สะพายเป้เที่ยว~ 3 วัน 2 คืน ณ "บ้านกกกอด" เมืองกาญ

สวัสดีจ๊ะ...  นี่เป็นการรีวิวครั้งแรกของเราเลย : ) 

จริงๆ เราเป็นคนไปเที่ยวบ่อย แต่เพิ่งจะมาตัดสินใจลองตั้งรีวิวท่องเที่ยวจริงจังก็ครั้งนี้แหละค่ะ ฝากด้วยนะคะ.. 

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

เราจะขอเกริ่นหน่อยว่า การที่เราจะลงมือวางแพลนจะทำอะไรสักอย่างสำหรับเรามันไม่ง่ายเลยนะ เช่น การวางแพลนจะไปเที่ยว เราเชื่อว่าทุกคนก็ต้องมีการวางแพลนบ้างแหละเนอะ เราเองก็มีการวางแพลนก่อนจะไปเที่ยวเหมือนกันนะ แถมไม่ล่มด้วย5555 ต้องคิดว่าจะไปเที่ยวยังไง จะต้องเตรียมเงินประมาณกี่บาท จะพักที่ไหนดี มันต้องคิดอะไรหลายๆอย่างเลยนะกว่าเราจะได้ไปเที่ยวกัน.. 

      สุดท้ายเราก็ได้มาเที่ยวกันที่  บ้านกกกอด กาญจนบุรี  ค่ะ เรามาเที่ยวช่วง 20-22 มิถุนายน 2560  เราตั้งงบกันไว้ประมาณ  2,500 บาทต่อคน ทริปนี้เราไปกัน 2 คนค่ะ  รถไม่มี มีแต่ใจและจับมือไปพร้อมกันกับการเดินทางครั้งนี้ พร้อมแล้วก็ไปกันเลยค่าาาา...

 

 

“บ้านกกกอด”   มีความสะดวกพอดีๆ แต่มีความสบายใจเหลือล้น รอให้คุณได้มาสัมผัส

และซึมซับด้วยตัวคุณเองบ้านกกกอด อยู่ใน ตำบลช่องสะเดา อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ค่ะ

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

การเดินทาง

 

สำหรับการเดินทางสามารถมาได้ทางรถส่วนตัว รถตู้ หรือรถทัวร์ก็ได้ค่ะ แต่ในการเดินทางของเรานั้น เราเลือกเดินทางด้วยรถไฟค่ะ เป็นรถไฟฟรี  เรามาขึ้นรถไฟที่สถานีธนบุรี  เพราะเราลองหาในกูเกิ้ลแล้วว่าที่สถานีหัวลำโพงไม่มีไปกาญจนบุรีค่ะ เรามาถึงสถานีรถไฟธนบุรี ก็รีบตรงดิ่งไปขอแลกตั๋วรถไฟฟรีเลย เราต้องยื่นบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่ดูด้วยแล้วบอกเจ้าหน้าที่ว่าไปกาญจนบุรีค่ะ เราออกจากสถานีรถไฟธนบุรี ประมาณ 7:50 น. มาถึงสถานีรถไฟกาญจนบุรี ตอน 10:30 น. ใช้เวลา 3 ชั่วโมงหน่อยๆได้ค่ะ

 

 

 

เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการรอขบวนรถไฟ นั่งอยู่ว่างๆ มันก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยออกมาเดินถ่ายรูปเล่นไปพลางๆก่อนค่ะ ฮ่าฮ่า

 

 

 

และขบวนรถไฟที่เรานั่งรอ ก็กำลังจะเข้ามาใกล้แล้ว จะได้ขึ้นไปนั่งชิวๆ บนรถไฟแล้วเย้

 

 

 

ขึ้นมาแล้วก็เก็บตั๋วดีๆ ล่ะ  เพราะจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วบนรถไฟค่ะ

นี่ไงเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว พูดจาดี ยิ้มแย้ม ใครอยากรู้หรือสงสัยว่าจะลงตรงไหนก็ถามเจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ 

 

 

ระหว่างที่เรานั่งอยู่บนรถไฟ นอกจากจะหยิบหูฟังขึ้นมาฟังเพลงแล้ว เราก็หันไปหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปไปด้วย  มันก็ช่วยให้เราแก้เบื่อได้นะ..  :) 

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

“ แสงแดดตอนแปดโมงสี่สิบห้า ”

 

“เด็กน้อยชาวต่างชาติ”

เสียดายที่น้องไม่ให้หันหน้ามาหาพี่ พี่ก็ขอแอบถ่ายน้องจากด้านหลังละกันเนอะ 

 

 

 

“คุณลุง”

 

 

“ระหว่างทาง”

 

 

บนรถไฟก็ ยังมีพ่อค้าแม่ค้าขึ้นมาขายอาหาร  ผลไม้  น้ำ  ข้าวเหนียวหมู ก๋วยเตี๋ยวห่อ และอย่างอื่นอีกมากมายด้วยนะคะ รถไฟจอดที่สถานีไหนก็จะมีแม่ค้าพ่อค้าขึ้นมาขายอาหารเรื่อยๆ ราคาไม่แพงด้วยแหละ เรากินก๋วยเตี๋ยว ห่อละ 10 บาทเอง

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

 

เย้เย้ … เรามาถึงสถานีรถไฟกาญจนบุรีกันแล้ว มาถึงก็เวลาประมาณ 10 โมงกว่าๆ ได้ค่ะ เราก็หยิบกระเป๋าเป้แสนรัก แล้วรีบลงจากรถไฟ  เพื่อจะไปหารถต่อไปที่สถานีขนส่งกาญจนบุรีค่ะ และเราก็เจอรถสองแถวแดงจอดอยู่ตรงสถานีรถไฟกาญเลย  ก่อนจะขึ้นเราก็ต้องถามน้าคนขับให้แน่ใจก่อนนะว่าไปสถานีขนส่งกาญรึเปล่า  ถ้าไปจะรอช้าทำไม รีบขึ้นไปนั่งบนรถเลยค่ะ..

 

 

 

 

และเราก็มาถึงสถานีขนส่งกาญจนบุรีในที่สุด ใช้เวลานั่งรถมาประมาณไม่เกิน 15 นาทีค่ะ เสียค่ารถไปคนละ 20 บาท

 

 

 

 

ต่อไปถึงเวลาที่เราทั้งคู่ จะออกตามหารถไปลง แยกโป่งปัดกันค่ะ เราก็ถามคนแถวนั้นว่าต้องไปขึ้นตรงไหน ก่อนจะมาเที่ยว เราก็หาข้อมูลมาล่วงหน้าก่อนหน้านี้แล้วค่ะว่า ถ้าไปบ้านกกกอดต้องลง  “แยกโป่งปัด”  แล้วต้องไปขึ้นรถประจำทางคันสีน้ำเงิน ที่เขียนข้างรถว่า  กาญจนบุรี – เอราวัณ  พอเราเจอรถคันสีน้ำเงินละ เราก็ไปซื้อตั๋วที่โต๊ะข้างหน้ารถค่ะ บอกป้าคนขายตั๋วรถว่า  ไปลง แยกโป่งปัด เสียค่ารถคนละ 40 บาท  ( แต่ถ้าใครจะไปน้ำตกเอราวัณ จะเสียคนละ 50 บาทค่ะ )

 

 

 

 

บอกก่อนตรงนี้ไว้เลยนะคะว่า ถ้ายังไม่ถึงเวลารถประจำทางออก อย่าเพิ่งขึ้นไปนั่งรอบนรถนะคะ เพราะข้างบนรถค่อนข้างจะร้อน เป็นไปได้หาที่นั่งแถวนั้นใกล้ๆ จะดีกว่าค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า 

 

พอถึงเวลา  11:20 น. ถึงเวลาที่รถจะออกแล้ว เย้ๆ ตอนแรกคิดว่าบนรถจะมีเราแค่สองคนเหงาๆซะและ แต่เปล่าเลย ก็มีชาวต่างชาติและคนกาญที่เขากำลังจะกลับบ้านขึ้นมาเรื่อยๆ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าบนรถไม่เงียบละ ฮ่าๆๆ 

 

 

 

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

เรานั่งรถประจำทางคันสีน้ำเงินมาได้เรื่อยๆ เวลาก็ผ่านไป เกือบชั่วโมงนึง ก็ถึงจุดหมายปลายทางละค่ะ น้าคนขับก็จอดให้เราลงที่แยกโป่งปัดทันที…

 

 

 

เราลงรถมาปุ๊บ ก็ยืนงงๆ อยู่ตรงนั้นแปปนึง มองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดีตอนนั้น   ยืนอยู่ตรงนั้นประมาณ 5 นาทีค่ะ โทรไปทางบ้านกกกอดไม่มีใครรับสาย  เรากับแฟนเลยตัดสินใจเดินไปทางขวาของแยกโป่งปัด เดินผ่านร้านอาหารแกงป่า ก็มีป้าคนหนึ่งกำลังกวาดพื้นอยู่ ป้าตะโกนมาว่า จะไปบ้านกกกอดกันหรอหนู นี่ก็ตอบกลับไปหาป้าแกว่า ใช่ค่ะ ป้าบอกจะเดินไปกันมันไกลมากเลยนะ  ป้าแกก็เลยให้เราเข้าไปนั่งรอในร้าน  โหยยย!! ป้าใจดีมากๆเลย  เวลาผ่านไปสักพักใหญ่  เราก็โทรไปที่บ้านกกกอดอีกรอบและเขาก็รับสายเราแล้วค่ะ ดีใจโคตร และพี่ที่ดูแลเขาก็มารับเราหน้าร้าน เจ้วินแกงป่า ก็คือร้านที่เรานั่งรอนั่นแหละค่ะ เราก็หันไปขอบคุณป้าวินก่อนจะไปขึ้นรถ ต้องขอบคุณป้าวินที่ให้เราเข้าไปนั่งพักในร้าน ขอบคุณมากๆ ค่ะ…  

 

 

เจ้วินแกงป่า

 

 

 

ในที่สุดเราก็ได้ขึ้นรถเข้าไปบ้านกกกอดสักทีและมีเด็กน้อยข้างพี่คนขับมารับเราด้วย ฮ่าฮ่า  รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

 

ถึงแล้วโว้ยยยยย บ้านกกกอด

 

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

วันแรก

บ้านกกกอดจ๋า… ข้ามาเยือนแล้วนะ

 

 

 

พี่ที่ขับรถมารับเรา เขาก็คือพี่ที่ดูแลที่พักบ้านกกกอดนี่เอง เราเดินขึ้นมาข้างบนหน้าเคาน์เตอร์ เพื่อที่จะเช็คอินเข้าที่พัก เราเช็คอินตอนเวลา 14:00 น เรารับรู้ข้อตกลงของที่พัก แต่ถ้าใครอยากถามอะไร เวลาพี่เขาไม่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ เราสามารถกดกริ่งตรงเสาด้านซ้ายได้เลย เพราะบางทีพี่เขาจะอยู่ในห้องข้างเคาน์เตอร์ค่ะ และก็จะมีพี่ผู้หญิงอีกคนเขาก็ดูแลที่นี่เหมือนกันค่ะ

 

 

 

ด้านซ้ายข้างเคาน์เตอร์ จะมีร้านเล็กๆ ขายพวก น้ำ  มาม่า ขนมต่างๆนาๆ ไว้ให้เราได้ซื้อด้วยนะ และก็จ่ายตังหน้าเคาน์เตอร์กับพี่ผู้หญิงที่ดูแลได้เลยค่ะ สะดวกสบายสุดๆ

 

 

 

บอกก่อนเลยว่าบ้านกกกอดมีห้องพักหลายรูปแบบให้เราเลือก ถ้าเป็นแบบห้องแอร์ มีห้องน้ำในตัว ได้แก่  บ้านกระท่อมไม้  บ้านริมบึง  บ้านชมดาว  บ้านริมน้ำ  บ้านพฤกษา   ส่วนแบบห้องพัดลม จะใช้ห้องน้ำส่วนกลาง ( ห้องน้ำแยกชาย-หญิง แยกห้องอาบน้ำและห้องสุขา ) ได้แก่ บ้านวิวเขื่อน   และกระโจมเต็นท์

 

                ** ห้องพักทุกห้องไม่มีทีวี และตู้เย็นภายในห้องนะคะ แต่จะมีโคมไฟ และปลั๊กสำหรับชาร์จไฟ

                ** ที่บ้านกกกอดไม่มี Wifi   เนื่องจากอยู่นอกพื้นที่อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง แต่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ 3G ทุกค่าย

 

ราคาของบ้านพักก็จะแตกต่างกันออกไปค่ะ ขึ้นอยู่กับรูปแบบของบ้านและช่วงเวลาเข้าพัก  ถ้าวันธรรมดาจะอีกราคานึง ส่วนวันเสาร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์  ก็จะอีกราคานึง แต่บอกเลยว่าสบายกระเป๋าแน่นอนค่ะ หากใครสนใจ อยากแวะไปเที่ยวไปสัมผัสธรรมชาติ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมในลิ้งก์นี้ก่อนได้ค่ะ http://www.baankokkod.com/roomrates.htm

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

ถึงเวลาที่เราจะไปดูห้องพักกันละ พี่ที่ดูแลเขาก็พาเราไปดูห้อที่พัก พร้อมบอกเวลารับประทานอาหารเช้า คือ 7:30 – 10:30 น. ค่ะ เอาล่ะ เราก็ไปสำรวจบ้านพักกันดีกว่า..

นี่คือบ้านกระท่อมไม้ที่เราเข้าพักค่ะ เราจองวันธรรมดา  ราคาจะอยู่ที่ 1,400 บาท ต่อห้องต่อคืน แต่เราอยู่   2  คืนค่ะ เป็น 2,800 บาท จะรวมค่าภาษีอีก 7% ด้วยค่ะ เป็น 2,996 บาท  เราจองบ้านกระท่อมไม้ และบ้านริมบึง ( บ้านกระท่อมไม้มีคนเข้ามาจองต่อ จึงทำให้เราต้องย้ายไปบ้านริมบึง ) แต่ดีที่อยู่ใกล้กัน เลยสะดวกต่อการย้าย ฮ่าฮ่าฮ่า  

( **จะมีแต่ภาพบ้านกระท่อมไม้นะคะ บ้านริมบึงเราลืมถ่าย  ) แต่ถ้าใครอยากดูรูปบ้านริมบึงก็ดูได้จากลิ้งก์ด้านบนได้เลย

 

นี่ไง…บ้านกระท่อมไม้

 

 

( ส่วนของหน้าบ้าน )

 

 

( ภายในห้อง )

 

ประตูตรงนี้จะเป็นประตูห้องน้ำนะคะ  แต่เราไม่ได้ถ่ายภายในห้องน้ำไว้เลย  เพราะเราลืมอีกแล้วค่ะ มัวแต่ตื่นเต้น ฮ่าฮ่าฮ่าแต่ในห้องน้ำสะอาดมากๆ มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีครีมอาบน้ำและยาสระผม แถมมีห้องอาบน้ำแบบ Outdoor ด้วยนะคะ คือดีมากอะเธอออ..

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

เราเก็บของกันเสร็จเรียบร้อย ก็เตรียมตัวจะออกไปเดินสำรวจรอบๆ บ้านกกกอดซะหน่อย ที่นี่จะมีมุมให้เราไว้ถ่ายรูปหลายมุมเลย แต่เราเก็บภาพมาเป็นบางส่วนนะคะ ไปลุยกันเลยค่ะ…

 

 

เดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงสะพานไม้ไผ่  สะพานไม้ไผ่ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ เป็นจุดชมวิวที่สวยและดีมาก

 

“ต้นกก” ล้อมรอบเยอะขนาดนี้… ก็สมชื่อแล้วหละค่ะว่าทำไมถึงชื่อ  “บ้านกกกอด”

 

 

 

และตรงทางสะพานไม้ไผ่จะมีบ้านพักอยู่  7 หลัง แถมติดกับวิวซะด้วย เป็นบ้านพักชื่อว่า บ้านวิวเขื่อน เป็นห้องไม่มีแอร์ เป็นพัดลม ไม่มีทีวีตู้เย็น ใช้ห้องน้ำส่วนกลาง ถ้าใครอยากนอนติดกับวิวสวยๆ เราก็แนะนำบ้านวิวเขื่อนค่ะ

 

 

 

ข้างหลังบ้านพักวิวเขื่อน ก็จะมีโต๊ะหินอ่อนไว้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจ หรือมานั่งเม้ามอยกับเพื่อนฝูงไดจ้า 

 

 

 

ที่นี่มีห่านอยู่ฝูงหนึ่ง มีประมาณ  6 ตัว แถมดุอีกต่างหาก เราจะเขาไปถ่ายรูปมันใกล้ๆ แต่กลับโดนมันวิ่งเข้ามาไล่เรา เกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยจ้า หลังจากนั้นก็ไม่กล้าเข้าใกล้มันเลย ขออยู่ห่างๆ จะดีกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า

 

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

มาต่อกันที่ส่วนต่อไป…   บริเวณนี้เป็นที่ไว้สำหรับรับประทานอาหารเช้าค่ะ หรือถ้าใครเบื่อที่จะอยู่แต่ในห้อง สามารถมานั่งเล่นนั่งคุยได้ตลอดเวลาเลยนะคะ 

 

 

 

มีบันไดให้เราเดินขึ้นไป จะนั่งหรือจะนอนเล่นได้นะ ข้างบนลมเย็นมาก มองเห็นวิวรอบๆ บ้านกกกอดเลยค่ะ  

 

 

 

เราก็เดินสำรวจกันมาจนฟ้าใกล้จะมืดละ ก่อนที่จะกลับห้องพัก ก็ขอถ่ายรูปวิวอีกซะหน่อยละกัน เดี๋ยววันพรุ่งนี้จะมาลุยต่อ

 

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

เอ่อ…ลืมบอกไปค่ะว่าถ้าใครอยากจะกินอาหารเย็น ก็สามารถไปสั่งข้าวได้กับพี่ที่ดูแลหน้าเคาน์เตอร์ได้เลยนะ พี่เขาจะมีใบเมนูอาหารตามสั่งมาให้เราเลือก  และพี่เขาจะโทรไปสั่งร้านอาหารให้อีกที ถ้าอาหารมาแล้ว พี่เขาจะมาเรียกเราที่ห้องค่ะ

หลังจากที่เรากินข้าวเย็น ละก็อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เราก็เข้านอนกันตามปกติ..

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

วันที่สอง

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นขึ้นมาตอน ตี 5:50 น. เราจะเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันค่ะทุกคนนน… เราชอบมากกับการดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกเนี่ย มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก  เราเดินออกไปดูกันที่สะพานไม้ไผ่ค่ะ

 

 

 

 

 

5 นาทีผ่านไป เรายังไม่เห็นวี่แวแสงสีส้มของพระอาทิตย์เลยค่ะ ก็นั่งรอกันต่อไป 10 นาทีผ่านไปก็แล้ว  พระเจ้า!! ไหนล่ะไอแสงพระอาทิตย์ขึ้นเนี่ย เราก็ไม่ไหวจะรอแล้ว  ก็ขอไปถ่ายรูปวิว บรรยากาศแทนละกัน

เราอยากบอกพวกคุณว่าที่นี่สงบมาก มายืนริมเขื่อนตอนเช้า สูดอากาศบริสุทธิ์ แถมได้ยินเสียงนกคุยกันอีก  เห้ยมันดีจริงๆนะ 

 

 

 

 

เก็บรูปใส่เมมโมรี่เสร็จ  ชักจะเริ่มหิว เพราะมันถึงเวลาแล้ว เวลารับประทานอาหารเช้าจ้า  หน้าตาอาหารเช้าก็เป็นแบบนี้

แถ่น…แทนน…แท้นนนน… 

 

 

 

มีข้าวต้มให้เราตักด้วยนะ มื้อนี้ก็จะอิ่มไปอีกมื้อจ้า  แถมยังมีที่ชงกาแฟ ไมโลไว้ให้สำหรับเราด้วยนะคะ ดีสุดๆไปเลยยย…

 

 

 

 

กินอาหารเช้าเสร็จ ก็กลับเข้าห้องมาอาบน้ำแต่งตัว รอเวลาจะออกไปเดินเล่นอีก  จะเดินสำรวจให้ครบทุกซอกทุกมุมเลย ฮ่าๆ

ที่นี่มีให้บริการพายเรือคายัค และเรือแจวฟรีนะคะ พอตกช่วงบ่ายๆ เย็นๆ เราก็ไม่รอช้า เดินไปหยิบอุปกรณ์ ทั้งไม้พาย และเสื้อชูชีพ   ส่วนโซนอุปกรณ์พายเรือจะอยู่ตรงที่รับประทานอาหารเช้าเลยค่ะ 

 

 

 

พอเราพายเรือเล่นสมใจอยากละเราต้องเอาอุปกรณ์ที่เราหยิบมาเก็บไว้ที่เดิมด้วยนะคะ  และเราก็มาเดินตระเวนถ่ายรูปอีกค่ะ 

 

 

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

มาตรงมุมนี้กันบ้าง 

เราสามารถนำมาเขียนชื่อ หรือว่าเขียนข้อความไว้เป็นที่ระลึกให้กับบ้านกกกอดได้นะคะ

( แต่น่าเสียดายที่เราลืมเขียน )

 

 

 

 

มีดอกไม้ให้เราได้ชม

 

 

 

มีผีเสื้อให้เราได้เห็น

 

 

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

วันที่สาม

 

และวันนี้ก็มาถึง วันที่เราจะต้องจากกันแล้วนะบ้านกกกอด เราต้องคิดถึงเธอแน่ๆ  

พี่ที่ดูแลเขาแนะนำมาว่า ถ้ามาช่วงปลายฝน ต้นหนาว อากาศที่บ้านกกกอดจะดีมาก ที่นี่จะมีดอกไม้… ( เราจำชื่อไม่ได้ ) จะล่วงเต็มเลย  แล้วก็จะได้เห็นหมอกในช่วงเช้า เป็นไปได้เราจะกลับมาหาอีกนะ..

 

 

 

ความรู้สึกตอนนี้  คือ อยากจะอยู่ต่อที่นี่อีกสักวัน คือมันเป็นสิ่งที่เราชอบมาก วิวสวย  อากาศดี มองเห็นภูเขา  เห็นสายน้ำ ได้อยู่แบบนี้มันก็มีความสุขแล้ว..  อยากจะหอบธรรมชาติที่นี่กลับไปกอดที่บ้านด้วยเลย ฮ่าฮ่า 

 

 

 

 

ผู้ร่วมเดินทางผจญภัยไปพร้อมกับเรา ไม่มีคนนี้  ทริปนี้ก็ไม่เกิด..

 

ขอบคุณนะที่มาด้วยกัน..

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องไปจากบ้านกกกอดจริงๆ เรากินอาหารเช้า อาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย  เราก็เช็คเอาท์ออกจากที่พักตอน   9 โมงกว่าๆ  แล้วมานั่งรอรถหน้าเคาน์เตอร์ที่ทางบ้านกกกอดจะไปส่งเราที่แยกโป่งปัด 

รถรับ-ส่ง บ้านกกกอดมีบริการทุกวันตอน 10:00  น.   เราก็ขึ้นรถตอน  10:15 น.โดยมีลุงที่บ้านกกกอดขับมาส่งเราค่ะ

 

 

 

 

10:30 ลุงก็มาส่งเราลงตรงแยกโป่งปัด  เรามานั่งรอรถประจำทางคันสีน้ำเงินตรงศาลา ใกล้ๆ บริเวณป้อมตำรวจ

รอไม่ถึง  20  นาที รถคันสีน้ำเงินก็มาจอดตรงศาลาเลยจ้า มีคนเก็บตังบนรถ เสียคนละ 40 บาท ช่วงเวลานั้นคนบนรถน้อยมาก   ( ถ้าใครอยากไปน้ำตกเอราวัณต่อ  ให้ไปรอรถคันสีน้ำเงิน ฝั่งตรงข้ามป้อมตำรวจนะคะ )

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

สถานีขนส่งกาญจนบุรีเรามาเจอกันอีกแล้วนะจ๊ะ..

พอลงจากรถคันสีน้ำเงิน เราก็ขอแวะหาข้าวกินแถวนั้น ก่อนจะไปหาทางกลับบ้านกันแถวบขส.กาญ จะมีร้านอาหารตามสั่งอยู่หลายร้านค่ะ   และเราก็เสียค่าข้าวไปคนละ  40  บาท  เราคิดกันแล้วว่าจะกลับรถตู้กัน และเราก็เดินหารถตู้ไปลงหมอชิต2 จ่ายค่ารถตู้ไปคนละ 120  บาท 

 

 

 

 

เมื่อถึงเวลารถตู้จะออกแล้ว เราก็รีบขึ้นไปจองที่นั่งเลย เพราะคนกลับรถตู้เยอะค่ะ เต็มคันรถเลย  เราใช้เวลานั่งมาถึงหมอชิต ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ได้ค่ะ

กลับมาถึงบ้านนั่งดูรูปภาพ อารมณ์ยังค้างอยู่ที่บ้านกกกอดอยู่เลย  เอาง่ายๆ หลงรักที่นั่นไปแล้ว ฮ่าฮ่า

 

สรุปค่าใช้จ่าย

- ค่ารถไฟ  (  ฟรีจ้า  )

- ค่ารถสองแถวแดงมาลงสถานีขนส่งกาญจนบุรี  2  คน 40  (  คนละ 20  บาท  ) 

- ค่ารถประจำทางคันสีน้ำเงิน  40  บาท  / ไป-กลับ   80 บาท  

- ค่าบ้านพักกกกอด  2,996  / 2 คืน  ( คนละ 1,498 บาท )

- ค่าอาหาร+น้ำ มื้อเย็น ขนมต่างๆ  คิดไปคนละ 100  บาท

- ค่าข้าวกลางวัน +  น้ำ / ขนม / ของใช้ส่วนตัว วันที่ 2   120  บาท

- ค่าอาหารเย็น วันที่ 2  100 บาท

- ค่ารถตู้ ขากลับ   240  บาท  / 2 คน ( คนละ120  บาท )

         รวม  2,038  บาท    

( บางอย่างที่จ่ายไปเราก็จำได้ ไม่ได้บ้าง เลยคิดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นมาให้ดูคร่าวๆ นะคะ )

 

 

 

 

▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂▂

 

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นความงดงามของธรรมชาติที่เราได้มาสัมผัส และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่กำลังคิดจะไปที่นี่นะคะ ลองไปดูสักครั้ง  เพราะ ที่นี่ยังรอให้คุณได้มาสัมผัส และซึมซับด้วยตัวคุณเอง..

 

..ใครอยากสัมผัสธรรมชาติ รักความสงบ ไม่ติดความหรูหรา  ชอบอยู่กับแสงแดด สายลม ภูเขา และสายน้ำ

ลองมาเที่ยวเถอะค่ะ  แล้วจะรู้ว่าของดีมีอยู่จริงที่นี่ไง ที่  “ บ้านกกกอด  กาญจนบุรี ”

 

ขอบคุณที่ร่วมเดินทางไปกับเรา

 

 

สะพายเป้ เที่ยว..