ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
บ้านป่าบงเปียง แค่พอเพียง..ก็เพียงพอ บ้านระเบียงนา ป่าบงเปียง
    • โพสต์-1
    Suchasinee •  ธันวาคม 29 , 2559

    ฝันให้ไกล แล้วต้องพาตัวเองไปให้ถึง

    สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะทู๊กคน   หลังจากที่หายจากการรีวิวไปนาน  เพราะงานรัดตัว  >.< 

    กลับมาตั้งใจเขียนรีวิวนี้ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง  เผื่อบางคนจะเก็บไว้เป็นแพลนเที่ยวปีหน้านะจ๊ะ

    จากรีวิวที่แล้วหลังไมค์กันมาเยอะมากๆ   ขอบคุณและขอให้ติดตามกันไปเรื่อยๆ  เหนียวแน่นแบบนี้ไปนานๆ นะฮ่า  :)   

    _____________________________________________ 

    >>   เที่ยวน่านคนเดียว .. แต่ไม่เดียวดาย

    >>  หมู่หมาพาทัวร์ ตอน ออนเดอะบีช @ เกาะหวาย
    >>  กระบี่ Vs กุ้ยหลินเมืองไทย  (ตอนที่ 1)
    >>  กระบี่ Vs กุ้ยหลินเมืองไทย  (ตอนที่ 2)

    ____________________________________________________________

     

    คิดว่าหลายๆคนน่าจะเคยฝันเอาไว้ในใจแหละว่า เฮ้ย!   วันนึงข้าจะต้องไปที่นี่ให้ได้

    ข้าจะไปล่าแสงเหนือ   ไปล่าทางช้างเผือก   ล่าหมอก  ก็ว่ากันไป  

    เราเองก็มีเหมือนกันค่ะ  ในชีวิตนี้มีหลายที่เลย ฮ่าๆ (อยากไปมันทุกที่  ติดแค่พี่ไม่มีตังค์  เอิ๊กๆ )

    ยึดคำคมที่ว่า  ฝันให้ไกล  แล้วต้องพาตัวเองไปให้ถึง  

    เหมือนกันกับครั้งนี้ เราจะไปกันที่ อ. แม่แจ่ม  จ.เชียงใหม่   (ไกลสุดได้แค่นี้จริงๆ กับตังค์ที่มี ฮ่าๆๆ )  

    " นาขั้นบันได ที่บ้านป่าบงเปียง "  เปียง เปียง เปียงงงงงง  (ไร้สาระได้อีก เอ้า! ) 

    เท่าที่อ่านรีวิวท่านอื่นมา  คือไกลมาก  เดินทางลำบาก  ยิ่งถ้าเป็นหน้าฝนนะคะ  

    อือหือออ!  ถนนหนทางไม่น่าจะเป็นใจเท่าไร   เอ้า!! แต่จะทำตามฝันทั้งที จะไปกลัวทำไม

    ยิ่งเลอะ  ยิ่งสนุก  งั้นชวนทุกคนลุยโคลนตามกันมาในรีวิวนี้เลยละกัน !!    อิอิ 

     

    • โพสต์-2
    Suchasinee •  ธันวาคม 29 , 2559

    การเดินทางของฉันและเธอ

    ถ้าเพื่อนๆ จะมาเที่ยวที่นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง   ก็ลองเล็งดูดีๆว่า อยากเจอบรรยากาศ แบบไหน  

    • ช่วง พฤษภาคม -  กรกฎาคม  เริ่มต้นฤดูฝน ชาวบ้านจะเริ่มทำนา  แสงอาทิตย์สะท้อนกับน้ำที่ขังอยู่ในคันนา  แต่ต้องแลกกับทางเข้าที่ค่อนข้างเละ เลเวล 10
    • ช่วง มิถุนายน - กันยายน  ต้นกล้าเริ่มโต  สีเขียวสดใส กำลังรอให้เราเข้าไปสัมผัส  ช่วงนี้ถ้าวันไหนมีฝนตก ทางเข้าก็ยังคงเละ เลเวล 10  อยู่จ้า  ฮ่าๆ 
    • ช่วง ตุลาคม -  พฤศจิกายน  ต้นข้าวเริ่มตั้งท้อง สีเขียวสลับเหลืองสวยงามสุดลูกหูลูกตา และชาวบ้านจะเริ่มเก็บเกี่ยวในช่วงกลางเดือน พฤศจิกายน ซึ่งเราก็จะได้เห็นบรรยากาศลงแขกเกี่ยวข้าว  ของชาวเขาที่นี่ ซึ่งน่าจะเป็นภาพบรรยากาศที่น่ารักมากๆ เลย  

     

    ช่วงเวลาเดินทางของเราในทริปนี้คือ  28 - 30 กันยายน  กะว่ายังพอมีฝนนิดๆ   ทางเข้าจะได้ลดระดับความเละลงมาบ้าง  แถมจะได้พอได้มีลุ้น สนุกๆ เอาว่าจะได้เก็บแสงเย็นไหม  แล้วทุ่งนาน่าจะกำลังเขียวพอดี   

    เริ่มต้นการเดินทางจากกรุงเทพมหานคร  ด้วยรถทัวร์ของนครชัยแอร์รอบ 2  ทุ่ม

    นั่งมาลงที่อาเขตเชียงใหม่  มาถึงก็ราวๆ  6  โมงเช้า  อากาศไม่หนาวเลย 

    เราเดินหาอะไรกินรองท้องกันก่อนที่จะต้องไปต่อรถแดง  

     

    บอกก่อนว่าทริปนี้ต่อรถประมาณ 4 ต่อ  ต่อแล้วต่ออีก  หลับแล้วหลับอีกจ้าแม่คุ๊ณ   

    • ต่อที่ 1  :  อาเขต - ไป - ประตูเชียงใหม่ (ท่ารถไป อ.จอมทอง)

    เราสองคนเดินแบบงงๆ  หาคิวรถแดงที่จะไปลงที่ประตูเชียงใหม่  มีลุงคนนึงพยายามเดินเข้ามาชักชวน
    ให้ไปในราคาเหมา  2  คน 120  บาท ( โอ้วบร๊ะเจ้า ! )  ด้วยความที่เราอ่านรีวิวมาบ้างแล้ววจริงๆค่ารถไปประตูเชียงใหม่ราคาประมาณ 20  ก็เลยพยายามไม่สบตา  ไม่คุยกับลุง  ทำจิตใจเข้มแข็ง เดินฝ่าออกมาด้านข้างของอาเขต ที่มีรถแดงจอดเรียงรายอยู่เยอะมาก  พร้อมๆกับได้ยินเสียงตามสาย ประกาศว่า ไปประตูเชียงใหม่ คนละซาวบาท ( 20 บาท) เจ้าาา  ..  อิอิ รีบกระโดดขึ้นรถ  รถเต็มก็ออกพอดีเลยจ้า   

    • ต่อที่ 2 :  ประตูเชียงใหม่ - ไป - อ. จอมทอง 

    จากประตูเชียงใหม่ ไป อ.จอมทอง จะเป็นรถสองแถวสีเหลือง  ค่าโดยสารคนละ 32 บาท  ใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงครึ่ง เราก็จะนั่งไปจนสุดสายเลยค่ะ  รถจะจอดแถวๆตลาด  ซึ่งที่นั่นจะเป็นท่ารถต่อไปยัง อ. แม่แจ่ม   

     

    • ต่อที่ 3 :  อ.จอมทอง - ไป - แม่แจ่ม (แยกน้ำตกแม่ปาน) 

    รถที่จะไป อ.แม่แจ่ม คิวแรกประมาณ 9:30  ค่ะ โดยจะผ่านแยกน้ำตกแม่ปาน  เราบอกให้คนขับจอดตรงนี้ เพราะนัดกับเจ้าของโฮมสเตย์เอาไว้  ค่ารถประมาณ 70 บาท   ใช้เส้นทางเดียวกับทางที่จะขึ้นไปดอยอินทนนท์  ยิ่งสูงยิ่งหนาว  มีฝนตกรินๆเป็นระยะ  ฟินมากกกก 

    • ต่อที่ 4 : แยกน้ำตกแม่ปาน - ไป - บ้านป่าบงเปียง

    จากแยกน้ำตกแม่ปาน เข้าไปที่หมู่บ้าน  ถ้าเพื่อนๆเอารถมาเอง แนะนำว่าควรเป็นรถโฟล์วิล  หรือขับเคลื่อน  4 ล้อ จะดีที่สุดจ้า   ส่วนเราจองรถให้ที่พักมารับ  บังเอิญตอนลงรถที่จอมทองเจอพี่ผู้หญิงคนหนึ่งมาเที่ยวที่บ้านป่าบงเปียงเหมือนกัน  แล้วมาคนเดียวด้วย  ก็เลยชวนให้มาด้วยกันซะเลย อิอิ   ค่ารถที่โฮมสเตย์มารับคิดเป็นราคาเหมา  ไป- กลับ  700  บาท  เราก็หารกันชิลๆไปค่ะ  :)  

     

    อย่างที่บอกว่าทางเข้าหมู่บ้าน ช่วงหน้าฝนจะค่อนข้างลำบากมาก

    ณ จุดๆนี้  คือกลัวมากๆ .. กลัวรถติดหล่ม  แล้วต้องลงไปเข็น ฮ่าๆๆๆ

    พูดยังไม่ทันขาดคำ  รถคันข้างหน้าติดหล่ม !  เลยจ้า  
    แต่ด้วยความชำนาญ แปบเดียวพี่ๆก็สามารถทำให้รถไปต่อได้

    ระยะทางแค่ 3-4  กิโล  แต่เป็นการเดินทางของชีวิต ที่ลุ้นทุกลมหายใจมาก
    เพราะว่าล้อรถเวลาเจอโคลนก็จะสะบัดอยู่ตลอด  วิ่งลงหลุมบ้าง  ก้นกระแทกบ้าง 

    กว่าจะมาถึงที่พัก ตับไตข้างในก็ได้ย้ายตำแหน่งกันไปเรียบร้อยละค่า ฮ่าๆๆๆ   

     

     
    • โพสต์-3
    Suchasinee •  ธันวาคม 29 , 2559

    บ้านระเบียงนา ป่าบงเปียง

    ที่นี้เป็นที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวเขาปกากะญอ  เป็นญาติพี่น้องกันเกือบทั้งหมดเลยค่ะ  
    โฮมสเตย์หลังแรกๆ จะเป็นของบ้านมาฉิโพ  ในปีต่อๆมาชาวบ้านก็แบ่งกันทำโฮมสเตย์ของตัวบ้าง  โดยรอบแล้ว มีประมาณ 6-7  หลังได้ค่ะ   บรรยากาศของโฮมสเตย์ที่นี้ เหมือนกระท่อมไม้เอาไว้นอนเฝ้านา  มีห้องน้ำเป็นสัดส่วน มีสัญญานโทรศัพท์  แต่ไม่มีไฟฟ้าใช้  ใครสะดวกเอาไฟฉายไปด้วยก็จะดีมากจ้า  แต่ถ้าไม่มี ที่นี่เขาก็มีตะเกียงโซล่าเซล์ไว้ให้ใช้อยู่เหมือนกันจ๊ะ   

    โฮมสเตย์ที่เราไปพักชื่อว่า  " บ้านระเบียงนา  ป่าบงเปียง "   เจ้าของชื่อ น้องบัติ  ค่ะ
    จะอยู่ก่อนถึงบ้านมาฉิโพค่ะ  ที่นี้มีบ้านพักหลังใหญ่อยู่ประมาณ 2 หลัง  พักได้ 2-4  คน  
    มีอาหารให้ทาน 2  มื้อ คือมื้อเช้า และเย็น  รวมค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 500  บาท / คืน / คน    นะคะ  
    ของเรามาครั้งนี้กะให้คุ้ม ก็พัก 2 คืนเต็มๆให้จุใจกันไปเล้ย  ^^  
    เบอร์โทรติดต่อ : 080-7946883 ,  096-0619539

     

    บรรยากาศรอบๆไม่ต้องพูดถึง  
    เปิดประตูออกมาก็เจอวิวแบบนี้เลย  คือดีต่อใจ  :)  

     


    • โพสต์-4
    Suchasinee •  ธันวาคม 29 , 2559

    นอนหลับคือการพักผ่อน

    พวกเรานั่งรถออกจากจอมทองรอบ 11:30  มาถึงที่บ้านป่าบงเปียงก็ราวๆ บ่ายสองโมงได้ค่ะ  
    จัดแจงเก็บกระเป๋า  แล้วก็ทิ้งตัวลงที่นอนเลย  

    การมาที่นี่ไม่ได้มีเรื่องให้ผจญภัย  หรือมีสถานที่สนุกๆให้ลงไปลุยอย่างที่คิด
    แต่ที่นี่กลับทำให้เรารู้สึกว่า ได้พาตัวเองมาพักผ่อนแบบจริงๆจังๆเป็นครั้งแรก
    และได้เข้าใจคำว่า นอนเฉยๆ นอนโง่ๆ  อย่างแท้จริง ฮ่าๆๆ 

     

    อากาศเย็นตลอดทั้งวัน  เราเอาผ้าห่มออกมานอนดูหมอกหน้าบ้าน 

    เสียงน้ำตกดังมาแต่ไกล  กะจะนอนดูวิวเล่นๆ ดันเผลอหลับกันจริงๆ
    ตื่นมาอีกทีก็ 5 โมงเย็นพอดี  อ้าว..กรรม!  แสงเย็นที่รอคอย..
    พลาดเพราะอะไรไม่พลาด  พลาดเพราะหลับ !!  ตบหน้าตัวเองหนึ่งทีดิ๊  ป๊าป!!  TT 

    _________________________________  

    แต่ก็เอาเถอะ  แม้เราจะพลาดชอตสำคัญของวันไปแล้ว  มีเรื่องกินนี่แหละเราจะไม่ยอมพลาดแน่นอน
    หกโมงเย็น อาหารจะยกมาเสิร์ฟถึงหน้าบ้าน  อิอิ 

    บ้านป่าบงเปียง เป็นแหล่งปลูกข้าวชั้นดี  และแน่นอนว่านักท่องเที่ยวอย่างเรา
    ต้องไม่พลาดที่จะได้ลิ้มลองความอร่อยของข้าวจากทุ่งนาแดนนี้  

    แม่น้องบัติจะทำกับข้าวมาให้ทุกมื้อค่ะ  จัดมาบนขันโตกอย่างสวยงาม
    มีไข่เจียว น้ำพริก  ผักต้ม สลับสับเลี่ยนกันไป 

    เสิร์ฟพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ ที่ปลูกกันเอง จากทุ่งนาที่เรามองเห็นกันนี่แหละค่ะ
    ข้าวเม็ดอ้วนๆ กลมๆ  คล้ายข้าวญี่ปุ่น แต่มีความเหนียวมากกว่า

    อร่อยจนคุณๆต้องร้อง ขอเพิ่มข้าว  เอาข้าวอี๊กกกก  กันเลยทีเดียว  ฮ่าๆ

     
    • Ajung  เด๋วไปมั่ง สค นี้ค่ะ 24 มกราคม 2561 12:09:45
    • โพสต์-5
    Suchasinee •  ธันวาคม 29 , 2559

    หลับไปพร้อมกับดาว

    ยิ่งดึก อากาศยิ่งเย็นขึ้นเรื่อยๆ 

    บรรยากาศรอบๆได้ยินแค่เสียงจิ้งหรีด 
    ลมเย็นพัดผ่านตัว ทำให้ไม่มีใครอยากอาบน้ำ  ฮ่าๆ  
    ก็เลยชวนกันออกไปเดินดูดาว

    ทางช้างเผือกขึ้นตั้งแต่ช่วงทุ่มกว่าๆ

    ความมืด และเงียบสงบของที่นี่
    ทำให้เรายิ่งมองเห็นดาวชัดเจนมากขึ้น 

    ที่นี่มีแค่แสงเทียน  กับแสงดาว

    โคตรจะโรแมนติกเลย :) 

     

     

    • โพสต์-6
    Suchasinee •  ธันวาคม 30 , 2559

    แค่พอเพียง ก็เพียงพอ

    เช้าวันที่ 2  เราเลือกที่จะนั่งจิบกาแฟร้อนๆ นั่งดูหมอกลอยผ่านไปอยู่หน้าบ้าน
    รอเวลาสายสักนิด ก่อนจะทานข้าวเช้า แล้วค่อยลงไปเดินถ่ายรูปเล่น 

    น้องบัติเดินเอาข้าวต้มมาเสิร์ฟ  ดูในถ้วยแล้วก็ยังนึกในใจว่า ทำไมต้องใส่ฟักทอง

    " น้องบัติค่ะ  ข้าวต้มสูตรของที่นี่หรือเปล่า มีใส่ฟักทองด้วย "   

    " จะว่างั้นก็ได้นะครับ  แต่จริงๆเขาก็ไม่ใส่กันหรอก  
    พอดีที่ไร่ผมมีปลูกฟักทอง  เลยอยากใส่ลงไปให้ได้กินกัน
    อร่อย แล้วก็มีประโยชน์ ลองทานกันดูครับ " 

    ชิมเข้าไปคำแรก  เฮ้ยยย เจ๋งอ่ะ!   เพิ่งเคยกินเหมือนกัน ข้าวต้มใส่ฟักทอง  
    อร่อยเหมือนกันนะเนี้ย  แล้วผักอย่างอื่นที่ใส่ในกับข้าวนี่เราปลูกเองด้วยมั้ย 

    " ก็มีลูกเองด้วย  ซื้อมาด้วยครับ  ปลูกกระหล่ำ ข้าวโพด
    ผักสวนครัวเล็กๆน้อยๆ เอาไว้ทำกับข้าวให้ลูกค้าที่มาพักทาน  
    มีอะไรก็ใส่เท่าที่มีครับ  พี่กินได้ใช่ไหมครับ ( พูดปนหัวเราะ 55 )  
    แล้วยังคุยให้ฟังต่ออีกว่า 


    " ข้าวที่อยู่ในหม้อ ก็ของที่นี่เหมือนกันนะครับ  เป็นข้าวนาที่ผมปลูกเอง  
    ข้าวมันจะเม็ดกลมๆอ้วนๆ หน่อย เพราะมันได้น้ำเยอะ
    ถ้าเป็นข้าวไร่  เมล็ดข้าวมันจะลีบกว่านะครับ เพราะไม่ค่อยได้น้ำ " 
     

    เออ..มาถึงตรงนี้  รีวิวเริ่มจะมีสาระกับเขาบ้าง  ฮ่าๆ 
    พอคุยกันไปเรื่อยๆ นานเข้าชักเริ่มจะเมื่อย เลยชวนมานั่งด้วยกันซะเลย

    น้องบัติเล่าให้ฟัง (แบบหน้าตาภูมิใจสุดๆ) ว่า
    ผมใกล้จะเรียนจบแล้ว  ที่เรียนมาก็เกี่ยวกับการเกษตร 
    วางแผนไว้บ้างแล้วว่าจะเอามาพัฒนากับที่หมู่บ้าน และการเพาะปลูกของที่นี่

    เมื่อก่อนนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ ชาวบ้านไม่มีความรู้ ก็ปลูกฝิ่น ปลูกกัญชา กัน
    สมัยเด็ก ไปเรียนหนังสือก็ลำบาก  ต้องเดินเท้าไปหลายกิโลเลยครับ
    แต่ผมก็ไปไม่ถึงโรงเรียนหรอก  แวะตกปลาอยู่เรื่อย
    ถามว่าพ่อแม่รู้มั้ยว่าไม่ไปโรงเรียน  
    น้องบอกว่าพ่อแม่แค่สงสัยว่าไปโรงเรียนแล้ว
    ทำไมมีปลากลับมาบ้านทุกวันเลย ฮ่าๆ 


    ชาวบ้านที่นี่จะปลูกพืชสวน สลับกับพืชไร่ ครับ
    บ้างก็ปลูกข้าวโพด  อ้อย กระหล่ำปลีก็มี  แต่ส่วนมากก็จะเป็นข้าว 
    ถ้าฤดูไหนพอมีน้ำ ก็จะปลูกข้าวนากัน  ฤดูไหนน้ำน้อย
    ก็จะปลูกข้าวไร่ครับ เพราะมันไม่ต้องดูแลมาก

    พอถามถึงเรื่องราคาข้าวว่าขายข้าวได้เงินเยอะไหม 
    น้องบอกว่า ส่วนมากไม่ค่อยได้ขาย จะปลูกไว้กินเองซะส่วนใหญ่
    เหลือแล้วค่อยเอาไปขาย และปกติก็กินหมดก่อนเอาไปขายนะครับ ฮ่าๆ 
     

    เดี๋ยวผมเล่าแค่นี้ก่อนนะครับ ขอตัวยกกับข้าวให้บ้านอีกหลังก่อน  
    น้องตัดบทแล้วลงจากบ้านไป

     

    เอาเข้าจริงๆเราว่า เสน่ห์ของการมาพักโฮมเตย์ก็คือ 
    การได้นั่งพูดคุยกับเจ้าของบ้านนี่แหละ  
    ได้ดูวิถีชีวิต  ได้เห็นมุมมอง  ได้ลองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน 

    เหมือนได้มาเจอโลกอีกใบของเขา ที่อยากจะให้เราเข้ามาเยี่ยมชม
     

    • โพสต์-7
    Suchasinee •  ธันวาคม 30 , 2559

    บ่ายแก่ๆ  เราเริ่มเดินออกมาถ่ายรูปเล่นกัน  ระหว่างรอให้พระอาทิตย์ตก
    น้องบัติอาสาขับรถมาส่งพวกเราอีกฝั่งนึง ที่เป็นบ้านพักมาฉิโพ
    และมีร้านขายขนมเล็กๆตั้งอยู่ 

     

    ที่นี่เป็นเหมือน สมาคมเล็กๆ  มีชาวบ้านซึ่งเป็นชาวเขา นั่งเล่น นั่งคุยกันอยู่ก่อนแล้ว
    พอมีโอกาสได้คุยกับชาวบ้าน  ก็เลยถามคุณป้าว่าพื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้  ชาวบ้านทำนากันยังไงค่ะ ..
    แล้วใครเป็นคนขุดให้นาเป็นขั้นบันไดแบบนี้ .. 


     

    คุณป้านึกอยู่แปบนึง ก่อนหันไปพูดกับเพื่อนเป็นภาษากระเหรี่ยง แล้วกลับมาตอบเราว่า ขุดกันมาตั้งแต่รุ่นตายาย 
    บางที่เพิ่งจะเริ่มทำเพาะปลูก ก็ช่วยกันขุดใหม่ก็มี  กว่าจะได้แต่ละขั้น ก็ใช้เวลาอยู่จ๊ะ  เวลาจะทำนาก็เอาควายมาไถ ก่อนแล้วค่อยให้คนปักกล้าลงไป


    นาแบบขั้นบันไดมันดี  คือเวลาน้ำจากลำธารผ่านเข้ามา  
    ก็จะไหลจากบน ลงล่าง  เราจะกั้นทางให้น้ำเข้านานี้เต็มก่อน  
    ค่อยเปิดให้เข้านาอื่นๆ ก็ได้  กันหน้าดินพังด้วยนะ
    บ้านที่อยู่ตามเชิงเขาชอบทำแบบนี้ ประหยัดพื้นที่ดี  
    คุณป้าตอบแล้วก็ยิ้มแฉ่งให้หนึ่งที  คือน่ารักมากจริงๆ 
     

     

    พื้นไม้ หลังคา ร้านขนมนี้ ก็ช่วยกันทำเองทั้งหมด  ที่นั่งอยู่ลุงเขาก็เอาไม้มาผ่าเป็นซีกๆแล้วก็ไปตากแดดให้แห้ง 
    มองไปด้านบนเห็นหลังคาของร้านเป็นใบไม้  เราก็ถามไปว่า มันไม่เปื่อยหรอค่ะ ใบไม้เวลาเจอฝน  คุณลุงบอกว่าใบไม้ชนิดนี้เหนียวมากๆ  ระบายอากาศได้ดี  นานๆถึงจะได้เปลี่ยนที ปีกว่าๆแล้วยังไม่เปื่อยเลย 

    เฮ้ยยย !! แหล่มเลย  แต่ที่เด็ดกว่าคือ  

    ที่ร้านมีขนม เครื่องดื่มเย็นๆ ลูกชิ้นทอด บริการในราคาปกติที่ขายตามท้องตลาดทั่วๆไปด้วย อู๊วหู๊วว!  
    นอกจากนี้ยังมี เสื้อผ้า ชุดพื้นเมือ ที่ชาวเขาทอเอง จำหน่ายเป็นของที่ระลึก 
    เราหยิบมาได้ตัวนึง ก็เปลี่ยนใส่ถ่ายรูปเลย  จะได้เข้าบรรยากาศสักนี๊ด :)

     

       
    • โพสต์-8
    Suchasinee •  ธันวาคม 30 , 2559

    แสงอาทิตย์ ในช่วงเย็นย่ำของที่นี่  คงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายๆคนรอคอย


    บ้างมาถึงแล้วฟ้าไม่เป็นใจ  ก็เคยเจอมาเหมือนกัน
    ความแตกต่างของฤดูกาล จะช่วยเติมสีสันให้ธรรมชาติสวยคนละแบบ
    ไม่ว่าเราจะมาที่นี่ ในฤดูไหน  ธรรมชาติมันก็ยังสวยงามด้วยตัวของมันเอง

     

    การเดินทางมาครั้งนี้  อย่างหนึ่งที่สัมผัสได้คือ ข้าวที่ อร่อย !!  เอ้ย ไม่ใช่ล่ะ
    เข้าเรื่องๆ  อย่างหนึ่งที่ชอบมากๆเลยก็คือ บรรยากาศ ของโฮมเตย์ที่นี่  เหมาะที่จะพาร่างยับๆ
    สมองเหนื่อยๆ มาพักผ่อนเป็นอย่างมาก  ชอบการต้อนรับ การเล่าเรื่อง วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน  

    ครั้งนี้โชคเข้าข้าง  ที่มาแล้วเจอแสงเย็นๆสวยๆ  ตัดกับยอดหญ้าสีเขียว สุดลูกหูลูกตา 
    เดินเล่นไปหัวเราะกันไป ก็ระมัดระวังหน่อยน๊า เดี๋ยวจะตกคันนาเหมือนเรา  ตอนนี้นึกแล้วยังเจ็บก้นไม่หาย 

     

    ฝากรูปให้เลื่อนดูเล่นๆ  เป็นการส่งท้ายปีเก่า  ต้อนรับปีใหม่ 

    เจอกันปีหน้า สำหรับรีวิวต่อไปนะคะ   บ๊ายบาย  :)   12-30-2559 

     


       
    • โพสต์-9
    Suchasinee •  ธันวาคม 30 , 2559

    สรุปค่าใช้จ่าย

    1. ค่ารถทัวร์ จาก กทม.  ไป เชียงใหม่ ประมาณ  :  690 x 2 = 1380
    2. ค่ารถแดง จาก อาเขต ไป ประตูเชียงใหม่  :  20 x 2 = 40 
    3. ค่ารถเหลือง จาก ประตูเชียงใหม่ ไป อ.จอมทอง : 32 x 2 = 64
    4. ค่ารถจาก อ. จอมทอง ไป แยกน้ำตกแม่ปาน : 70 x 2 = 140 
    5. ค่ารถไปกลับหมู่บ้านป่าบงเปียง  : 700
    6. ค่าที่พัก 2  คืน ( 2 คน ) : 1000 x 2 = 2000

     

    รวมค่าเดินทาง ประมาณ  4,324  
    ถ้าคิดเป็นต่อคน ก็ตกคนละ  2,162  บาท นะจ๊ะ  

    ** ค่าใช้จ่ายนี้ยังไม่รวมค่าอาหาร และเบ็ดเตล็ดอื่นๆค่ะ**