หลงวิถีกรุง กทม

วันหยุดทั้งทีออกมาเดินลัดเลาะเมืองใหญ่กลางกรุงอีกสักครั้ง คราวนี้โบว์จะชวนมา “หลงวิถีกรุง…ในแบบ SlowLife” ในกรุงเทพฯ เมืองใหญ่โตที่ใครๆ ก็รู้จักกันดี แต่จะรู้ไหมว่ากลางกรุงแบบนี้จะมีอยู่หนึ่งย่านการค้าที่เคยเจริญรุ่งเรืองมากในอดีตอย่าง “ย่านนางเลิ้ง” ที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 100 ปี มีแหล่งเรียนรู้ที่เป็นตำนานแห่งนาฏศิลป์ไทย ออกไปค้นหาวิถีกรุงเก่าและใหม่ด้วยกัน

โบว์จะพาเดินลัดเลาะตรอกซอยย่านตลาดเก่านางเลิ้ง กิน ช็อป แช๊ะ และพาไปหลงใหลคนรุ่นใหม่ที่มีหัวใจรัก “วิถีไทย” ที่ได้ปรับเปลี่ยนศิลปะเก่า ให้ออกมาได้อย่างทันสมัย

เราออกไป “หลงวิถีกรุง” กันค่ะ

ย่านนางเลิ้ง เป็นชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่งของพระนคร แต่ก่อนมีชื่อว่า ย่านสนามกระบือหรือสนามควาย ส่วนคำว่า “นางเลิ้ง” สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นหลังจากที่เริ่มมีการพัฒนาขยายอาณาเขตพระนครให้กว้างขวางขึ้น จากการขุดคลองผดุงกรุงเกษม

 

ในสมัยรัชกาลที่ 4 คำว่า “นางเลิ้ง” มาจากภาชนะประเภทโอ่งหรือตุ่มของชาวมอญที่เรียกกันว่า “อีเลิ้ง” ซึ่งเคยมีขายมากในบริเวณนี้นั่นเองค่ะ

หลังจากที่มีการขุดคลองผดุงกรุงเกษม ก็ทำให้ย่านนางเลิ้งกลายเป็นย่านการค้าที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการค้า และเป็นย่านชุมชนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย วันนี้โบว์จะพาย้อนกลับไปสัมผัสกับบรรยากาศประวัติศาสตร์ของย่านนางเลิ้งอย่างใกล้ชิดค่ะ

เริ่มต้นด้วย ตลาดนางเลิ้ง ตลาดเก่าแก่ของย่านนี้ ที่ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายความเก่าที่มีเสน่ห์

 

ตลาดนางเลิ้งเป็นตลาดบกแห่งแรกของประเทศไทย มีอายุยาวนานกว่า 100 ปี ในสมัยก่อนชาวบางกอกนิยมเดินทางเฉพาะทางน้ำ จึงยังไม่มีตลาดบก ตั้งเป็นหลักแหล่งเพราะชาวบ้านนิยมพายเรือนำสินค้าจากสวนมาขายตามสองฝั่งคลอง และตลาดนางเลิ้งเริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5

ปัจจุบันตลาดนางเลิ้งเป็นแหล่งรวมของกินสารพัดชนิด ทั้งอาหารคาวหวานมากมายละลานตาไปหมด ชนิดที่ว่าถ้านักชิมทั้งหลายได้มาเดิน คงเลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว เพราะแต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ และมีขนมไทยโบราณต่างๆ ที่นับวันจะกลายเป็นของหากินได้ยากแล้วด้วยนะคะ

แวะชิมขนมไทยเจ้าอร่อยก่อนเลย “ร้านนันทาขนมไทย”

ขนมไทยสูตรโบราณแท้ๆ สืบทอดรสมือมาจากต้นเครื่องวังหลัง จนกระทั่งวันนี้เป็นรุ่นหลาน เปิดขายมานานกว่า 40 ปีแล้ว ด้วยรสชาติและเอกลักษณ์ของความเป็นขนมไทย ต้องมีส่วนประกอบของมะพร้าวทึนทึก   

ที่ร้านี้ยังใช้การขูดแบบโบราณด้วยกระต่ายขูดมะพร้าว ให้รสชาติดั้งเดิมชวนรับประทาน กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์

ร้านนันทาขนมไทย เปิดขายทุกวัน เวลา 06.00-16.00 น. หยุดวันอาทิตย์ โทร.0-2282-5142, 0-2629-967

 

หลังจากนั้นโบว์ก็มายืนต่อคิวที่ “ร้านไส้กรอกปลาแนมเค้าบอกว่าเป็นอาหารโบราณที่หากินได้ยาก เป็นอาหารในวังที่ใครหลายคนรวมทั้งโบว์เองก็ยังไม่เคยได้ลิ้มลองค่ะ มาลองกินดูหน่อยว่าอร่อยแค่ไหน

 

นอกจากนี้ ที่ร้านยังมีห่อหมกหมู และห่อหมกปลาอีกด้วยค่ะ เปิดขายตั้งแต่ช่วงเที่ยงไปจนกว่าของหมดช่วงบ่ายๆ ขนาดโบว์มาตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด ลูกค้ามาต่อแถวยาวรอหน้าร้านแล้วค่ะ

หยุดวันอาทิตย์ โทร.0-2281-2261

อาหารที่ตลาดนางเลิ้งการันตีความอร่อย แถมยังราคาไม่แพง ทำให้ตลาดแห่งนี้คึกคักไปด้วยผู้คนมากมายโดยเฉพาะช่วงเช้า โบว์แนะนำว่ามาแต่เช้าจะดีที่สุด เพราะสายๆ ของกินบางอย่างก็เริ่มหมดแล้วค่ะ


อิ่มท้องกันแล้วเดินต่อไปไม่ไกล ข้างตลาดนี่เอง ก็จะเจอกับ ศาลาเฉลิมธานี หรือโรงหนังนางเลิ้ง ลักษณะเป็นอาคารไม้เก่าแก่หลังใหญ่ โรงหนังโบราณแห่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของย่านนางเลิ้งในอดีตค่ะ

 

สมัยก่อนการฉายหนังในยุคนั้นจะเป็นการฉายเงียบ ขณะที่ฉายจะมีการเล่นดนตรีแตรวงประกอบไปด้วย และเป็นสถานที่ที่ผู้คนในละแวกนี้มารวมตัวพบปะกัน ทำให้ย่านนางเลิ้งมีชีวิตชีวามากในยุคนั้นค่ะ

แม้ว่าการฉายหนังที่โรงหนังแห่งนี้ จะยกเลิกไปแล้วกว่า 2 ทศวรรษ แต่ศาลาเฉลิมธานีก็ยังคงอยู่คู่กับนางเลิ้งมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ

เดินกันต่อไปอีกหนึ่งวัดสำคัญของย่านนางเลิ้ง คือ วัดสุนทรธรรมทาน หรือวัดแคนางเลิ้ง วัดที่เป็นศูนย์กลางแรกเริ่มของย่านนางเลิ้ง ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษมเลยทีเดียวค่ะ 

วัดแห่งนี้  มีวิหารหลวงพ่อบารมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่วัด ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ชาวนางเลิ้งเคารพบูชาเป็นอย่างมาก และเป็นวัดที่ชุมชนนางเลิ้งมาประกอบพิธีทางศาสนา รวมทั้งจัดงานประเพณีต่างๆ ค่ะ นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นที่เก็บอัฐิของพระเอกหนังไทย มิตร ชัยบัญชา ซึ่งมีบ้านเกิดในย่านนางเลิ้งแห่งนี้ค่ะ

จากวัดสุนทรธรรมทาน โบว์เดินลัดเลาะมาโผล่ตรงถนนหลานหลวง เลี้ยวซ้ายไปตามถนนหลานหลวง จะเจอกับ ตรอกละคร ที่ตั้งของคณะละครชาตรี ลิเก โขน เป็นบ้านย่านละครที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเลยทีเดียวค่ะ แม้ว่าละครชาตรีจะเลือนหายไปบ้าง แต่ก็ยังมีหลายบ้านที่ให้ความสำคัญและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้นะคะ

บ้านที่เราแวะไปที่แรก อยู่ในตรอกเล็กๆ คือ บ้านนางเลิ้ง หรือบ้านศิลปะ บ้านไม้ร่มรื่นอายุกว่าร้อยปี เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่มาเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมไทยโบราณ โดยเฉพาะละครชาตรีแบบดั้งเดิม จะมาฟังละครชาตรีแบบสดๆ หรือจะมาร่วมร้องรำไปด้วยก็ได้ค่ะ  

การมาครั้งนี้ เป็นโอกาสดีที่ได้ชมครูกัญญา ทิพโยสถ ผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับละครชาตรี มาร้องรำละครชาตรีให้ฟังแบบสดๆ บรรยากาศบ้านไม้ร่มรื่นและเสียงขับร้องละครชาตรี สร้างความเพลิดเพลินไม่น้อย และโบว์ยังโชคดีถือโอกาสเรียนรู้กับคุณครูไปด้วยค่ะ สำหรับใครที่สนใจอยากจะเรียนรู้ละครชาตรี แวะมาที่นี่ได้เลยค่ะ 

ที่บ้านนางเลิ้งแห่งนี้ ยังมีสอนทำขนมไทยด้วยนะคะ ครั้งนี้โบว์ได้มาเรียนรู้การทำขนมไทยที่หากินยาก นั่นก็คือ “ขนมเรไร” มีลักษณะคล้ายๆ กับรังนกเล็กๆ ส่วนผสมในแป้งที่กดเป็นเส้นนี้ก็จะมี แป้งข้าวเจ้า แป้งท้าวยายม่อม แป้งมันสำหรับทำแป้งนวล น้ำลอยดอกมะลิ หางกะทิ และสีที่ได้ก็มาจากขมิ้น และดอกอัญชันค่ะ

มาเริ่มกดแป้งกันเลย… กดไป กดมา โบว์ว่าเหมือนเส้นขนมจีนเลยนะคะ ^0^

เสร็จแล้วเอาไปนึ่งประมาณ 10 นาที ก็จะออกมาเป็นหน้าตาแบบนี้ค่ะ

มาถึงขั้นตอนสุดท้าย ท้ายสุด …นำหัวกะทิไปตั้งไฟพอเดือด จัดขนมใส่จานโรยด้วยมะพร้าวทึนทึก งาคั่วบุบผสมเกลือ น้ำตาล แล้วราดกะทิลงไป นี่…ได้แล้วค่ะ...!! น่ากินมากๆ 

ในที่สุด!!! ก็ถึงเวลาชิมแล้วค่ะ รสชาติละมุน อร่อย หอมหวาน 

แวะมาบ้านนางเลิ้งกันเมื่อไหร่ อย่าลืมถามหา “ขนมเรไร” นะคะ

 

ออกจากบ้านนางเลิ้ง โบว์แวะไปบ้านนราศิลป์ หรือคณะนราศิลป์ที่อยู่ถัดไปไม่กี่หลัง

บ้านนราศิลป์ เป็นบ้านที่เปิดรับงานแสดงโขนกลางแปลง โขนหน้าจอ ละครชาตรี และดนตรีไทย อีกทั้งยังเป็น “บ้านเครื่อง” ที่ทำงานเบื้องหลังในการผลิตชุดเครื่องแต่งกายโขนละครให้กับคณะการแสดงต่างๆ ด้วยค่ะ

 

นอกจากนี้ยังทำละครร้อง ละครเวที รวมถึงทำบริษัทภาพยนตร์ชื่อ นราศิลป์ภาพยนตร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมเก่าแก่ย่านนางเลิ้งให้คงอยู่สืบไป

 

ใครที่สนใจก็สามารถมาชมการสาธิตการปักเครื่องโขน เครื่องละคร และชมหัวโขนที่นี่ได้นะคะ

 

หลบอากาศร้อน มาเติมพลังที่ ร้านชูถิ่น กันดีกว่าค่ะ

ร้านขนมหวาน ที่มีขนมหวานหลากหลายชนิด แต่ที่สร้างชื่อให้กับร้านแห่งนี้ ก็ต้องเป็นขนมหวานอย่าง “ซาหริ่ม” เพราะทางร้านมีสูตรเด็ด คือแป้งทำซาหริ่มที่คิดขึ้นมาเอง ราดกับน้ำกะทิที่ลอยดอกมะลิ ดอกกระดังงา และอบควันเทียนหอมๆ เดินเที่ยวมาร้อนๆ ได้กินซาหริ่มของที่นี่ เย็นชื่นใจหายร้อยเลยหล่ะค่ะ

ที่ร้านชูถิ่นยังมีขนมไทยอร่อยๆ อีกหลายอย่างเลยนะคะ ชอบแบบไหน ลองแวะมาดูก่อนค่ะ

จะซื้อกลับบ้าน หรือจะนั่งกินในร้าน แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ

มาถึงกิจกรรมสุดท้ายของวันนี้

โบว์มาเวิร์กช้อปการทำเครื่องหอมที่ “ร้านชามเริญ” ที่นี่มีคลาสให้เราเข้าร่วมหลากหลายอย่างมากค่ะ แต่ที่โบว์เลือกมาลองทำในวันนี้ คือ “กลิ่น พัน วัน หอม”  เป็นคลาสสอน DIY กลิ่นหอม ปรับอากาศ ด้วย ศาสตร์บำบัดของกลิ่นธรรมชาติ นอกจากกลิ่นหอมๆ จากวัตถุดิบที่ใช้ในการทำแล้ว โบว์ว่าจิตใจยังสงบและมีสมาธิมากขึ้นด้วยค่ะ 

เสร็จแล้วถือกลับไปฝากคนที่บ้านเลยดีกว่าค่ะ

“ร้านชามเริญ” อยู่ย่านแพร่งสรรพศาสตร์ เขตพระนคร ชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายกาแฟชื่อ“สติ”

บริเวณโถงชั้นล่างยังเป็นจุดโชว์ผลิตภัณฑ์งานแฮนด์เมดจากชามเริญ

 

ส่วน 3 ชั้นด้านบน เป็นสตูดิโอสอนงานศิลปะ มีทั้งงานปั้น งานเพนท์ งานผ้า งานวาด โดยคอร์สเรียนอบรมหลักๆ คือ เซรามิคที่เปิดสอนทุกเดือน มีทั้งแยกเป็นเรียนรวม และส่วนตัว ที่นี่มีคลาสเวิร์กช้อปอื่นๆอีกเยอะแยะเลยค่ะ สนใจคลาสไหน ลองเข้าไปติดตามในแฟนเพจข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ

FB : Charm-Learn Studio Thailand

ร้านชามเริญ ตั้งอยู่ที่ ถนน แพร่งสรรพศาสตร์

โทร.080 587 6331

เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10:30 - 18:00

 

ก่อนกลับบ้านวันนี้ มาบอกลาพระอาทิตย์กันที่ วัดภูเขาทอง หรือวัด…. ออกแรงเดินขึ้นมานิดนึง แต่ภาพความสวยงามตรงหน้า รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอนค่ะ 

แสงสีทองของพระอาทิตย์ตรงหน้า และวิวสวยๆ ของเมืองกรุงในช่วงเวลานี้มันสวยงามจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกเลยค่ะ

 

เป็นภาพประทับใจไปอีกนานแสนนาน….

วันหยุด 1 วันของโบว์แบบนี้ ก็จบลงแบบเต็มอิ่ม ทั้งเดินหาอะไรอร่อยๆ กินในตลาดเก่า ลัดเลาะไปเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมไทย เดินเที่ยวเล่น Slowlife ย่านนางเลิ้ง และ DIY ในงานฝีมือตัวเอง แบบนี้รึเปล่า ที่เราเรียกว่า “หลงวิถีกรุง” 

หากใครที่อยากสัมผัสกับบรรยากาศย้อนยุค หรือเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมยุคเก่า…

 

ย่านนางเลิ้ง ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง ที่โบว์ขอแนะนำเลยค่ะ

 

ชมรายการเที่ยวไทยไม่ตกยุค ตอน หลงวิถีกรุง กทม.

ได้ที่นี่ค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=JxYW8K3PzM8 

 

ติดตามชมรายการเที่ยวไทยไม่ตกยุค

ทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 15.30 – 16.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส