ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
    • โพสต์-1
    Chittapon •  มกราคม 25 , 2560

    บทที่ 1

    " น้ำเย็นเย็น "


    ผมไม่ได้เข้ามาเขียนรีวิวในนี้โหจะเป็นชาติแล้วมั้ง 5555 เนี่ยกว่าจะเข้ามาทำรีวิวได้ผมงมเป็นาทีเลยและเพื่อไม่ให้เสียเวลา

    เอาละสวัสดีครับผู้อ่านทุกทุกคนเลย ไม่ได้เจอกันเลยหลังจากทริปดอยหลวงเชียงดาว ยอมรับเลยนะจริงๆผมก็เที่ยวเยอะนะแต่ความขี้เกียจนี้มันพ่อทุกสถาบันจริงๆ เนี่ยตอนนี้ผมก็เริ่มขี้เกียจอีกละ 5555 ม่ะเข้าเรื่อง คือทริปนี้มันเกิดจากเพื่อนผมคนนึงผมไม่ขอเอ่ยนามและกันว่าชื่อ "จอย" อีกครั้งนะครับผมไม่ได้บอกว่าเพื่อนผมชื่อ "จอย" นะ คือเขาถามผมว่า

    " เฮ้ย แกปีใหม่เคาท์ดาวน์ไหน พาเราไปด้วยดิ "

    " ไม่รู้อะไม่ได้คิดไว้อะ "  คือมันช่วงเทศกาลไม่อยากไปแย่งกันใช้ชีวิตกับคนอื่น

    "  เออแกจะไปไหนก็บอกเราละกันไปด้วย เบื่อๆ "  คือผมกะจะปล่อยผ่านละ แต่อยู่ดีๆมันมีทริปนึงที่อยากไปมาตั้งแต่เรียนอยู่ปี 2 ละ ผมก็เลยบอกไป

    " ไปผาชะนะไดมั้ย "

    " อยู่ที่ไหนอะ "

    " อุดร "

     

    แค่จังหวัดเมิงก็ไม่ใช่ละ...

    เราจองตั๋วรถไฟไปอุบลในวันที่ 31 ธันวาคม รอบ 19.17 น. ถึงอุบลตามที่ตั๋วบอกคือ 06.17 น. หึ ถ้าใครขึ้นรถไฟบ่อยๆคุณจะรู้ว่าไอ้ที่พิมพ์ๆบอกในใบอะคือ เลทแน่นอน และก็เป็นไปตามนั้นเมื่อถึงเวลาที่กำหนดรถไฟที่ผมจองไว้ก็ยังไม่เสด็จออกมาจากหัวลำโพงเลยพร้อมกับคำประกาศน่ารักๆว่ายังไม่มีกำหนดออกกี่โมงการอคอยที่ไม่มีจุดหมายอีกละ แต่ก็นะ... โอเคระหว่างรอผมจะเล่าให้ฟังว่าจอยผู้ที่มากับผมในทริปนี้เป็นใคร เราเจอกันตอนที่ไปทริปที่ภูสอยดาว แล้วก็แค่นั้นแหละรู้แค่นั้นอะพอละ 5555  (และจะพูดเพื่อ)  เราได้ขึ้นรถไฟในตอน 2 ทุ่มกว่าๆ เป็นรถไฟชั้น 3 ที่คุ้นเคย

    ไม่รู้ดิผมชอบรถไฟชั้น 3 เพราะว่ามันชอบมีอะไรแปลกที่ผมไม่เคยคิดว่าจะเจอทุกครั้งที่ผมขึ้นรถไฟเลยด้วยผมจะเจอะไรที่ เชี้ยอย่างนี้ก็มีด้วยหรอวะ การที่ ผมรู้สึกว่ามันคือช่วงเวลาที่เราจะถูกบีบไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องละทิ้งความเป็นตัวกุของกุไป คนมากมายที่คุณไม่รู้จักความมีน้ำใจมาจากคนที่ในชีวิตประจำวันคุณไม่มองเขาด้วยซ้ำอะ ผมรู้สึกว่าเราเท่ากันเมื่อมานั่งอยู่ในนี้

    เราเลือกเดินทางกันในตอนกลางคือเพราะไม่ร้อนและมันเป็นช่วงเวลานอนพอดีมันจะทำให้เราไม่รู้สึกว่าการเดินทางนี้มันยาวนาน แต่จริงๆแล้วป่าวเลยมันจะมีมวลพลังงานบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนผู้คุมวิญญาณที่จะคอยมาดึงความสุขในการนอนของคุณบนรถไฟไป ทุกๆครั้งที่รถไฟจอดนานๆหรือจอดในสถานีใหญ่ๆ จะเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาขึ้นมา เขาจะขึ้นมาพร้อมกับประโยคคลาสสิกที่จะมากระชากฝันดีของคุณไป


    " น้ำเย็นมั้ยค้าาาาาาาา !!! "

    " กาแฟร้อนมั้ยค้าาาา !! "

    " มะเร็งแบ่งขายครับบบ !!! "


    คือขายได้ไม่ว่าแต่พี่จะตะโกนกันดังอะไรเบอร์นี้ น้ำเย็นมั้ยค้าา พี่ก็จับดูซิครับถืออยู่ไม่ใช่เรอะ !

    แต่เพราะมันก็คืออาชีพของเขาอะแหละผมเข้าใจ ผมคงทำได้แค่จองเข้าไปในดวงตาพี่เขาแล้วไตรถามด้วยความสงสัย
     

    " ผมเหมือนคนต้องการน้ำเย็นตอนตี 2 หรอ ..." 

     

    " ก็ไม่นะ "

     

    • โพสต์-2
    Chittapon •  มกราคม 25 , 2560

    บทที่ 2

    หมัดฮุค

     

    หลังผ่านค่ำคืนที่แสนจะโหดร้ายแสงแรกของปี 2017 ก็สาดส่อง ใช่ครับผมไปไม่ทันเคาท์ดาวน์ที่ผาชะนะได ผมกับจอยรู้กันอยู่ก่อนแล้วว่าไปยังไงก็ไม่ทันเพราะรถโดยสารมันเต็มทุกช่องทางเลย แต่คือใจมันมาไงคือจัดทริปซะดิบดีแต่ไม่ไปนี้ ไม่ได้เว้ยกุต้องไปให้ถึง จะเจออะไรก็ไม่รู้แต่ขอให้ไปก่อนอย่างน้อยก็ประสบการณ์ เอ้อและมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเพิ่งรู้ว่าบรรยายกาศในตอนเช้าของรถไฟสายอีสานมันคนละเรื่องกับสายเหนือเลย

    คือรถไฟสายเหนือเช้าๆมันจะเต็มไปด้วยภูเขามากมายและสายหมอกรถไฟจะวิ่งผ่านลัดเลาะไปตามภูเขา ผิดกับสายอีสานบอกเลยว่าถิ่นพี่นั้นคือที่ราบสูง ราบแบบราบจริงๆ เป็นครั้งแรกที่มองออกอะไปไม่เห็นภูเขาอะคือมันเรียบเตียนและแห้งแล้งมากฟิลมันเหมือนดินแดนคาวบอยเลยอะ มันคือคู่ตรงข้ามกับภูเขาและสายหมอกที่เราคุ้นตา และด้วยความที่มันเป็นคู่ตรงข้ามเนี่ยแหละ พระอาทิตย์ยามเช้าของรถไฟสายนี้โคตรสวยอะ โดยความที่มันโล่ง เลยได้รับแสงอาทิตย์มาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาก บางที่ก็เต็มเกิ๊นน จนกุไม่ไปละชะนะได (เฮ้ย ไอ้สองใจเย็น)

    หลังจากผ่านช่วงเวลาที่รัวชัตเตอร์จนไม่เกรงใจเมมแล้วผมก็มีเวลามานั่งคุยกับจอยถึงแพลนการเดินทางว่าเราจะเอาไงต่อ เพราะไหนๆเราก็ไม่ได้เคาท์ดาวน์ที่นู้นและก็เลยถามจอยว่า เอางี้มั้ยเราไปเที่ยว สามพันโบก โบก สะพัดแขน โบก โบก อีกนิดนี้กุจะเต้นละ -*- ก่อนแล้วค่อยไปผาชะนะไดปิด เพราะตอนแรกเราจะแพลนไว้ว่าจะไปผาก่อนแล้วค่อยลงมาเที่ยวสาพันโบก แต่จุดพีคมันควรต้องมาตอนท้ายดิ แบบให้มันตราตรึงจนยังคงนั่งอึ้งบนรถทัวร์ไปเลย จอยก็โอเคค เรามา backpack ยังไงก็ได้อยู่แล้ว  และก็นั้นแหละฮะคุณผู้ชมหลังจากนั้นผมก็ได้ตราตรึงสมใจ

    เราถึงสถานีรถไฟอุบลราชธานี ตอน 7 โมงเช้าอากาศไม่ค่อยเย็นอย่างที่ผมหวังไว้ เราเดินไปล้างหน้าแปลงฟันให้เรียบร้อยถ่ายรูปสถานีไว้นิดหน่อยและก็ถึงเวลาทำตามแพลนของเราที่วางไว้และก็เป็นเหมือนทุกที่หน้าสถานีรถไฟนั้นจะมีวินรถสองแถวเป็นเรื่องธรรมดา จริงๆแล้วทุกสถานที่มันมีรถประจำทางแต่เราแค่ไม่รู้และพอเราไม่ถามเราก็จะเผลอเหมารถเขาไปซึ้งผมเคยโดนแล้ว ปัดโธ่สถานที่ท่องเที่ยวดังขนาดนี้ยังไงมันก็ต้องมี๊

     

    "  2000 ครับน้อง " ห๊ะ

    " น้องจะไปสามพันโบกใช่มั้ย ไม่มีรถประจำทางไปหรอกนะ "

     

    ความรู้สึกเหมือนโดนพี่เขาขับ 2 แถวยกล้อชน เหมือนเรากำลังฟิตๆพร้อมจะเริ่มยกที่ 1 แต่พอเสียงระฆังดังปุ๊บ กุโดนฮุคและถลาลงไปนอนกองกับพื้นปานจะร้องขอชีวิต "โคตรตราตรึง" สถานที่ท่องเที่ยวที่ดังมากแต่ไม่มีรถประจำทางเป็นไปได้หว่ะ แต่พี่เขาก็ให้เหตุผลไปว่ามันไกลหลายร้อยกิโลมันก็เลยไม่มีรภถประจำทางต้องเหมาไป พี่เขาก็พยายามตะล้อมผมนะว่าน้องไปมั้ยพี่ลดให้น้องเลยน้าา น้องก็อยากไปน้าา ถ้าน้องมากันสัก 5-6 คนอะนะ ผมก็เลยโอเคไม่ไปโบก สะบัดแขน โบกละ ไปโขงเจียมเลยละกัน ผมเดินไปขึ้นรถสองแถวที่กำลังจะออกไปที่บขส. จะต่อรถไปโขงเจียม ก่อนที่รถจะออกพี่เขาก็เดินมาถามผมอีก

     

    " ไปมั้ยน้องงง "

    " นี้ก็ยังมายื้ออีก !! "

     

    • โพสต์-3
    Chittapon •  มกราคม 25 , 2560

    บทที่ 3

    " ลุงชวน "

     

    สำหรับบทนี้ผมจะขอพูดถึงลุงชวนเยอะหน่อยบุคคลที่ดูแลเราเหมือนกับลูกหลานของเขาและการเดินทางในวันแรกเราอยู่กับลุงเขาแทบจะตลอดเวลาซึ่งลุงก็เป็นคนที่ทำให้เราสามารถเที่ยวตามแพลนที่เราวางไว้ได้ไม่ซิจริงๆมากกว่าที่เราคิดไว้มากเพราะฉะนั้นมันอาจจะยาวหน่อยแต่นี้คงเป็นสิ่งเล็กๆที่ผมจะสามารถตอบแทนลุงได้

    ป.ล ลุงเขายังอยู่นะครับ เวลาเขียนถึงใครซึ้งๆที่ไรเพื่อนชอบทักมาถามว่าเขาตายแล้วหรอ ก็ต้องขอบอกเลยว่ายังอยู่เฟ้ยยย !!

    หลังฝันสลายจากเหตุการณ์เมื่อบทที่แล้วผมเลยตัดสินใจไป บขส. และจะต่อรถไปโขงเจียมเลย เราไม่อยากเสียเวลามากนักเพราะโขงเจียมนี้ก็ไกลเหลือเกินเดินทาง 2 ชั่วโมงอย่างต่ำ ขณะที่นั่งอยู่บนรถ 2 แถวผมก็มีโอกาสได้นั่งคุยกับลุงคนหนึ่ง ค่อนข้างคุยกันถูกคอเลยบทสนทนาก็ประมาณนี้

     

    "หนุ่มมาจากไหน"

    "มาจากกรุงเทพครับเพิ่งนั่งงรถไฟมาลงเมื่อกี้เลย"

    "ขบวนเดียวกันๆ แล้วหนุ่มจะไปไหน"

    "ตอนแรกผมกะว่าจะไปสามพันโบกก่อนแล้วต่อด้วยผาชะนะไดครับ"

    "และไม่่เหมารถเขาไปละเขาคิดเท่าไหรละ"

    "2000 ครับแต่ถ้าผมเหมาผมจะไปไหนต่อไม่ได้เลยผก็เลยจะไปผาชะนะไดเลย"

    "หนุ่มดูเป็นคนชอบเที่ยวนะ เหมือนลุงเลย เดี๋ยวลุงพาไปเที่ยวสามพันโบกเอง" 

    เดี๋ยว! เหมือนผมจะได้ยินไม่ชัด

    "อะไรนะครับ"

    "เดี๋ยวลุงพาเที่ยวเองลงพร้อมลุงเลย"

     

    ลุงเขาดีนะ แต่ผมมีคตินึงที่ใช้ค่อยเตือนใจอยู่เสมอคือ "อะไรที่ดีเกินจริงมักไม่จริง" บวกกับสื่งที่ทางบ้านพร้ำสอนมาเสมอว่า อย่าไว้ใจคนแปลกหน้าเรารู้หน้าไม่รู้ใจเขาเพราะฉะนั้นผมต้องขอขอบคุณลุงเขาจริงๆในความหวังดีของลุงแต่ผมคงต้องตอบลุงไปตรงๆว่า "ไปครับลุง จอยเดี๋ยวเราลงพร้อมลุงในเมืองเลยนะ" (ขอโทษครับแม่)

    เอาน่าาา ผู้ใหญ่เขาหวังดีการขัดผู้ใหญ่มันไม่ดี (ไอ่ที่เมิงทำก็ไม่ดี)  ถามว่ามากับเขานี้กังวลมั้ยกังวลบอกตรงๆเลยว่าในหัวตอนนั้นคือพล็อตหนังสยองขวัญมันมาละ คิดเลยว่าหนังเรื่องไหนบ้างวะที่หลอกพานักท่องเที่ยวไปเชือดเผื่อจะหาวิธีรับมือถูก แต่เชี้ยกุไม่ดูหนังสยองขวัญ ในหัวกุมีแต่ fozen และกุเชื่อว่าเอลซ่าไม่สามารพากุรอดได้แน่ถ้าเหตุการณ์นั้นมาถึง ผมเชื่อว่าพออ่านมาถึงตรงนี้แล้วหลายคนคงจะรู้สึกได้ว่า เมิงเริ่มเพ้อเจ้อละ แต่ผมซีเรียสกับเรื่องนี้มากนะ ยิ่งเราเป็นพวก backpack อะไรมันเกิดขึ้นได้เสมอ โลกมันสวยครับแต่ก็ไม่ได้สวยขนาดไม่มีพิษมีภัยอะไรเลย (อย่างเข้มมมม)


    เพราะฉะนั้นเอาแบบง่ายๆเลยคือการสังเกต ขณะที่ลงมาจากรถ 2 แถวผมก็สังเกตว่าลุงเขาพกอะไรมาบ้าง ลุงเขาพกกล้องกระเป๋าตังมือถือและเท่าที่ผมเห็นคือไม่มีอาวุธ ลุงเขาพูดกับผู้คนดีแต่ก็ไม่ได้ดีจนเกินไป เรานั่งรถตุ๊กตุ๊กมาถึงบ้านของลุง บ้านั้นติดถนนเลยไม่ลึกอยู่ในชุมชนแบบสุดๆ เอาว่าร้านขายยาติดกัน 3 ร้านอะ ล้มไปทางไหนกุก็มียาแดงทาหัวแน่นอน และวินาทีที่ลุงเปิดประตูบ้านนั้นมันทำให้ผมกรี๊ดลั้นเลยคือ รถมอเตอร์ครอสและอุปกรณ์กล้องมากมายบอกเลยว่านะจุดนี้ ลุงเขาไม่ปล้นผมแน่นอนเพราะเขารวยกว่ากุ 100%

     

    แต่สิ่งที่ทำให้ผมไว้ใจลุงเขาจริงๆคือรูปถ่ายครอบครัวที่ติดหราอยู่บนกำแพงขณะที่ลุงเขาล้างหน้าแปรงฟันอยู่ผมก็ยืนจ้องรูปภาพแบบนั้น ผมถามว่าครอบครัวลุงไปไหน ลุงก็ตอบกลับมาว่า "ก็อยู่ใต้พื้นตรงที่หนุ่มยืนเหยียบอยู่นั้นไง " พร้อมกับถือขวานเดินออกมา!! ล้อเล่นน้ะครับครอบครัวลุงเขาอยู่กรุงเทพกันและลุงเขาทนอากาศที่กรุงเทพไม่ไหวเลยขอกลับมาก่อนจนมาเจอพวกผมเนี่ยแหละ  พอฟังลุงพูดถึงครอบครัวเขามันก็ทำให้เรารู้สึกว่าลุงเป็นคนอบอุ่นถึงแม้ว่าลุงจะเป็นคนไม่ค่อยยิ้มแต่เราก็รู้สึกได้ถึงความภูมิใจและความสุขผ่านน้ำเสียงของเขามันทำให้ผมรู้สึกสบายใจและนั่งอยู่ในบ้านของลุงเขาได้อย่างผ่อนคลาย


    ลุงขับรถพาเราไปกินข้าวเช้าที่ร้านอุบลโอชา เป็นร้านอาหารที่ขายอาหารจำพวกโจ๊ก ก๋วยจั๊บญวน ที่อร่อยมากและชามใหญ่มากก ถ้าถามว่าอวยขนาดนี้เขาให้ค่าโฆษณามั้ย ... ป่าวเขาไม่ได้จ่าย มื้อนี้เราขออาสาเลี้ยงลุงเขาเองถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งเล็กน้อยที่เราสามารถพอจะตอบแทนลุงเขาได้ก็ตาม หลังจากทานอาหารเสร็จลุงก็แพลนการเดินทางให้เราว่าจะพาเราไปหาดทรายสูงก่อน ต่อด้วยหาดชมดาวแล้วก็ปิดท้ายด้วย สามพันโบก มาถึงตรงนี้เราได้มีโอกาสถามชื่อคุณลุงว่าเขาชื่อลุงชวนและผมก็แนะนำตัวเองว่าผมชื่อเจนี้เพื่อนผมชื่อจอย เมื่อแนะนำตัวเองกับเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาออกเดินทาง !! ผมบอกได้เลยว่ารถลุงโคตรดูดวิญญาณเลย คือจะหลับทุก 5 นาที พยายามชวนคุยก็แล้วอะไรก็แล้วกุก็ล่วงทุกที
    ลุงเป็นคนที่ลุยมากลุยจนผมไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายวัย 60 จะทำขนาดนี้ได้ลุงปั่นจักรยานไปปากเซได้ จากอำนาจเจริญไปปากเซ เดินขึ้นภูกระดึง อารมณ์เปี่ยวๆก็ขับรถไปเชียงใหม่เฉยเลย อยู่ดีๆก็ขับมอเตอร์ครอสเที่ยว คือการเที่ยวของลุง 3 เดือนมากกว่าผมทั้งปีอะ แข็งแรงกว่าพ่อผมก็ลุงเขาเนี่ยแหละ แต่เห็นแบบนั้นถุงยาลุงใหญ่มาก เป็นผลพวงของการใช้ร่ายกายหนักเมือตอนลุงเขายังหนุ่ม ลุงบอกผมว่าสมัยหนุ่มๆไม่ค่อยได้คิด ดื่มเหล้าเมาใช้ร่างกายหนักมากช่วงนั้น ที่ลุงรอดมาได้ทุกวันนี้คือการออกกำลังกายล้วนๆ  "เราไม่ได้ตระหนักว่าพอมาอายุปูนนี้มันจะมีผลยังไง ทุกวันนี้พอรู้ลุงก็เลยเที่ยวเท่าที่จะเที่ยวได้ เพราะกลัวว่าวันนึงเราจะตายโดยที่ไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำเลย"

    ระหว่างทางลุงชวนผมคุยเรื่องกล้องแทบตลอดทางลุงสนใจมากแต่เพิ่งมาเริ่มถ่ายได้แค่ 2 ปีเองลุงยังบอกอีกว่าทุกรูปในบ้านลุงถ่ายแทบทั้งหมดเลยและลุงยังบอกด้วยนะว่าชอบเปิดพันทิพดูรูปด้วยนะและพันทิพหนุ่มชื่อว่าอะไรละ อ่าว ตายห่าละ ... ลุงก็ยิงผมซะตรงเลย ปรกติชอบแซวคนนู้นคนนี้ผ่านกระทู้ด้วยไงและถ้าลุงรู้ว่ากุแอบแซว(กุว่าไม่แอบอะ)เขาว่าเป็นฆาตกร กุคงต้องบอกลาเมืองอุบลแล้วซินะ แต่เอาวะไหนๆลุงก็ถามแล้วพันทิพผมชื่อว่า 2403166 หลอกๆ 5555 ชื่อว่า " Runaway " ครับ และก็เดชะบุญลุงรู้จักเฉย !! ลุงบอกว่าเคยเห็นอยู่ ติดตามอยู่ๆ เดี๋ยวจะแวะเข้าไปดูบ่อยๆ ได้เลยเคิ้บบบบ

    ลุงพาเราเข้าเส้นเรียบฝั่งแม่โขง ซึ้งชื่อจริงๆมันคือถนนเส้น เขมราฐ-โขงเจียม และถ้าถามว่ามันติดชิดแม่น้ำโขงขนาดนั้นมั้ยก็ต้องบอกว่า ไม่ ลืมเรื่องการขับรถไปชมวิวแม่น้ำโขงไปได้เลยเพราะถ้าอยากสบตากับแม่น้ำโขงต้องเข้าไปอีก 10 กิโลเมตร ณ ตอนนั้นผมอยากจะบอกลุงว่า มันห่างไกลกับคำว่าเรียบแม่น้ำมากเลยครับ 55555 ลุงบอกว่าถ้าเริ่มจากเขมราฐ  ถนนเส้นนี้จะมีสถานที่เที่ยวตลอดทางเลย หาดทรายสูง หาดชมดาว สามพันโบก ผาแต้ม(ก็มา)จะอยู่เส้นนี้หมดเลย เชรดด เราควรมาเริ่มที่เขมราฐซินะน และลุงก็พาเราเลี้ยวเข้าไปใน ... จะเรียกว่าซอยหรืออะไรดีอะ เรียกว่าทางเข้าแม่น้ำโขงดีกว่า ที่หน้าทางจะมีป้ายเขียนว่าหาดทรายสูง เลี้ยวไปเลี้ยวมาเราก็มาโผล่ตรงลานหินที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและทางด้านซ้ายจะเป็นเนินทรายที่สูงจริงพี่ยอมใจ ...

     

    บทนี้ค่อนข้างยาวและเต็มไปด้วยเนื้อเรื่องที่แน่นมากหากใครไม่สะดวกอ่านจริงๆสามารถข้ามได้นะครับ 55555 บอกซะตอนท้ายเลยไอ่ชิหายยย

     

    • โพสต์-4
    Chittapon •  มกราคม 25 , 2560

    บทที่ 4

    " พรุ่งนี้ "

     

    มาต่อกันยาวๆเลยกับบทนี้ บทนี้จะเป็นอะไรที่รวบรัดรวดเร็วแต่ไม่รีบร้อน ของเนื้อหาตั้งแต่หาดทรายสูงไปจนถึงสามพันโบก ผมเชื่อว่าหลายๆคนจะเริ่มคิดแล้วว่าจะ 3 ชาติแล้วกุยังไม่เห็นผาชะนะไดเลย ผมก็บอกได้แค่ว่าเราคงต้องรอกันยันชาติที่ 4 5555 ล้อเล่นน ใจเย็นๆนะเธอเตงงงง

     

    จากบทที่แล้วเราเดินทางมาถึงหาดทรายสูง ผมไม่ค่อยอินกับมันเท่าไหรนัก มันสูงจริงแต่ผมรู้สึกคาดหวังว่ามันจะยิ่งใหญ่กว่านี้ผมเลยค่อนข้างเฉยๆ แต่ดูเหมือนจอยจะชอบมากๆ 5555  ได้ถ่ายเนินทรายที่มันดูสูงบ้างแต่รู้สึกไม่สุด แต่ก็ดีอย่างน้อยก็มีคนชอบอยู่คนนึง ไม่ซิเหมือนจะมี 2 คนลุงชวนก็ด้วย ลุงชวนฉวยโอกาสที่เรามัวแต่ถ่ายรูปอยู่นั้นสั่งอาหารที่แพตั้งอยู่ริมน้ำใกล้ๆเนินทรายมาเลี้ยงพวกเรา เพราะเป็นปลาแม่น้ำโขงเลยรู้สึกเกรงใจหนักมาก ขณะที่เดินไปที่แพลุงชวนก็ชี้ให้ผมดูว่าทรายที่นี้พิเศษอยู่อย่างคือมันจะเงาเป็นประกายเหมือนเพชร ผมก็ก้มลงไปจับดูก็พบว่าเฮ้ยเป็นประกายจริงๆด้วย ผมพยายามถ่ายจับบี้ขยี้ ถึงกระนั้นผมถ่ายยังไงมันก็ไม่เป็นประกายสักที เฮ้ยยย ..


    หลังจะที่ได้กินอาหารและเอาเท้าแช่น้ำอยู่ริมแพได้สักแปบนึง ลุงชวนก็พาเราเดินทางกันต่อที่หาดชมดาว ขับตรงยาวๆ แบบยาวมากกก นี้ขนาดรถไม่ติดนะผมหลับไป 2 ตื่นได้อะเพราะแต่ละที่นี้ไกลจริง ทางเข้าหาดชมดาวนั้นจะสังเกตง่ายมากเพราะป้ายพี่แก่ใหญ่มาก ถ้าใครหาทางเข้าไม่เจอนี้ควรหาหมอนะ ขับเข้ามาผ่านหมู่บ้านได้สักพักเราจะเห็นซุ้มประตูทางเข้า จะมีทางลงไปด้านล่างทางด้สนขวา ด้วยความเก๋าของลุงชวนลุงก็เลยคิดจะขับลงไปเลยแต่ผมก็เบรคลุงไว้ก่อนเพราะว่าทางลงข้างล่างนั้นเป็นดินลอยมันจะทำให้ถนนลื่น ลงอะลงได้จริงแต่ขึ้นอะผมไม่รับประกัน ผมก็เลยห้ามลุงไว้พร้อมกับร้องเพลงในใจ "ฉันว่าเราหยุดก่อนดีมั้ย... ก่อนจะสายไป..."

    หาดชมดาวนั้นจะสามารถไปเดินเล่นได้ในช่วงที่น้ำลด และสิ่งที่ที่ทำให้ผมประทับใจกับที่นี้เลยคือไอ่ทางลงเนี่ยแหละ ด้วยความเป็นดินลอยเวลาลมพัดมันจะลอยฟุ้งเหมือนพายุทราย ผมลืมตาแทบไม่ขึ้นผสมกับมีเด็กกลุ่มนึงที่พี่แกดูสนุกกับการเล่นฝุ่นเล่นทรายมาก คือไอ้ที่มาตามลมก็หนักแล้วนะ แต่ไอ้ที่น้องเตะๆสะบัดๆด้วยความสนุกสนาน มันทำให้พี่รู้สึกอยากเตะตัดขาน้องมากเลยยย และยิ่งตอนมาเร่งเครื่องข้างๆนะ !! กุนึกว่าอยู่ซาอุ
     


    ผมเรียกว่าหาดชมดาวนี้ว่า สามพันโบก mark II เหมือนมาก ที่นี้เหมือน สามพันโบกมากๆแต่ไม่อลังการเท่า ผมว่าสามพันโบกมันดูอลังการกว่าเยอะ ผมไม่ค่อยอินกับมัน อีกแล้ว ... ไม่ใช่ว่ามันไม่สวยนะแต่ผมว่ามันยังไม่สุดถึงแม้ว่าผมจะพยายามเดินออกไปไกลตามแนวหินผมก็ยังไม่เจอจุดที่โดนใจเลย หรือว่าผมหาไม่เจอก็ไม่รู้ และพอหาไม่เจอปุ๊บเราก็ไม่รู้จะถ่ายอะไรทำให้ภาพที่ผมถ่ายมันช่างป่วยมากถึงมากที่สุด แต่ก็เหมือนว่าจอยเขาจะชอบเหมือนเคย ถึงขนาดตั้งกล้องถ่ายตัวเองเลยตอนหาผมไม่เจอ 55555 เอาว่ะฟิลเพื่อนผมมาเต็ม

     

    เราเดินทางออกจากหาดชมดาวมุ่งตรงสู่ สามพันโบก ในใจผมบอกเลยว่าถ้าเป็นเหมือนที่นะจะเฟลเบาๆเหมือนกัน ผมคงไม่ชอบอะไรแบบนี้มั้ง ผมวางแผนกับจอยไว้ว่าถ้ายังไงเดี๋ยวคงหาที่พักนอนแถวๆสามพันโบกละกัน คงไม่ค่อยมีคนหรอก และนั้นคือสิ่งที่ผมพลาด ลุงชวนอาสามาส่งเราได้แค่สามพันโบกและลุงก็จะตีรถกลับ ผมไม่รู้จะขอบคุณลุงชวนยังไงที่ต้องมาขับรถทางไกลส่งเด็กทั้ง 2 คนมาจนถึงที่หมาย ลุงชวนขับรถออกจากสามพันโบกเหลือแต่เพียงผมกับจอยท่ามกลางผู้คนมากมาย มันทำให้ใจผมตุ่มๆต่อมๆพร้อมกับคำว่า "ตลาดนนท์ป่ะเนี่ย"

    เราเริ่มจากการถามที่หาที่พักโดยวิธีการถามจากคนแถวๆนั้นและทุกคนก็บอกว่า น่าจะเต็มหมดแล้วแหละ และที่ที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างไป 20 โล เครียดเลยการไม่มีที่พักคือการไม่มีที่ชาร์จมือถือ และการที่ไม่มีมือถือ คือการไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับใครได้เลย หาข้อมูลที่พักก็ไมได้ ความเครียดเริ่มปกคลุมเบาๆ ทุกอย่างมันจะไม่เป็นปัญหาถ้าแบตมือถือพวกผมไม่หมด มันเป็นความรู้สึกโทษตัวที่เราไม่ควรพลาดได้ขนาดนี้ แต่บ่นไปก็ไม่ได้อะไร ผมเริ่มจากการที่ทำยังไงก็ได้ให้มือถือมันติดก่อน เราเข้าไปของชาร์จไฟมือถือจากร้านอาหารร้านหนึ่งเขาก็ใจดีให้ชาร์จด้วย

    เราเริ่มจากการหาที่พักก่อน ผมบังเอิญไปเจอที่พักแห่งหนึ่งใน Google ( ไม่ใช่บังเอิญอะขึ้นชื่อแรกเลย 5555 ) ผมถามเขาว่าพี่พอจะมีห้องพักให้ผมสักห้องมั้ยครับ พี่เขาก็ตอบมีอยู่ห้องนึงเตียงเดี่ยวนะ 600 บาท จังหวะนั้นผมนี้แทบลงไปกอดขาพี่เขาผ่านทางมือถือเลย มันตื้นตัน T T  และผมยังถามเขาอีกว่าพี่มีรถมารับมั้ยพี่เขาบอกว่ามีเย็นๆยังไงพี่เขาจะโทรหาอีกที โอเคจบไปละ 1 ปัญหา แล้วพรุ่งนี้จะไปขึ้นผาชะนะไดยังไง หลังจากที่ผ่านการโทรศัพอย่างหนักหน่วง เราก็ได้คำตอบมาจาก อบต.นาโพธิ์กลางว่า จะมีขึ้นไปพร้อมกับกลุ่มนึงตอนบ่าย 3 ไปกับเขา โอเครร และให้เบอร์กับคนขับเราไว้ จบไปอีก 1 ปัญหา 

    ปัญหาสุดท้ายนี้ปัญหาใหญ่ จะกลับกรุงเทพยังไง เพราะที่ทำให้เครียดเลยคือจอยต้องกลับไปเรียนให้ทันวันที่ 4 ซึ้งขาดไม่ได้ เราโทรไปตามพบริษัทรถทัวร์ต่างๆสุดท้ายก็ไม่มีบริษัทไหนว่างเลย รถไฟก็ไม่น่าทัน จากที่จอยไม่เครียดทีนี้ก็เริ่มเครียดละ ผมก็เครียดตามไปด้วยมันมืดแปดด้านจริงๆ เพราะบางที่โทรไปก็ไม่ชัวร์ที่ชัวร์ก็มี แต่กว่าเราจะลงไปถึงคงเต็มไปแล้ว เราคิดกันหนักมากจนสุดท้ายผมต้องถอยไปล้างหน้าล้างตาก่อน แต่อยู่ดีๆก็มีคำพูดอยู่ประโยคน์หนึ่งเข้ามาในหัว  "อย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้เลย เพราะวันพรุ่งนี้ก็ยังมีความกังวลของวันพรุ่งนี้อยู่" พี่คนหนึ่งได้บอกกับผมไว้ในวันที่ผมกังวลถึงวันพรุ่งนี้ที่มันยังไม่เกิดขึ้น บางอย่างเราไปเค้นมันไม่ได้ บางอย่างเราจะต้องรอถึงเวลานั้นเราถึงจะตัดสินได้ว่าควรทำยังไง ครั้งนี้ก็เช่นกัน


    ผมเดินกับไปหาจอย จอยก็บอกผมว่าจะถ้าไม่มีรถจริงๆจะกลับเครื่องบิน จังหวะนั้นผมบอกจอยได้เพียงแค่ ไม่ต้องห่วงเว้ยจอย มันจะมี มันจะต้องมีเชื่อเราดิ ไม่ใช่ผมไม่รู้สึกอะไรหรือไม่ใช่เรื่องของกุกุไม่แคร์ แต่วันนี้เรามาเที่ยว บางอย่างก็ต้องวางไว้และปล่อยให้ตัวเราในวันที่ 3 จัดการเรื่องพวกนี้ ผมชวนจอยลงไปเดิน สามพันโบก แต่จอยไม่ไหวและเราแบกของเยอะจอยจะของนั่งเฝ้าของเองไม่ต้องแบกไปมา ผมก็โอเค ตอนแรกมันจะมี 2 แถวให้เหมาร่วมกันคนอื่นลงไปด้านล่างตรงสามพันโบก ซึ้งถ้ามองด้วยตาเปล่าแม่งไกลมว๊ากกก แต่ด้วยความงก "กุเดิน" 5555  ต้องเสียตังเพื่อออ กุยังไหวกุเดินได๊ สบ๊าย

    เดินแรกๆก็เพลินดีหรอก สักพัก... เชี้ยเมื่อไหรมันจะถึงวะ จนบางทีก็ไม่อยากคิดถึงตอนเดินกลับ ผมเดินผ่านลานจอดรถมุ่งตรงไปที่แนวหินขนาดใหญ่ ใหญ่จริงเห็นแวบแรกผมก็แอบเหวอเหมือนกันเราสัมผัสถึงความหน้าเกรงขามที่บอกให้รู้เลยว่า "พี่อะของจริงไอ้น้อง" ผมเดินตามทางสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุด คนเยอะเห้ๆ เยอะจนไม่รู้จะตั้งกล้องไว้ไหน ถ่ายตรงไหน หันไปทางไหนก็มีแต่คน บางครั้งเราจะได้ยินมีคนแถวนั้นตะโกนคุยกันว่านี้ไงหลุมมิกกี้เม้าส์ ผมก็ไปยืนดูนะ หลุมไหนวะ แม่งเหมือนกันหมดเลย 55555 ยอมรับว่าฟายเรื่องพวกนี้ แต่ผมก็หาหลุมหัวใจคู่นะเว้ยยย  ที่นี้ทำให้ผมนึกถึงแกรนแคยอน ยิ่งผสมกับแดดยามเย็นใช่เลย ! แกรนแคนยอนเลย ถึงแม้ว่ากุจะยังไม่เคยไปก็ตาม


    ผมปีนป่ายตามก้อนหินเพื่อหามุมดีๆ ในใจก็บ่นไปว่าสูงชิปหายและเป็นคนกลัวน้ำลึก ซึ้งมันมีทุกอย่างเลยบนนี้เห็นหลุมเล็กๆนี้โคตรลึกเลยนะ ขนาดผมยังไม่นับแอ่งน้ำที่โคตรใหญ่และสามารถรับรู้ด้วยตาเนื้อได้เลยว่าโคตรลึก กุควรแบนที่นี่ 55555 แต่ด้วยความเป็นช่างภาพไงความกลัวไม่ใช่ทางเลือก! ทำให้ต้องเดินจิกเท้าตลอดทางเลย จิกจนกุจะกล้ายเป็นนักบอลเล่อยู่ละ -*-

    เรามารับเราตอน 6 โมงเย็นตรงเวลาเป๊ะ ถ้าถามว่าพรุ่งนี้จะไป อบต.นาโพธิ์กลางยังไง

     

    "ก็ให้ผมในวันพรุ่งนี้มาตอบบละกัน"

     

    • โพสต์-5
    Chittapon •  มกราคม 25 , 2560

    บทที่ 5

    “ ดื้อ is real “


    ก่อนอื่นเลยผมต้องขอโทษจริงๆที่หายไปนานมาก ผมจัดระเบียบความคิดตัวเองใหม่นิดหน่อย ผมเริ่มรู้สึกว่า ผมเร่งจบไปหน่อยโดยวิธีเขียนยาวๆแบบมาราธอน พอมาย้อนอ่านดูขนาดตัวเองยังรู้สึกขี้เกียจอ่านเลย 55555 แต่ก่อนจะเข้าเรื่องผมขอคุยอะไรนิดนึง ว่าทำไมผมต้องเขียนเรื่องราวยาวนัก ตั้งแต่เริ่มทำพันทิพผมคิดเสมอว่าผมอยากเล่าสิ่งที่ผมรู้สึกกับทริปนั้นๆจริงๆ จริงๆขนาดที่ผมคิดยังไงรู้สึกยังไงเฟลยังไง เพราะครั้งแรกที่ผมเที่ยวตามพันทิพ มันไม่ได้บอกผมว่าตอนขึ้นม่อนจองมันจะชิหายขนาดนั้น ผมไม่อยากเขียนอะไร Feel good หลอกลวงมากนัก ซึ้งในความเป็นจริงมันไม่ใช่ เราเครียด เราฮา เราหมดหนทาง เราตื่นเต้นดีใจ มันหลากหลายอะผมแค่อยากนั่งเล่าการเดินทางให้ใครสักคนฟัง แต่ด้วยความที่ว่าเรื่องที่เจอมันเยอะไปหน่อย(กุว่าไม่หน่อยอะ) มันจึงยาวขนาดนี้  มันมีเรื่องรอบข้างมากมายที่ต้องเจอ และผมอยากยากแชร์ประสบการณ์เหล่านั้นให้ฟัง พูดคุยกันได้ครับ คิดซะว่าเราเป็นเพื่อนกัน ถ้าอยากจะเล่าอยากจะแชร์ เล่ามาได้เลยผมอยากฟัง สุดท้ายนี้ผมขอบคุณสำหรับคำแนะนำจริงๆ ผมสัญญาว่ามันจะยาวเท่าเดิมแต่ไอ้ที่น้ำๆจะน้อยลง และเนื้อๆก็จะน้อยลงเช่นกัน หลอกๆ 55555 ตายห่านละกะว่าจะมาสั้นๆยาวอีกละ พอๆเข้าเรื่อง

    ผมเจอเซอร์ไพรแต่เช้าเลย เพราะรถที่จะมารับผมไป อบต. โทรไปไม่รับสายเฉย จอยโทรไปถี่มากแต่พี่เขาก็ไม่รับ ... กุโดนเทอีกแล้วซินะ ทำไมกุไปไหนก็มีแต่คนเทกุว๊ะะะ !! ตั้งแต่สังขระละ T T แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะพี่ที่รีสอร์ทอาสาไปส่งเราที่ อบต. แทนโดยคิดค่าใช้จ่ายเท่ากับที่เราดิวกับทางนู้นไว้ เราเดินทางออกจากรีสอทตอน 9 โมง พี่ที่ขับรถมาส่งเราเขาชื่อพี่ตู่ย เราคุยกันตั้งแต่เรื่องรีสอร์ท ไปจนถึงขนาดที่ว่าพี่เขาเรียนจบอะไรมาซึ้งผมก็งงนะว่าพี่เขาเรียนจบดนตรีมาแต่มาทำรีสอท แถมยังทำไร่ด้วยพี่เขาให้เหตุผลว่า พี่เขาอยู่ในเมืองไม่ได้อะไรมันก็ดูรีบไปหมด เขาใช้ร่างกายหนักมากทำทุกอย่างที่จะทำได้ในสายดนตรีที่เขาจากมาแต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ เลยกลับมาทำธุรกิจทางบ้าน ที่กรุงเทพแป๊บๆก็หมดไป 1 วันละ แต่ที่นี่ 1 วันมันทำอะไรได้เยอะมากและเราก็มีเวลาพักผ่อนด้วย

    ผมชอบในการใช้ชีวิตของพี่เขานะ นี้คงเรียกว่าสโลว์ไลฟ์จริงๆละมั้ง แต่เอาตรงๆนะเราอยู่อย่างพี่เขาไม่ได้หรอกผมโตมากับการแข่งขันและความใจร้อนผมชอบไปต่่างจังหวัดเพื่อให้ร่งกายมันพักมันชาลงบ้างก็เท่านั้น แต่ถ้าให้ไปอยู่หรอ ผมว่าผมขี้เบื่อจนไม่เหมาะกับคำว่าสโลว์ไลฟ์ 5555

    ในระหว่างที่คุยกันอย่างสนุกสนานพี่เขาก็ชวนพวกผมไปเสาเฉลียงคู่

    "พวกเรารีบกันมั้ย"

    "ไม่ครับพี่"

    "เดี๋ยวพี่พาไปเสาเฉลียงคู่ ไปมั้ย" เกรงใจนะพูดตรงๆแค่เขาสละเวลามาส่งเราแค่นี้ก็เกรงใจเขามากแล้ว

    "ไปครับพี่" (ฟัด !! -*-)

    สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดนี้โคตรเป็นอะไรที่ลึกลับซับซ้อนเลย พี่เขาพาเราเข้าไปเส้นทางที่แทบไม่มีป้ายบอกเข้าไปเรื่อยๆ แต่พอบทจะถึงแม่งถึงเลยแบบงงๆ จนบางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาอยากให้เรามาเที่ยวจังหวัดเขามั้ย 5555 จากจุดจอดรถเราจะเห็นเสาเฉลียงคู่แต่ไกล มันคือสโตนเฮนจ์เมืองไทยดีๆเนี่ยแหละ มีลักษณะเป็นหินก้อนใหญ่ๆที่ตั้งเป็นรูป TT จากที่จอดรถจะมีทางขึ้นไปด้านบน ส่วนด้านบนจะเป็นลานหินกว่าๆสามารถมองได้ 360 องศาฟาเรนไฮ พอยิ่งเดินเข้าไปใกล้ยิ่งรู้สึกถึงความน่าเกรงขาม มันตั้งอยู่มากี่ปีแล้ววะ อะไรคือสิ่งที่ทำให้มันยังไม่ล้ม ผมไม่ได้ถามพี่เขาว่ามันเกิดจากอะไร แต่การมีอยู่ของมันก็ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่ามันคงผ่านเรื่องราวมากมาย กว่าที่คนคนนึงจะเข้มแข็งได้ก็คงไม่ต่างกัน บางครั้งเราก็ต้องอดทนความเจ็บที่เกินทนเพื่อที่จะสามารถยืนหยัดได้อย่างเข้มแข็ง ยิ่งคิดผมยิ่งรู้สึกได้เลยว่า กุควรลงไปขึ้นรถก่อนที่กุจะฟุ้งไปมากกว่า = =

    พี่ตู่ยพาเรามาส่งที่ อบต.นาโพธิ์กลาง เอ้อ นิดนึง ผมโคตรชอบเรียกชื่ออำเภอนี้ผิดเลย เมื่อวานตอนที่อยู่ สามพันโบกผมได้มีโอกาสได้โทรไปที่เบอร์ของ อบต. ครั้งแรก

    "สวัสดีครับ อบต. โพธิ์นากลาง ใช่มั้ยครับ"

    "นาโพธิ์กลางครับ" คุยกันเรียบร้อยโทรและพอไปรอบที่ 2

    "สวัสดีครับ อบต.นากลางโพธิ์ ใช่มั้ยครับ

    "นาโพธิ์กลางครับ" ถ้ามีรอบที่ 3 นี้คง 5555 กุจะโดนนายกสั่งเก็บก็วันนี้แหละ

    ที่อบต.ต้อนรับบเราดีมากๆ พี่หน่องหรือลุงหน่องที่เราโทรติดต่อเขาไปได้แบบเราว่าจะมีขึ้นตอนบ่าย 3 ใช้เวลา 1 ชม.กว่าถึงผาชะนะไดระหว่างนี้ก็หาอะไรกินนั่งรอไปก่อนบ่าย 3 และเราถึงตอนเที่ยงเป๊ะ เปื่อยครับสั้นๆ ทั้งอ่านหนังสือ นอน เวลาตั้งรอเนี่ย 3 ชั่วโมงนี้โคตรนานเลยแต่แล้วกรุ๊ปที่จองรถก็มาถึงเป็นครอบครัวเล็กๆที่มากัน 4 พ่อ แม่ ลูกสาว และก็ลูกชายอีก 1 คน เราทำความรู้จักแทบจะทันที แว๊บแรกท่ผมรู้สึกได้เลยคือครอบครัวนี้น่ารัก เขาดูไม่ตึงกับเราเท่าไหรนัก เมื่อคนมากันครอบแล้วก็ได้เวลาเดินทางขึ้นผาชะนะได !!

    มาถึงตรงนี้หลายคนคงถึงกับอุทานว่า ไอ่สาดเมิงขึ้นเขาสักที ! ทำไมถึงรู้น่ะเหรอ เดี๋ยวมานะผมไปหน้าบ้านแป๊บ .... "โอ๊ยกว่าจะได้ขึ้นชิปหายยย!! " โอเคม่ะต่อ คุณกำลังมองหารถที่จะขึ้นผาชะนะไดอยู่ใช่หรือไม่ กับเส้นทางที่เหมือนวิ่งอยู่บนดวงจันทร์ ทีวีไดเร็กขอนำเสนอรถลุงหน่อง รถกระบะขับ 4 ที่ก็เห็นว่าลุงแกขับอยู่คนเดียว ที่จะพาคุณผาชะนะไดได้อย่างปลอ... อั๊ก ! นี้ขนาดหลุมเล็กๆนะทางมันที่สุดมาก ขนาดเจ้าหน้าที่เขามาทำให้เราเดินทางปลอดภัยขึ้นแล้วนะ คือถ้าใครเคยไปม่อนจองผมบอกเลยว่า same same ดีที่ไม่มีหน้าผาให้ขับเฉียด คุณจะพบประสบการณ์ภาพตัดที่คุณไม่มีทางพบจากที่ไหนแน่นอนนน

    หลังจากขับรถมาได้สักระยะเราจะเจอกับป้ายน้ำตกกิ๊ต 55555 ทำไมผมอ่านแล้วฮาวะ คืออ่านในใจไม่เท่าไหรไงแต่ลองออกเสียงดิ งั้นมาลองออกเสียงตามผมนะ น้ำ ตก กิ๊ต !! น้ำ ตก กิ๊ตตต ! โอ้ยกุเหนื่อยย 55555 ลุงหน่องพาเรามาจอดตรงแลนต์มาร์คแรกคือ หินเต่าชมจันทร์ เป็นก้อนหินที่มีลักษณะเหมือนเต่าจริง ลุงหน่องให้เวลาเราเดินเล่นและถ่ายรูปเต่าหินพร้อมกับเล่าให้เราฟังว่า สาเหตุที่เรียกว่าหินเต่าชมจันทร์ก็เพราะว่า ในตอนกลางคืน ดวงจันทร์จะลอยมาอยู่ตรงหน้าเต่าพอดี คนที่มาบุกเบิกที่นี้เลยตั้งชื่อว่าหินเต่าชมจันทร์ ซึ้งตอนนี้ บ่าย 3 ครึ่ง ... เกือบอินละอีกนิดนึงจริงๆ ไปต่อค่ะ

    ระหว่างทางลุงหน่องค่อนข้างจะพรีเซ้นดอกไม้ที่อยู่บนนี้หนักมาก ลุงพาเราหยุดดูดอกไม้มากมายแทบจะตลอดทาง แต่เพราะมันหาดูค่อนข้างยากและมันควรจะเยอะมากกว่านี้ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีทำให้มันขึ้นไม่เยอะเท่าที่ควร ผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไรบ้างแต่เหมือนว่าจอยจะจดไว้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่เรายังได้เห็นแม้จะมีบางพันธุ์ที่ไม่ออกดอกเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เสียดายเหมือนกัน เราตละหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติเรารู้ว่าธรรมชาติให้อะไรเราได้บ้าง และบางอย่างใช้ได้ผมดีกว่าสิ่งที่มนุษย์สร้างด้วยซ้ำ แต่อย่างว่าเรื่องมันซับซ้อน ทำเท่าที่เราจะทำได้แหละ

    ตลอดเส้นทางที่ถึงแม้มันจะคลุกไปด้วยฝุ่น และหลุมเล็กหลุมน้อยมากมายแต่ก็มีอะไรสวยๆให้ดูตลอดทางด้วยความที่ว่าพื้นที่ราบสูง มันเลยเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับผม ผมลบความเป็นเชียงใหม่ในหัวทิ้ง มันทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อเลย มีอยู่ชั่วนึงอยู่ดีๆลุงก็จอดรถปิดแล้วเปิดหน้าต่างมาบอกเราว่าจับให้แน่นๆนะ ในใจผมตอนนั้นนี้ชิปหายละ และกุแกก็เร่งเครื่องสุดกำลังทะยานขึ้นเนินที่ชันราว 60 องศา เหมือนตัวเองไม่มีน้ำหนักเลยใจมันหวิวมือไม่ค่อยมีแรง แล้วผมก็หันกลับไปมองด้านหลังอื้อหือสูงโคตรจากมือไม้อ่อนแรงกุแทบจะรวมร่างกับรถเลย

    และแล้วเราก็มาถึง ลานกางเต้นบนผาชะนะได เป็นลานหินขุรขระที่กว้างมากกก โคตรน่าวิ่งเล่นอะ แต่อย่าได้เผลอไปวิ่งเชียว บนนี้คอนข้างสะดวกสบายกว่าที่ผมคิด มีทั้งห้องน้ำ มีเต้นส์ให้เช่า และที่เด็ดสุดๆเลยคือมีร้านส้มตำด้วย ! เข้ ส้มตำ everywhere ! แต่พอได้คุยก็รู้ว่าที่มีร้านอาหารก็เพราะว่าเขามาบริการนักท่องเที่ยวที่มาดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันปีใหม่ ซึ้งหมายความในวันปรกติ เมิงก็โปรดทำอาหารกินเองซะนะ ง่อววว รอดตายว่ะ กำลังคิดอยู่พอดีว่าจะทำกับข้าวยังไง 5555

    ป้าที่ร้านยังบอกพวกเราว่ารู้มั้ยว่าก่อนที่เราจะขึ้นมา บนนี้มีรถถึงคน 200 คันกับคนประมาณ 1000 กว่าคน ! เชี้ย อุ้ยลั่นโทด เห้ยพี่ตูนมาเล่นคอนเสิร์ตบนนี้หรอวะเนี่ย นี้แหละเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่ชอบไปเที่ยวในเวลาเทศกาล ผมค่อนข้างจะสนิทกับคนบนนี้เร็วมาก และดูคนที่นี้จะชอบมุขที่ผมยิงใส่ด้วย กลายเป็นว่าเมื่อเจอผมเขาจะยิงมุขใส่ผมตลอดเลยจนบางทีไม่เป็นอันได้ซื้อของ คือมันดีป่าววะ -*-

    เคยมีความรู้สึกแอบดื้อบ้างมั้ย มันเป็นความรู้สึกที่ว่ามีสถานที่ทุกคนต้องไป ณ เวลานั้นแล้วอยู่ดีๆก็รู้สึกว่าทำไมกุต้องไปตามเขาวะ เนี่ยเพิ่งมาเป็นก็ตอนเนี้ยแหละ คือ ที่ผาชะนะไดจะมีจุดที่ทุกคนไปชมพระอาทิตย์ตกที่นั้น แต่ด้วยความที่ว่าไอ้ตัวหน้าผาชะนะไดมันเดินไปได้ ผมก็เลยแบบเฮ้ยทำไมเราต้องไปตามเขาวะ เรายังไม่เคยเห็นผาชะนะไดตอนตะวันตกดินเลย มันจะเป็นไปได้ไงที่ผาชะนะไดมันจะดูอาทิตย์ตกไม่ได้  พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินไปบอกลุงขับรถเลยลุงผมจะไม่ไปกับลุงนะ ผมจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาชะนะไดลุงหน่องแกก็เหวอๆไปนิดนึง แต่ผมก็ย้ำอีกว่าผมจะไม่ไป อารมณ์ลุงแบบเออๆของมันถึงเมิงจะไปไหนก็ไป 5555

    • โพสต์-6
    Chittapon •  มกราคม 25 , 2560

    ลุงให้คำแนะนำผมว่าไปจนสุดทางด้านทิศตะวันออกแล้วชิดขวาไว้จะกับทางไปผาชะนะได ง่ายขนาดนั้นเลย ผาชะนะไดหรือเซเว่นหน้าปากซอย 5555 หลังจากที่ผมพาพี่เจ้าหน้าที่ไปหาจุดที่จะกางเต้นส์ผมเอาข้าวของใส่เข้าไปในเต้นส์เลือกอุปกรณ์ที่จำเป็นออกมา ผมเดินไปจนสุดลานหินตามที่ลุงบอกปีนขึ้นไปบนก้อนหินที่ขวางอยู่จากตรงนี้เราจะเริ่มเห็นวิวทิวทัศน์แล้วแต่ยังไม่ใช่ผาชะนะได พอมองไปทางขวาจะเจอทางเดินไปผาชะนะไดต่อเลยโดยไม่ต้องปีนขึ้นมา เอ้ากุขึ้นมาทำไม -*-

    ผมเดินมาจบตรงป้ายผาชะนะไดจากตรงนี้มองออกไปจะเห็นวิวภูเขาฝั่งลาวและแม่น้ำโขงขนาดใหญ่ ผมตื่นเต้นมากถึงแม้ว่ามันไม่ใช่ตอนพระอาทิตย์ขึ้น แต่มันก็ทำให้ผมอึ้งเหมือนกัน ตรงนี้มีผมอยู่แค่คนเดียว มันเป็นช่วงเวลาที่เยี่ยมมากเพราะพรุ่งนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้ใช้เวลากับที่แห่งนี้ได้นานขนาดนี้ ผมมองสำรวจไปรอบพลางกับนั่งรอเสลาให้ดวงตะวันลับขอบฟ้า แต่มันไม่ได้ลับขอบฟ้าทางฟังนี้ เออว่ะ... เงาของผาชะนะไดที่พลาดลงบนผืนป่าด้านล่างท้องฟ้าสีตุ่นๆ จะ ถ่าย อะ ไร ดี ฟะ 

    ผมแชทไปหาจอยถามว่าตรงนั้นมีอะไรบ้าง จอยตอบมาว่าสวยมาก และก็ส่งรูปมาให้ดู ผมขอเวลาแป๊บ .... อ๊ากกกสวยชิปหายยยย ...  โอเคมาต่อ เฟล เฟลเน้นๆเลย ความดื้อแม่งชนะทุกสิ่งจริงๆ ผมนั่งแอบเซ็งเบาๆอยู่ตรงหน้าผาแต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้มอมชมพูความจริงก็เปิดเผยออกมาเพราะความจริงมีเพียงหนึ.. ถุ๊ย  ไม่ใช่ “ก็สวยใช่เล่นนี้หว่า”

    พอฟ้าเปลี่ยนสีผมก็เหมือนโดนที่แห่งนี้ปลอบใจ ถึงจะไม่สวยที่สุด แต่เราก็ทำให้เธอสบายใจได้นะ ในทริปนี้มีแค่นายคนเดียวที่ได้เห็นเราเวลานี้นะ ก็จริงมีคนนับร้อยที่นี้แต่มีแค่ผมคนเดียวที่ได้เห็นภาพนี้...

    หลังจากผ่านการหลอกตัวเองมาอย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมจะกลับที่พักสักที ใจจริงผมก็อยากจะถ่ายดาวที่นี้ต่อเลยนะ แต่พอมันมืดแล้วผมใจคอไม่ดี ไม่ใช่กลัวผีนะ แต่กลัวที่จะเดินๆอยู่แล้ว ชะแว๊บบบ ตีนเขาเลยจ้า อื้มม ขอเก็บความรู้สึกนั้นไปเล่นรถไฟเหาะละกัน ระหว่างทางเดินกลับผมไปสังเกตเห็นพุ่มดอกไม้แห้งๆอยู่กลุ่มนึง พอผนวกเข้ากับช่วงเวลาที่ดวงตะวันจะลับขอบฟ้า คือมันสวยมากมากจนผมมองข้ามไปได้ยังไง ผมค่อยๆตั้งกล้องถ่ายอย่างประณีต พวกเธอฮุกผมได้อยู่หมัดผมใช้เวลาในช่วงสุดท้ายของวันไปจนหมด มันทำให้ผมเข้าใจว่า จริงๆแล้ว ธรรมชาติก็มีช่วงเวลาเป็นของตัวเอง มีความลับมากมายที่ธรรมชาติซ่อนไว้เพียงแค่เรามีความกล้าและความอดทนที่จะรอช่วงเวลาเหล่านั้น ช่วงเวลาที่ความลับต่างๆค่อยๆเปิดเผย ต้องขอบคุณความดื้อของตัวเองจริงๆงานนี้

    ผมเดินมาจนถึงจุดบริการนักท่องเที่ยว กลุ่มของจอยกลับมาถึงพอดี ผมได้ทำความรู้จักกับครอบครัวที่เรามาด้วยคนพี่สาวชื่อตาว ส่วนน้องชายชื่อตา ส่วนคุณพ่อคุณแม่ปรกติเราเรียกว่าคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้ว ผมเลยขอเรียกแบบนี้ต่อนะครับ ^^  มีการเปลี่ยนจุดกางเต้นส์กันนิดหน่อยตามคำขอของจอยว่ามันไกลเกินไป ไม่ใช่ปัญหา แต่ผมบ่นตลอดทางเลย 5555 คุณพ่อของตาวชวนเรามานั่งดูดาวด้วยกัน ภายใต้กองไฟที่ลุงหน่องอาสาจุดให้

    ท้องฟ้าวันนี้เปิดมากวันนี้เรามองเห็นดาวชัดมากชักขนาดที่ว่า จอยสามารถบอกได้เลยว่ากลุ่มดาวนี้เป็นกลุ่มดาวอะไร ผมแอบเห็นดาวตกด้วยนะถึงแม้นานจะมาทีก็เถอะ ลุงหน่องสอนเราทำข้าวจี่มันคือข้าวเหนียวปิ้งอะแหละ แต่จะเป็นวิธีแบบเป็นธรรมชาติหน่อย ธรรมชาติขนาดที่ว่าลุงแกจะไม่ยอมล้างไม้ที่จะเอาข้าวเหนียวไปแปะ ผมนี้แบบจะไม่ล้างจริงๆหรออ ผมว่าผมไม่ต้องการแร่ธาตุขนาดนั้นน้า ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงโดยที่พ่อของตาวนำน้ำออกมาจากเต้นส์เราล้างไม้

    เป็นช่วงเวลาที่สนุกมากถึงแม้จะทำแค่ไม้เดียวแต่มันก็วุ่นวายเหลือเกินผมให้น้องตาเป็นคนแปะข้าวเหนียวเองเลยเพราะมือผมเปียกแปะไป 3 ชาติมันก็ไม่ยอมติด ดูตาสนุกมากดูครอบครัวของพวกเขาสนุกกันมาก หายากนะที่จะมีสักครอบครัวที่พาคนในครอบครัวมาทำอะไรแบบนี้ ส่วนใหญ่ผมเจอแต่พ่อแม่โยนแท็ปเล็ตให้ลูกแล้วทุกอย่างก็โอเคคค ถ้าผมมีครอบครัวผมคงให้ลูกของผมออกมาทำอะไรแบบนี้ มันดูอบอุ่นดี มันทำให้เขาเป็นคนที่ยืดยุ่นได้ในสังคม มันจะทำให้เขารู้ว่าโลกใบนี้มันใหญ่ และมีอะไรอีกมากที่เขาต้องเจอผมก็เช่นกัน และเมื่อเรารักมันเราจะอยากรักษามันไว้ให้อยู่กับไปตลอดการ

    พวกเราต่างแยกย้ายกันไปนอนหลังจากหมดกิจกรรม จอยค่อนข้างเหนื่อยมากในวันนี้เลยขอตัวไปนอนก่อน ก็ผมเล่นหิ้วไปนู้นไปนี้ตลอดเลย 555555 (หัวเราะแบบโคตรไม่รู้สึกผิด) ผมขอยืมเสื่อลุงหน่องออกมานอนดูดาวอยู่หน้าเต้นส์ ไม่รู้ซิเราไม่ได้เห็นดวงดาวเยอะแยะแบบนี้บ่อยๆในกรุงเทพนะ ขอดื้ออีกหน่อยน้า มันก็ต้องมีกันบ้างง

     

    "ไม่อยากหลับเลย" ความคิดเด็กๆ นานมากแล้วที่ผมเต็มใจที่จะไม่นอนแบบนี้ถ้าไม่นับช่วงธีสิสนะ

     

    • โพสต์-7
    Chittapon •  มกราคม 26 , 2560

     

    บทที่ 6

    " สิ่งที่เห็น "

     

    อืมมม ผมขอบคุณจริงๆที่อ่านมันจนจบ นี้เป็นบทสุดท้ายแล้ว จากการเดินทางที่ผมได้แต่ฝันเมื่อตอนปี 2 ตอนนี้มันมาถึงปลายทางของมันแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลาม่ะ มาลุยกันเลย

     

    ผมตื่นขึ้นมาตอนตี 5 นะถ้าจำไม่ผิด ผมติดนิสัยที่ว่าต้องไปรอก่อนเสมอ เราถูกสอนมาแบบนั้น เพื่อที่เราจะได้เตรียมตัวก่อน หลังจากที่ผมกับจอยล้างหน้าเสร็จแล้วก็ตกลงกันว่าโอเค เดี๋ยวไปเลยละกันและผมก็บอกจอยไปว่าผมจำทางได้ แต่สำหลับในป่าแล้วในครั้งแรกต่อให้คุณจำทางได้ในตอนสว่างมันไม่ได้ฟันธงว่าคุณจะจำได้ในตอนมืด ด้วยความที่เราไวกว่าคนอื่น เราจึงมีกันอยู่แค่ 2 คนท่ามกลางความมืด ผมได้เข้าใจคำว่ามืดแปดด้านที่ว่ามันเป็นยังไง ถึงแม้เราจะมีไฟฉายแต่ด้วยสายตาในตอนเช้าบวกกับแสงไฟฉายแว๊บไปแว๊บมามันทำให้ผมตาลาย ผมเริ่มจะหาทางไม่เจอและเริ่มตัน ขณะนั้นจอยคงรู้สึกไม่โอเคเลยถามย้ำผมว่าจำได้แน่นะผมก็บอกว่าจำได้แน่ดิ เราก็เลยจะเดินทางต่อ แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดมากกว่าสายตาที่พล่ามมัวคือความกลัวที่เริ่มเข้ามาหลอกหลอนผม เพราะในตอนที่ผมมาในตอนเย็นคือก่อนลงหน้าผามันจะเป็นแค่กอหญ้าและถัดไปก็หน้าผาเลย ผมเริ่มคุมความกลัวและตัวเองไม่อยู่ ผมเจอหินก้อนหนึ่งแต่เราก็ไม่กล้าปีนขึ้นไป จอยบอกให้ผมกับเถอะ ในใจผมที่พยายามสู้กับตัวเองอยู่ตอนนั้นก็คัดค้านและจะไปให้ได้จนกระทั้งจอยบอกว่าจะกลับวินาทีนั้นผมรู้สึกได้เลยว่า ผมแพ้แล้ว ผมไม่เคยให้บัดดี้ผมไปเสียงอันตรายคนเดียวไม่ว่าจะใครคนไหนก็ตาม และผมกำลังเอาเขาไปเสี่ยง

    พวกเราเดินกลับไปจุดที่กางเต้นส์ ลุงหน่องก็ถามนะว่ากลับมาทำไม เราก็บอกว่าเราหลง 555 ผมตลกตัวเองชะมัดกับความเฟลของตัวเอง ลุงบอกเราว่าเราต้องรีบไปแล้วเพราะพระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว เรากระโดดขึ้นหลังรถลุงหน่อง และรีบมูฟไปผาชะนะได จริงๆแล้วเส้นทางไปผาชะนะไดมี 2 ทาง คือเส้นทางเดินเท้าที่ผมเดินไปเมื่อตอนเย็นวานกลับอีกเส้นทางหนึ่งที่ให้รถเข้าไปได้อาจจะนานกว่านิดหน่อยแต่ถึงแน่นอน ระหว่างอยู่บนรถท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง เผยให้เราเห็นเส้นทางชัดขึ้นและผู้คนที่ทยอยมากัน รถไปหยุดอยู่ตรงจุดจอดรถ พอถึงตรงนั้นมันทำให้ผมอุทานออกมาเลย ไอ้ก้อนหินที่ผมเห็นตอนฟ้ามืดมันก็คือก้อนเดียวกับที่ผมขึ้นนั้นแหละและข้างๆมันก็คือทางลงไปผาชะนะได แค่ก้าวเดียวจริงๆ ให้ตายดิ พอไม่มีสติกลายเป็นว่าเราต้องไปเริ่มใหม่ อีกแล้วกับไอ้ความใจไม่นิ่งเนี่ย

    ผมลงจากรถรีบเดินไปยังหน้าผาและตั้งกล้องรอพระอาทิตย์ขึ้น คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหรเราต่างมีมุมของตัวเองเราอยู่กันแบบหลวมสบายๆ นั้นแหละผมเลยฉวยโอกาสเดินไปหน้าสุดเลยตั้งกล้องรอแสงแรกของผม แสงแรกที่ผมรอมานานถึง 4 ปีและมันก็เหลืออีกไม่กี่นาทีตรงหน้าผม นานชะมัดทั้งที่แค่ 20 นาทีเองผมรู้สึกว่ามันนานมากจนผมต้องหยิบมือถือมา live ลงเฟสบุ๊ค นั้นเป็นการ Live ครั้งแรกในชีวิตผมเลยนะเขินมาก 5555 แต่ผมก็ live ได้ไม่นานเพราะผมรู้สึกว่ารอบตัวผมมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าที่จะมีเวลาจับมือถือแล้ว live ผมรู้สึกมันไม่เหมาะกับผมเลย และมันคงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วแหละ ผมมองไปรอบๆถ่ายนู้นถ่ายนี้และอยู่ดีๆผมก็รู้สึกถึงบางอย่าง ผมรีบยกกล้องออกจากแถวหน้าสุดใน 5 นาทีสุดท้ายและวิ่งไปแถวหลังสุด  ผมจัดองค์ประกอบและเฝ้ารอช่วงเวลาที่ผมคิดไว้ในหัวและแล้วแสงแรงของวันใหม่ก็เล็ดรอดออกมาจากยอดเขาด้านหน้าเราผมกดชัตเตอร์ไม่ยั้งผมกดแล้วกดอีก กดเพื่อจะจับภาพผู้ชายคนหนึ่งกับแฟนของเขา ใช่ครับ สิ่งที่ผมเห็นคือคู่รักคู่หนึ่งกับมุมที่ผมรู้สึกว่าโรแมนติกที่สุด

    ผมรู้สึกดีจนผมไม่รู้ว่าถ้าผมพาแฟนผมมาด้วย ผมอาจจะไม่ได้ถ่ายภาพอะไรเลย ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจกับแสงแรกของวันใหม่ ทั้งความสนุกสนาน ควาชื่นชมยินดีต่างๆหลั่งล้นออกมาในช่วงเวลานั้น มันเป็นภาพที่สวยงามมาก ผมพยายามกดแล้วนะแต่ก็เก็บภาพที่ผมเห็นแทบไม่ได้เลยแย่ชะมัด มันอาจจะไม่ได้มีแค่ธรรมาติเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ช่วงเวลาน่าจดจำ แต่มันคือความรู้สึกในช่วงเวลานั้น ตอนนั้น ช่วงเวลาที่เราได้ใช้ความรู้สึกร่วมกัน ช่วงเวลาที่เราจะได้จับมือใครสักคนและโอบกอดเขา ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแค่ความรู้สึกตอนนั้นมันก็เกินกว่าคำพูดใดๆแล้ว อิจฉาคนมีแฟนครับอันนี้พูดตรงๆ 5555

    ผมได้แต่นั่งมองบรรยากาศเหล่านั้น และปล่อยให้ความรู้สึกมันพาผมไป ผมเพิ่งเข้าใจคำพูดของตัวละครที่ชื่อว่า ฌอน โอคอนเนลล์ ในหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty ที่ว่า

     

     "บางครั้งผมก็ไม่ถ่าย หากผมชอบช่วงเวลา...

    หมายถึง โดยส่วนตัวผม...

    ผมไม่ชอบให้กล้องเข้ามาขัดจังหวะ

    ผมแค่อยากอยู่...ในนั้น" 

    ผมอยากจะเก็บภาพเหล่านั้นด้วยตาผมเองและอยากจะเก็บช่วงเวลานั้นด้วยความรู้สึกของผม ได้โปรดอย่าได้มีอะไรมาขัดจังหวะผมเลย นอกจากอาการปวดท้องจากกาแฟที่จอยเอามาให้ก่อนขึ้นรถ อ่าววางยากันเฉยยย 5555 แต่ผมก็ฝืนจนซึมซับได้เต็มที่อะแหละ ข้าศึกที่อยู่หน้าประตูหรือจะสู้ใจกูที่ดื้อด้าน แฮร่ >< ก่อนกลับผมหันมองมันครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้แต่บ่นในใจ "กว่ากุจะมาเจอเมิงได้เนี่ยเหนื่อยมากนะ ขอบคุณมากที่ทำให้มันไม่สูญเปล่า" และกระโดดขึ้นหลังรถลุงเพื่อจบการเดินทาง

    จบแล้วนะจบจริงๆแล๊นนน 55555 ขอบคุณมากเลยขอบคุณจริงๆที่อ่านจนจบผมอยากจะใช้พื้นที่ในส่วนนี้ขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ พี่ป้าน้าอา อากงอาม่าอาซิ่ม ที่ทำให้ดิฉันได้รับรางวั... ถุ๊ย !  ขอขอบคุณลุงชวนที่รับคนแปลกหน้า 2 คนและพาเราเดินทางไปในที่ต่างๆที่เราไม่คิดว่าจะได้ไป หากวันไหนผมไปอุบลผมจะซื้ออะไรไปฝากนะครับ ขอขอบคุณพี่ตู่ยที่ทั้งไปรับไปส่งเราจนถึงที่หมาย ขอขอบคุณครอบครัวของตาวที่คอยดูเราทั้ง 2 คนเหมือนลูกเหมือนหลาน และอยากจะขอบคุณคนนี้จริงๆ จอยที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่กรุงเทพบางทีก็พูดอะไรผิดใจไปบ้างขอโทษนะ ขอบคุณมากไว้วันหลังไปเที่ยวกันใหม่นะ ^^ ป.ล ขอขอบคุณพี่น็อตที่ถ้าไม่มีพี่นั้นวันนั้นน้องก็คงไม่เปรี้ยวมาจนถึงวันนี้ 55555

    สุดท้ายนี้

    มีคนถามผมว่าถ้าเขาไปเขาจะเห็นมันสวยอย่างที่ผมเห็นมั้ย

    ผมก็ขอบอกตรงนี้เลยว่าไม่ครับ ผมเป็นช่างภาพคุณไม่มีวันที่จะเห็นในสิ่งที่ผมหรอก

    เพราะมันเป็นของผม ฉันใดฉันนั้น ผมก็ไม่มีวันได้เห็นสิ่งที่คุณเห็นเช่นกัน มันก็เป็นสิ่งที่มีแค่คุณเท่านั้นที่เห็น

    ช่วงเวลานั้นมันเป็นของคุณ ทำไมไม่ลองมาดูละครับ และเรามานั่งคุยกันมาเล่าให้ฟังกันว่า คุณเห็นอะไร ... ^^

     

    สวัสดีปีใหม่ครับ

    End