ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
พิษณุโลกเมืองต้องห้ามพลาด..Plus กับร่องเขานครชุม-บ้านร่มเกล้า พิษณุโลก
    • โพสต์-1
    Tammy •  พฤศจิกายน 29 , 2560

     

    . . พิษณุโลก เมืองต้องห้ามพลาด เพราะถ้าพลาดจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง . .

    "พิษณุโลก" หรือ "เมืองสองแคว" หนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ หลายๆ คนอาจนึกถึงที่เที่ยวอยู่ไม่กี่ที่ อย่าง ภูหินร่องกล้า ล่องแก่งที่ลำน้ำเข็ก ที่จะมาเที่ยวเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเท่านั้น พิษณุโลกเลยมักถูกมองข้าม มิหนำซ้ำยังอาจเป็นแค่ " ทางผ่าน" หรือแค่ "แวะพัก" อาจเพราะเป็นจังหวัดที่อยู่ในแถบภาคเหนือตอนล่าง เส้นทางที่จะเปิดประตูสู่จังหวัดในภาคเหนืออื่นๆ แต่วันนี้เราจะพามาที่รู้จัก พามาเที่ยว "พิษณุโลก" ว่ามีอะไรที่มากกว่านั้น หลายคนอาจเคยได้ยิน หรืออาจไม่เคยได้ยิน แต่วันนี้จะทั้งได้ยินและได้เห็นในสิ่งที่เราไปสัมผัสมนต์เสน่ห์ของที่นี่มา . .

    สวัสดี . . พิษณุโลกเมืองสองแคว ^.^

    . . ต้อนรับมื้อกลางวัน ซึ่งเป็นมื้อแรกในเมืองสองแคว ด้วยเมนูก๋วยเตี๋ยวในตำนาน "ก๋วยเตี๋ยวจุกไก่ไทย" ร้านดังที่อร่อยจนต้องบอกต่อ ซึ่งเมนูแนะนำคงไม่พ้น "บะหมี่ไก่แห้ง" ที่เส้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งทางร้านทำเอง ไม่มีร้านไหนเหมือน และขายมากว่าสามสิบปีแล้ว ด้วยบะหมี่เส้นเหนียวนุ่ม ทานคู่กับไก่ไทยเนื้อแน่นๆ ซดน้ำซุปไก่ร้อนๆ รสชาติกลมกล่อม อร่อยจริงๆ บอกเลยว่าห้ามพลาดต้องมาลอง . .

    • ร้านจุกไก่ไทย อยู่บริเวณถนนพุทธบูชา เลยตลาดไนท์พลาซ่า ริมน้ำน่าน

     

    เมื่อหนังท้องตึง . . เราก็นั่งรถกันต่อมุ่งหน้าไปยัง "พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์" หรือ “พ่อขุนบางกลางท่าว” พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยที่บริเวณหนองปู่ตา ตั้งอยู่ที่ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก (อยู่ห่างจากตัวจังหวัดพิษณุโลก 95 กิโลเมตร)

     

    และไม่ไกลกันมากนั่ง เราเดินทางไปยัง "วัดกลางศรีพุทธาราม" หรือ "วัดกลาง" เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองนครไทย หรือ นครบางยางในอดีต ซึ่งปกครองโดยพ่อขุนบางกลางท่าว (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) และบริเวณวัดมีอนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าว และด้านหลังอนุสาวรีย์มีต้นจำปาขาว ที่มีอายุราวกว่า 700 ปี ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นต้นจำปาที่พ่อขุนบางกลางท่าวปลูกไว้

    อนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าว

    พระอุโบสถเก่าแก่อายุหลายร้อยปี

     

    ด้านในพระอุโบสถ : พระพุทธรูปสำริดศิลปะสมัยสุโขทัย พระพุทธรูปศิลานาคปรก ปางสมาธิศิลปะลพบุรี

     

     ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถทั้งสีด้าน วาดเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ พุทธชาดก

     

    แต่ที่แปลกตาและแตกต่างจากที่อื่นๆ ก็คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัยที่เป็นเรื่อง "พุทธประวัติตอนชนะพญามาร" ที่มีภาพยักษ์และลิงต่างแต่งกายด้วยชุดลายพราง ยักษ์สวมหน้ากากหัวผีตาโขน ถือปืน สวมหูฟัง พกโทรศัพท์ ฯลฯ โดยทางวัดจะเปิดให้ประชาชนและผู้ที่สนใจเข้าชมตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้าถึงเย็น

    โดยภาพดังจิตกรรมดังกล่าว เป็นผลงานของนายสุรพงศ์ เกาะม่วงหมู่ ช่างฝีมือจากจังหวัดเลย วาดภาพพุทธชาดก ด้วยสีฝุ่น มีลวดลายไทยวิจิตรตระการตา ตั้งแต่ปี 2546

    เมื่อดูความสวยงามที่แปลกตาของภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดกลางเสร็จสิ้น ได้เวลาที่เราต้องเดินทางไปยัง "ตำบลนครชุม" ไปเยือนชุมชนเล็กๆ กลางหุบเขาที่น่าสัมผัสอีกที่หนึ่งในอำเภอนครไทย . .

     

    "จุดชมวิวร่องเขานครชุม" เป็นจุดชมวิวระหว่างทางที่ไม่ควรพลาด . . !! ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ เห็นทิวแนวเขาสีเขียวขนาดเล็กที่ทอดตัวไปในแนวยาว อีกทั้งยังมองเห็นเขาหินปูน หรือที่เรียกกันว่า "เขาโปกโล้น" อยู่เบื้องหน้า ในขณะที่ด้านล่างมองเห็นหมู่บ้านเล็กๆ มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นสลับกันไปในแนวราบ มีทุ่งนาสีเขียว สีเหลือง ที่มีสีสันสวยงามตามฤดูกาล

    นอกจากนี้ที่นี่ยังสามารถชมทะเลหมอกในยามเช้าได้ตั้งแต่ช่วงเวลา 05.30 - 08.00 น. ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานสำหรับการชมทะเลหมอก . .

    เสร็จสิ้นจากการซึบซงับบรรยากาศจากมุมสูงบริเวณจุดชมวิว และถ่ายภาพกันเรียบร้อย ได้เวลานั่งรถไปยัง “โฮมสเตย์นครชุม”

     

     

    “นครชุม” หนึ่งในตำบลเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาของอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่มีอาชีพทำการเกษตร ทำไร่นาเรือกสวนเป็นหลัก บ้านแต่ละหลังจึงมักมีผืนที่นาอยู่ใกล้ๆ บางหลังคาเรือนมีแนวภูเขาล้อมรอบอยู่ข้างๆ เปรียบได้เหมือนรั้วบ้านขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สิ่งเหล่านีี้จึงกลายเป็นเหมือนมนต์เสน่ห์ของที่นี่ ที่แฝงไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจรอให้เราเหล่านักท่องเที่ยวออกเดินทางไปค้นหาและมาสัมผัสด้วยตัวเอง ที่นี่จึงมีโฮมสเตย์ของชาวบ้านที่แบ่งพื้นที่ภายในตัวบ้านเป็นโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาพัก มาสัมผัสวิถีชีวิต ซึบซับวิถีต่างจังหวัดที่ลงตัว . .


    และบ้านที่เราได้พักแรมในนครชุมคือบ้านของ "คุณยายทบ" ลักษณะบ้านเป็นบ้านแบบสองชั้น ชั้นล่างถูกแบ่งพื้นที่ทำเป็นห้องพัก 2 ห้อง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาพัก ตรงกลางเป็นเหมือนห้องนั่งเล่น มีทีวี โต๊ะ เกาอี้ ไว้ให้นั่งพักผ่อน ข้างๆ บ้านจะมีนาข้าวที่ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว และจากตัวบ้านก็มองเห็นภูเขาอยู่ไม่ไกลนัก และที่สำคัญบ้านของคุณยายมีเครื่องน้ำอุ่นด้วยล่ะ(ไ่ม่ได้ถ่ายรูปบ้านพักมา)

    หลังจากเรานำสัมภาระทั้งหมดมาไว้ที่บ้านเรียบร้อย เราใช้เวลาในช่วงเย็นเดินเล่น ชมบรรยากาศไปตามถนนสายเล็กๆ ในหมู่บ้านเพื่อรอเวลามื้อค่ำที่จะถึงอีกประมาณสองชั่วโมง บางกลุ่มก็เลือกที่จะปั่นจักรยานไปรอบๆ หมู่บ้าน ซึ่งที่นี่มีจักรยานให้เช่าในราคาที่ไม่แพงเลย ประมาณ 30 บาท หรือบ้านบางหลังอาจจะมีจักรยานไว้ให้ใช้ เราเดินตามถนนในหมู่บ้านและเริ่มมองหาร้านค้าเล็กๆ หรือร้านขายของชำที่จะขายทุกอย่างในหมู่บ้าน เพือเตรียมเสบียงขนม ระหว่างทางที่เดินผู้คนที่นี่ก็น่ารัก ยิ้มแย้มและทักทายตลอดเส้นทาง ชาวบ้านบางคนก็ถามไถ่จะไปที่ไหน ร้านค้าหรอ ?? พร้อมกับบอกทางและยิ้มให้ บางคนก็เพิ่งเลิกจากงาน บางคนก็เพิ่งเสร็จงานจากไร่นา มีทั้งเดิน ขี่รถเครื่อง(รถมอเตอร์ไซด์) หรือนั่งขับรถอีแต๋น เจอกันก็ทักทายกันตามประสาคนรู้จักไปตลอดทาง เห็นแล้วดูอบอุ่นชะมัด . .

     

    และนี่คือบรรยากาศรอบๆ หมู่บ้านที่เราพัก (ถ่ายเก็บมาได้เล็กน้อย)

     

    ที่นี่อากาศจะเย็นสบายตลอดปี . . มีภูเขาเล็กๆ ล้อมหมู่บ้าน

    โรงเรียนของเราน่าอยู่ คุณครูใจดีทุกคน..

     

    เจ้าถิ่นแสนซน . .

     

    มืดแล้วว . .

    ในที่สุดก็ถึงเวลาอาหารมื้อค่ำ เนื่องจากเรามากันจำนวนมากเป็นกลุ่มใหญ่จึงนำอาหารจากบ้านพักแต่ละหลังมารวมกันที่บ้านหลังใหญ่สุดหนึ่งเพื่อทานมื้อค่ำแสนอร่อยด้วยกัน และเคล้าไปกับอากาศเย็นสบาย และเมนูยอดฮิตของที่นี่ที่ไม่ควรพลาด!! "ไข่ป่าม และ ปูนาผัดผงกะหรี่" เป็นการนำปูนามารีมิคที่เข้ากันดี และอร่อยเหาะ!! ด้วยความหิวโหยมื้อค่ำวันนั้นจึงไร้รูปมาเป็นหลักฐาน . . !!

     

    ................................................................................................................

     

    04.00 น. ในเช้าของอีกวันเช้าเรารีบตื่นกันค่อนข้างไว(เช้ามากกก) เพราะเช้านี้เรามีนัดจะไป "พิชิตเขาโปกโล้น" ซึ่งอยู่บริเวณด้านข้างของหมู่บ้าน เรานัดกับรถกระบะของหมู่บ้านให้มารับประมาณตีห้าของบ้านแต่ละหลัง อากาศเช้าวันนั้นเย็นสบายจนเกือบจะหนาว เรานั่งรถจากตัวหมู่บ้านไม่นานนักก็ถึงบริเวณที่เราต้องเดิน เตรียมไฟฉายให้พร้อมแล้วเริ่มเดินกัน ซึ่งจะมีพี่ไกด์ไปกับเราและคอยนำทาง

    ระยะทางเดินเท้าจากจุดเริ่มเดินนั้นเรียกว่าชิลๆ สบายๆ ด้วยระยะทางประมาณ 1 - 2 กิโลเมตร ลักษณะทางก็ไม่โหดเท่าไหร่ อาจมีบางช่วงที่ชันแต่ยังถือว่าเดินสบายเดินไปเรื่อยๆ ใช้เวลาในการเดินประมาณ 30 - 40 นาที ก็ถึงจุดนั่งชมทะเลหมอก

    หากใครเคยผ่านการเดินป่ามาบ้างแล้วมั่นใจได้เลยว่าที่นี่เดินสบายมาก และถ้าหากใครต้องการดูทะเลหมอกต้องพร้อมออกเดินทางเวลาประมาณ 05.00 - 05.30 น. เพราะจากบ้านพักเราต้องนั่งรถกระบะมาจนถึงจุดเดินเท้าประมาณ 20 - 30 นาที **ที่สำคัญอย่าลืมไฟฉายละ**

    **ในทุกปีจะมีประเพณีปักธงปฐมฤกษ์ บนยอดเขาโปกโล้น ซึ่งจะทำกันในวันที่ 13 เมษายน ของทุกๆ ปี เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของพ่อขุนบางกลางท้าว **

     

    มาถึงแล้ววววว . . . "ทะเลหมอก" ว้าววว!! 

     

    นั่งถ่ายรูปกันไปสักพักแสงสีส้มอ่อนๆ ก็เริ่มส่องพ้นแนวเขาด้านหน้าลงมา พระอาทิตย์กำลังจะโผล่แล้วล่ะ หมอกที่เห็นก็เริ่มกระจายเบาบางไปตามสายลมอ่อนๆ อยากให้มาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วจะรู้ . .

    พอฟ้าเริ่มเปิด . .

    Photo: P'Naon

     

     

    พอฟ้าเริ่มเปิด . .

    ไม่คิดเลยว่าที่ “นครชุม” จะมีที่แบบนี้ ถ้าไม่เคยมาก็คงไม่รู้ และพูดเลยว่าที่นี่น่ากลับมาเที่ยวอีกครั้ง เพราะถ้าหากใครได้มาสัมผัสที่นี่ คงติดใจและคงอยากกลับมาอีกอย่างแน่นอน . .

     

    รองท้องมื้อเช้าในเมนูที่ธรรมดาด้วยข้าวเหนียวหมูทอด และที่ไม่ธรรมดาก็คงจะเป็นวิวด้านหน้า

     

    และรองเท้าคู่ใจคู่นี่ไงที่ไม่คิดว่าจะพามาถึงตรงนี้^^

     

    สำหรับข้อมูลการเดินทาง . .

    • สามารถติดต่อ อบต.นครชุม โทร. 055 009 808 หรือ คุณตั้ม 095 815 3968
    • การจองบ้านพักโฮมสเตย์นครชุม ติดต่อกับ อบต. นครชุม โทร. 055 009 808
    • สำหรับราคาโฮมสเตย์ 450 บาท มีอาหารให้ 2 มื้อ มื้อเย็นและเช้า

     

    การเดินทาง (แนะนำควรมีรถส่วนตัว ค่อนข้างสะดวกว่า)

    • รถยนต์ ไปตามเส้นทางพิษณุโลก - นครไทย จากนั้นขับรถไปที่ ตำบลนครชุม ประมาณ 28 กิโลเมตร ซึ่งห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกประมาณ 100 กิโลเมตร
    • นั่งรถ กรุงเทพฯ - พิษณุโลก ลงที่ บขส พิษณุโลก และต้องนั่งต่อรถทัวร์ไปยังอำเภอนครไทย หลังจากนั้นโบกรถเข้าไปยังตัวนครชุม หรือเหมารถเข้าไป หรืออาจติดต่อกับทาง อบต.นครชุมเพื่อจ้างรถมารับ

    หลังจากใช้เวลาในการซึบซับบรรยากาศด้านบนจนอิ่มใจ เราก็เดินทางกลับมายังหมู่บ้าน เก็บของเตรียมตัวไปยังที่อื่นในพิษณุโลกต่อ . .


    ...........................................................................................................................

     

     

     

     

     

    • โพสต์-2
    Tammy •  ธันวาคม 01 , 2560

    เสร็จสิ้นภารกิจ เรานั่งรถจากนครไทย ลัดเลาะตามเส้นทางไปเรื่อยๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยัง "สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า จังหวัดพิษณุโลก" เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยว เพราะเป็นทางขึ้นเขาสลับกับทางราบไปเรื่อย สองข้างทางจะผ่านหมู่บ้าน ผ่านป่าเขามาเรื่อยๆ บางช่วงก็มีสัญญาณโทรศัพท์บางช่วงก็ขาดหาย จนในที่สุดเราก็ถึงกันแล้วพร้อมกับสัญญาณมือถือที่หายไปด้วย . .

    เราใช้เวลาในการเดินทางราวสองชั่วโมงกว่าเกือบสามชั่วโมง จากนครชุมถึงสวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า จังหวัดพิษณุโลก

    สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า จังหวัดพิษณุโลก ในพระราชดำริ ตั้งอยู่ในเขต ต.บ่อภาค อ.ชาติตระการ ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2542 ตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อพัฒนาสถานที่ดังกล่าวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของจังหวัดพิษณุโลก
    สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้าในพระราชดำริ จึงถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งที่มีสวนพรรณไม้นานาชนิด ตลอดจนยังเป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้สายพันธุ์ต่างๆ และได้มีการจัดแสดงพรรณไม้ประจำถิ่น ไม้หายากและใกล้สูญพันธุ์ อีกทั้งยังมีโรงเรือนรวบรวมกล้วยไม้ไทย ที่รวบรวมสายพันธุ์กล้วยไม้ไทยที่หาชมได้ยากยิ่ง กว่า 300 ชนิด รวมถึงพรรณไม้ที่ค้นพบชนิดใหม่ของโลก คือ "สร้อยสยาม" ไม้ตระกูลชงโค หรือเสี้ยวของไทย รวมทั้งพืชหายาก พบเฉพาะบนภูเขาสูงที่มีอากาศหนาวเย็น กระจายพันธุ์อยู่ในจังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์

    ที่นีจะมีเจ้าหน้าที่คอยพาเดินชมสวน พร้อมกับบรรยายในเรื่องของพรรณไม้ต่างๆ ในบริเวณนั้น และในส่วนของโรงเรือนจัดแสดงกล้วยไม้อีกด้วย

    ซุ้มสร้อยสยาม 

    พันธุ์ไม้ที่ค้นพบชนิดใหม่ของโลก ออกดอกตลอดทั้งปี แต่จะออกดอกมากในช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไป

     

    เรือนเพาะชำกล้วยไม้ต่างๆ 

     

    และในคืนนี้เราก็จะเปลี่ยนบรรยากาศสำหรับการนอน "กางเต็นท์นอน" ซึ่งลานกางเต็นท์บริเวณนี้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 200 คน ไม่ไกลจากลานกางเต็นท์มีห้องสำหรับอาบน้ำ น้ำเย็นมาก และแถวบริเวณห้องน้ำก็แอบมีสัญญาณโทรศัพท์ด้วย

    เมื่อเก็บสัมภาระกันเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวไปเก็บภาพพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าสวยๆ กันที่ "จุดชมวิวค้อเดียวดาย"

     

    จุดชมวิวค้อเดียวดาย เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศา สามารถชมพระอาทิตย์ได้ทั้งขึ้น-ตก อีกทั้งในยามค่ำคืนยังสามารถชมดาวที่แข่งกันส่องแสงทอประกายอยู่บนท้องฟ้าได้อีกด้วย และถ้าหากโชคดีอาจจะเจอทางช้างเผือกบนนี้ เรียกได้ว่าตรงตามคอนเซ็ปต์ของที่นี่ . . "ห่มหมอก กอดหนาว ดูดาวบนภู” ซึ่งจะมีการจัดขึ้นในทุกๆ ปี และจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาสัมผัสอากาศหนาวเย็นในช่วงเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์

    จุดชมวิวแห่งนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของ 2 ประเทศ 3 จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศไทยและประเทศลาว พร้อมกับชมยอดดอยภูสอยดาวที่มีเขตเชื่อมต่อ 3 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ และเลย    

     

    "ต้นค้อ" ที่เห็นที่ยืนต้นอย่างเดียวดายมีอายุนับร้อยปี และยังเป็นพืชที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์และควรค่าแก่การอนุรักษ์ เพราะต้นค้อที่เห็นอยู่ตรงนี้มีเพียงต้นเดียว อยู่ลำพังหว้าเหว้ . . จึงเป็นชื่อที่มา "จุดชมวิวค้อเดียวดาย"

    "ค้อ เดียวดาย" คือจุดชมวิวที่เป็นไฮไลท์ของสวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า พิษณุโลก ในพระราชดำริ เพื่อให้ชื่นชมความงดงามยามอาทิตย์อัสดงและยามรุ่งอรุณ และให้ดื่มด่ำซึบซับกับบรรยายกาศวิวทิวทัศน์ตรงหน้า มองเห็นสันเขาที่วางเรียงรายสลับซับซ้อนเป็นแนวยาว พร้อมกับแสงอาทิตย์สีส้มที่ค่อยๆ ลาลับหายไปบนยอดเขาตรงหน้า . .

     

    ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีอีกครั้ง . .

     

    มา "ค้อ เดียวดาย" แต่ไม่เดียวดายก็มีน่ะ

    อากาศบนนี้เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ พร้อมกับแสงของพระอาทิตย์ที่หายลับไป หลายๆ คนเริ่มทยอยกันอาบน้ำ บ้างก็เตรียมตัวทานอาหารสำหรับมื้อค่ำที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้ และก็ใกล้เวลาที่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกจะเปิดงานฤดูหนาวในค่ำคืนนี้ . .

     

    .................................................


    อรุณสวัสดิ์อากาศยามเช้าที่หนาวมาก และมีลมพัดมาทำให้รู้สึกเย็นเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งเหมือนกับว่าลมจะมาพร้อมกับสายฝนปรอยๆ ในช่วงเช้ามืดเลย เรารีบลุกเตรียมตัวที่จะนั่งรถ "อีแต็ก หรือ อีแต๋น" กัน เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนจุดชมวิวค้อเดียวดายยยยยยย . .

     

    และแล้วในเช้าวันนี้เราก็ไม่ได้พบกับพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกเลย

    ได้แต่เก็บบรรยากาศโดยรอบในช่วงเช้ามาฝากแทน

     

    เสร็จสิ้นภาระกิจกับการเก็บภาพรุ่งอรุณ เราลงมาทานมื้อเช้าที่แสนอร่อยกันในเมนูยอดฮิตที่ส่งกลิ่นหอมหวนเหลือเกิน " ไข่ป่าม และ ข้าวจี่ " ถ้ามาเยือนที่นี่แล้วไม่ได้ทาน บอกเลยว่ามาไม่ถึงนะ ห้ามพลาด !!

     

    จากนั้นเราก็มีกิจกรรมแอดเวนเจอร์โดยนั่งอีแต๋นกันต่อ เพื่อชมสีสันพรรณไม้บนภูสูง ชมร่องรอยประวัติศาสตร์ สมรภูมิรบบ้านร่มเกล้ากัน พร้อมกันบรรยากาศโดยรอบระหว่างทาง . .

    แม้ระยะในการนั่งรถไม่นานมาก แต่วิวข้างทางก็สวยใช้ได้เลยล่ะ การนั่งรถอีแต๋นแบบนี้มันก็ดีนะทำให้เราค่อยๆ ซึบซับและสัมผัสถึงอากาศดีๆ บรรยากาศดีๆ ได้ดีกว่าการนั่งในรถแอร์ซะอีก 

     

    วิวระหว่างทางก็จะประมาณนี้ . .

    Photo: P'Nu

     

     

    กิจกรรม DIY โดยการใช้ดอกไม้แห้ง นำทำการ์ดอวยพรในวันปีใหม่ที่จะถึงนี้ . .

     

    หลังจากนั้น ท่านผู้ว่าฯ กล่าวปิดงาน และถ่ายรูปร่วมกันเพื่อเก็บเป็นที่ระลึกในความประทับครั้งนี้

     

    หากสนใจที่ต้องการมาพักกับทางสวนพฤกษศาตร์ฯ
    . . สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า พิษณุโลก ในพระราชดำริ โทร. 055 316 715, 081 287 4994 . .

    1. แบบบ้านพักเป็นหลัง

    • ราคาบ้านพัก คืนละ 200 /คน/คืน

    2. กางเต็นท์

    • ราคาเต็นท์เล็ก 200 /หลัง/คืน
    • ราคาเต็นท์ใหญ่ 350 /หลัง/คืน

    3. ราคาเครื่องนอน ชุดละ 100 บาท ( หมอน ผ้าห่ม แผ่นรองนอน)
    4. ถ้าหากนำเต็นทืไปเอง เสียค่ากางเต็นท์ 100 บาท*

    *หากนักท่องเที่ยวต้องการนั่งรถ "อีแต๋น" ต้องแจ้งเจ้าหน้าล่วงหน้า คันละ 300 บาท*

     

     

    . . ขอขอบคุณ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคเหนือ

    และผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพิษณุโลก . .