ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบการเดินทางแบบลุยๆ กิน อยู่ และใช้ชีวิตตามแบบวิถีชาวบ้านแบบง่าย ๆ อย่างผม  จ.แม่ฮ่องสอน คงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ตอบโจทย์คนรักการเดินทางได้ดีทีเดียวครับ

การเดินทางไปยังที่ต่างๆ มักมีหลายสิ่งให้จดจำ จดจำจากภาพถ่าย จดจำจากความทรงจำกับสิ่งต่างๆ                  ที่เราได้รับ  เรามาแม่ฮ่องสอนครั้งนี้ก็เพื่อมาตามหาความสุขในแบบเที่ยวไทยไม่ตกยุคไงละครับ

เช้าวันนี้ผมอยู่ที่ตลาด สายหยุด ตลาดสำคัญของชาวเมืองแม่ฮ่องสอน พ่อค้าแม่ขายออกมาตั้งแผงกัน          ตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน อากาศค่อนข้างหนาว ณ ตอนนั้นประมาณ 17 องศาเรียกได้ว่าควันออกปากเลยทีเดียว

   

เดินเล่น ชมข้าวของ พูดคุยกับชาวบ้านไปสักพัก เห็นพระท่านเดินบิณฑบาตและเพื่อเป็นศิริมงคล                     แก่การเดินทาง  ในเช้าวันนี้ ขอใส่บาตรรับพรจากท่านสักหน่อยครับ

ในช่วงเช้าของทุกวัน ตลาดสายหยุดเต็มไปด้วยความคึกคัก จากผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยมากมาย                    

ทั้งชาวเมืองแม่ฮ่องสอน ชาวเขา และนักท่องเที่ยว สำหรับสินค้าภายในตลาดสายหยุด มีทั้งข้าวของเครื่องใช้ เครื่องแต่งกายแบบพื้นเมือง อาหารดั้งเดิมของชาวแม่ฮ่องสอน เดินไปชิมขนมไป  บางอย่างที่รู้จัก                    บางอย่างก็พึ่งเคยลองที่นี่เป็นครั้งแรกละครับ  

นี่คือขนม “ข้าวหนุกงา”  งาขี้ม่อนตำคลุกข้าวเหนียว ราดด้วยน้ำอ้อย รสชาติเค็มๆ หวานๆ หาซื้อได้ตามกาด        หรือตลาดพื้นเมืองทั่วไปครับ  

อาหารของทางภาคเหนือมีแต่ของกินลำๆ ยิ่งกินยิ่งเพลิน เดินมาเจอคุณป้าขายแกง “กระด้าง”ทักทายให้เวียนเข้ามา ยิ้มแย้มแจ่มใสแบบนี้ ตรงปรี่ไปร้านคุณป้าทันทีครับ ว่าแล้วก็สั่งมาหนึ่งห่อ พออิ่ม       

แกงกระด้างที่ว่านี้ทำมาจากขาหมูและตีนหมู เคี่ยวด้วยเครื่องเทศให้ข้นเหนียวทิ้งไว้ข้ามคืน รุ่งเช้าก็จะกลายเป็นวุ้น กินกับข้าวเหนียวเป็นอีกหนึ่งเมนูยอดฮิต ที่มาแตะอากาศหนาวเมื่อไหร่ก็ต้องกินให้ได้ครับ

เดินไปเดินมาจนสายตลาดบางส่วนก็วายแล้วครับ ขอแวะเติมพลังด้วยขนมจีนน้ำยาในตลาดที่สำคัญ   ราคาไม่แพงอีกด้วยครับ    

หน้าตาประมาณนี้ น่ากินใช่ไหมครับ

 

สายหน่อย แดดเริ่มมาทำให้อากาศอบอุ่นกำลังพอดี ผมกำลังเดินทางไป วัดจองคำและวัดจองกลาง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดมากครับ ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีเราก็จะถึงที่หมาย

เมื่อเดินเข้ามาสิ่งแรกที่เราเห็นคือความสวยงามในแบบศิลปะของไทใหญ่ ทั้ง 2 วัด ยังเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางวัฒนธรรม และประเพณีของชาวแม่ฮ่องสอน และทั้งสองเปรียบเสมือนวัดแฝดที่ตั้งอยู่ในกำแพงเดียวกัน      เมื่อมองจากด้านหน้า วัดจองคำ จะอยู่ด้านซ้ายมือ ส่วนวัดจองกลางจะอยู่ทางขวามือ  

 

ด้านในของวัดจองกลาง มีพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปคนและสัตว์พระเวสสันดรชาดก ฝีมือช่างชาวพม่า    นำมาจากพม่าตั่งแต่ปี พ.ศ.2400 จำนวนทั้งสิ้น 33 ตัว ดั่งที่เห็น

นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูป หินอ่อนองค์เล็ก แกะด้วยฝีมือประณีตอ่อนช้อยงดงามมาก มีคัมภีร์โบราณ ถ้วยชาม และเครื่อง ใช้โบราณอีกหลายชิ้นให้เข้าชมอีกด้วยครับ

(เปิด 08.00-18.00 น. ทุกวัน) 

.

.

เมื่อดื่มด่ำกับอารยธรรมและความสวยงามของวัดทั้งสอง เราไปกันที่สถานที่ถัดไป ระยะทางอยู่ห่างกันพอควร แน่นอนครับ เราจำเป็นต้องโดยสารรถเพื่อไปยังจุดต่างๆ แต่จะให้เหมาะกับสายลุยแบบผม

ขอเลือกมอเตอร์ไซต์รับจ้างนี่แหละครับ ได้เห็นบรรยากาศข้างทาง และสามารถแวะตามที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวก

ก่อนถึงที่หมาย พี่วินพาผมแวะชมสถาปัตยกรรมแบบพม่าที่ผสมผสานวัฒนธรรมชาวไทใหญ่ได้อย่างลงตัว       

“วัดพระนอน” สร้างโดยพญาสิงหนาทราชา (นามเดิมว่า ชานกะเล เป็นชาวไทใหญ่ ) เจ้าเมืององค์แรกของแม่ฮ่องสอน นี่ก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่สำคัญ ของจ.แม่ฮ่องสอนครับ

 

 

และสถานที่ถัดไปที่เราจะไปเก็บเกี่ยวความสุขในความสวยงามนั้น คือ “พระธาตุดอยกองมู” นั่นเองครับระหว่างทางขึ้นก็จะชันหน่อย ตรงนี้ควรขับด้วยความระมัดระวัง หรือความเร็วต่ำนะครับ

 

ถึงแล้วครับ “พระธาตุดอยกองมู” วิวข้างบนสวยมากมองลงมาเห็นพื้นที่ครอบคลุมถนนหนทางต่างๆ ตกเย็น   

ความสวยงามของตัวพระธาตุและบริเวณโดยรอบประดับประดาด้วยไฟดวงเล็กๆ สวยงามจริงๆครับ

.

.

เริ่มต้นการเดินทางของเช้าวันที่สอง หลังจากที่ได้ท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิตของคนเมืองกันไปพอสมควรแล้วคราวนี้ผมจะพาไปสัมผัสอากาศที่บริสุทธิ์ที่ “หมู่บ้านห้วยฮี้” เราจะตัดขาดจากโลกภายนอกไปสักพัก

มาที่นี่ นอกจากจะไม่มีแอร์ ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ยังไม่มีสัญญาณโทรศัพท์อีกด้วยนะครับ หลงเหลือก็แต่สัญญาณแห่งความสุขที่กำลังจะเกิดขึ้น

การเดินทางขึ้น บ้านห้วยฮี้ ต้องอาศัยความชำนาญสักนิดครับ สำหรับผมแล้วมีประสบการณ์อยู่มากพอสมควรครั้งนี้จึงขอขับรถเที่ยวเองแบบลุยๆ และมีพี่ซองชาวบ้าน บ้านห้วยฮี๊เป็นผู้นำทางครับ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวจะมีพี่ๆ มารอรับเราเพื่อพาไปยังหมู่บ้าน ใครสนใจแวะมาเที่ยวแนะนำให้บอกเค้าไว้สักหน่อยนะครับ เพื่อที่จะได้จัดเตรียมรอบเพื่อนำรถมารับเราได้ถูก การติดต่อจะลำบากแต่ถ้าได้ไปแล้วจะติดใจมากทีเดียวครับ

สภาพเส้นทางการมาบ้านห้วยฮี้ บางช่วงก็เป็นถนนคอนกรีตและบางช่วงเป็นถนนลูกรังสลับกันไป

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 90 นาที ก็เดินทางมาถึงยังหมู่บ้าน

 

พูดคุยกับพี่ พะสาจู ที่เป็นทั้งพ่อค้าขายกาแฟ และตีมีดขาย เข้าทางสิครับ มีดที่ตีทำออกขายใช้ภายในครัวเรือน และสำหรับคนที่สนใจก็สามารถสั่งได้ครับ ราคาก็ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของงานแต่ละชิ้นครับ

ตีมีดต้องตีตอนที่ยังร้อน พอได้รูปทรงที่ต้องการแล้วก็นำมาลับและขัดเก็บรายละเอียดครับ

 

วันนี้ผมตั้งใจมาเรียนรู้กิจกรรมในหมู่บ้านเป็นพิเศษ กิจกรรมการจักสานเป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจเพราะปกติเราจะเห็นว่างานแบบนี้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำ แต่ที่บ้านห้วยฮี้ฝ่ายชายเป็นผู้จัดทำครับ ทั้งตะกร้า และของใช้อื่นๆค่อนข้างหนาแน่นและแข็งแรงทีเดียว

ตามที่เห็นนี้เลยครับ ไว้ใช้ใส่ไก่ ใส่กาแฟ และพืชผักต่างๆ เรียกได้ว่าทำเอง ใช้เอง อยู่แบบพอเพียงสุดๆ เลย

.

.

เดินเล่นรอบหมู่บ้าน ชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ สะดุดตากับพี่ๆ อีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังก้มๆเงยๆทำอะไรสักอย่าง มีควันฟุ้งเต็มไปหมด อดสงสัยไม่ได้ เดินเข้าไปถึงได้พบว่าพี่เค้ากำลังย้อมผ้า ปกติครับผู้หญิงก็ต้องย้อมผ้าแต่สำหรับที่นี่พิเศษตรงที่สีที่นำมาย้อมเป็นสีจากธรรมชาติ สีส้มของขมิ้นผสมปูน และใบคราม

ทุกอย่างล้วนทำด้วยความตั้งใจ ค่อยๆ ต้มสีและย้อมผ้าอย่างพิถีพิถัน อดพูดถึงไม่ได้กับลวดลายความสวยงามของเครื่องแต่งกายชาวเขาครับ ที่แต่เผ่าจะมีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป

สาวๆ ในหมู่บ้านจะรวมตัวกันและก่อตั้งเป็นกลุ่มผ้าทอขึ้นมา ทอสำหรับนุ่งห่มในชีวิตประจำวัน และส่งขายไปยังตลาดในเมือง 

ตรงนี้เป็นผ้าทอที่ถูกนำมาทำเป็นกระเป๋า เสื้อ และผ้าพันคอจัดวางจำหน่ายในตู้นี้ครับ มาเลือกซื้อกันได้เลย ขอบอกว่าสวยและไม่ซ้ำใครแน่นอน

 

เดินเล่นทำกิจกรรมในหมู่บ้านมาเกือบครึ่งวันแล้ว ชักจะเริ่มหิวแล้วสิครับ พี่ซองเดินมาเรียกได้ทันเวลาพอดี ยิ้มแป้นสิครับ โอ้โห…โจ๊กถ้วยใหญ่มาก กินคนเดียวไม่หมดแน่ 

พี่ซองรีบบอกทันทีครับ นี่ไม่ใช่โจ๊กแต่มันคือ ข้าวเบอะ ลักษณะคล้ายโจ๊ก ใส่เครื่องเทศหลากหลายชนิด  ทำขึ้นเพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ เหมือนเป็นการต้อนรับ แถมมีผัดผัก และฟักเขียวที่ปลูกเองบริเวณบ้าน สด อร่อย มากทีเดียว

ที่นี่ให้การต้อนรับเหมือนอยู่กับครอบครัว การกินมื้อเที่ยงในวันนี้ จึงรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก  ก่อนจะกินก็มีการกล่าวขอพรพระเจ้า(พระเยซู) เพื่อเป็นการขอบคุณต่อพระเจ้า คุยไปคุยมาได้ความว่าชาวบ้านที่นี่นับถือศาสนาคริสต์เป็นส่วนใหญ่ มีโบสถ์ประจำหมู่บ้านอยู่ทางด้านบน เดี๋ยวกินข้าวเสร็จน้องมิ้นต์ มัคคุเทศก์น้อยประจำหมู่บ้านจะพาเราขึ้นไปเยี่ยมชมครับ

โบสถ์ที่นี่เป็นศูนย์รวมจิตใจและประกอบพิธีทางศาสนา น้องมิ้นต์เล่าว่าเมื่อถึงวันสำคัญ อย่างเช่น วันพ่อ วันแม่

วันคริสมาสต์ วันปีใหม่ ทุกคนจะมาที่นี่เพื่อขอพรตามธรรมเนียมทั่วไป

ด้านในสวยงามและสงบเหมาะสำหรับที่พักพิงจิตใจ เรียบง่ายตามแบบฉบับของบ้านห้วยฮี้

เที่ยวชมกิจกรรมแบบเพลินจนลืมเวลาไปเลย ตอนนี้เวลาจวนเข้าเกือบเย็นเราต้องออกจากที่นี่ก่อนค่ำครับ เพราะการขับรถในตอนกลางคืนค่อนข้างอันตราย พี่ซองขออาสาไปส่งเช่นเคย ก่อนกลับก็โบกไม้โบกมือ น่ารักมากครับ ถ้ามีโอกาสจะกลับมาเป็นครั้งที่3และ4ครับ

 

.

.

การได้เดินทางมาเที่ยวครั้งนี้ ผมได้พบกับความสุขที่แท้จริง จากความน่ารักของชาวบ้าน ความอบอุ่น และความตื่นเต้น ที่หาได้จากการท่องเที่ยวในครั้งนี้

คงไม่ต้องบอกเลยครับว่าทำไม การเดินทางถึงเป็นชีวิตจิตใจของผม

--------------------------------------------------------------

ข้อมูลติดต่อ ท่องเที่ยวชุมชนบ้านห้วยฮี้

นายมาบือ กวางทู

โทร.          053-072314 , 08-1023-5661

อีเมลล์    madisaye_yuri211030@hotmail.com

นายประมล ส่าเหล่วา                                                         

โทร.          085-707-0281

ชมรายการเที่ยวไทยไม่ตกยุค ตอน สุขเล็กๆที่ห้วยฮี้ จ.แม่ฮ่องสอน

ได้ที่นี่ค่ะ  https://youtu.be/xHnSjtO6suE

ติดตามชมรายการเที่ยวไทยไม่ตกยุค

ทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 15.30 – 16.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส