางคนก็ขี่มอร์เตอร์ไซด์ไปต่อ เส้นทางเล็กๆแคบๆ เหมือนเป็นทางน้ำมากกว่าทางมอเตอร์ไซด์อีก พอถึงจุดพักจุดแรกบางคนไม่ไหวก็ต้องยกเป้ให้ลูกหาบไป ระหว่างทางเส้นทางไม่ค่อยชัดบ้างมีจุดแยก คราวนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องมีลูกหาบหลายคน อัตราการก้าวเท้าแต่ละคนไม่เท่ากัน เขาต้องคอยดูแลตลอดเวลา เขาเล่าให้ฟังว่าเคยมีคนหลงป่า เพราะแวะไปฉี่แล้วกลับออกมาไม่ได้อยู่สองคืน ใช้กำลังทั้งทหาร ตำรวจกว่าสามสิบนายออกตามหา หลังจากเจอตัวสอบถามได้ความว่าเขาตามเสียงนกไป แล้วกลับออกมาไม่ถูก ผู้ใหญ่จึงกำชับว่าทำธุระเสร็จแล้วถ้าจำไม่ได้ให้ยืนอยู่กับที่แล้วส่งเสียงเรียก อย่าเดินไปไหนเดี่ยวลูกหาบจะไปหาเอง ระหว่างทางเดินเราเดินแยกกันสองกลุ่มใหญ่ แต่ก็มีบางครั้งที่กลุ่มใหญ่เราแยกกันอีกที ถ้าห่างกันก็จะได้ยินเสียงลูกหาบส่งสัญญาญถึงกัน แต่ไม่เหมือนกันว่ามันหมายความว่าไงบ้าง เดินไปเรื่อยระหว่างนั้นจะมีลำธารให้เติมน้ำเป็นระยะถือว่าเยอะ ถ้าเทียบกับที่อื่น อย่างน้อยๆถ้าจำไม่ผิดก็เห็นลำธารหกครั้ง ก่อนถึงลำธารฉันเจอผีเสื้อหยิบกล้องออกมาถ่ายรูป ระหว่างทางก็เจอผีเสื้ออีก และแมลงปอ แต่ถ่ายไม่ได้เพราะเขาบินตลอดเวลาหยุดก็เดินไม่ทัน เราพักเที่ยงที่น้ำตก   เขาบอกว่านี่คือครึ่งหนึ่งของเส้นทางการเดินทั้งหมด มื้อนี้ผู้ใหญ่โสซื้อเหนียวไก่ให้คนละห่อ ลูกหาบหุงข้าวกินเป็นครั้งแรกของการเดินทางที่พักแล้วหุงข้าวกินกลางทาง ที่น้ำตกมีผีเสื้อและแมลงปอโบยบินบางตัวเป็นสีดำกับม่วง บางตัวสีฟ้า บางตัวสีขาว บางตัวสีเขียว บางตัวสีเหลือง บินไม่หยุดฉันพยายามจะรอให้หยุดเพื่อจะถ่ายรูปแต่ไม่มีสักครั้งแลยที่ผีเสื้อเหล่านั้นจะหยุดให้ถ่าย ถามว่าทำไมไม่ล่อด้วยแคลเซียมเหมือนคนอื่น มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น ถ้ามีโอกาสก็ถ่ายถ้าไม่มีก็แล้วไป บางคนก็นอนพัก ลูกหาบกินข้าวยกับยำปลากระป๋อง เขาเอาลูกมะเดื่อมากิน ลองชิมดูมันจืดไม่มีรสชาติต้องกินกับน้ำพริกน่าจะอร่อย หลังจากนอนเล่นกันได้สักพักลูกหาบก็ต้มน้ำร้อนให้เราชงกาแฟกิน นี่ก็ครั้งแรกเหมือนกันที่กินกาแฟระหว่างพักครึ่งทางแถมแก้วยังเป็นแก้วจากกระป๋องปลากระป๋องด้วย เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางต่อ ลูกหาบตัดไม้กันงู มองดูเป็นไม้เล็กแต่ลวดลายสีเขียวสลับขาว เส้นทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ อากาศร้อนอบ แต่เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้ใหญ่จะอยู่ข้างล่าง และมีดอกไม้ร่วงตามพื้นนานาพันธุ์ หลายหลากสี รูปร่างสวยงาม ยิ่งสูงขึ้นจะได้ยินเสียงลมแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ลมไม่ถูกตัวเราจนกว่าจะยืนตรงช่องลม ซึ่งลมแรงมากๆ เดินขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิวที่มองเห็นหินสามก้อนที่แบ่งจังหวัดพัทลุงกับจังหวัดตรัง ได้ยินประมาณว่าเจ้าเมืองสองเมืองมาคุยกันแล้วแบ่งกันตรงนี้ไม่รู้จำถูกไหม หลังจากจุดชมวิวไปเราจะพบกับป่าดิบชื้น ที่มีมอสและเฟรินเกาะตามต้นไม้และหิน ต้นไม้เริ่มเล็กลง ต้นใหญ่หน่อยจะถูกลมพัดจนเปลือกหลุดออก บางต้นหักฉีกแตกทั้งต้น มันต้องเป็นลมที่แรงมาก ยิ่งสูงขึ้นไปต้นไม้บางต้นเห็นรากเหมือนป่าโกงกางมีรากไว้หายใจมีมอสและเฟรินเต็มต้น เส้นทางเริ่มเป็นหิน บางครั้งเหมือนเดินอยู่ในร่องน้ำหรือลำธารที่กัดเซาะจนลึกลงไป บางครั้งเหมือนเดินอยู่ในอุโมงค์ต้นไม้ ก่อนถึงจุดที่พักมีลำธารให้เติมน้ำ บางคนก็อาบน้ำที่นี่ น่าจะเกือบทั้งหมด น้ำใสๆไหลช้าๆ เดินไปอีกหน่อยก็ถึงที่พัก ซึ่งรายล้อมไปด้วยต้นไม้สูงเกินหัวไปไม่กี่เซ็นติเมตร บางก็ต่ำกว่าระดับสายตา บางก็สูงแค่เข่า ลมเย็นตอนนั้นขึ้นไปถึงตอนบ่ายสอง คนนำหน้าขบวนเราคือน้องจิง น้องเดินไม่ยอมให้ใครนำหน้าแล้วแม้แต่คนนำทาง สะพายเป้ของตัวเอง มีไม้เท้าหนึ่งอัน สิ่งแรกที่ทำเมื่อไปถึงก็คือสำรวจด้านบนยอดว่ามีจุดชมวิวตรงไหนบ้าง และจุดไหนบ้างที่จะถ่ายรูปตอนไหนได้บ้าง ข้างบนยามฟ้าเปิดเห็นได้ 360 องศา มองเห็นทะเลเมืองตรัง มองเห็นเมืองพัทลุง เห็นเทือกเขาบรรทัด นั่งมองการเคลื่อนไหวของเมฆหมอก ท่ามกลางอากศเย็นๆ หลังจากถ่ายรูปยามฟ้าเปิดจนพอใจก็รู้สึกหิว ต้องรีบลงมารับประทานอาหาร มาถึงที่พักลูกหาบกำลังเด็ดใบผักเหมียงใส่ไข่ เขาถามว่ารู้จักไหมตอบว่ารู้จักไหม ตอบว่ารู้จักผักเหลียง เขาบอกไม่ใช่ ผักเหมียงถ้าเหลียงเป็นเป็นฝักเหมือนสะตอ มองเขานั่งเด็ดมันไม่ทันใจ ก็ท้องมันหิวแล้ว ก็เลยเข้าไปช่วยเขาเด็ด อย่างน้อยก็ทำให้ท้องไม่ประท้วง เมื้อนี้เรามีแกงเขียวหวานไก่ มีไก่ดำด้วยเขาบอกว่าไก่เบตง แกงเขียวหวานไก่แบบใต้ใส่ขมิ้น กับข้าวสองอย่างกับข้าวสวยร้อนๆ กับอากาศเย็น อร่อยมากๆ กินข้าวแต่ละมื้อก็สองจาน ลูกหาบบางคนเก็บของเตรียมตัวลง ถามว่าเขาจะไปไหนกัน มีคนบอกว่าลงไปข้างล่าง เราถามว่ามันค่ำมืดแล้วนะ เขาบอกว่าลงอีกทางพวกเขาลงแป๊บเดียวก็ถึง แล้วพร้อมกับบอกว่าอย่างพวกเราเดินไม่ไหวหรอก ทางมันลำบาก เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็กลับมา ตอนเย็นก็นั่งจับกลุ่มคุยกัน คนอื่นก็คุยกันไปแต่เบญเล่นกับน้องจิงเป็นตุ๊กตามีชีวิตให้น้องจริงเล่น นั่งกอดกันกลม เพราะมันหนาว แล้วเขาก็กางเต้นท์ให้นอน แต่เต้นท์เราอุปกณ์ไม่ครบไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้อีกทีเขาก็กางให้นอนกับตรงที่นั่งกินข้าว เราไม่ได้เตรียมเต้นท์ไปให้ทางผู้ใหญ่นาชุมเห็ดเตรียมให้ ก่อนนอนเขาก็ต้มน้ำให้กินกาแฟ โอวัลตินอีก กินนอนนก็ดีเพราะอากาศมันเย็น เข้าเต้นท์ตอนแรกก็ร้อนอบๆ ก็เปิดหมดทุกทิศทางพอหลับสักพักเท่านั้น ทั้งลมทั้งน้ำมาหมด หนาวก็หนาว ลมพัดตืบๆตลอดคืน บางทีน้ำหยดลงหน้าผาก ตรงที่นอนมันไม่เท่ากันอีกแล้วต้องทิ้งก้นตรงที่มันเป็นหลุม เช้ามาก็ไหลลงขดมาอยู่แถวปลายเท้า นอนไม่ค่อยหลับ นอนไปฝันไปตื่นมาหลับต่อก็ฝันเรื่องเดิม แถมตอนเช้าตื่นมาบ่อยเพราะคิดว่าจะตื่นมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นแต่พอตื่นมาก็เห็นแต่หมอก แล้วก็นอนต่อ คราวนี้พอรู้ว่าไม่มีแสงก็หลับต่อ แล้วเราก็เป็นคนที่ตื่นสายที่สุดในกลุ่ม น้องจิงมาหาพี่เบญ แต่พี่เบญยังหลับอยู่เลย เช้านี้มีกาแฟโอวัลติน เช้านี้ก็วนแก้วกันใครกินเสร็จก็แล้วก็ให้คนอื่นต่อ เพราะแก้วมีน้อย อาหารเช้าก็คือโจ๊กกับม่าม่า หลังจากมื้อเช้าเราก็ขึ้นไปชมวิว ตอนขึ้นไปน่าจะประมาณสามโมงเช้าอากาศเย็นและเต็มไปด้วยหมอก แต่พอเริ่มสายฟ้าก็เริ่มสดในเห็นวิวทิวทัศน์อีกครั้ง น้องจิงเห็นเราขึ้นตามก้อนหินก็อยากตามขึ้นไปเราก็เลยชวนขึ้นไปเราอยากให้น้องเห็นเหมือนที่เราเห็น เราใช้เวลาในการชมวิวทิวทัศน์จนถึงเที่ยงแล้วก็ลงมารับประทานที่จุดพักแรม บ่ายเราก็หามุมของตัวเองนั่งเล่นกับน้องจิง หาเหาให้น้องจิง น้องจิงเล่นหอมแก้มบ้างจูบบ้างไม่รู้ว่าเรารักกันมาแต่ชาติบางไหน ชาตินี้เจอกันน้องจิงถึงรักพี่เบญขนาดนี้ น้องจิงซ้อมมวยกับพี่เบญใช้ถุงนอนเป็นนวม น้องจิงคงไม่เหนื่อยแต่พี่เบญนี่เมื่อยเลย แรงแข้งของน้องจิงไม่เบาเลย บ่ายก็หามุมพักผ่อนของตัวเอง ฉันขอเปลจากลูกหาบมาผูกกับต้นไม้นอน ตอนแรกจะนอนกับน้องจิงแต่ว่านอนแล้วน้องจิงบอกว่า น้องกลัวต้นไม้หัก จิงก็เลยไปนอนเปลพ่อตัวเอง น้องจิงขี้เล่นพี่นอนอยู่ก็มาแกล้งพี่เบญ ที่เปลชวนเล่น พอจะไปนอนที่เปลพ่อก็กลัวต้นไม้หักอีก น้องจิงบอกพี่นอนเลย งั้นเราแยกกันนอนนะ หลังจากนั้นเราก็แยกกันนอนได้คนละตื่น บ่ายสองโง บางส่วนขึ้นไปชมวิวอีกครั้งบางส่วนไม่ขึ้น แน่นอนฉันต้องขึ้นอยู่แล้ว จะไปถ่ายพระอาทิตย์ตก แต่คราวนี้น้องจิงไม่ขึ้นไปด้วยเพราะพ่อกับแม่ของน้องไม่ขึ้นด้วย ช่วงแรกฟ้าเปิด สักพักฟ้าก็ปิดความหวังของการถ่ายพระอาทิตย์ตกก็หมดตามไปด้วย เราลงจากจุดชมวิวตอนสี่โมงเย็น ลงมาก็เห็นน้องจิงนั่งเรียนภาษาไทยกับพี่เหมี่ยว เย็นนี้เรามีแกงไตปลาใส่หัวมันเทศ ที่มีแต่เนื้อปลามีมันน้อยมาก กับปลาทอดอร่อยเหมือนเดิม ระหว่างที่รอกินข้าว พี่จาเรียกทุกคนมาดูพระอาทิตย์ตกทุกคนต่างรีบลุกขึ้นมาดู แต่ไม่เห็นมีแต่หมอกบัง พี่โสบอกว่าเห็นจริงๆแต่แค่แป๊บเดียว ค่ำคืนนี้หลังกินข้าวเสร็จพี่หยอยให้ลูกหาบต้มถั่วเขียวให้กิน พี่หนิงแม่น้องจิงมานอนคอยกิน แต่รอไม่ไหว เปลี่ยนเป็นกินพรุ่งนี้แทน คืนนี้นอนกับพี่ไก่สองคนเหมือนเดิม ตอนแรกพี่นกจะมานอนด้วยแต่เมือคนนี้พี่นกบอกว่าพี่นกจะนอนดูดาว แล้วพี่นกก็นอนนอกเตนท์จนเช้าไม่รู้ว่าตอนกลางคืนถีบหัวพี่ไก่บ้างหรือเปล่า เพราะหันหัวมาทางเบญหันเท้าไปทางพี่ไก่ พี่ไก่บอกว่าตั้งการ์ดไว้แล้วเอาเป้บังไว้ พีหยอยนอนข้างๆเรา เอาเต้นท์มาเองคืนแรกนอนคนเดียวคืน คืนที่สองพี่นกไปนอนด้วย คนอื่นๆ อยู่อีกที่หนึ่งแต่ไม่ห่างกัน แต่ผู้ใหญ่โสเอาเปลมาปลีกวิเวกไปนอนในป่าคนเดียวคืนแรก คนที่สองลูกหาบไปนอนเป็นเพื่อน คืนที่สองนี่หลับสบายยันเช้าไม่กังวลว่าต้องตื่นเช้า ตื่นมาก็กินกาแฟ กับไข่ลวกยางมะตู อาหารเช้าวันนี้ก็มีแกงไตปลา ปลาทอด ไข่เจียว และไข่ผัดปลากระป๋อง น้องจิงอร่อยมากกับเมนูไข่ผัดปลากระป๋องของผู้ใหญ่โสทร ระหว่างที่เขาเจียวไข่กันเราก็ไปนั่งดูตอนแรกดูท่าไข่จะด้าน แต่พอเขาเพิ่มไฟแล้วไข่ทอดออกมากับไม่ด้าน เป็นเพราะเขาเทไข่เยอะหรือ่ว่าเป็นเพราะฝืนก็ไม่รู้ กินข้าวเสร็จก็เดินลงได้เลยเพราะเราเตรียมเก็บของเรียบร้อยแล้ว ระหว่างเดินลงคราวนี้ฉันขอเดินลงช้าๆเพื่อเก็บภาพและบรรยากาศแบบเต็มๆเพราะขาขึ้นไม่ค่อยได้ถ่าย กลัวแบตไม่พอ กลัวเมมโมรี่ไม่พอ กลัวขึ้นไปไม่ทันเวลา พี่จาเก็บสมุนไพรมาทำยาดอง เดินดูแลพี่หนิงอย่างใกล้ชิด น้องจิงทิ้งพ่อกับแม่นำหน้าไปไกลเลย พี่หยอยชายใส่รองเท้าแตะเดินลงเขาได้ช้า พี่อ้อพอแซงพี่หย่อยชายได้หายไปเลย พี่ไก่เดินตามหลังคอยดูแลพี่หยอยชาย พี่น้องซึ่งเป็นผู้ชายผมยาวมีหนวดเครา ไม่ค่อยพูด เดินตามหลังพี่หย่อยชาย พี่หย่อยหยิงนี่หลุดเดี่ยวไป พี่นกรองเท้าขาดเดินตามหลังฉันอีกทีฉันถ่ายรูปเรื่อยๆ ระหว่างอยู่ข้างบนลูกหาบอกว่ามีน้ำตก ฉันขอให้เขาพาไปหน่อยอยากไปถ่ายรูป แต่ถึงเวลาจริงๆ เขาแกล้งเดินผ่าน พอเดินออกมาไกลแล้วเขาก็บอกว่าฝนตกอันตราย มันลื่น อันตรายสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่บรรยายความงามของน้ำตกว่ามีรองเท้านารีว่าสวยมาก แต่ก่อนมีเยอะด้วยแต่ตอนนี้มีน้อยเพราะนักท่องเที่ยวเอากลับบ้าน ถามกลับไปว่าทำไมให้เขาเอากลับไปละ เขาบอกว่าเขากลับมาเอาไปทีหลัง เข้ามาเอง เหมือนเป็นเด็กที่โดนหลอกยังไงไม่รู้ บอกว่าจะพาไปแต่ไม่พาไป ถ้าบอกว่าฝนตกไปไม่ได้ก็คงจะดีกว่าบอกให้มีความหวัง แล้วลูกหาบก็บอกว่าจะพาไปน้ำตกข้างล่าง ข้างล่างก็สวย แล้วเราก็ทำตัวเป็นเด็กทวงน้ำตกระหว่างทาง โดนผู้ชายมีหนวด ตัวดำ ตาโต ตัวล่ำๆ บ่นว่าบ่นอยู่ได้ เรื่องน้ำตก เราหันไปมองหน้าเขาหันหน้าหนีแกล้งมองไปทางอื่น รู้สึกเหมือนโดนผู้ใหญ่ดุ จำต้องหยุดบ่นบวกกับความกลัวว่าเขาจะรำคาญฮ่าๆ น้องที่เป็นลูกหาบถามว่าหลาบไหม ต้องถามพี่ไก่หมายถึงอะไร พี่ไก่บอกว่าเขาถามว่าหลาบจำไหม จะมาอีกไหม หลาบจำไมเป็นความทรงจำดีๆเลยละ ไม่ลืมหรอก แต่ถามว่าจะมาอีกไหมตอบได้แค่ว่าไม่แน่นอน อยากกลับไปถ่ายรองเท้านารีกับน้ำตก พี่แมกบอกว่ามีอีกซิ มาหลายวันจะพาไปถ่ายรูปรองเท้านารีกับน้ำตก เราพักเที่ยงที่น้ำตกที่เดิม อาหารเที่ยงวันนี้เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กาแฟหมดแล้ว บางคนก็อาบน้ำที่นี่เพราะอากาศมันร้อนมาก ส่วนฉันถอดขากางเกงเอาเท้าแช่น้ำเย็นๆแค่นั้นพอ เดินเรื่อยๆออกพ้นจากป่าลำธารสุดท้ายฉันหยุดถ่ายผีเสื้ออีก คราวนี้พอถ่ายได้บ้าง เดินถึงที่จอดมอเตอร์ไซด์ พี่แม็กให้นั่งมอเตอร์ไซด์ออกมาด้วย แล้วบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามยกขาออกจากขาตั้ง นี่มันการขี่มอเตอร์ไซด์วิบากซัดๆ แล้วเราก็ออกมาถึงน้องจิงรับน้องจิงอออกมาด้วย เรามาถึงก่อนใครเพราะมอเตอร์ไซด์วิบาก แล้วเขาก็พูดถึงเรื่องน้ำตกว่า ไม่มีใครไปเลยทุกคนหมดแรงแล้ว คงไม่ได้ไปแล้วน้ำตกข้างล่าง ทำอะไรได้ ไม่ไปก็ไม่ไป แต่แล้วก็มีน้องคนหนึ่งอาสาพาไป โดยให้นั่งมอเตอร์ไซด์ ไปซิครับ นั่งมอเตอร์ไซด์ไปแป๊บเดียวก็ถึงน้ำตกแล้ว น้ำตกที่เป็นอ่างใสมากมองเห็นพื้นข้างล่างเลย น้องๆเขาก็ถอดเสื้อผ้าเล่นน้ำกัน แล้วถามว่าพี่ไม่เล่นเหรอ พี่ไม่เล่นพี่ไม่ว่ายน้ำไม่เป็น ถอดขากางเกงกำลังแช่ได้แป๊บเดียว เขาโทรเรียกบอกจะกลับแล้ว จะใส่ขากางเกงคืนน้องบอกไม่ต้องใส่แล้ว กลับไปขี้นรถกลับบ้านผู้ใหญ่ ร้อนมากๆ บ้านผู้ใหญ่ร้อนรับด้วยน้ำอัดลม แตงโมหวาน และน้ำผึ้งอีกหนึ่งหลอด ชื่นใจ กลับบ้านพี่โสทร อาบน้ำแต่งตัว เตรียมกลับกรุงเทพ