ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
ไปเที่ยวกาญจน์ เติมฝันให้ธรรมชาติโอบกอด พักไมด้า รีสอร์ท กาญจนบุรี Mida Resort Kanchanaburi (ไมด้า รีสอร์ท กาญจนบุรี) จ.กาญจนบุรี
    • โพสต์-1
    Amp •  พฤศจิกายน 06 , 2560

    กาญจนบุรี

    เป็นอีกหนึ่งจังหวัดในภูมิภาคตะวันตก ที่มีภูมิประเทศและสภาพอากาศดีโดยเฉพาะช่วงฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาว มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูง และไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร ฉะนั้นจึงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่พากันแวะเวียนเข้ามายังจังหวัดกาญจนบุรีอย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายอยู่ในหลายอำเภอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทาางธรรมชาติ เช่น น้ำตก แม่น้ำ ภูเขา อุทยานแห่งชาติต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีเสน่ห์ดึงดูดทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาโดยตลอด

    สำหรับทริปนี้ เราเป็นผู้โชคดีจาก “กิจกรรม KTC Real Team ครั้งที่ 46 ตอน ยกก๊วนรวมแก๊งเที่ยว Romance & Adventure สุดฟินริมแคว ที่ Mida Resort Kanchanaburi” ซึ่งเป็นกิจกรรมดีๆสำหรับทุกคนที่รักการท่องเที่ยว เพียงแค่มีบัตรเครดิต KTC และสมัครสมาชิกเว็บไซต์ https://www.ktcworld.co.th ก็มีโอกาสเป็นผู้โชคดีแบบนี้แล้วล่ะค่ะ กิจกรรมดีๆแบบนี้ยังมีให้ร่วมสนุกกันอยู่เรื่อยๆ ติดตามข่าวสารและอัพเดทเรื่องเที่ยวกันได้ง่ายๆที่ https://www.facebook.com/KTCWorldCommunity

     

    เนื่องจากเราเป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยวอยู่แล้ว หลายปีมานี้ก็เลยจัดทริปพาครอบครัวไปท่องเที่ยวกันด้วย แม้ว่าต่างคนต่างมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ อาจจะมีเวลาว่างต่อเนื่องหลายวันตรงกันน้อย แต่เมื่อนัดรวมตัวสี่คนพ่อแม่ลูกแล้วมักจะไม่ค่อยมีใครพลาด สำหรับทริปนี้เน้นพาครอบครัวไปพักผ่อนกัน 3 วัน 2 คืน และทำกิจกรรมนิดหน่อยตามประสาครอบครัว โดยมีแผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ ดังนี้

    วันที่ 1
    – แวะชมสุสานทหารสัมพันธมิตร (ดอนรัก)
    – แวะชมสะพานข้ามแม่น้ำแคว
    – เช็คอิน ไมด้า รีสอร์ท กาญจนบุรี (เต็นท์)
    – รับประทานอาหารเย็นที่ River Romance 

    วันที่ 2
    – รับประทานอาหารเช้า ที่ M Café
    – ชมบรรยากาศรอบๆรีสอร์ท
    – รับประทานอาหารกลางวัน เซ็ตปิ่นโต ริมน้ำ
    – ล่องแพเปียกในแม่น้ำแควใหญ่
    – นวดไทยผ่อนคลายความเมื่อยล้า
    – รับประทานอาหารเย็น ที่ The Terrace Restaurant
    – พักผ่อนในห้อง Deluxe

    วันที่ 3
    – รับประทานอาหารเช้า ที่ M Café
    – ชมความยิ่งใหญ่ของต้นจามจุรียักษ์
    – เดินทางกลับ

     

    • โพสต์-2
    Amp •  พฤศจิกายน 06 , 2560

    เมื่อได้มาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาบ่ายสองโมง พอดีกับติดต่อไปทางรีสอร์ทแล้วทราบมาว่าวันนี้ออกล่องแพเปียกไม่ทันเพราะน้ำแห้งแล้ว จึงเลื่อนแพลนล่องแพไปก่อน พอไม่ต้องรีบก็มีเวลาพาพ่อแม่และพี่สาวแวะเข้าไปชมสะพานข้ามแม่น้ำแควกันต่อวันหยุดแบบนี้นักท่องเที่ยวเดินทางมากันเยอะพอสมควรเลยค่ะ แต่ก็ยังพอหามุมถ่ายรูปกันได้ตามสบาย ^^”

    “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง เป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะ สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดา และนิวซีแลนด์ประมาณ 61,700 คน สมทบด้วยกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า และอินเดีย อีกจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า ซึ่งเส้นทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง
    สะพานข้ามแม่น้ำแควใช้เวลาสร้างเพียง 1 เดือน โดยนำเหล็กจากมลายูมาประกอบเป็นชิ้น ๆ ตอนกลางทำเป็นสะพานเหล็ก 11 ช่วง หัวและโครงสะพานเป็นไม้ มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2486 ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2487 ได้ถูกทิ้งระเบิดหลายครั้งจนสะพานหักท่อนกลาง ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง รัฐบาลไทยได้ซ่อมแซมใหม่ด้วยเหล็กรูปเหลี่ยม เมื่อปี พ.ศ. 2489 จนสามารถใช้งานได้ ปัจจุบัน มีการยกย่องให้เป็น สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ

    • โพสต์-3
    Amp •  พฤศจิกายน 06 , 2560

    จากนั้นมุ่งหน้าสู่ “ไมด้า รีสอร์ท กาญจบุรี” โดยใช้ถนนแสงชูโต (หมายเลข 323) วิ่งขึ้นไปทางลาดหญ้า (หมายเลข 3199) ระยะทางจากสะพานข้ามแม่น้ำแควไปประมาณ 33 กิโลเมตร จะพบป้ายรีสอร์อยู่ริมทาง ด้านซ้ายมือ ถ้าใช้แผนที่จากกูเกิ้ลนำทาง (Google Map) ต้องหาเป็นภาษาอังกฤษจึงจะแม่นยำค่ะ

     

    จากป้อมด้านหน้านี้จะต้องเข้าไปด้านในอีก 1 กิโลเมตรก็จะถึงทางเข้าตัวรีสอร์ทแล้วค่ะ

     

    จอดรถเรียบร้อยแล้วก็เดินมาบริเวณล็อบบี้ งดงามมากเลยนะคะ

     

    เดินเข้ามาเช็คอิน จะมี Welcome Drink เป็นน้ำเก๊กฮวยหวานๆเย็นๆ พร้อมผ้าเย็นอีกคนละผืน ภายในล็อบบี้ที่นี่กว้างขวางมาก มีโซนโซฟาไว้ให้สำหรับนั่งรอสบายๆ

     

    เหลือบไปเห็นป้ายนี้ ภายในรีสอร์ทจะมีให้ร่วมทำบุญตักบาตรทุกๆเช้าวันอาทิตย์ เวลา 09.00 น. ถ้าต้องร่วมตักบาตรก็สามารถแจแผนกต้อนรับไว้ได้เลยค่ะ ส่วนของที่ใช้ใส่บาตรนั้นทางรีสอร์ทจะมีชัดเซ็ตไว้ให้สะดวกในการซื้อกันด้วยนะคะ

     

    จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ (Bell Boy) ขับรถกอล์ฟมารับพร้อมกระเป๋าสัมพาระแล้วไปส่งยังห้องพักให้ค่ะ คืนแรกของเราในวันนี้เป็นเต็นท์ หลังละ 2 คน แต่เต็นท์ของที่นี่ไม่ใช่เต็นท์ธรรมดาทั่วไปนะคะ เพราะเป็นเต็นท์หลังใหญ่มาก มีทีวี แอร์ ไฟฟ้า ตู้เย็น ไดร์เป่าผม เตียงนอน มีเบาะเม็ดโฟมขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง เกินความคาดหมายมาก มีให้เลือกหลายหลังเลยด้วย ซึ่งโซนนี้จะเป็นโซนที่อยู่ติดกับแม่น้ำแควใหญ่ แถวของเต็นท์จะมีตั้งแต่โซนบนสนามหญ้าไล่ลงไปถึงริมแม่น้ำ

     

    บอกตรงๆเลยนะคะ เรานอนเต็นท์มาก็หลายครั้ง ทั้งเอาไปกางเกง ทั้งเช่านอน แต่ก็จะเป็นแค่เต็นท์หลังเล็กๆ พอให้ดิ้นตัวเวลานั่งๆนอนๆได้ มาเจอเต็นท์ขนาดใหญ่อลังการแบบนี้ถึงกับตะลึงอ้าปากค้างกันไปเลย และอีกอย่างที่อยากบอกคือ ภายในเต็นท์จะมีกลิ่นการบูรหอมสดชื่นอยู่ตลอด สรรพคุณของการบูรมีเยอะมาก ที่แน่ๆก็คือ ป้องกันแมลงและสัตว์เลื้อยคลานต่างๆไม่ให้มาอาศัยอยู่ในเต็นท์ แถมยังช่วยให้ไม่เป็นหวัดได้อีกด้วยนะคะ

     

    นอกจากนี้ ทุกหลังจะมีไฟฉาย และรองเท้าแตะไว้ให้ได้ด้วยนะคะ

     

    ส่วนห้องน้ำสำหรับคนพักเต็นท์ จะเป็นห้องน้ำรวม แต่เป็นห้องน้ำรวมที่ดูดีมากเลยค่ะ นอกจากจะแยกชายหญิงแล้ว ยังแยกส่วนสำหรับห้องชักโครกและห้องอาบน้ำไว้ให้ด้วย ในห้องอาบน้ำจะมีตุ่มใส่น้ำพร้อมขันที่ทำจากกะลามะพร้าว มีฝักบัวแบบจับ (Hand Shower) อยู่ตรงผนัง และฝักบัวด้านบนเพดาน (Over Head Shower) มีเครื่องกดสบู่และแชมพูติดผนังไว้ให้ใช้กันอีกด้วย

     

    โซนด้านหลังรีสอร์ทจะมีแน่น้ำแควใหญ่ไหลผ่าน เป็นน้ำที่มาจากเขื่อนศรีนครินทร์ โดยเขื่อนจะเปิดให้น้ำไหลลงมาในช่วงเช้าจนถึงประมาณ 14.00 หรือ 15.00 น. ดังนั้นหลังจากที่เขื่อนปิดน้ำแล้ว น้ำในแม่น้ำแควใหญ่ตรงนี้จะลดต่ำลง เป็นเหตุให้ไม่สามารถล่องแพเปียกได้ในช่วงเวลาหลังจากนั้น เพราะตามลำน้ำจะเต็มไปด้วยหินน้อยใหญ่ ถ้าหากล่องแพในช่วงที่น้ำมีระดับต่ำมากเกินไปอาจจะชนโขดหิน หรืออาจเจอช่วงที่น้ำแห้งขอดเห็นสันดินและกองหินไม่สามารถล่องต่อไปได้นั่นเองค่ะ

    จากรีสอร์ทมองออกไปทางด้านหลังจะได้เห็นวิวยอดเขาอยู่ไม่ไกลมากด้วยนะคะ ช่วงหน้าฝนกระทั่งถึงหน้าหนาวจะได้เห็นเมฆหมอกลอยอยู่บริเวณยอดเขาแบบนี้ด้วย แต่ถ้าหากมาในช่วงหน้าหนาว จะมีหมอกลอยคละคลุ้งให้เห็นกันใกล้ๆอยู่เหนือผิวน้ำนี่เลยล่ะค่ะ

    • โพสต์-4
    Amp •  พฤศจิกายน 06 , 2560

    วันนี้เราจะทานอาหารเย็นกันริมแม่น้ำ ตรงนี้ “River Romance” คืออีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของรีสอร์ท มีสองส่วนที่อยู่ในโซนเดียวกันนี้ให้เลือกจับจองก่อนจะถึงเวลามื้ออาหาร ด้านบนบริเวณลานสนามหญ้าจะมีแท่นไม้แผ่นใหญ่วางอยู่ มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่ตรงกลางแท่นไม้ และหมอนรองนั่งนุ่มๆอย่างดี มีโคมไฟสีขาวแขวนอยู่เป็นแนวยาว ยามแสงอาทิตย์ลับไปแสงไฟจะเปิดขึ้นมาให้ความสว่างไสวแบบโรแมนติกสุดๆไปเลย อีกส่วนหนึ่งคือส่วนที่เป็นลานไม้ยื่นลงไปในแม่น้ำ มีเบาะรองนั่งพร้อมโต๊ะทานข้าวเช่นกัน ได้อารมณ์ที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย มีไฟสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่ให้ความสว่าง ถ้าหากต้องการสร้างความโรแมนติกเพิ่มขึ้นก็สามารถขอเชิงเทียนตั้งโต๊ะได้ค่ะ

     

    สามารถจองพื้นที่ล่วงหน้าได้นะคะ จะแจ้งไว้ตั้งแต่วันก่อนเข้าพัก หรือมาแจ้งด้านหน้าก่อนถึงเวลาทานอาหารก็ได้ค่ะ ใกล้ๆบริเวณนี้จะมีพนักงานคอยให้บริการอยู่ เวลาต้องการความช่วยเหลือหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมมั่นใจได้เลยว่าจะไม่ต้องรอนาน

     

    บรรยากาศดีมากๆ ได้ดื่มด่ำธรรมชาติอันบริสุทธิ์ มีเสียงเพลงเพราะๆขับกล่อมคลอเคล้าท่ามกลางแสงสีส้มอ่อนๆของโคมไฟ เป็นบรรยากาศชวนฝันและโรแมนติกมากๆ

     

    อาหารก็รสชาติอร่อย อร่อยจริงๆค่ะ ถึงน้ำถึงเนื้อถึงรสถึงชาติ ยิ่งได้ทานท่ามกลางบรรยากาศดีๆแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้นไปใหญ่ ทั้งยังได้นั่งทานอาหารกับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา ได้พูดคุยกัน ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของทุกคน ทำเอาคนทำงานอยู่ไกลบ้านอย่างเราตื้นตันใจที่สุดเลยค่ะ

     

    ทุกโต๊ะจะมีน้ำเปล่าเสิร์ฟให้ ซึ่งเป็นขวดน้ำของรีสอร์ทเอง

     

    และเมนูเครื่องดื่มที่ชอบมากๆๆๆๆ ก็คือนี่เลยค่ะ น้ำแดงโซดาทรงเครื่อง อัดเครื่องมาแน่น หวานซ่ากำลังดี มันใช่มาก!!! เมนูนี้จริงๆแล้วจะผสมแอลกอฮอล์ด้วย ถ้าใครไม่ถนัดอย่างเราก็สั่งแบบไม่ใส่แอลฯได้เลยค่ะ

     

    คืนนี้เมนูที่ครอบครัวเราทานไป คือ แกงป่าปลาคัง ไก่ทอดสมุนไพร ไข่เจียวหมูสับ ปลากะพงทอดราดน้ำยำ และหัวปลีทอด บอกก่อนเลยว่าครอบครัวเราทำอาหารเป็นกันทุกคน สืบไปถึงรุ่น ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย มื้อนี้เราสี่คนพ่อแม่ลูกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อร่อย” ขนาดไข่เจียวหมูสับยังรสชาติไม่ธรรมดา กรอบนอกนุ่มในฟูกำลังดี หมูสับเนื้อนุ่ม รสชาติกลมกล่อม เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสพริก แต่เรากลับชอบทานกับน้ำปลาพริก รู้สึกว่าเข้ากันมากกว่า

     

    แกงป่าปลาคัง รสชาติเข้มข้น ถึงเครื่องพริกแกง ผักสด เนื้อปลาชิ้นพอดีคำนุ่มหอมอร่อยมาก

     

    ไก่ทอดสมุนไพร ใช้ปีกส่วนกลางทอดแห้งกำลังดี เนื้อนุ่มเคี้ยวง่าย ทานควบคู่ไปกับสมุนไพร ตะไคร้ กระชาย ใบมะกรูดที่ทอดโรยหน้ามาด้วยนั้นเข้ากันได้อย่างดี จะจิ้มน้ำจิ้มไก่ หรือจิ้มซอสพริกก็เข้ากัน

     

    ปลากะพงทอดราดน้ำยำ ปลากะพงหั่นเฉพาะชิ้นเนื้อปลามาคลุกแป้งทอดจนกรอบนอกนุ่มใน ไม่มีกลิ่นคาวเลย พร้อมน้ำยำที่แยกใส่ถ้วยมาให้ต่างหาก รสกลมกล่อมใช้ได้เลยค่ะ

     

    และอีกเมนูหนึ่งคือทอดมันหัวปลี จานนี้ดูเหมือนธรรมดาและว่าอร่อยมากอีกเช่นกัน ไม่ทันได้ถ่ายรูปไว้ แป๊บเดียวหายวับไปกับตา หัวปลีซอยเป็นเส้นใหญ่ แป้งน้อยและด้านนอกของตัวทอดมันกรอบมาก แต่ได้รสสัมผัสนุ่มๆของหัวปลีอยู่ข้างในด้วย ทานกับน้ำจิ้มไก่ยิ่งอร่อยมาก และตบท้ายด้วยผลไม้ ทำไมถึงต้องบรรยายแต่ละเมนูมามากมายขนาดนี้ ก็เพราะว่าอร่อยๆจริงๆน่ะสิคะ รู้เลยว่าเชฟทำด้วยใจ แล้วก็ได้ใจเราไปเต็มๆ

    • โพสต์-5
    Amp •  พฤศจิกายน 06 , 2560

    วันที่ 2 : M Café – ชมบรรยากาศรอบๆรีสอร์ท – อาหารกลางวัน เซ็ตปิ่นโต – ล่องแพเปียก – นวดไทย – The Terrace Restaurant

     

    ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ 6 โมงตามเสียงปลุกที่ดังมาจากโทรศัพท์ คิดว่าเช้านี้อาจจะมีหมอกลอยต่ำมาให้เห็นสักหน่อยเนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมาฝนตกหนัก แต่ไม่มีสายหมอกลอยมาให้เห็นสักนิด ได้เห็นก็แต่ชาเย็นในลำน้ำแควใหญ่.. เขื่อนคงเพิ่งจะปล่อยน้ำลงมาไม่นาน เป็นน้ำป่าผสมกับตะกอนหินดินทรายที่ไหลมากับน้ำ จึงเห็นเป็นสีน้ำตาลส้มราวกับชาเย็นหวานมัน ดังนั้น… จึงกลับไปล้มตัวลงนอนต่อ ตื่นมาอีกทีเจ็ดโมงครึ่ง ล้างหน้าแปรงฟัน ชมวิวยามเช้าสักหน่อย

     

    ชวนกันไปรับประทานอาหารเช้าที่ “ห้องอาหาร M Café” เป็นห้องขนาดใหญ่ รองรับได้ถึง 200 ที่นั่ง สามารถรับประทานอาหารเช้าได้ตั้งแต่ 06.00 – 10.00 น.

     

    อาหารเช้าที่นี่มีความหลากหลายและเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ทานกันจนกว่าจะอิ่ม ข้าวต้ม ข้าวผัด ข้าวสวย กับข้าวไทยๆ 2 อย่าง ผัดผักกับไก่ผัดขิง สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ แฮม ไส้กรอก มะเขือเทศย่าง สลัดบาร์ ผลไม้ ขนมปังปิ้ง แยมต่างๆ ซีเซียล โกโกครั้นช์ เครื่องดื่มก็จะมี น้ำเปล่า น้ำส้ม น้ำมะตูม และนม เท่านั้นยังไม่หมดค่ะ ด้านนอกจะมีเมนูไข่ ไข่ดาว ออมเล็ต (ไข่คนปนไข่เจียว) มีปาท่องโก๋ทอดกันใหม่ๆ พร้อมสังขยาใบเตย และนมข้นหวาน มีเครื่องดื่มอารมณ์โบราณๆ ได้แก่ ชาเย็น กาแฟ โกโก้ เท่านี้ก็ทานไม่ครบอย่างแล้วค่ะ

     

    ตักมาแค่นี้ก็แน่นพุงจนต้องให้ช่วยกันทานแล้ว ^^”

    • โพสต์-6
    Amp •  พฤศจิกายน 06 , 2560

    เรากับพี่สาวพากันเดินเล่นรอบๆรีสอร์ทต่อค่ะ ให้พ่อกับแม่มีเวลาจู๋จี๋กันสองคน ชะแว๊บมาดูสระว่ายน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ดูคนอื่นเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เราลงกันไม่ได้เพราะไม่ได้เอาชุดว่าน้ำมา แหง่ว.. ไม่เป็นไร แค่ได้มองก็สุขใจแล้ว

     

    ส่วนหอคอยตรงนี้เป็นโซนของเจ้าหน้าที่เท่านั้น ไม่สามารถขึ้นไปได้นะคะ

     

    ช่วงสายๆพากันย้ายห้องพักไปอาคาร M2 เป็นห้อง Deluxe ห้องละ 2 คนค่ะ ห้องดูดีมาก เตียงเป็นคิงไซส์ (6ฟุต) ความนุ่มระดับกลางๆ มี Sofa Bed ที่สามารถต่อเป็นเตียงเสริมได้ มีทีวี ตู้เย็นไดร์เป่าผม เสื้อคลุมอาบน้ำ รองเท้าแตะ อุปกรณ์ต่างๆครบครันเช่นกันค่ะ

    • โพสต์-7
    Amp •  พฤศจิกายน 06 , 2560

    มาถึงมื้อกลางวันของวันนี้เป็น “เซ็ตปิ่นโต” ที่ทาง ไมด้า รีสอร์ท กาญจนบุรี กำลังจะทำให้เป็นอีกหนึ่งกิมมิค สำหรับให้บริการผู้เข้าพักเพื่อเพิ่มความสะดวกสะบายในการเลือกสถานที่รับประทานอาหารกลางวันได้ตามความต้องการ ลานสนามหน้า ริมน้ำ ในศาลา ตรงไหนก็ได้เลยค่ะ ได้ฟิลเหมือนไปปิคนิคนั่งเล่นชมวิวกันอยู่ในสวนสวยๆ โดยในช่วงแรกๆนี้ ทางรีสอร์ทจะให้เลือกอาหารได้จากเมนูที่ห้องอาหารมีอยู่ ซึ่งจะเป็นราคาปกติตามเมนู แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ จะจัดเซ็ตไว้ให้เลือกประมาณ 3-4 เซ็ต และตั้งราคาเฉพาะเซ็ตเอาไว้ให้ เพื่อความสะดวกต่อการสั่งเซ็ตปิ่นโต โดยจะมีข้อมูลลงไว้ให้ในเว็บไซต์ด้วย อดใจรอกันอีกไม่นานค่ะ

     

    ของเรามื้อนี้ทางรีสอร์ทจัดมาให้เป็น แกงจืดเต้าหู้หมูสับ หมูสับผัดเผ็ดใบยี่หร่า และน้ำพริกกระทงน้อยๆ รสชาติยังอร่อยเช่นเคย แค่ติดตรงที่สี่คนเราทานอาหารเช้ากันมาเยอะเกินไป จนเที่ยงแล้วก็ยังแน่นพุงอยู่จึงทานอาหารกลางวันไม่หมด เสียดายมาก ใจนึกอยากทานให้หมด อยากห่อกลับบ้านด้วยแต่ลืมไปว่ายังต้องพักอีกคืน จึงจำเป็นต้องเหลือไว้ด้วยความเกรงใจ วิวที่เราเลือกคือบริเวณสนามหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำ ชิลสุดๆไปเลย

     

    14.00 น. ล่องแพเปียก กันค่ะ แพเปียกที่นี่ล่องได้เฉพาะช่วงที่น้ำในแม่น้ำมีระดับกลางๆ คือไม่มากจนหลากและไม่น้อยจนอาจติดโขดหิน ดังนั้นช่วงที่สามารถล่องแพได้จะเป็นช่วงเวลาประมาณ 14.00 -15.00 น. ของทุกวัน ซึ่งจะเป็นเวลาก่อนเขื่อนด้านบนจะปิดน้ำ มีเสื้อชูชีพไว้ให้ยืมใส่กันด้วย ใครอยากกระโดดลงน้ำก็ลงได้เลยค่ะ จะลอยคอไหลตามกระแสน้ำไปเรื่อยๆก็ได้โดยจะมีเรือหรือแพล่องตามไปคอยรับ สามารถขึ้นบนแพได้ตามที่ต้องการค่ะ ระยะทางการล่องแพอยู่ที่ประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 40 -45 นาที ไปสิ้นสุดบริเวณสะพาน บ้านท่ามะนาว จะมีรถสองแถวมารอรับและไปส่งเราที่รีสอร์ทเลยค่ะ คิดค่าบริการล่องแพเปียกคนละ 200 บาทเท่านั้นเอง

     

    บางช่วงที่น้ำตื้นมากๆจะมองเห็นกองหินโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ตรงนี้พี่ที่พายเรือให้จะลงไปเดินลากแพให้เราแทนการพายค่ะ

     

    แล้วพวกเราก็นั่งชมวิว มองนกมองไม้กันเพลินๆต่อไปได้เรื่อยๆค่ะ ได้ชมวิวริมน้ำที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ตลอดสองข้างทาง มีวิวภูเขาให้มองเพลินๆ ถ้าโชคดีอาจจะได้เห็นช้างและวัวลงมากินน้ำ มีตัวเงินตัวทองออกมาอวดโฉมใช้ชมอยู่ไม่ไกล เจ้าหน้าที่บอกว่าในน้ำมีปลาปักเป้าอาศัยอยู่ด้วย ชาวต่างชาติเคยถูกงับกันมาแล้ว แต่ไม่ได้ชุม และไม่เป็นอันตราย แค่อาจมาหยอกให้ตกใจเล่นเฉยๆ ^^

     

    กระทั่งมาถึงบริเวณสะพานบ้านท่ามะนาว จะจะเป็นจุดสิ้นสุดที่มีรถสองแถวจอดรอพวกเราอยู่ค่ะ

     

    แล้วจู่ๆฝนก็เทลงมาหนักมาก โชคดีที่ถึงจุดหมายพอดี ตัวเปียกกันไปประมาณ 60% ได้ชุ่มฉ่ำตอกย้ำความสุขด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอีกหน

    • โพสต์-8
    Amp •  พฤศจิกายน 06 , 2560

    วันนี้ฝนตกหนักมาก แต่ดีที่ตกตอนใกล้ขึ้นฝั่งแล้ว กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็พาแม่ไปนวดกันต่อค่ะ ภายในรีสอร์ทจะมีโซนสปา ที่มีทั้งนวดไทย นวดเท้า และห้องซาวน่า หากต้องการใช้บริการก็สามารถติดต่อแจ้งความประสงค์ที่หน้าเค้าเตอร์แผนกต้อนรับได้เลยค่ะ ค่าบริการ นวดไทยและนวดเท้า 1 ชั่วโมง 500 บาท/คน ห้องซาวน่า 1 ชั่วโมง 200 บาท/คน แม่บอกว่านวดดีมาก ระยะแรกจะนวดเบามือเพราะกลัวแม่จะเจ็บ แม่ก็เลยบอกหมอนวดว่าไม่ต้องกลัวจะเจ็บ คราวนี้ล่ะถึงเส้นเลย นวดไปชั่วโมงกว่าๆ พ่อบอกว่าอยากให้นวดขาให้บ้าง หมอนวดก็จัดให้ตามคำขอค่ะ แต่ใช้เวลาไม่นานเพราะพ่อไม่ได้เป็นอะไรมาก

     

    มาถึงมื้อเย็นวันที่สองของเรา โซนสำหรับรับประทานอาหารเย็นมีสองจุดที่สามารถนั่งได้คือ บริเวณ River Romance ที่เราไปนั่งทานเมื่อคืนก่อน และที่นี่ คือ “ห้องอาหาร The Terrace” สามารถรองรับได้ถึง 200 ที่นั่ง เนื่องจากช่วงบ่ายฝนตกหนักยาวจนถึงเย็น บริเวณริมน้ำเปียกโชกจนไม่สามารถนั่งได้ จึงได้โอกาสมาทานกันที่นี่

     

    วันนี้มีเมนู ไข่เจียวหมูสับ (อันนี้ติดใจจากวันก่อน ได้ทานอีกแล้ว) ผัดบรอกโคลีกุ้ง รสชาติกลมกล่อม ผักสุกกรอบ กุ้งสดผัดออกมาแล้วเนื้ออย่างเด้งเลย อีกจานหนึ่งคือ พะแนงหมูป่า จานนี้ยกให้เป็นอันดับหนึ่งของมื้อนี้เลยค่ะ ลักษณะเด่นของหมูป่าคือส่วนของมันหมูจะมีความกรอบกว่าหมูปกติ โดยทั่วไปแล้วจะมีหนังที่เหนียวกว่าเล็กน้อยด้วย แต่จานนี้บอกได้เลยว่ากรอบอย่างละมุม คือไม่กรอบมากจนแข็ง หนังก็ไม่เหนียว ส่วนในเรื่องของรสชาตินั้นเข้มข้นกลมกล่มลงตัวดี ออกเผ็ดเล็กน้อย บ้านเราชอบทานเผ็ดก็ถือว่าจานนี้ไม่เผ็ดมาก รวมๆคืออร่อย จัดว่าเด็ดค่ะ ทานข้าวอิ่มแล้ว ด้วยความที่พ่อบ่นๆว่าอยากทานไอศกรีม และก็บ่นๆว่าอยากทานของหวาน เราก็จัดเลยค่ะ สั่งของหวานมา 2 เมนู คือ บานาน่า สปลิท และ กล้วยทอดและไอศกรีมวนิลา

     

    ระหว่างทางเดินกลับห้อง ขอชะแว๊บไปถ่ายรูปเล่นกันที่ Midas Ballroom เป็นห้องสำหรับจัดเลี้ยง จัดประชุม ที่ใหญ่ที่สุดในรีสอร์ท สามารถรองรับได้ถึง 500-1,000 คน ภายนอกตกแต่งได้งดงามมาก ดูกว้างขวงมากจริงๆค่ะ ถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนานอยู่สองคน

    • โพสต์-9
    Amp •  พฤศจิกายน 06 , 2560

    วันที่ 3 : อาหารเช้า ที่ M Café – ต้นจามจุรียักษ์ – เดินทางกลับ

     

    ตื่นมาชมวิวจากห้องพัก เห็นสนามหญ้า ต้นไม้ แม่น้ำ และยอดเขาที่มีหมอกจางๆอยู่ สวยมาก บรรยากาศดีมาก สดชื่นมากเลยค่ะ

     

    จากนั้นได้เวลาอาหารเช้าที่ “ห้องอาหาร M Café” เช่นเคย วันนี้เมนูบางอย่างถูกสับเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังเป็นบุฟเฟ่ต์ที่เยอะมากเหมือนเดิม วิธีรับประทานของเราคือ ตักอย่างละนิดอย่างละหน่อยเพื่อให้ทานได้หลายๆอย่าง ยังไม่ทันครบอย่างก็อิ่มอีกแล้ว ยังอยากกินอะไรเพิ่มอีกอยู่เลยแต่ก็ไม่ไหวแล้ว เต็มพุง

     

    จากนั้นชวนกันไปเดินเล่น เป็นการช่วยย่อยไปในตัวค่ะ บรรยากาศภายในรีสอร์ทแห่งนี้ร่มรื่นมาก อากาศดี สูดลมหายใจได้เต็มปอด ไม่ต้องขับรถไปไกล ไม่ต้องแบ็คแพ็คเข้าป่าขึ้นเขาแต่ได้มาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ได้ทานอาหารอร่อยๆ เต็มพุงทุกมื้อ ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก ได้เห็นรอยยิ้มของพ่อและแม่บ่อยมาก มันคือความสุขจริงๆนะ

     

    กลับเข้ามาพักผ่อนที่ห้อง และเตรียมเช็คเอ๊าท์เพื่อเดินทางกลับกันค่ะ เป็นห่วงน้องหมาที่บ้านแย่แล้วเพราะแม่บอกไว้ว่า วันที่เดินทางมา ให้น้องหมาที่บ้านกินข้าวกันอิ่มแล้วเทอาหารเม็ด พร้อมเตรียมน้ำไว้ให้เต็มเลย ให้น้องหมาบริหารกันเอาเอง 3 วัน ฮ่าๆๆๆๆ แว๊บแรกก็ขำแต่ก็อดคิดสงสารไม่ได้ น้องหมาบ้านเราดุและเป็นพันธุ์ทางตัวค่อนข้างโต เอาฝากเลี้ยงไม่ได้ จะให้ใครเข้าไปดูก็ไม่ได้ ให้ดูได้แค่ห่างๆ ^^”

    • โพสต์-10
    Amp •  พฤศจิกายน 06 , 2560

    หลังจากเช็คเอ๊าท์ เราเดินทางกันไปที่ “ต้นจามจุรียักษ์” กันต่อค่ะ ได้ยินและได้เห็นข่าวมานานแล้วยังไม่เคยได้ไปเห็นสักที ครั้งนี้จึงชวนกันไป พ่อพูดระหว่างทางว่า “จะใหญ่สักแค่ไหน ใหญ่เท่าที่วัดบ้านเราหรือเปล่า” .. อ่า….พอมาเห็นต้นจริงเท่านั้นแหละ! ใหญ่มาก!! ใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ ก็เลยลองหาข้อมูลอ่านและได้ทราบมาว่า “มีอายุมากกว่า 100 ปี ขนาด 10  คนโอบรัศมีทรง พุ่มเฉลี่ย 25.87 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางร่มเงาประมาณ 51.75  เมตร ความสูงจากพื้นดินถึงยอด 20เมตร มีพื้นที่ของพุ่มประมาณ 1 ไร่ 2 งาน 4 วา” แค่อ่านดูก็อาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่าต้นจริงนั้นใหญ่โตมฬารแค่ไหน ทำไมแค่ต้นไม้ต้นเดียวถึงได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครๆก็อยากมาเห็น ต้องมาเห็นกับตาตัวเองอย่างเรา ถึงจะเข้าใจคำถามที่มี ยิ่งมองยิ่งรู้สึกหลงใหลในเสน่ห์ของธรรมชาติ นึกอยากรักษาต้นไม้หลายๆต้นให้เจริญเบโตไปเป็นร้อยๆปีแบบนี้ จะกลับไปหาซื้อต้นไม้ไว้ปลูกที่บ้านให้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่แบบนี้ในรุ่นลูกรุ่นหลาน จะสอนให้ลูกหลานรักต้นไม้รักธรรมชาติ ไม่ทำลายแต่ให้ช่วยกันสร้างและรักษา

    แต่…นอกจากจะกลับไปหาต้นไม้ไว้ปลูกและรักษาต้นไม้ที่มีอยู่แล้ว ต้องหาเนื้อคู่ให้พบก่อนมีลูกมีหลานให้สอนด้วย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ

  1. โหลดเพิ่ม