เที่ยวสุราษฎร์ฯ แบบไม่ง้อทะเล

 

หลายคนถ้าคิดวางแผนจะไปเที่ยวที่สุราษฎร์ ผมคิดว่าเกินกว่าครึ่งคงคิดถึงแต่เกาะสมุย เกาะพะงัน หรือแพเขาสก วันนี้ผมจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวนอกที่นอกเหนือจาก 3 สถานที่นั้น จะมีที่ไหนบ้าง ตามผมไปเลยครับ

1. ร่องเรือชมคลองร้อยสาย

เริ่มโปรแกรมกันที่ท่าเรือด้านหน้าสำนักงานอัยการภาค 8 จากนั้นคนเรือจะพาล่องไปตามแม่น้ำตาปี ทุกครั้งที่มีเรือแล่นสวนทางมา ทำเอาผมอดใจระทึกไม่ได้ เพราะคลื่นจากเรือที่แล่นผ่านมา มันมาปะทะกับเรือที่ผมนั่งจนสั่นคลอนไปมา แต่ไม่นานนักคนเรือก็ได้ขับเรือเข้าไปตามลำคลองครับ

คลองร้อยสายเป็นคลองสาขาของแม่น้ำตาปีก่อนที่จะไหลลงทะเล เดิมถนนหนทางยังไม่มี ชาวบ้านจึงสร้างบ้านเรือนอยู่ตามแนวคลอง จนมาถึงตอนนี้มีการสร้างถนนขึ้นมา แต่หลายครอบครัวก็ยังคงใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆ ยังใช้เรือเป็นพาหนะท้องถิ่นในการสัญจร จึงเกิดมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศแบบนี้ครับ

ตลอดสองข้างทางในการล่องเรือ มองเห็นต้นจากเป็นจำนวนมาก ต้นจากเป็นไม้ป่าชายเลนที่มีความสำคัญในด้านการอนุบาลสัตว์น้ำ การป้องกันการกัดเซาะของชายฝั่ง นอกจากนี้เรายังสามารถนำจากมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นใช้ใบมาห่อขนมหรือทำหลังคา ผลและน้ำสามารถนำมารับประทานและนำมาทำเป็นของหวานได้ และสิ่งที่เป็นไฮไลท์ของการล่องเรือ ผมว่าคงจะหนีไม่พ้นอุโมงค์ต้นจากครับ

ผลของจากจะอัดรวมกันแน่นบริเวณส่วนปลายของก้านดอก เรียกว่าทะลาย โดย 1 ทะลายประกอบด้วยผลประมาณ 50-120 ผลกันเลยทีเดียว ระหว่างทางเราจะเห็นผลของจากออกเต็มไปหมด ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าทะลายที่เห็นอยู่นั้นไม่สามารถนำมากินได้แล้ว เนื่องจากแก่เกินไป แอบนึกเสียดายอยู่เหมือนกัน

ตัวเงินตัวทองโผล่ขึ้นมาทักทายด้วยครับ

ผมใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมงครับ เรือ 1 ลำ สามารถนั่งได้ 6 คน คิดค่าบริการคนละ 50 บาท แต่ถ้าหากจะเหมาลำเลยก็ได้นะครับ ราคาลำละ 300 บาทครับ

 

หากใครสนใจจะล่องเรือคลองร้อยสาย สามารถติดต่อได้ที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวคลองร้อยสาย (086-2676695, 077-205323) ครับ

2. กอดสายหมอกที่หินพัดแห่งคีรีรัฐนิคม

แนะนำว่าให้ออกเดินทางกันแต่เช้าครับ เพราะไม่เช่นนั้นหมอกจะไม่รอคุณครับ

ถนนหนทางที่จะมายังหินพัดค่อนข้างสะดวก ถนนดี แต่ช่วงใกล้ๆ ที่จะถึงหินพัด เส้นทางค่อนข้างลาดชัน หากไม่ชำนาญในการขับรถขึ้นลงทางชัน แนะนำให้เช่ารถชาวบ้านดีกว่า ค่าเหมารถอยู่ที่ 200 บาท นั่งได้ 10 คน ช่วงที่ถนนชัน ระยะทางประมาณ 500 เมตรได้ครับ จากนั้นจะมีลานจอดรถอยู่ด้านบน เราต้องเดินเท้ากันต่อประมาณ 200-300 เมตร แต่ทางท้องถิ่นได้ทำทางเดินไว้เป็นอย่างดีครับ

ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติตั้งอยู่เบื้องหน้าผมแล้วครับ ก้อนหินขนาดมหึมาตั้งอยู่บนลานผาหินได้อย่างประหลาด ด้วยฐานของหินพัดกว้างแค่ 1 เมตร แต่สามารถรับ Balance หินที่สูงถึง 6 เมตรได้ ที่สำคัญส่วนฐานของหินพัดแยกขาดออกจากลานหินโดยรอบด้วย เช้านี้ผมได้เห็นทะเลหมอกสมใจครับ

อีกหนึ่งมุมมองที่เขาบอกกันว่ามีลักษณะคล้ายผีเสื้อครับ สำหรับการเที่ยวหินพัดนั้น ต้องระมัดระวังในการเดินเข้าไปถ่ายภาพใกล้ๆ บริเวณหินพัดด้วยนะครับ เพราะถ้าหากพลาดลื่นล้มไป อาจถึงแก่ชีวิตได้ หินตรงนั้นคล้ายๆ หน้าผาเลยครับ

3. เขื่อนรัชชประภา

เขื่อนรัชชประภา อยู่ในความดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ตั้งอยู่ติดต่อกับอุทยานแห่งชาติเขาสก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมนั่งเรือเพื่อชมความงามภายในเขื่อนซึ่งมีภูเขาหินปูนรูปร่างสวยงามแปลกตามากมาย ที่นี่จึงได้รับการขนานนามให้เป็นกุ้ยหลินเมืองไทยครับ ด้านในเขื่อนนั้นมีแพให้เลือกพักหลายแพเลยทีเดียว เดิมเลยทริปนี้ผมจะไปนอนที่ด้านในเขื่อนด้วย แต่เกิดเหตุผิดพลาดนิดหน่อย เลยทำให้ห้องที่จองต้องหลุดมือไปครับ

ใกล้ๆ กับเขื่อนรัชชประภา ยังมีอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ นั่นคือสะพานแขวนรูปหัวใจ เดิมทีเดียวผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าใกล้ๆ เขื่อนจะมีสะพานแขวน แต่ด้วยความที่ผมอยากทานทุเรียน จึงหาข้อมูลจาก google และได้รู้ว่าใกล้ๆ เขื่อนมี “ทุเรียนคลองแสง” ทุเรียนพันธุ์พื้นบ้านเขาเทพพิทักษ์ เลยพยายามดั้นด้นไปจนเจอบ้านเทพพิทักษ์เข้าให้จริงๆ แต่สองข้างทางที่เข้าไปยังบ้านเทพพิทักษ์มองไม่เห็นต้นทุเรียนเลย เห็นแต่ป่ายาง เลยแวะสอบถามชาวบ้านแถวนั้นดู ได้ความว่ามีทุเรียนวางจำหน่ายที่วัดเขาพัง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสะพานแขวนรูปหัวใจ ได้ยินแบบนี้ ประหนึ่งยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คือได้ทั้งทานทุเรียน แล้วยังได้เที่ยวที่สะพานแขวนรูปหัวใจอีกด้วยครับ

สะพานแขวนเทพพิทักษ์ สร้างขึ้นเพื่อข้ามคลองแสง ใช้ในการสัญจรไปมาของชาวบ้านแถวนั้น สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่เคียงข้างกับภูเขาลูกหนึ่งที่ยอดของภูเขามีลักษณะคล้ายรูปหัวใจ ชาวบ้านแถวนั้นเลยเรียกสะพานแขวนแห่งนี้อีกชื่อว่า “สะพานแขวนรูปหัวใจ”

จากภาพบน ยอดของภูเขาทางซ้ายมือหากมองดีๆ จะเห็นเป็นรูปหัวใจ มุมนี้อาจจะมองไม่ชัดเพราะมีไม้ใหญ่บังที่ปลายของหัวใจครับ

4. ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราดแห่งคีรีรัฐนิคม

การเดินทางเข้ามายังป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด เข้ามาจากถนนใหญ่ไกลพอสมควร เส้นทางค่อนข้างแคบ ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อค่อนข้างเยอะ ด้านหน้าทางเข้าป่าต้นน้ำเป็นสวนยาง สามารถหาจอดรถได้ภายในสวนครับ ที่นี่เข้าชมฟรี แต่เสียค่าจอดรถคันละ 20 บาทครับ

การจะเข้าไปชมด้านในป่าต้นน้ำมีกฎกติกาค่อนข้างเข้มงวดเลยทีเดียว ห้ามพกพาอาวุธ ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดเข้าไปด้านใน ห้ามใช้สบู่และยาสระผมในป่าต้นน้ำ ห้ามนำกระดาษชำระ แพมเพิส สัตว์เลี้ยงเข้าไปด้านใน โดยที่ด้านหน้าทางเข้าจะมีเจ้าหน้าที่ขอตรวจกระเป๋าที่นักท่องเที่ยวจะถือเข้าไปด้านในอย่างเข้มงวด ประหนึ่งกำลังจะเดินเข้า gate ในสนามบินเลยครับ

จากทางเข้า เราต้องเดินเท้ากันประมาณ 200 เมตร สองข้างทางร่มรื่นจากร่มเงาของต้นไม้ เดินยังไม่ทันเหนื่อยก็จะมองเห็นบ่อน้ำสีฟ้าครามอยู่กลางป่าครับ

บริเวณนี้น่าจะเป็นจุดกำเนิดของต้นน้ำสายนี้ คาดว่าน่าจะเป็นตาน้ำผุดครับ

ขอบอกเลยว่าน้ำใสม๊ากกกก มองเห็นปลาเล็กปลาน้อยแบบไม่ต้องดำน้ำเลยครับ นักท่องเที่ยวนิยมมาว่ายน้ำเล่นกัน ดูไม่ต่างอะไรกับสระว่ายน้ำกลางป่าเลยครับ

ด้านในสุดมีเรือให้เช่าพายเล่นด้วย ราคาลำละ 50 บาท นั่งได้ 2-3 คนครับ ใครอยากซึมซับกับธรรมชาติลองไปพายเรือเล่นดูนะครับ ระยะทางในการพายประมาณ 1 กิโลเมตรครับ

ถึงแม้ว่าการเดินทางจะเข้ามาลึกและลำบากสักนิดนึง แต่ก็มีนักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาพักผ่อนกันเยอะพอสมควร ถ้าใครอยากมาแล้วไม่เจอนักท่องเที่ยวเยอะๆ แนะนำให้เดินทางมาถึงกันแต่เช้าครับ

5. คลองน้ำใส แห่งคีรีรัฐนิคม

การเดินทางสู่คลองน้ำใสค่อนข้างสะดวกกว่าป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด เพราะอยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่แถมสภาพเส้นทางยังดีกว่าด้วยครับ คลองน้ำใสนี่ก็ยังอยู่ในเขตพื้นที่ของอำเภอคีรีรัฐนิคมเช่นกันครับ

ที่คลองน้ำใสก็ไม่เสียค่าเข้าชมครับ แต่จะเสียค่าจอดรถคันละ 20 บาท จากทางเข้าเดินไปยังคลองน้ำใสประมาณ 100 เมตรครับ

คลองสายเล็กๆ ที่ซ่อนตัวยู่ท่ามกลางแมกไม้ ให้ความร่มรื่นตลอดลำคลอง ว่ากันว่าคลองสายนี้มีต้นกำเนิดของแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติที่เกิดจากตาน้ำผุดขึ้นมาจากใต้ดิน น้ำใสสะอาด ใครที่ลงไปเล่นน้ำจะมองเห็นผิวกายขาวผุดผ่อง อันนี้เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบนะครับ คลองสายนี้ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ไหลลงสู่คลองพุมดวงครับ

เสียดายในวันที่ผมไป น้ำไม่ใสสมชื่อ เนื่องจากฝนเพิ่งจะตกไป ไว้โอกาสหน้าคงได้มาล้างตาใหม่อีกสักรอบครับ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจในเขตอำเภอคีรีรัฐนิคมครับ

หวังว่า 5 สถานที่ท่องเที่ยวที่ผมแนะนำมา จะเป็นอีกตัวเลือกในการมาเที่ยวเมืองสุราษฎร์ธานีแบบไม่ง้อทะเลนะครับ