คิดจะพัก(ผ่อน)..คิดถึง "เขาหลัก"

พังงา เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่คนส่วนใหญ่จะคิดว่าไม่ค่อยมีอะไรเที่ยว ถ้าหากไปกับบริษัททัวร์ มักจะพาล่องอ่าวพังงา แล้วข้ามไปเที่ยวยังจังหวัดภูเก็ต แต่จริงๆ แล้ว พังงามีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายครับ บริษัททัวร์อาจจะไม่จับเข้าโปรแกรม แต่ถ้าหากเราวางแผนเที่ยวกันเอง ผมว่า 3 วัน 2 คืน กำลังเหมาะครับ

การเดินทางมายังพังงา หากไม่อยากนั่งรถนานๆ สามารถนั่งเครื่องบินมาลงยังสนามบินภูเก็ต หรือจะลงที่สนามบิกระบี่ก็ได้ครับ แต่ทริปนี้ผมเลือกบินลงที่ภูเก็ต เลยขอตะเวียนเที่ยวโซนพังงาโซนโคกกลอย เขาหลักครับ

เขาหลักมีอะไรเที่ยวบ้าง ตามผมไปเที่ยวกันเลยครับ

จุดแรกที่วางโปรแกรมไว้คือสะพานไม้เขาปิหลายครับ

สะพานไม้ปิหลายตั้งอยู่ที่ตำบลโคกกลอย หากมาจากสะพานสารสิน ขับรถมาไม่เกิน 10 นาที ก็มาถึงแล้วครับ ทางเข้าหาดปิหลายจะอยู่ทางซ้ายมือ หากไม่สังเกตอาจจะขับรถเลยได้ ถ้าจะให้ชัวร์ จับ GPS “สะพานไม้ปิหลาย” รับรองไม่มีหลงครับ

เดิมสะพานไม้แห่งนี้ใช้สำหรับการขนแร่ดีบุกจากเรือมาสู่โรงแยกแร่บนฝั่ง แต่ปัจจุบันแร่ดีบุกถูกขุดไปจนหมดแล้ว สะพานไม้แห่งนี้จึงหมดหน้าที่ในการขนดีบุกลง แต่สะพานไม้ปิหลายแห่งนี้กลับมีหน้าที่ใหม่ขึ้นมาแทน นั่นคือเป็นจุดถ่ายรูปที่ตากล้องหลายต่อหลายคนนิยมมาถ่ายภาพสะพานไม้แห่งนี้กัน ภาพที่ทำให้ผมรู้จักสะพานไม้ปิหลาย เป็นภาพช่วงแสง Twilight หลังพระอาทิตย์ตกไปแล้ว ดูแล้วให้บรรยากาศดีมากๆ ใจจริงผมเองก็อยากจะมาเก็บภาพสะพานไม้ปิหลายช่วงเย็นเหมือนกัน แต่เนื่องจากเวลาไม่ได้ เลยมาเก็บบรรยากาศในช่วงสายๆ แทน แต่การมาช่วงสายก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังเลย ผมได้เห็นความสะอาดของชายหาดที่ทอดยาวสุดสายตา น้ำทะเลสีฟ้ากับฟองคลื่นสีขาวที่ซัดเข้าหาฝั่ง เสียงดังครืนๆ อยู่ตลอดเวลา เดิมตั้งใจจะแวะหยุดพักถ่ายรูปสัก 10-15 นาทีเท่านั้น แต่เมื่อเท้าได้เหยียบลงบนพื้นทรายเท่านั้น เวลาเพียง 15 นาทีคงน้อยเกินไปสำหรับการจะมาสัมผัสบรรยากาศ ณ จุดนี้

ใกล้ๆ สะพานไม้ปิหลาย มองเห็นชาวประมงกำลังออกหา “เคย” วัตถุดิบชั้นดีในการทำกะปิครับ เวลา 15 นาทีที่ผมตั้งใจที่จะอยู่ที่นี่ ขยับไปเป็นครึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว

ออกเดินทางกันต่อสู่จุดหมายต่อไป นั่นคือจุดชมวิวเสม็ดนางชี อีกหนึ่งสถานที่ที่ถ้ามาถูกเวลา จะเป็นจุดที่สวยงามมากๆ ช่วงเวลาที่เหมาะในการมาเที่ยวที่เสม็ดนางชีจะเป็นช่วงเช้า มาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ แต่เนื่องจากเวลาของผมไม่ได้อีกเช่นเคย เลยต้องมาช่วงบ่ายแทนครับ

ผมใช้ GPS ในการนำทางอีกเช่นเคย GPS พาเข้าป่ายาง จนสัญญาณ GPS ขาดหายไป เลยต้องสอบถามชาวบ้านแถวนั้นมาตลอดทาง แอบนึกในใจว่า ถ้าหากผมมาช่วงเช้ามืด เพื่อมารอชมพระอาทิตย์ขึ้น สงสัยคงต้องขับรถหลงไปไกลแน่ๆ

นักท่องเที่ยวจะต้องขับรถมาจอดที่ลานจอดรถ จากนั้นจะต้องเดินขึ้นไปยังยอดเขา ประมาณ 700 เมตร 700 เมตรแนวราบ คงไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม แต่นี่เป็น 700 เมตรซึ่งมีความสูงชัน ผมเลยขอใช้ตัวช่วยครับ

และตัวช่วยที่ผมบอก นั่นคือ รถรับจ้างที่จะพาขึ้นไปยังด้านบน โดยมีค่าบริการ 60 บาทต่อคน ราคา 60 บาทนี้รวมขาขึ้นและขาลงนะครับ นอกจากนี้ยังจะต้องเสียค่าบำรุงสถานที่คนละ 30 บาทด้วย รวมเป็น 90 บาท แต่ถ้าหากใครกำลังขาดี ไม่ใช้บริการรถรับจ้าง ก็เสียค่าบำรุงสถานที่เพียงอย่างเดียวครับ

ขึ้นมาถึงด้านบน ถึงกับอึ้งครับ ถึงแม้วิวจะไม่มีอะไรมากมาย แต่มันก็สะกดผมได้อยู่หมัดเลยทีเดียว เบื้องหน้ามองเห็นภูเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ถ้าเปรียบกับตัวละคร คงต้องยกให้เป็นพระเอก แวดล้อมด้วยทิวเขาสูงที่สลับชั้นเป็น Layer สุดลูกหูลูกตา เปรียบได้กับพระรอง นับว่าเป็นองค์ประกอบที่ลงตัว ทำให้ละครเรื่องนี้น่าติดตามชมเป็นอย่างมากครับ

สำหรับการใช้เวลาที่ด้านบนนี้แล้วแต่เราเลยครับ ใครอยากจะซึมซับกับบรรยากาศนานๆ ก็ไม่ผิดกติกา เบื่อเมื่อไรค่อยลง รถมีบริการตลอด จ่ายค่ารถตอนขึ้นครั้งเดียว ส่วนจะลงตอนไหนก็ได้ครับ

อ้อ ลืมบอกไปว่าด้านบนไม่มีร้านค้านะครับ แถมบ่ายๆ แบบนี้อากาศร้อนเลยทีเดียว หากใครอยากหาเครื่องดื่มขึ้นมาจิบด้านบน สามารถซื้อจากร้านค้าด้านล่าง บริเวณที่เราเสียค่าบำรุงสถานที่ได้เลย ซื้อขึ้นไปจิบด้านบนแล้ว อย่าลืมถือขยะติดกลับมาทิ้งด้านล่างด้วยนะครับ

เส้นทางละแวกนี้แทบจะไม่มีร้านค้าเลย มื้อกลางวันของผมคงต้องเปลี่ยนเป็นมื้อบ่ายไปซะแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาหาร้านอาหารระหว่างทาง ผมเลยวางแผนว่าจะไปทานมื้อบ่ายที่จุดแวะเที่ยวต่อไปครับ

สำหรับจุดหมายต่อไปของผมอยู่ที่กิจกรรมล่องแพไม้ไผ่ที่คลองลำรู่ใหญ่ หรือที่คนแถวนั้นรู้จักกันในชื่อคลองวังเคียงคู่ โดยการล่องแพไม้ไผ่ครั้งนี้ผมใช้บริการของ โกมล คอร์เนอร์ ครับ

ผมมาจอดรถ และติดต่อเรื่องแพที่จุดนี้ครับ แต่ก่อนล่องแพขอเติมพลังกันก่อน ที่นี่มีบริการอาหารด้วยนะครับ เป็นอาหารตามสั่งจะเป็นจานเดียวหรือจะมาแบบเป็น Set ก็มีครับ

จุดที่ผมมาติดต่อเรื่องแพไม้ไผ่จะเป็นจุดสิ้นสุดของการล่องแพ เมื่อจะเริ่มล่องแพ ก็จะมีรถมารับไปส่งยังจุดเริ่มต้นของการล่องแพครับ

ก่อนล่องแพ จะมีการให้เราลงชื่อไว้ เผื่อมีอะไรที่ไม่คาดคิดจะได้ใช้ในการเคลมประกัน จริงๆ ช่วงที่ผมไป น้ำก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่เพราะความกลัวเลยขอใส่เสื้อชูชีพเพื่อจะได้สบายใจครับ

ช่วงที่ผมไป ระดับน้ำไม่สูงมาก เลยทำให้แพไหลไปแบบเรื่อยๆ น้ำใส ไหลเย็น สองข้างทางได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไร มองไปทางไหนก็สดชื่น เพราะเต็มไปด้วยสีเขียวจากต้นไม้ มีผ่านแก่งหิน เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดได้บ้างครับ

ล่องแพไปได้ไม่นาน แอบได้ยินเสียงครางหงิงๆ ผมพยายามมองหาต้นเสียงแต่ก็หาไม่เจอ สักพักคนถ่อแพส่งสัญญา ก็ได้ยินเสียง ตูม... ช่วงนั้นแหล่ะถึงได้เห็นต้นกำเนิดของเสียงที่ตามหา เป็นแขก 4 ขาที่ไม่ได้รับเชิญ กระโดดลงน้ำพร้อมเร่งฝีเท้าในการว่ายน้ำมาขึ้นแพไปกับคณะของผมครับ

น้ำช่วงที่ลึก จะเห็นผิวน้ำเป็นสีเขียวมรกต ส่วนบางช่วงที่ตื้น ก็จะใสจนเห็นหินที่อยู่ใต้น้ำเลยครับ

มีจุดแวะพักให้เล่นน้ำด้วย

ตลอดระยะทางเกือบ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาในการล่องแพประมาณ 1 ชั่วโมง ผมได้ซึมซับกับบรรยากาศเย็นๆ ตลอดเส้นทางค่อนข้างร่มครึ้มจากต้นไม้ใหญ่ นับเป็นการฟอกปอดได้เป็นอย่างดีเลยครับ

เมื่อขึ้นจากแพแล้ว ยังมีบริการผลไม้และน้ำดื่มให้ด้วยครับ

หากใครสนใจในการล่องแพไม้ไผ่ สามารถติดต่อได้ที่โกมล คอร์เนอร์ครับ แพ 1 ลำ สามารถนั่งได้ 2-3 คน ขึ้นอยู่กับขนาดของผู้ล่องครับ สนนราคาแพละ 500 บาท แพเริ่มล่องได้ตั้งแต่ 08.30-17.00 น. สามารถโทรสอบถามได้ที่ 095-4101988 ครับ

สำหรับการเดินทางมายังโกมล คอร์นเนอร์ ให้สังเกตซอยน้ำตกวังเคียงคู่ ปากซอยจะอยู่ระหว่างปั้มบางจากและไปรษณีย์ลำแก่น ขับตรงเข้าซอยมาประมาณ 2.5 กิโลเมตร สภาพเส้นทางเป็นหลุมเป็นบ่อพอสมควร จุดหมายอยู่ทางขวามือครับ

ถามว่าล่องแพแล้วเปียกมากไหม ตอบเลยว่า ไม่มาก (ถ้าไม่ลงเล่นน้ำ) ส่วนที่เปียกจะเป็นช่วงล่างลงไปครับ

ถามว่า เอากล้องใหญ่ลงไปถ่ายภาพระหว่างล่องแพได้ไหม ตอบเลยว่า ถ้าน้ำไม่มาก สามารถเอาไปถ่ายได้ครับ เพราะผมเองก็ใช้กล้องใหญ่ถ่ายภาพเหมือนกัน

ถ้าใครจัดโปรแกรมท่องเที่ยวแถวเขาหลักแบบหลวมๆ แล้วยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน หากมีเวลาสัก 1-2 ชั่วโมง การล่องแพไม้ไผ่วังเคียงคู่นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ครับ

ถึงเวลาอันควรแล้ว คงต้องตรงบึ่งไปยังที่พักแล้วครับ ตลอด 2 คืนที่จะถึงนี้ ผมเข้าพักที่ Mai Khao Lak ครับ

คอนเซปของ Mai Khao Lak คือ Family Life จึงไม่แปลกที่ที่นี่จะให้ความสำคัญกับครอบครัวและเด็กๆ ครับ

พื้นที่ของ Mai Khao Lak กว้างขวางมากๆ ดูเหมือนจะมี 2 Zone คือ Zone ดั้งเดิมและ Zone ใหม่ ด้วยการที่พื้นที่ค่อนข้างกว้าง เลยมีรถกอล์ฟไว้คอยให้บริการด้วยครับ

Lobby แบบ Open Air พื้นที่ค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว ผมมาถึงจังหวะไม่ดี เพราะทัวร์จีนลงพอดี ทำให้ใช้เวลาในการรอ Check in นานพอสมควรครับ

ห้องพักของผมเป็นห้องพักแบบ Deluxe Premium Suite เป็นอาคารที่อยู่ด้านข้าง Lobby ซึ่งชั้นล่างเป็นห้องอาหาร ส่วนห้องพักผมอยู่ชั้นบนครับ

เมื่อเปิดประตูห้องพักเข้าไป ห้องจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ในพื้นที่ส่วนแรกจะเป็นห้องน้ำ ฝั่งซ้ายจะเป็นห้องอาบน้ำ ซึ่งตู้เสื้อผ้าจะอยู่ในพื้นที่ของห้องอาบน้ำครับ เวลาอาบน้ำคงต้องรูดม่านเพื่อปิดให้มิดชิดสักหน่อย ส่วนด้านขวามือจะเป็นในส่วนของอ่างล้างหน้าและห้องส้วมครับ

เดินถัดจากห้องน้ำเข้ามา จะเป็นพื้นที่ในส่วนนั่งเล่น มีโซฟาขนาดใหญ่ พร้อมทีวี และตู้เย็น รวมถึงเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่จะอยู่ในส่วนของห้องนั่งเล่นครับ

และในส่วนที่ 3 จะเป็นส่วนของห้องนอน มีมุมเขียนหนังสือเล็กๆ รวมถึงทีวีอีกหนึ่งเครื่องครับ ในส่วนของห้องนอนนี้สามารถเปิดประตูเพื่อออกไปสูดอากาศ ชมวิวที่ระเบียงได้ด้วย โดยทางโรงแรมได้เตรียมชุดเก้าอี้ไว้ให้พร้อมครับ

ห้องพักถือว่าโอเคเลยครับ แยกสัดส่วนได้ดีทีเดียว อุปกรณ์อำนวยความสะดวกค่อนข้างครบถ้วนครับ

วิวจากระเบียงห้องพัก มองเห็นห้องพักประเภท Villa ด้านหลังต้นไม้ใหญ่จะเป็นทะเลเขาหลักครับ
 

อีกด้านหนึ่งจะมองเห็นห้องพักประเภทตัวตึกเหมือนที่ผมพัก น่าจะเป็นโซนแรกตั้งแต่สร้างโรงแรมครับ

แต่ที่พักในส่วนนี้ จะอยู่ติดสระว่ายน้ำเลยครับ สระว่ายน้ำใหญ่โตเลยทีเดียว

สำหรับโซนนี้น่าจะเป็นโซนที่สร้างขึ้นมาใหม่ มีเครื่องเล่นในสระน้ำอย่าง Slider ด้วยครับ

บรรยากาศช่วงค่ำครับ

ห้องอาหาร Green & Grill

ค่ำนี้ผมมาฝากท้องที่ห้องอาหารของโรงแรมชื่อ Talay Thai อยู่ติดชายหาดเลยครับ ห้องอาหาร Talay Thai จะให้บริการอาหารไทยครับ

ให้บริการทั้งแบบสั่งเป็นกับข้าว หรือจะเป็นอาหารจานเดียวก็มี มื้อค่ำนี้ผมได้ผัดไทกุ้งสด และข้าวผัดปู สนนราคาจานละ 150 บาท มาแบบจานใหญ่อยู่เหมือนกันครับ

และสั่งไก่สะเต๊มาทานเล่นด้วย จานนี้ 180 บาท แอบราคาแรงเหมือนกัน

คืนนี้คงต้องพักผ่อนตุนแรง เพื่อเตรียมไปดำน้ำในวันรุ่งขึ้นครับ

สำหรับเช้าวันใหม่ ผมมีโปรแกรมจะไปดำน้ำและชมวิถีชีวิตของชาวมอแกน ที่หมู่เกาะสุรินทร์ โดยทริปนี้ผมเลือกใช้บริการของ LoveAndaman และ Love Andaman จะส่งรถมารับที่โรงแรมในเวลา 06.50 น. เช้านี้เลยต้องรีบตื่น รีบทาน ก่อนที่รถตู้จะมารับครับ

ห้องอาหาร Mangrove อยู่ชั้นล่างของห้องที่ผมพัก ประตูลิฟต์เปิดมาก็เจอเลย ห้องอาหารเปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00 น. ครับ

ห้องอาหารค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว

มีมุมเล็กๆ ไว้สำหรับเด็กด้วยครับ

ไลน์อาหารจะอยู่ส่วนกลางของห้องอาหารครับ

ไลน์อาหารเช้าก็พอสมควรครับ

มุมข้าวต้ม

มุมสลัด

มุมผลไม้

มุมเบเกอรี่

โดยรวมแล้ว ผมว่าอาหารยังกลางๆ อยู่ครับ

ถ้าใครอยากมานั่งทานริมสระก็ได้นะครับ ช่วงเช้าอากาศดีครับ

ด้วยพื้นที่ของ Mai Khao Lak กว้างมากๆ ทำให้ทางโรงแรมต้องเตรียมห้องอาหารไว้หลายห้องเพื่อป้องกันการกระจุกตัวของแขกให้มาแออัดอยู่ในห้องอาหารเดียว ห้องอาหาร Buffet เป็นอีกหนึ่งห้องอาหารที่อยู่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมไว้สำหรับแขกที่พักในโซนใหม่ครับ

มื้อเช้านี้ค่อนข้างรีบทานมากๆ เพราะกลัวจะไม่ทันเวลาที่รถตู้จะมารับ จริงๆ ที่ท่าเรือ Love Andaman ก็มีของว่างไว้คอยต้อนรับ แต่เนื่องจากไม่อยากหวังน้ำบ่อหน้า เลยจัดการให้เสร็จสิ้นตั้งแต่อยู่ที่โรงแรมครับ

เนื่องจาก Mai Khao Lak อยู่ห่างจากแหล่งชุมชนรวมถึงศูนย์รวมที่พักที่เขาหลักมาไกลพอสมควร จึงทำให้รถตู้ต้องมารับคณะของผมเป็นชุดแรก จากนั้นถึงตะเวนรับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงท่าเรือทับละมุครับ

เมื่อมาถึงท่าเรือ ก็ทำการ Check in และลงชื่อสำหรับทำประกันการเดินทางกันให้เรียบร้อยซะก่อนครับ

จากนั้นก็นั่งรอเวลา รอจนกว่าสมาชิกจะมาครบกัน ระหว่างรอก็มีของว่างให้ทานเล่นไปเรื่อยๆ ครับ

มีร้านค้าจำหน่ายทั้งของที่ระลึก รวมถึงของจำเป็นสำหรับการดำน้ำ ไม่ว่าจะเป็นชุดใส่ดำน้ำ กระเป๋ากันน้ำ และยังมีของอื่นๆ ที่น่าสนใจเยอะเลยครับ

ก่อนขึ้นเรือ ไกด์จะมาบรรยายให้ฟังว่า วันนี้เราจะไปทำอะไรที่ไหนอย่างไรบ้าง เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันได้เลย แต่ก่อนขึ้นเรือ ทุกคนต้องฝากรองเท้าไว้ที่ท่าเรือนะครับ

ถ้าหากคลื่นลมทะเลสงบเราจะใช้เวลานั่งเรือขาละประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาทีครับ ช่วงเช้าผมสังเกตเห็นว่าฟ้าแอบปิดบ้าง เลยแกล้งทำทีสอบถามไกด์ว่าไปถึงหมู่เกาะสุรินทร์แล้ว จะได้ฟ้าใสๆ ไหม ไกด์บอกว่าน่าจะได้ เพราะเมื่อวันก่อน แดดแรงมาก ผมเองก็เบาใจไปเปราะหนึ่งครับ แต่เมื่อเรือออกมาได้สักระยะหนึ่ง ก็รับรู้ได้ว่าฝนตก ดีที่ตกแป๊บเดียว เลยทำให้คลื่นไม่สูงมากนัก เห็นสมาชิกในเรือบางคนเริ่มมีอาการเมาเรือด้วย

ใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงเหมือนกัน ก็มายังจุดหมายแรกของทริป นั่นคืออ่าวบอนใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านมอแกน มองเห็นเป็นชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในอ้อมกอดของป่าทึบ เหนือผืนน้ำสีเขียวมรกต สวยงามเลยทีเดียว

ผมมีเวลาอยู่ที่หมู่บ้านมอแกน 20 นาที คงต้องใช้เวลาทุกนาทีให้เกิดประโยชน์ที่สุด รีบเดินชมวิถีชีวิตของชาวมอแกน ชาวมอแกนที่เป็นผู้หญิงทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆ จะมานั่งขายของที่ระลึกอยู่บริเวณใต้ถุนบ้านของตัวเอง ส่วนผู้ชายไม่ค่อยเห็นสักเท่าไร คาดว่าน่าจะออกไปหาปลาหาปลิงทะเลเพื่อส่งขายครับ

ชาวมอแกน เป็นชนกลุ่มเล็กๆ มีวิถีชีวิตอยู่กับทะเลมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เดิมจะเร่ร่อนอยู่ในทะเลอันดามัน แต่ปัจจุบันมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่อ่าวบอนใหญ่แห่งนี้ ชาวมอแกนทุกคนจะมีนามสกุลเดียวกันทั้งหมด นั่นก็คือ “กล้าทะเล” ซึ่งเป็นนามสกุลพระราชทานจากสมเด็จย่าครับ

เรือลำขวามือคือเรือก่าบาง พาหนะคู่ชีวิตของชาวมอแกน ที่มีหน้าที่ทั้งเป็นเรือประมงและบ้านพักอาศัย เรือก่าบางมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใครนั่นคือ เป็นเรือที่ไม่ใช้ตะปูในการสร้างเลย ถือเป็นภูมิปัญญาของชาวมอแกนจริงๆ ครับ

ลำที่เห็นนี้ไม่ใช่เรือก่าบางนะครับ

ผู้หญิงมีหน้าที่ทำของที่ระลึก ไว้รอจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว

ของส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าประเภทไม้ สร้อยข้อมือครับ

ส่วนเด็กๆ ก็เล่นกันตามประสา ไม่รู้แก่เหน็ดแก่เหนื่อยใดๆ เลย

ได้เวลาอันสมควร คงต้องไปต่อแล้ว จากหมู่บ้านมอแกนเรานั่งเรือต่อไม่นาน เรือก็มาจอดให้เราได้ฝึกดำน้ำกันก่อน ผมเองว่ายน้ำไม่เป็น เวลาที่จะดำน้ำก็จะมีไกด์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดครับ พยายามพาผมออกไปหาดูจุดที่ปะการังสวยๆ

ดำน้ำกันสักพัก ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว มื้อนี้เป็น Buffet ที่เป็นบริการของทางอุทยาน ผมไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ชมนะครับ เพราะว่าแขกมาต่อแถวตักอาหารกันเยอะมากๆ ครับ

ทาง Love Andaman จะมีบริการเป็นน้ำผลไม้ รวมถึงของว่างเพิ่มเติมมาให้ เป็นข้าวเหนียวสังขยา ขนมฟักทอง และขนมขบเคี้ยวเล็กๆ ครับ

หลังมื้อเที่ยง ยังพอมีเวลาเหลือนิดหน่อย เลยเดินไปหามุมถ่ายภาพด้านหลังที่ทำการอุทยาน ขอบอกเลยว่า ทรายขาว น้ำใสมาก แถมฟ้าเป็นใจด้วย

จากนั้นไปดำน้ำกันต่อที่ Nemo Paradise แล้วก็ได้เห็นนีโมเยอะเลยครับ จริงๆ ที่จุดแรกก็พอจะเห็นนีโมได้บ้าง แต่เห็นไม่กี่ตัว แต่จุดนี้ ได้เห็นนีโมเยอะเลย นีโมส่วนใหญ่จะหากินอยู่แถวดอกไม้ทะเล แต่ผมว่าความอุดมสมบูรณ์ของดอกไม้ทะเลที่จุดนี้ยังน้อยกว่าที่ผมเคยไปดำดูแถวๆ ทะเลแถบชุมพร ที่นั่นดอกไม้ทะเลเป็นดงเยอะมากๆ ครับ

มาปิดท้ายที่อ่าวสับปะรด จุดนี้ผมไม่ได้ลงดำน้ำแล้ว เนื่องจากคิดว่ามันก็คงเหมือนๆ เดิม แต่เพื่อนร่วมทริปหลายๆ คน หลังจากขึ้นมาจากน้ำแล้ว ก็มาคุยทับว่าจุดนี้สวยกว่าสองจุดแรก ได้เห็นปลาหลากหลายชนิดมากๆ ได้ยินแบบนั้นแล้วก็นึกเสียดายที่ไม่ได้ลงไปดำครับ

ต้องขอขอบคุณน้องไกด์ทุกๆ คนที่ให้การดูแลเป็นอย่างดี ลากผมไปทุกที่ที่เห็นฝูงปลา/ดงปะการังสวยๆ พยายามให้ผมได้ลองดำน้ำด้วยตัวเองและคอยตามประกบตามผมไปเรื่อยๆ

เรามาปิดทริปดำน้ำกันที่อ่าวสับปะรดครับ จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ท่าเรือทับละมุ ใช้เวลาเดินทางประมาณเท่าๆ กับขามา เนื่องจากระยะทางค่อนข้างไกล กรุ๊ปหมู่เกาะสุรินทร์จึงมาถึงท่าเรือเป็นกรุ๊ปสุดท้าย เมื่อขึ้นฝั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังมีบริการส้มตำ ผัดหมี่ และไอศกรีมก่อนกลับด้วย เสียดายที่ไอศกรีมหมดซะก่อน แอบติดใจรสชาติไอศกรีมของ Love Andaman เมื่อครั้งตอนที่เดินทางไปเกาะไม้ท่อนครับ อ้อ ทาง Love Andaman ไม่มีบริการผ้าเช็ดตัวให้นะครับ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมผ้าเช็ดตัวไปเองครับ

รถตู้พาผมกลับมาถึงที่พักก็เกือบจะหกโมงเย็นเลยครับ เป็นช่วงแดดร่มลมตกพอดี มาถึงก็รีบอาบน้ำ เตรียมออกไปหาอะไรทานที่นอกโรงแรมกันครับ

หลังอาบน้ำเสร็จก็นั่งหาข้อมูลของร้านอาหารแถวเขาหลัก แต่ละรีวิวล้วนแนะนำว่าต้องมาทานที่ ร้าน”คนต้องสู้” ครับ ผมเลยตามไปชิม

ร้าน “คนต้องสู้” อยู่แถวๆ ชายหาดบางสัก ผมมาถึงร้านก็เกือบจะทุ่มครึ่งแล้ว เลยมองไม่เห็นบรรยกาศโดยรอบเลย

จากที่ผิดหวังเรื่องการหาอาหารทะเลทานที่หาดราไวย์มาเมื่อวันแรก มื้อนี้เลยขอจัดเต็มอาหารทะเลแบบไม่ยั้งครับ เริ่มด้วยหอยชักตีนลวก หอยตัวใหญ่ สด รสชาติหวาน มากับน้ำจิ้มรสเด็ด อร่อยเชียวครับ สนนราคาจานนี้ 150 บาทครับ

ตามมาด้วยหอยแครงลวก คละขนาด ตัวใหญ่ก็ใหญ่เบิ้ม ตัวเล็กก็มาแบบไซส์ลูก ทางร้านน่าจะเสิร์ฟตามน้ำหนักหอยครับ จำไม่ได้ว่าสั่งไปครึ่งหรือหนึ่งกิโล หอยสดเลยทีเดียว จานนี้อยู่ที่ 150 บาทเหมือนกันครับ

กุ้งอบเกลือ เมนูนี้ก็อร่อยครับ จานนี้แอบแพงหน่อย 450 บาท

ปลาหมึกย่างมาจานใหญ่เลยทีเดียว ทานกันไม่หมด จานนี้ 250 บาทครับ

ปิดท้ายด้วยปลาลุยสวน เป็นปลาพื้นบ้าน ผมจำชื่อปลาไม่ได้แล้ว น้ำหนักประมาณ 1 กก. ปลาทอดออกมาได้กรอบกำลังดี ราดด้วยน้ำยำที่ทำด้วยน้ำพริกเผา โรยหน้าด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ รสชาติออกหวานนำจากน้ำพริกเผา อร่อยดีครับ เมนูนี้เกลี้ยงจานเลย เมนูนี้ 400 บาทครับ

ถือว่าไม่ผิดหวังที่ตามรีวิวมาทานครับ หากใครพักแถวๆ เขาหลัก ลองไปชิมดูนะครับ อาจจะติดใจเหมือนที่ผมติดใจครับ ครัวที่นี่จะปิดประมาณสองทุ่มครึ่งครับ

เช้าวันใหม่ ผมไม่ต้องรีบเร่งเหมือนวันที่ต้องเดินทางไปหมู่เกาะสุรินทร์แล้ว เลยมีเวลาละเลียดกับอาหารเช้าครับ

อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาด หากมาเที่ยวที่เขากลัก นั่นคือน้ำตกสายรุ้งครับ

น้ำตกสายรุ้งหรือน้ำตกปากวีป อยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลัก ขับรถไปเรื่อยๆ ผ่านป่ายาง ประมาณ 2 กม. ก็มาถึงแล้วครับ บริเวณที่จอดรถเป็นที่จอดรถของเอกชน ต้องเสียค่าจอดคันละ 20 บาทครับ

จากจุดจอดรถ จะมองเห็นลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากน้ำตกสายรุ้ง เราเดินข้ามสะพานตรงนี้ไปนิดหน่อย ประมาณ 150 เมตรก็ถึงน้ำตกสายรุ้งแล้ว

สภาพเส้นทางก็ไม่โหดด้วย เป็นทางราบ เดินไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว

จริงๆ แล้ว สถานที่ท่องเที่ยวของพังงาที่ติดเขาหลักก็ยังมีอีกหลายสถานที่ที่น่าสนใจ อย่างที่ อ.ตะกั่วป่า มีทั้ง Little Amazon หรือจะไปย้อนเวลาที่ตลาดเก่าตะกั่วป่าก็ได้ครับ

ต่อไปพังงาคงไม่ได้มีดีแค่อ่าวพังงานะครับ ลองจัดทริปเที่ยวพังงาแบบเต็มๆ ดู แล้วจะรู้ว่า พังงามีอะไรดีๆ มากกว่าที่คิดครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ