แบกเป้เที่ยวภูกระดึงคนเดียว ฉบับมือใหม่ถึงมือใหม่ Phu Kradung keep walking

สวัสดีค่ะ นานมากที่ไม่ได้เข้ามาเขียนรีวิวท่องเที่ยว วันนี้มีทริปที่ไปลุยเดี่ยวกลับมาฝาก ในหนึ่งปีเราพยายามจะไปเที่ยวคนเดียวให้ได้ปีละครั้งเพื่อเป็นรางวัลให้ตัวเอง โดยเราแบกเป้ไปเที่ยวภูกระดึงคนเดียว 11-13 พ.ย. 64 เลยมีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาเผื่อเป็นประโยชน์สำหรับ คนที่จะไปเที่ยวคนเดียว แบกของเอง ไม่เช่าจักรยาน เดินทางด้วยรถทัวร์นะคะ ถือเป็นการตอบแทนมิตรภาพดีๆ บนภูกระดึงที่ได้พบเจอมา ทำให้การเดินทางของเราผ่านไปได้ด้วยดี แต่จะบอกก่อนว่าข้อมูลนี้จะใช้อ้างอิงได้กับช่วงเวลาเดียวกับที่เราไปนะคะ เพราะในแต่ละฤดูกาล การเตรียมตัว ความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยว และมาตราการสำหรับการป้องกัน Covid-19 ก็จะแตกต่างกันไปค่ะ

ติดตามข่าวสารได้ทางแฟนเพจของอุทยานฯ นะคะ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง - Phu Kradueng National Park

ข้อมูลทริปแบบย่อ
ระยะเวลา: 3 วัน 2 คืน (ไม่รวมคืนเดินทาง)
วันที่เดินทางเข้าไปยังพื้นที่: 11-13 พฤศจิกายน 2564
สถานที่ท่องเที่ยว: Day 1 - เดินขึ้นภูกระดึง ชมพระอาทิตย์ที่ผาหมากดูก
Day 2- ตื่นเช้าชมทะเลหมอก และเดินเที่ยวโซนน้ำตกทั้งวัน ปิดท้ายด้วยรอชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก
Day 3- เดินลง และนั่งรถทัวร์กลับ กทม
จำนวนผู้เดินทาง: 1 คน
พาหนะ: รถทัวร์ ต่อรถสองแถว
ค่าใช้จ่าย: 4,086 บาท (รวมทุกอย่างตั้งแต่เริ่มเดินทางจนกลับ)

* รีวิวนี้เจ้าของรีวิวเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
** รูปภาพในกระทู้นี้ประมาณ ถ่ายโดย iPhone6 และ Sony a6000 ใช้ Snapseed, Picsart ในการแต่งรูปค่ะซึ่งทริปนี้ใช้น้อยมากๆ เลยค่ะ

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะIG:pangjourneyjournal

มาเริ่มกันเลย....
1. จองทุกอย่างให้พร้อมเท่าที่จะจองได้ แล้วแคปหน้าจอหลักฐานการจอง หลักฐานการฉีดวัคซีนไว้จะได้สะดวกรวดเร็วในการเปิดให้เจ้าหน้าที่ดู
• จองคิว ผ่านแอพ QueQ
อันนี้สำคัญมาก ถ้าจองไม่ได้ไปลุ้นวอคอิน (จำนวนจำกัด) แต่ถ้าแพลนไปแล้วควรจองไว้ก่อน เพราะลางานเสียค่ารถทัวร์ไปแล้วอย่าให้ตัวเองเสียเที่ยว หากจองได้ตอนเที่ยง ก็สามารถเดินขึ้นตอนเช้าได้ค่ะ ทางอุทยานฯ จะเปิดให้เดินขึ้นตั้งแต่ 06.00-13.00 น.หลังจากนั้นงดขึ้นเขาทุกกรณี
• รถทัวร์
เราจอง Sunbus ขึ้นที่หมอชิต - ผานกเค้า ทั้งไปและกลับ ขาไป 21.00 น. ส่วนขากลับ 20.00 น. ถ้าเดินทางคนเดียวนะนำให้จองแถว A ไปนะคะ เป็นที่นั่งเดี่ยว มีที่ชาร์จ น้ำ ขนม ผ้าห่มให้ แนะนำว่าถ้าเป็นคนหนาวง่ายให้ใส่ถุงเท้า เสื้อแขนยาวไม่ต้องหนา จะนอนสบายขึ้น ถ้านอนหลับก็จะมีแรงเดินขึ้นภูเยอะนะคะ แนะนำเพิ่มเติมว่าให้แอดไลน์จองกับซันบัสโดยตรงจะไม่เสียค่าดำเนินการ
• เต็นท์และเครื่องนอน
เราจองเต็นท์ในระบบไม่ทันเพราะมีในระบบ 50 หลัง แต่ไม่ต้องกังวล ปกติที่ อช. ภูกระดึงรับนักท่องเที่ยวได้เยอะมาก ช่วงนี้จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวยังไงก็มีเพียงพอแน่ๆ ถ้าไม่พอ ค่อยไปเช่าร้านค้าเอกชนข้างบนได้ค่ะ ก่อนเดินขึ้นไปติดต่อจองเต็นท์ที่ที่ทำการศรีฐาน อาคารเดียวกับลงทะเบียนขึ้นภู แล้วไปรับข้างบน เครื่องนอนไปติดต่อข้างบนนะคะ ข้างล่างให้ติดต่อเฉพาะเต็นท์

2. การเตรียมตัว, จัดกระเป๋า
- กระเป๋าสัมภาระ เราใช้เป้ขนาด 50 ลิตร ถ้าแบกเองกระเป๋าและรองเท้าคือของสำคัญมาก ๆ ถ้ากระเป๋าไม่ซัพพอร์ตหลังและรองเท้าที่ไม่เคยใส่มาก่อน ไม่เหมาะกับเท้าเราจะทำให้เดินลำบากและบาดเจ็บ
- หมวดเสื้อผ้า คิดง่ายๆ คือ วันละชุด
1.ชุดเดินขึ้นใส่ไปจาก กทม
2.ชุดเดินเที่ยวบนภู ถ้าเป็นเสื้อแขนยาวไม่ต้องหนาจะดีมาก เอาไปกันแดด
3.ชุดเดินลง กางเกงตัวเดียวกับวันเดินขึ้นเพราะมันจะเลอะ (เดินขึ้นไปถึงจับตากแดดไว้เลย)
4.ชุดนั่งรถกลับ กางเกงจะเน้นเป็นสกินนี่ไม่เปลืองที่ เดินสะบาย
5.ชุดนอน = เสื้อกันหนาว กางเกงวอร์ม ใส่นอนทั้งสองวัน
6.เสื้อกันหนาวเราพกไปสองตัว ตัวแรกใส่นอนกับไปดูพระอาทิตย์ขึ้น อีกตัวจะเป็นกันลมไม่หนา เอาไว้ใส่ตอนเดินกลับจากดูพระอาทิตย์ตก
7.ผ้าขนหนู
8.ถุงเท้า ใส่นอนคู่หนึ่ง ใส่เดิน 2 คู่ ช่วยเซฟเท้าจากการเสียดสีระหว่างเดิน ถุงกันทาก ช่วงนี้น่าจะไม่มีแล้วเราไม่เจอเลยค่ะ
วันแรกเราขึ้นมาถึง ไปดูพระอาทิตย์ตกกลับมากินข้าว อาบน้ำนอนจะใส่เสื้อของวันต่อไปเลย แล้วทับด้วยกันหนาว พร้อมตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
- รองเท้าเราใส่ Keen คู่เดียวจบ จำชื่อรุ่นไม่ได้ ใส่อาบน้ำก็ได้ เพราะใส่สบายกับคู่นี้อยู่แล้ว ของเราจะเป็นรองเท้าหัวปิด ที่ไม่ได้ปิดสนิทอากาศเข้าได้ น้ำเข้าได้ ทรายได้ แต่ถ้าเวลาเดินจะเซฟนิ้วเท้า ถ้าเดินไปเตะหิน ไม้ จะไม่บาดเจ็บ
- หมวดความงามแล้วแต่คนเลยค่ะ เรามีแต่ สบู่ ยาสีฟัน แปรง ยาสระผม โฟมล้างหน้า ครีมกันแดด ครีมบำรุงหน้า ลิปมันและดินสอเขียนคิ้ว ใครรู้บอกทีสบู่อะไรใช้แล้วจะล้างออกไวๆ 555
- กล้อง ขาตั้งกล้อง สายชาร์จ แบตสำรอง ไฟฉายสำคัญมาก ต้องใช้เดินไปดูพระอาทิตย์ตก ไปเข้าห้องน้ำ พกอันสำรองไปเผื่อแบตหมดถ่านหมดด้วยก็ดีนะคะ เจอมากับตัว ไม่รู้คิดไปเองไหมว่าของที่มีแบตทุกอย่างหมดไวกว่าเดิม หรือเป็นเพราะอากาศหนาว
-ไม้เท้าเดินป่า ใครไม่มีไปหยิบตรงตีนภูได้เลยค่ะ ช่วยได้เยอะมากโดยเฉพาะขาลง
-ถุงนอน เราแบกไปเองค่ะ นอกนั้นไปเช่า ถ้าใครไม่มีทางอุทยานฯ มีให้เช่า
-สเปรย์กันยุง เราใช้ฉีดขาและรองเท้าก่อนเข้าเต็นท์ตลอด รอดจากทากไม่เคยเจอแม้เงา
-กระเป๋าเล็ก ใช้ตอนไปดูพระอาทิตย์และเที่ยวบนภูเอาใส่เสื้อกันหนาว น้ำดื่ม ไฟฉาย ขนมฯ แบตสำรอง และของมีค่ารวมๆ แล้วน้ำหนักกระเป๋าก็ปาไป 10 กิโลหน่อยๆ ไม่รวมของใน Ocean pack

3. มาถึงผานกเค้า ร้านเจ้กิมประมาณตี 5 นิดๆ เจ้าของร้านน่ารักมาก ให้ใช้ห้องน้ำได้ตามสบาย เราแค่ล้างหน้าแปรงฟันเพราะนั่งรถมากับชุดเริ่มเดิน จัดกระเป๋าใหม่นิดหน่อย เอาของที่ใช้บ่อยออกมาอยู่ใน Ocean pack ใครที่จ้างลูกหาบก็เอาของที่สำคัญใส่ไว้ในกระเป๋าที่ตัวเองจะแบกขึ้น เผื่อกรณีที่ลูกหาบขึ้นไปช้าจะได้ไม่ลำบาก เราทานมื้อเช้าเบาๆ (แต่สั่งพิเศษมาม่าสองห่อ อิอิ) แล้วซื้อน้ำดื่มขวดใหญ่ติดไปหนึ่งขวด อาหารร้านเจ้กิมราคมไม่แพง ก่อนสั่งไปซื้อคูปองก่อนจะได้เป็นเหรียญทองทำไปแลกซื้ออาหารค่ะ


กินข้าวแล้วก็ขึ้นสองแถวสีแดงไปที่ทำการ (ศรีฐาน) จุดเริ่มเดิน เที่ยวละ 300 บาท นั่งได้ 6 คน แต่คันเรามี 5 คนเลยจ่ายคนละ 60 บาท ก่อนเข้า อช. ต้องวัดไข้และซื้อตั้วเข้าผ่านตู้อัตโนมัติ เรามาคนเดียวจ่าย 40 บาท พอถึงที่ทำการก็ไล่ตามจุดเลย จุด 1 ลทบ จุด 2 ตรวจหลักฐานการรับวัคซีน ซื้อประกัน จองเต็นท์ ใครจะห้างลูกหาบก็ไปติดต่ออีกอาคารหนึ่ง แต่เราแบกของเองก็เดินขึ้นเลยค่ะ ลูกหาบหมดเร็วนะคะ ควรรีบไปติดต่อ ประกันเราแนะนำให้ทำไว้เลยค่ะ คนละ 10 บาทเองไม่เสียหลาย ถ้าเกิดอุบัติเหตุเดินไม่ไหวจะมีคนพาลงไม่ต้องเสียเงิน

วิวสวยๆ ระหว่างทาง ข้างล่างหมอกเยอะขนาดนี้ เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนกับตัวเราเลยว่าเราต้องรีบขึ้นไปให้ถึงซำแฮกให้เร็วที่สุด เพราะว่าเรามีโอกาสจะเจอ "ทะเลหมอก" ยังไงล่ะ

4. เราเริ่มเดินประมาณ 07.00 น. สายตาดูมีพลังมากๆ แบบที่ไม่เจียมอนาคตข้างหน้าของตัวเองเลย ฮ่าๆ (ขอขอบคุณคนใจดีด้วยนะคะที่ถ่ายรูปให้โดยที่เราไม่ต้องเอ่ยปากขอและก็อีกหลายๆ รูปในทริปนี้ ^^) ทริคในการเดินของเรา ผู้หญิงน้ำหนัก 85 กิโลกรัม ไม่ได้เตรียมร่างกายมาก่อน และไม่มีโรคประจำตัว คือไม่ต้องรีบเดิน เราแบกกระเป๋าเองในช่วงเดินขึ้นเนินชันๆ เราจะก้มตัวมากขึ้น ถ้าเหนื่อยให้หยุดพัก ระหว่างทางพยายามยืนพัก และอย่าพักนาน


เวลาเดินขึ้นซำแฮกประมาณ 35 นาที ที่พยายามให้ตัวเองเดินขึ้นซำแฮกไวๆ จำได้ไหมตอนนั่งสองแถวมา อช. มีหมอกลง เลยคิดว่าถ้ารีบขึ้นไปถึงซำแฮกเร็วๆ จะต้องเจอทะเลหมอก แล้วเราก็ไม่ผิดหวัง (ขออภัยในความภาพเบลอเหนื่อยจากมือเปียกเหงื่อ เปียกไปทั้งตัวไม่มีอะไรเช็ด เราแทบไม่ได้แต่งรูปเลยค่ะ นอกจากรูปตัวเอง ^^)


ถึงซำที่มีร้านค้าค่อยนั่งและปลดสัมภาระ ไม่ได้มีร้านค้าทุกซำ ซำที่มีร้านค้าเป็นซำสุดท้ายคือซำแคร่ ส่วนหลังแปมีแค่ จนท. ตั้งโต๊ะขายน้ำ พ้นซำแคร่มาแล้วหิวข้าว สามารถไปกินได้อีกทีที่ทำการวังกวางเลยค่ะ ถึงจะเหนื่อยแต่ก็เป็นการเดินป่าที่ Happy มากกก มีของกินตลอดทางอย่างกับตลาดนัด ถ้าคุณอยากกินน้ำอัดลม คุณก็จะได้ดื่มมันพร้อมน้ำแข็ง ยิ่งแดงมะนาวโซดาไม่ต้องถาม โดนเกือบทุกซำมันอร่อยเปรี้ยวซ่าชื่นใจที่สุดในโลกเลยค่ะ


ส่วนทางเดินก็จะมีทางหลายแบบทั้งบันได ทางดินที่เป็นฝุ่นทางแบบนี้ต้องเดินระวังลื่นนะคะ ทางหินและปูน


ส่วนซำที่เราชอบมากที่สุดคือซำกกโดนเพราะวิวสวย และลมเย็น

 


เราว่าช่วงที่เดินยากคือช่วงพ้นซำแคร่ขึ้นไปก่อนถึงหลังแป เป็นทางหินชันกับหน้าผาบันไดชัน ตอนขึ้นว่ายาก ตอนลงยิ่งกว่า ในช่วงเดินลงไม้เท้าจะช่วยมากๆ เดินเอาข้างลง ส่วนมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือไม้เท้า ทำให้ว่างๆ ไว้ใช้เกาะหินกับราวบันได ในรูปดูไม่ออกเลยว่าชันแต่ขอให้เชื่อว่าช่วงนี้เดินเหนื่อยจริงๆ ค่ะ

5. เราใช้เวลา 05.03 ชั่วโมงในการเดินขึ้นมาถึงหลังแป อีก 3 กิโลกว่าๆ จะเป็นทางราบ แดดร้อน ทางเดินเป็นทราย พยายามเดินริมทางที่เป็นต้นหญ้าจะไม่โดนทรายดูดให้เปลืองแรง พร้อมเช็คอินถ่ายรูปกับเจ้าต้นสนเดียวดาย และขาตั้งกล้องก็ถูกใช้ครั้งแรกที่นี่


รูปที่ถ่ายกับป้ายขอเอารูปตอนเดินลงมาแปะแทนนะคะ เพราะตอนขึ้นมาถึงสภาพดูไม่ได้เลยค่ะ "ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเป็นผู้พิชิตภูกระดึง" ขอพิชิตแบบสวยๆ หน่อยค่ะ


ช่วงที่เรามาใบเมเบิ้ลยังไม่แดง มีหล่นให้พอเห็นตามพื้น 2-3 ใบเท่านั้นเองค่ะ


ใช้เวลาเดินเกือบชั่วโมงก็จะถึงที่ทำการวังกวาง เราไปเอาเต็นท์ก่อนเพื่อจะเก็บสัมภาระ ใช้กระเป๋าเล็กเอาของมีค่าใส่ติดตัวไว้ตลอด ได้เต็นท์แล้วก็ไปศูนย์บริการอีกครั้งเพื่อเช่าเครื่องนอนจ่ายเงินแล้วไปรับของ หมอน เบาะรอง ถุงนอน อยู่ที่เดียวกัน แต่ผ้าห้มต่องไปอาคารจ่ายผ้าห่ม ถ้ามาหลายคนแยกกันไปดำเนินการได้เลยค่ะ เราเช่าเต็นท์ ทางอช. กางไว้ให้แล้ว แบบเราจะเรียกว่าเต็นท์วอคอินเป็นแบบนี้ค่ะ (ตอนนี้ได้ข่าวว่าทาง อช. เปลี่ยนเต็นท์แล้ว) น่าจะนอนได้ 2 คน ถุงนอนเอามาเอง เครื่องนอนเช่าแค่ หมอน แผ่นรองนอน ผ้าห่มเล็ก เอามาปูอีกชั้น เพราะพื้นมันนูนๆ เหมือนมีหิน แค่นี้นอนสบาย หัวถึงหมอน หลับ! จากนั้นเตรียมกระเป๋าใบเล็กเพื่อเดินไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก


อย่าลืมไฟฉายและเสื้อกันหนาว สี่โมงเย็นเดินไปได้แล้วค่ะ เพราะเราไปบ่ายสามครึ่งแดดร้อนมากหน้าฝั่งขวาแทบไหม้ ใครไปเวลานี้ติดหมวกติดร่มไปด้วยและทางเดินบางช่วงจะเป็นทรายค่ะ


ตรงนี้ก็ตั้งกล้องถ่ายเองแต่ไม่ค่อยสวยเท่ารูปนี้ คุณลุงชุดส้มที่มาภูกระดึงแล้ว 70 ครั้งถ่ายให้ ถามว่าเป็นช่างถาพไหม ก็บอกว่าไม่ได้เป็น แต่ถ่ายรูปสวยมาก ขอบคุณมากๆ ค่ะ


พอพระอาทิตย์ตกแสงเริ่มหมด เห็นคนอื่นเดินกลับก็เนียนๆ เดินไปกับเขาด้วยเลยค่ะ ถ้ามีไฟฉายไม่ต้องกลัว ระหว่างทางเก็บแสงทไวไลท์ได้อีก ท้องฟ้าวันนี้ระเบิดอลังการ เป็นใจกับเราและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่ขึ้นมาวันนี้มาก


เราอยากมีเพื่อนเดินกลับด้วยเลยเดินไปหาคนที่ไม่มีไฟฉาย วันนั้นเจอน้องที่เท้าเจ็บเพราะไปเดินเที่ยวบนภูมา เลยได้เดินกลับพร้อมกันเราฉายไฟให้ น้องก็เล่าให้เราฟังว่าไปเที่ยวไหนมาบ้าง ที่ไหนสวย ทางเดินช่วงไหนน่ากลัวไม่ควรไปคนเดียว ทำให้เรามีข้อมูลไว้ใช้ไปเที่ยวภูวันพรุ่งนี้ ^^

ส่วนมื้อเย็นและทุกๆ มื้อของเราฝากท้องไว้ที่ร้านพี่โจ้ใบเฟิร์นทุกมื้อ เพราะในเว็บของอช. ไม่มีเต็นท์ให้จอง เราเลยโทรฯ ไปติดต่อเรื่องเต็นท์กับพี่โจ้ ตอนนั้นยังลังเลอยู่กับการไปคนเดียว พี่โจ้บอกว่ามาเลย คนเดียวก็มาได้ ไม่ได้มาเช่าเต็นท์มากินข้าวที่ร้านก็ได้ ทำให้เราตัดสินใจครั้งสึดท้ายว่าไปเพราะต้องมีที่ซุกหัวนอนแน่ๆ เราเลยไปฝากท้องที่ร้านพี่โจ้เกือบทุกมื้อ อร่อยและให้เยอะมากๆ จนต้องบอกว่าไม่ต้องเยอะนะคะ ขอชุดเล็กนะคะ และนี่คือจิ้มจุ่มชุดเล็กค่ะ แต่ก็กินเกือบหมด เหลือแค่ผัก งงมาก!

Day 2
6. การชาร์ทแบต มือถือ กล้อง ต่างๆ ถ้าเราไปกินข้าวที่ร้านค้า อย่างเราไปกินร้านใบเฟิร์น พี่โจ้จะมีปลั๊กให้ชาร์ท แบ่งๆ กันสำหรับคนอื่น ถ้าไม่มีจริงๆ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีให้ชาร์ทแต่จุดนี้มีค่าบริการค่ะ พาวเวอร์แพงค์ขนาดไหนก็แล้วแต่อันละ 40 บาทไม่จำกัดเวลา ของเราขนาด 30000 ชาร์ทก่อนออกไปเดินเที่ยวตอนเก้าโมง กลับมารับอีกทีตอนสองทุ่ม ก็ 40 บาท

7. การเดินเที่ยวบนภู ตอนเช้า จนท นัดรวมพลหน้าศูนย์บริการฯ เพื่อพาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นตอนตีห้า ห้ามเดินไปเองเพราะอาจเจอน้องช้างได้ เตรียมไฟฉายไปด้วยนะคะ พอถึงฝานกแอ่นจับจองที่นั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นได้เลย ต้องระมัดระวังมากๆ เนื่องจากพื้นที่เป็นหน้าผาสูงชันและฟ้ายังมืดอยู่ให้นั่งเฉพาะหลังเส้นที่ จนท. กำหนดไว้นะคะ ไม่ควรเอาตัวเองออกไปนอกเส้นกั้นเด็ดขนาดไม่ว่าจะออกไปถ่ายรูปหรืออะไรก็แล้วแต่ วันนี้มีหมอกให้ได้ลุ้น รู้สึกคุ้มแล้วกับการขึ้นมาเราได้เจอคนดี สิ่งแวดล้อมดี ธรรมชาติสวยงาม ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ทำให้ได้อยู่กับตัวเอง ช่วยเยียวยาจิตใจได้ดีหลังจากผ่านอะไรหนักๆ มาตลอดปี แต่ไม่ช่วยเยียวยาร่างกายนะ เพราะกลับไปน่าจะเดินเป็นแพนกวินอีกหลายวัน ขากลับต่างคนต่างกลับจะไปเที่ยวเลยก็ได้ ส่วนเราขอแวะไปไหว้พระที่ลานพระแก้วเนื่องจากอยู่ระหว่างทางกลับ ช่วงนี้หมอกลงจัดมาก เกือบมองทางไม่เห็น แต่เป็นเช้าที่สดชื่นในรอบปีของเราเลย มัวแต่เดินชมบรรยากาศด้วยความที่หมอกจัด รู้ตัวอีกทีเดินฉีกออกมาคนเดียวเสียแล้ว เราเดินตามทางมาสักพักก็เจอคนข้างหน้า ค่อยๆ เดินตามเขาไปสักพักก็ถึงที่ทำการค่ะ กลับเต็นท์มางีบสักครู่ เข้าห้องน้ำ ดื่มกาแฟ กินข้าว เตรียมของ และออกเดินเที่ยวบนภูตอน 09.30 น.
- ปาท่องโก๋ร้านป้าบัวไล
- กาแฟแรงดันไอน้ำร้านโอลี ราคากาแฟที่นี่ไม่แพงเลย
- ข้าวขาหมูร้านพี่โจ้ในเฟิร์น ถ้าไปเส้นน้ำตกให้เตรียมข้าวไปด้วย ระหว่างทางไม่มีของขาย แต่เราเป็นคนที่เวลาเหนื่อยจะอยากกินแต่น้ำ เลยเตรียมแค่น้ำกับขนมไปนิดหน่อย ส่วนแพลนของเราคือเที่ยวเส้นน้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกโพนพบ น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำใหญ่ แวะพักที่สระอโนดาต ตัดออกไปผาเหยียบเมฆ เลียบหน้าผาไปผาหล่มสัก ชื่อน้ำตกบางจุดจะคล้ายๆ กันต้องอ่านให้ดีนะคะ ถ้านับระยะทางรวมจากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นวันนี้จะเดินเกือบๆ 30 กิโลเมตรค่ะ

รูปโซนน้ำตกจะเป็นรูปที่เราใช้ขาตั้งกล้องถ่ายแต่ถ้าใครที่ไม่มีกล้องอยากถ่ายรูปน้ำตกสวยๆ เราเคยโพสวิธีถ่ายรูปน้ำตกด้วยมือถือไว้ในกลุ่มนี้
https://web.facebook.com/groups/275878475783648/permalink/4802318943139556/

จุดแรก น้ำตกวังกวาง ข้างล่างมีถ้ำลงไปถ่ายได้ แต่เรามาคนเดียวเลยไม่กล้าลงไป กลัวปีนขึ้นมาไม่ไหว ไม่มีใครช่วย ๕๕๕ เลยเก็บภาพมาได้ไม่กี่มุม จุดที่สอง น้ำตกเพ็ญพบใหม่ เดินลงไปด้านล่างได้นะคะ แต่เราขอเก็บแรงไว้ก่อนนะคะ ทางไปน้ำตกโพนพบน้ำตกถัดไปจะงงๆ หน่อย เราเอาแผนที่มาเปิดดูเลยเดินไปทางซ้ายค่ะ ทางขวาน่าจะทางลงไปน้ำตก เราลองเอามือถือถ่ายโดยเปิดโหมด Live มาถ่ายน้ำตกดูได้เป็นภาพขวามือ ส่วนซ้ายมือจะเป็นภาพจากกล้องถ่ายรูปค่ะ จุดที่สาม น้ำตกโพนพบ หลังจากนี้เส้นทางจะเริ่มเดินด้วยความวังเวงหน่อย เรียบริมน้ำตกให้ฟีลแบบจะมีจระเข้ขึ้นมาแง่มเราไหม จุดที่สี่ น้ำตกถ้ำใหญ่ เราผ่านน้ำตกเพ็ญพบแบบไม่ได้แวะเนื่องจากงงกับเส้นทาง เพราะหาทางไปน้ำตกถ้ำใหญ่ไม่เจอ ปรากฏว่าป้ายบอกทางมีสองด้าน แต่ถ้าเดินจากโพนพบมาจะมองอีกด้านไม่เห็น ณ วันที่ไปเมเปิ้ลยังไม่แดงค่ะ เส้นทางนี้โอเคเลยสำหรับคนที่มาคนเดียว เราไม่ได้ไปจับกลุ่มกับใครเพราะแพลนเท่าที่เราเดินไหว 80% ของเส้นทางคือเดินคนเดียว เราเพิ่งเคยมาการซื้อแผนที่ติดมาด้วยทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่ามาถูกทาง เอาจริงทางเส้นน้ำตกก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน บางทีต้องดูรอยเท้าว่าเดินมาถูกทางไหม แผนที่บอกว่า 1.8 กม ทำไมมันเดินไม่ถึงสักที หลงหรือเปล่า จะมีคำถามนี้กับตัวเอง เลยใช้วิธีคำนวนจากก้าวเดิน เราตีไปกลมๆ ว่า 10,000 เก้าประมาณ 5 กม. แล้วเอาไปหารตามระยะทาง เราใส่นาฬิกาที่มันจะบอกว่าเราเดินไปแล้วกี่ก้าว แต่ยังไม่เคยใช้กับแอปในมือถือนะคะ เป็นการคาดคะเนระยะทางคร่าวๆ

เส้นน้ำตกเราว่าก็เหนื่อยนะ ทางเดินมีขึ้นมีลง มีทางชันตกน้ำตกถ้ำใหญ่ มีรากไม้ต้องระวังเดินสะดุด เดินคนเดียวจะวังเวงหน่อยๆ พอมีเพื่อนร่วมทางบ้าง เราเลยไม่ได้ไปน้ำตกถ้ำสอเหนือจากที่ถามน้องคนที่ไปมาเมื่อวานน้องบอกว่าน้ำน้อยแล้ว และเส้นทางไม่ควรเดินคนเดียว เราจึงไปตัดออกเส้นหน้าผา เดินง่าย ทางเรียบๆ แต่เป็นทรายบางช่วงเจอคนเยอะ มีร้านค้าตามจุดที่เป็นหน้าผา

8. ออกจากเส้นทางน้ำตกสู่สระอโนดาต ก่อนตัดออกเส้นหน้าผา
เส้นทางนี้ในช่วงเวลานี้น่าจะเป็นมิตรกับจักรยานเสียมากกว่า เป็นทางราบมีเนินเล็กน้อยถ้าจำไม่ผิดระยะทางน่าจะประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงจะไม่ใช่ทางชันแต่พอเดินกลางแดดก็เหนื่อยเกมือนกัน เราจะไปนั่งพักขากินขนม ดื่มน้ำที่สระอโนดาตค่ะ จุดนี้จะแยกออกได้อีก 2 ทางคือไปทางน้ำตกสอเหนือและไปจบที่ผาหล่มสัก อีกเส้นทางคือทางที่เราจะไปคือตัดออกไปเจอผาเหงียบเมฆแล้วเดินไปจบที่ผาหล่มสักเช่นกันค่ะ เราอยากเดินเรียบหน้าผาเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง วังเวงมาครึ่งวันแล้ว


ทางเดินจากสระอโนดาตตัดออกมาที่ผาเหยียบเมฆตอนกลางวันร้อนมาก มีช่วงทางที่เป็นเละๆ ให้เดินเหยียบริมๆ ที่เป็นต้นหญ้าไปนะคะ


พอทะลุออกจากเจอผาเหงียบเมฆเราตรงไปเก็บภาพก่อนเลยค่ะ ก่อนมานั่งพักยาวๆ ดื่มโคล่าเย็นๆ จุดนี้น้ำจะราคาสูงหน่อยนะคะ ที่ร้านค้าผาเหงียบเมฆมีห้องน้ำให้บริการด้วยค่ะ น่าจะคนละ 10 บาท และในที่สุดแันก็เจอผู้คนสักที เลยขอให้คนใจดีแถวนั้นถ่ายรูปให้ เลยมีรูปสวยๆ กับผาเหยียบเมฆกลับมา


ณ ผาหล่มสัก เราถึงที่นี่ 14.38 น. ระหว่างทางเป็นทรายกินแรงเหมือนกัน ที่เรามีแรงเดินมาถึงที่นี่เพราะจองบราวนี่ร้านกาแฟชมพู่มะเหมี่ยวไว้ และมาแวะกินเย็นตาโฟทะเล อร่อยมากกกก จากนั้นก็รอชมพระอาทิตย์ตก ผูกมิตรหาเพื่อนเดินกลับและหาคนถ่ายรูปให้ เดินมาขนาดนี้ต้องมีรูป จะคนถ่ายรูปให้เราคนหนึ่ง ถ่ายให้ตั้งแต่เดินขึ้นน่าจะมาคนเดียวเหมือนกัน ถ้าเจอเรายื่นมือถือให้เขารู้เลยว่าถ่ายรูปให้หน่อย ถ้าผ่านมาเจอรีวิวนี้เราขอขอบคุณมากๆ อ่อ...ส่วนบราวนี่ต้องจองมาล่วงหน้านะคะ ค้นหา Facebook fanpage ได้โดยใช้ชื่อนี้เลยนะคะ "ร้านกาแฟชมพู่มะเหมี่ยว"


คนที่มาคนเดียวจะกังวลเรื่องเดินกลับเพราะ หลังพระอาทิตย์ตกไปแล้วต้องเดินกลับแคมป์วังกวาง 9 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินอย่างน้อยประมาณ 2.30 ชั่วโมง เราจึงคอยย้ำว่าไฟฉายสำคัญมาก เนื่องจากไฟที่มีให้ทิ้งระยะห่างกันมากๆ ไฟฉายในมือถือสว่างไม่พอเพราะทางเดินก็ไม่ได้เรียบตลอด มีหลุม มีกิ่งไม้ มีแอ่งน้ำ เราออกเดินจากผาหล่มสัก 17.30 เพราะรู้ว่าเมฆบังพระอาทิตย์แน่ๆ ถึงแคมป์วังกวาง 19.47 น ไฟฉายเราแบตหมดระหว่างทาง ดีที่มีพี่ๆ อีกสองคนเดินมาด้วย ชวนคุยกันมาตลอดทั้งทางทำให้คลายความกลัวผีไปได้เยอะมากกก และพอดีมาเจออีกหนึ่งกลุ่มใหญ่แถวผาเหยียบเมฆ เลยมีแสงไฟฉาย มีเพื่อนเดินจนถึงจุดหมาย และพี่ๆ กลุ่มนี้ ก็ยังเอิญเจอกันอีกหลายรอบจนได้หารรถสองแถมกลับร้านเจ้กิมด้วยกัน ขอขอบคุณมากๆ ค่ะ ^^

เตือนอีกครั้งไฟฉายต้องมีแบตฯ มีถ่านเพียงพอที่จะใช้ต่อเนื่องประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งค่ะ ร้านค้า ร้านข้าวที่แคมป์วังกวางปิดประมาณสี่ทุ่ม เดินกลับมาทันของกินแน่นอนค่ะ

9. เต็นท์และเครื่องนอนต้องคืนก่อน 10.00 น. ของวันที่เราจะกลับ เราคืนของ กินข้าวแล้วออกจากแคมป์วังกวาง 10.00 น. มีเวลากำหนดในการเดินลงด้วยนะคะ ว่าห้ามลงเกินกี่โมงแต่เราจำเวลาไม่ได้ ตอนเช้าของวันกลับเราจะนอนให้เต็มอิ่มสักหน่อยไม่ไปไหนทั้งนั้น แต่ก็ต้องมาตื่นเพราะเต็นท์ใกล้เคียงเก็บของด้วยปาก เสียงดังน่ารำคาญมาก นี่นอนข่มใจอยู่ในเต็นท์ตั้งนาน ทนไม่ไหวเลยเดินออกชมบรรยากาศตอนเช้าก็ไม่เลว ว่าจะเดินไปดูหมอกลอยบนน้ำที่อ่างเก็บน้ำวังกวางก็ไปผิดทาง เดชะบุญ จนท. ขี่มอเตอร์ไซค์มาเจอพอดีไม่งั้นได้เดินไปถึงผาหมากดูกโดยไม่มีเพื่อนร่วมทาง จนท. บอกทางที่ถูก แต่เราก็ไปไม่ถูกอยู่ดี ทีหลังอย่าเดินไปไหนด้วยความโมโหอีกเด็ดขาดเพราะมันไม่มีสติ! สุดท้ายเดินกลับเต็นท์ไปดูของฝากดีกว่า กินข้าวและแวะร่ำลาพี่โจ้ก่อนแพ็คกระเป๋าออกจากแคมป์วังกวาง 10 โมงตรง



อันนี้แถมของที่ไม่ได้อยู่ใน List ข้างบน เหรียญที่มีตราครุฑ ท้าวเวสสุวรรณ กับไม้อะไรสักอย่างที่ได้มาตอนทำพิธีตั้งศาลพระภูมิที่บ้าน และก็จำไม่ได้ด้วยว่าทำไมถึงพกเพราะมีมานานมากกกก เป็นไอเท็มเวลาเดินทาง เดินป่า (ในชีวิตประจำวันไม่พกนะคะ) แต่มีแล้วอุ่นใจมากๆ


ตอนลงอย่างที่บอกไปข้างต้นว่ายากกว่าเดินขึ้นเพราะเราน้ำหนักตัวเยอะ ไม้เท้าช่วยได้เยอะมากๆ เราลงมาถึงข้างล่าง 15.30 น. เพราะเท้ากลับมาเจ็บตรงที่ล้มไปเมื่อปีก่อน สามารถอาบน้ำตรงที่ทำการได้เลยค่ะ ห้องน้ำเยอะ สะอาด แล้วเดินเป็นเป็ด ง่อนแง่น ไปขึ้นรถสองแถวหน้าที่ทำการลงร้านเจ้กิม นั่งกินข้าวชมวิวผานกเค้ายามเย็นหน้าร้านเจ้กิม รอรถรอบ 20.00 ถึง หมอชิตประมาณตีสี่




10. เรื่องถ่ายรูปส่วนมากใช้มือถือถ่ายค่ะ ขอให้คนที่อยู่ใกล้ๆ ถ่ายให้ ซึ่ง 100% ของคนที่เราขอให้เขาถ่ายรูปให้ ยินดีถ่ายให้ และยังช่วยคิดท่าให้อีก โซนน้ำตก เราถือขาตั้งกล้องไปด้วยค่ะ บางรูปตั้งกล้องถ่ายเอง ถ้าออกกำลังกายไปบ้าง ฟิตร่างกายไปหน่อยคงเดินสนุกกว่านี้ ใดๆ คือถ้ามีงบจ้างลูกหาบก็ดีค่ะ นั่งทำงานก็ปวดหลังมากพอแล้ว อย่าหามาปวดหลังเพราะเดินป่าอีกเลย

สรุป

สำหรับเราต้องมีครั้งที่สองอีกแน่นอน แต่คงเป็นในฤดูที่ต่างออกไป ภูกระดึงเที่ยวได้หลายฤดู ความสวยของธรรมชาติก็เปลี่ยนไปตามฤดูเช่นกัน เพียงแต่เราต้องศึกษาไปเบื้องต้นก่อนว่าเราอยากไปเจอแบบไหน หรือเรากำลังจะไปเจอธรรมชาติแบบไหน

ผู้หญิงคนเดียวเที่ยวภูกระดึง ขอยืนยันว่าปลอดภัยสำหรับผู้หญิง แต่ควรมีข้อมูลและรู้จักร่างกายตัวเองว่าไหวประมาณไหน อ่อ…ที่ไม่เช่าจักรยานคืออยากรู้ตัวเราว่าจะไหวสักแค่ไหน แต่คิดว่าไหวอยู่แล้ว บางจุดอย่างเส้นน้ำตกถ้าเดินจะเข้าแผนเรามากกว่า และถ้าเช่าจักรยานน่าจะเป็นภาระมากกว่าพาหนะ แต่ช่วงที่ไปเส้นทางถือว่าขี่จักรยานได้ง่ายไม่ค่อยเละแล้วค่ะ ที่สำคัญเราได้เจอแต่คนที่ดี ให้ดาวเยอะๆ เลยสำหรับห้องน้ำสะอาดมากๆ (มีตันบ้าง) และมีอย่างเพียงพอ

ปราบปลื้มและกราบบบบบ กับของกินเป็นการเดินป่าที่น้ำหนักเพิ่มมา 1 กิโลกรัม ของกินเยอะมาก เหมือนอยู่ตลาดนัดมากกว่าบนภู เรามีความสุขกับการเดินป่าไม่พอ ยังมีความสุขกับการกินไปด้วย

สุดท้ายนี้ขอขอบทุกๆ คนที่ไปเที่ยวภูกระดึงในวันเดียวกัน ไม่เคยถามอายุเราแต่เรียกเราว่าน้อง เอ็นดูเรา เพราะเห็นว่ามาคนเดียว บางคนก็รู้จักชื่อ บางคนก็ไม่ได้ถามชื่อไว้ เป็นเพื่อนเดินกลับจากผาหล่มสัก ไฟฉายกำลังจะดับก็ช่วยกัน เดินรอและกลับลานกางเต็นท์ไปพร้อมกัน คอยถ่ายรูปให้ บางครั้งไม่ต้องเอ่ยปาก รอเราขึ้นสองแถวเพราะถ้าคนเดียวจะจ่ายแพง คำชื่นชมต่างๆ ว่าน้องมาคนเดียวเก่งจัง แบกเองเก่งจัง มันทำให้มีกำลังใจมากๆ และทริปนี้เดินไปทั้งหมดประมาณ 102,904 ก้าว "Phu Kradung keep walking"




ข้อมูลค่าใช้จ่ายทริปไปภูกระดึงตั้งแต่หมอชิต จนกลับมาหมอชิต ถ้าไปหลายคนบางอย่างอาจถูกว่าเช่นค่าเต็นท์ ค่าหมูจุ่ม อาจจะอ่านยากและมีคำผิดเยอะหน่อยนะคะ เพราะเป็นการบันทึกแบบเรียลๆ ตรงนี้จะแล้วแต่คนด้วยนะคะ เราจะติดดื่มน้ำหวานๆ มาก เลยจะหมดไปกับค่าแดงมะนาว น้ำอัดลม

วันที่ 1
ข้าวร้านเจ้กิม 45
ยาคลายกล้ามเนื้อ 40
สองแถวไป อช. 60 บาท (หาร 5 คน)
ค่าเข้า อช. 40
เต็นท์ 2 คืน 450
ประกัน 10
ซำแฮก: แตงโม 10 แดงมะนาว 30
ซำกอซาง: ติม 30 น้ำอัดลม 25
ซำกกหว้า: แดงมะนาว 35
ซำกกโดน: แป๊ปซี่ 30
ซำแคร่: น้ำ 30 ข้าว 50
หลังแป: แป๊ปซี่ 40
เครื่องนอน: 120 หมอน 1 ผ้าห่มเล็ก 1 แผ่นรองนอน
(แบกถุงนอนของตัวเองมา)
แผนที่ 10
ผาหมากดูก: ชาไทย 50
ร้านพี่โจ้ (ใบเฟิร์น)จุ่มหมู น้ำดื่ม ทิชชู 470

วันที่ 2:
ค่าชาร์ทพาวเวอร์แบงค์: 40
ร้านป้าบัวไล กาแฟ 25 ปาท่องโก๋ 20
ร้านใบเฟิร์น: ข้าวขาหมู + น้ำขวดใหญ่ 120
กาแฟสดร้านโอลี 50
ถ่าน AAA 70
น้ำแปปซี่ผาเหยียบเมฆ 50 บาท
ผาหล่มสัก: เย็นตาโฟ 60 ชาไทย 45 บราวนี่สองชิ้น 60 =165
น้ำ+สปอน 60
ร้านใบเฟิร์น: มาม่าหมู น้ำอัดลม เค้าเตอร์แพน 170

วันที่ 3
กาแฟสดร้านโอลี 50
ของฝากแม็กแนท + เข็มกลัด 40
ร้านใบเฟิร์น ข้าว+ ไข่ 70
ซำกกหว้า: แดงมะนาวโซดา 35
ซำแฮก: แตงโม แดงโซดา แป๊ปซี่ 65
ค่ารถสองแถมไปร้านเจ้กิม 60 (หาร 5 คน)
ก๋วยเตี๋ยวพิเศษร้านเจ้กิม 55
โค๊ก + ถุงเท้าร้านเจ้กิม 60

=2780 + ค่ารถทัวร์จองผ่านไลน์633+ ค่ารถทัวร์จองผ่านเว็บ 673= 4,086 บาท