หญิงเดินทาง...

การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางคนเดียวด้วยรถไฟที่ระยะทางไกลสุดในชีวิต หลายๆคนพอรู้ข่าวว่าจะเดินทาง ความกังวลก็เริ่มมีเข้ามาเป็นระยะๆ

"ผู้หญิงคนเดียวเดินทางอันตรายนะ"

"ได้ดูข่าวป่าว...ข่มขืนบนรถไฟ ตู้นอนแบบนี้เลย"

"ระวังเจอโจรขโมยกระเป๋านะ" 

     แต่ความกังวลของทุกคนก็ไม่ได้ทำให้เราล้มเลิกความตั้งใจ แต่ก็เริ่มหวั่นๆละ 55555 เอาวะ!!! ไม่มีอะไรหรอก แม่บอกเรามีโอกาสก็ไปซะ ออกไปดูโลก ออกไปหาประสบการณ์ แต่รู้แม่ก็ห่วงนะ 55555 แต่นางเข้าใจชีวิตลูกไง แม่น่ารักโน๊ะ และแล้วการเริ่มจองตั๋วล่วงหน้า 2 เดือนก็เกิดขึ้น ขึ้นที่สถานีนครปฐมและสุดสายของขบวนนี้เลยที่บัตเตอร์เวิร์ธ ทั้งขาไปและขากลับ ราคา 1,190 บาท อันนี้เตียงล่างนะ เตียงบนจะถูกกว่า ที่จองเตียงล่างเพราะกว้างกว่า แต่หลายๆคนบอกถ้าผู้หญิงเดินทางคนเดียวเตียงบนปลอดภัยกว่า แน่นอนหญิงเคยฟังใคร จองเตียงล่างจร้า (แต่ถ้าขึ้นจากหัวลำโพงจะราคา 1,210 บาท) ต่างกัน 20 บาทเอง 555555 เริ่มเดินทาง 16 กรกฎาคม 2559 กลับถึงบ้าน 20กรกฎาคม 2559 

    ขาไปได้รถขบวน 35 ด่วนพิเศษ รถมาถึงนครปฐม 16.11 ถึงบัตเอตร์เวิร์ธ ประมาณเกือบเที่ยง
ขากลับได้รถขบวน 36 ด่วนพิเศษ รถมาถึงประมาณเกือบ 6 โมงเย็น จะถึงนครปฐมประมาณ 9 โมงเช้า ขากลับนี่เด็ดค่ะมีปัญหาเรื่องการเดินทาง มาติดตามกันว่าเป็นไง (เดินทางด้วยรถไฟเวลาอาจจะไม่เป๊ะๆตลอดแต่เป็นขบวนด่วนพิเศษก็ไม่ค่อยเสียเวลามากเกิน)
    ***ใครไม่มีเวลาไปจองตั๋วที่สถานี ก็สามารถโทรสำรองที่ได้เลย สำหรับการสำรองที่แล้วต้องไปรับตั๋วและจ่ายเงินไม่เกินภายใน 24 ชม. หากไม่ไปรับตั๋วตามเวลาที่กำหนดจะยกเลิกการสำรองที่นั้นๆ โดยอัตโนมัติ***
    ที่สำคัญมากๆๆของการเดินทางครั้งนี้คือ Passport เตรียมไปให้พร้อม อย่าลืมเช็ควันหมดอายุด้วยนะ
    ปีนัง เป็นเกาะเล็กๆ ของประเทศมาเลเซีย มีทั้งคนแขกคนจีนหลายสัญชาติ คนที่นี่ไม่ค่อยพูดอังกฤษกัน งูๆปลาๆแบบเราก็สบายเลย ดูจากแผนที่ไกลมะ ไม่ไกลเลยเนอะ นั่งดูแผนที่เกือบทุกวัน ตื่นเต้นสูงมาก 
    5 วัน 4 คืน (2 คืน บนรถไฟ 2 คืน ที่จอร์จทาวน์) ได้ชื่อว่าหญิงเดินทาง ไม่เคยจะแบกอะไรไปเยอะ ของมีแค่นี้ แต่ครบทุกสิ่งที่จำเป็น มีอุปกรณ์ป้องกันตัวด้วย เอาไว้ช๊อตตัวเองเวลาใครเข้ามาทำร้าย 5555555 ทำร้ายตัวเองก่อนจะได้ไม่มีใครทำเรา ก่อนไปเราต้องศึกษาข้อมูลทุกอย่างดีๆ สภาพอากาศเป็นไง ก็เตรียมของให้พร้อม รอบที่ไปนี้มีแดดและฝน สำหรับรอบนี้เอาหมวกอย่างเดียว ฝนเราไม่กลัวลุยได้ ทริปนี้ตั้งใจมาเดินๆๆและเดิน รองเท้าที่เหมาะ ควรจะเป็นรองเท้าผ้าใบเดินสบายๆและไม่ทำร้ายเราลอบกัดกันทีหลัง

    อย่าลืม!!! แลกเงินไปด้วย กลัวขาดมากกว่ากลัวเหลือ แลกไป 5,000 บาท 
1rm = 10 บาท
100 cen = 1 rm
กลับมา...เหลือค่ะ 55555 ส่วนใหญ่ใช้แค่ซื้ออาหาร ค่าเดินทางนิดเดียว และของฝากเล็กน้อย อ่อ สกุลเงินที่นั่น ริงกิตนะ (RM)

    เริ่มออกจากบ้านมาในตอนบ่ายๆ ขึ้นรถ 2 แถว ชิลๆ เพื่อขึ้นรถไฟตอนประมาณ 16.11 อันนี้ตามตั๋วรถไฟ แต่ออกไปรอแต่เนิ่นๆดีกว่า กลัวตกรถไฟ พลาดแล้วพลาดเลยไม่มีถอยหลังกลับมารับนะฮะ และแล้วก็มาถึงสถานีรถไฟนครปฐม ตื่นเต้นๆๆๆๆ คนอื่นเบื่อการรอรถไฟ ทำไมเราตื่นเต้นทุกครั้งเลย


     เจอแล้วที่นั่งเรา มีพี่ผู้หญิงคนนึงนั่งมาก่อนแล้ว ของเรามองไปมองมาก็เยอะเนอะ ทุกที่นั่งเค้าจะมีหมอนวางไว้ให้กอดพลางๆๆไปก่อน หรืออยากเอนหัวเอนหลังก็ตามสบาย แอร์เย็นกำลังดี ขบวนนี้ไม่มีที่ว่างเลย เต็มหมดทั้งขบวน วันหยุดยาว คนเยอะเป็นธรรมดา 

    ซักพักมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วเช็คชื่อๆๆขึ้นขบวน เซนต์ชื่อพร้อมยื่นเงินคืนมาให้ 40 บาท เนื่องจากขบวนที่จองต้องได้ตู้ที่เป็นเตียงนอนที่ใหญ่กว่านี้ (จริงๆจะเป็นตู้ที่มีบันไดแอบอยู่ข้างๆ ที่นั่งหรือที่นอนจะใหญ่ขึ้น) แต่ได้แบบนี้มาจะมีบันไดยื่นออกมาตามรูปก่อนหน้านี้ เลยทำให้ที่เล็กกว่า แต่เราไม่สนใจ ได้ไปเป็นพอ 5555555 ***ปอลิง. ตุนของกินไปด้วยเยอะมาก กลัวอดตาย****

     ตอนแรกตั้งใจจะกินเตี๋ยวราชรี แต่.....ฝั่งตรงข้ามเหมาหมดเราอดกินเลย สั่งอาหารรถไฟก็ได้ ราคาจำไม่ได้แล้ว น่าจะ 100 กว่าบาทค่ะ แต่อร่อยใช้ได้เลย เค้าจะมาเป็นชุดแบบนี้เลย ตัดสินใจสั่งหมูผัดพริกสด อร่อยๆๆเลย มีแกงเขียวหวานไก่มะพร้าวอ่อนด้วย อร่อยนะ แต่กินไม่หมด มีซุปด้วยนี่ก็อร่อย เค้าจะมาร้อนๆๆเลย ร้อนมากจนปากพอง 55555 เป็นอาหารเย็นมื้อพิเศษจริงๆ ครั้งแรกกับอาหารของการรถไฟกับวิวทางสวยๆ     เวลาประมาณ ทุ่มกว่าๆ เจ้าหน้าที่จะมาปูเตียงให้ หน้าตาพี่เค้าอาจจะไม่ยิ้มแย้มไม่เป็นไร เค้าต้องปูทุกเตียงเหนื่อยเป็นธรรมดา ใช้เวลาปูไม่นาน ยืนรอกอดหมอนกันไป (พี่ร่วมทางคงนึก แกมาครั้งแรกใช่มั้ย เห็นถ่ายทุกอย่าง 5555555)

    ที่นอนช้านนนนนนนนน โยนของทุกสิ่งลงไปค่ะ  ระหว่างนั้นขอดูรอบๆๆ ทุกคนจัดแจงของกันใหญ่ ที่นอนจะพอดีขาเลย ใครสูงก็งอๆขากันไป มีผ้าห่มสะอาดๆให้ แพคใส่ถุงมาอย่างดี มีไฟด้วย มีที่ใส่ของเป็นตาข่ายไว้ใส่ของเล็กๆน้อยๆได้ 

     รูดม่านค่ะ 555555 รูดไปๆๆๆ แล้วถ่ายรูป เวลานี้นอนได้ไง เล่นโทรศัพท์เพลินๆไป กว่าจะง่วงคงดึกอ่ะ อ่อ ลืมบอก มีปลั๊กไฟด้วยนะ แต่ไม่ทุกที่ มีอยู่แต่ 2 ที่ของตู้นะถ้าจำไม่ผิด ตอนจองบอกเจ้าหน้าที่ก็ได้ว่าเอาตรงปลั๊กไฟ แต่เราไม่ได้เพราะมีคนจองไปแล้ว

    ณ เวลา 5 ทุ่มกว่า แอบย่องออกมาแปรงฟัน หลับกันหมดเลย 5555555 เงียบมากค่ะ แอบมีเสียงกรนด้วย แต่หาตัวจับยากมาก มีอ่างล้างหน้าอยู่ 2 อ่าง ต้องใช้เทคนิคในการทรงตัวสูงมาก แปรงไปโยกไปโยกมา เห็นราวเหล็กมั้ย มือนึงจับไว้อีกมือนึงแปรงฟัน สนุกสนานกันไป หรือใครจะอาบน้ำก็ได้นะ แต่ไม่เห็นมีใครอาบ 555555 แค่แปรงฟันให้สะอาดได้นี่ก็แย่แล้วนะ

      เช้าแล้วๆๆ ที่หาดใหญ่ ตื่นมาพร้อมเสียงแม่ค้าไก่ทอดหาดใหญ่ เมื่อคืนไม่ค่อยหลับเลย รถไฟเร่งทำเวลาน่าดู เช้ามากกกกก สถานียังเงียบอยู่เลย ตลอดทางจะมีคนขึ้นตลอด ถึงสถานีนี้จะมีเจ้าหน้าที่เดินมาถามแลกเงินมาเลย์มั้ย มีบางคนแลกเพราะกลัวไม่พอ เรทก็ไม่ต่างกันมาก        รถไฟถึงสถานีปาดังเบซาร์ เตรียมพาสปอร์ตให้พร้อม (ตามรีวิวเก่าๆ เค้าจะให้เอากระเป๋าวางที่นั่งไว้ เพราะจะเกิดการมั่วที่นั่ง....ปัจจุบันควรเอาของติดตัวลงทุกอย่างค่ะ รถไฟไทยจะไม่ไปต่อ แต่เราจะขึ้นรถไฟของมาเลเซียไปแทน) ลงจากรถไฟอย่ามัวแต่ถ่ายรูปค่ะ ไปยืนเข้าแถวรอตรวจคนเข้าเมืองเลย เพราะคนเยอะมาก พอตรวจเสร็จค่อยมาถ่ายรูปก็ได้มีเวลาเหลือเฟือมาก และกรอกใบเข้าเมืองให้พร้อม เค้าจะเดินแจกให้ (ตามรีวิวเค้าบอกจะมีแจกบนรถไฟ....ปัจจุบันไม่มีค่ะ)

      เจอน้องคนนึง มาคนเดียวเหมือนกัน ชื่อน้องติง สุดท้ายเราร่วมเดินทางกันตลอด 2 วัน เค้าว่าคนแบคแพคจะมีความเข้าใจกันดี 5555555 ท่าจะจริง และแล้วมิตรภาพการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น (ปล.ตอนถ่าย ตั้งใจจะถ่ายตม. แต่น้องมาเป็นแบบพอดี น้องติงคิวแรก เราคนที่สอง แล้วคนต่อแถวอีกยาวๆๆๆเหยียด) จุดแรกมีสแกนนิ้วด้วยนะ

      เสร็จจากจุดแรกก็เดินไปจุด 2 มีของปลอดภาษีขายด้วย มีแต่เหล้ากะบุหรี่ เอากระเป๋าเอาของผ่านเครื่อง แต่เราไม่ได้ถ่ายมา เจ้าหน้าที่ยืนเพียบกลัวโดนดุจุง แต่ไม่ตรวจเข้มมาก สบายๆๆ ตรวจเสร็จแล้ว แต่คนยังมีคนยืนเข้าแถวอีกเพียบ ยืนเมื่อยกันไป 

วันที่ 2 ของการเดินทาง ได้ตราประทับเรียบร้อย

ระหว่างรอถ่ายรูปไปค่ะ  รถไฟมาเลย์ มาแล้วววววววววววว ขึ้นๆๆๆๆ คนเพียบเลย แน่นจร้า เหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราแต่วิ่งเร็วกว่า นั่งดูวิวข้างทางไป ไม่ได้ถ่ายมา คนแน่นจนถ่ายไม่สะดวก แต่เหมือนบ้านเรา เจอแก๊งค์จักรยานจีน ดีใจมากเพราะเค้าปล่อย wifi ให้เราฟรีๆ 55555 ทั้งไลน์ทั้งเฟสทั้งโทรไลน์ ใช้กระหน่ำเลย  ถึงแล้วสถานีรถไฟบัตเตอร์เวิร์ธ ตั้งแต่นั่งรถไฟมา สถานีรถไฟของประเทศเค้าสวย ดูดี สะอาดมาก 
เริ่มการเดินทางได้...ตามทางจะมีป้ายบอกตลอดทาง ไม่ต้องกลัวหลง
ใครอยากนั่งแท๊กซี่ก็ได้ ข้ามสะพานปีนังที่ยาวๆๆๆย้าวยาวเป็น 10 กว่าโล แต่เราสายชิล นั่งเรือชมวิวดีกว่า ที่สำคัญถูกด้วย 5555555 ใครเป๋าใหญ่เดินขึ้นลำบากหน่อย แล้วก็เดินไกลพอสมควร ระหว่างทางเดินมีของขายตลอดทาง เริ่มหิวมื้อกลางวันด้วย แห่ะๆๆ

หน้าตาสถานีรถไฟบ้านเค้า

เดินต่อค่ะไปตามป้ายอีกแล้วๆๆ ได้เหงื่อพอสมควรฮะ บอกแล้วรองเท้าผ้าใบดีที่สุด  ถึงแล้ววววววว ท่าเรือ อากาศแจ่มใส ร้อนมากกกกกกกกกกก ที่ท่าเรือเค้ามีที่ให้แลกเหรียญด้วย ไม่ต้องห่วง แต่ห่วงเรื่องนี้ แอบดูๆ กังวลเรื่องการหยอดเหรียญ 555555  ที่ท่าเรือเค้ามีที่ให้แลกเหรียญด้วย ไม่ต้องห่วง แต่ห่วงเรื่องนี้ แอบดูๆ กังวลเรื่องการหยอดเหรียญ 555555 แต่ดีนะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยหยอด คนที่ปีนังเค้าชอบคนไทยนะ ต้อนรับดี๊ดี (ปล.เดี๋ยวมาต่ออาทิตย์หน้า) รอดมาละ หลังจากกังวลตั้งแต่อยู่ไทยว่าจะหยอดเหรียญถูกมั้ย หึหึ ที่เหลือยืนงงกันอยู่หล่ะสิ555555 ที่สำคัญ...เราจ่ายค่าเรือข้ามเกาะมาแล้ว ขากลับขึ้นฟรีจร้า จ่ายขามารอบเดียวพอ 

เรือมา อพยพขึ้นเรือๆๆ เค้าจะให้รถยนต์ขึ้นก่อนแล้วผู้โดยสารค่อยเดินตามไป มีทั้งที่นั่งและที่ยืน เดินดูวิวถ่ายรูปได้สบาย

สะพานปีนัง ยาวเกือบ 14 กิโลเมตร ย้าวยาวโน๊ะ เค้าว่าติดอันดับ 5 สะพานยาวที่สุดในโลก เห็นเกาะปีนังแล้ว เมฆก้อนเบิ้ม สวยเชียว ฟ้าโปร่งสดใสดมาก อย่าลืมทากันแดดนะคะ ร้อนจนไหม้เลยแดดงี้ แต่...เราไม่ทา 555555 ไม่ใช่อยากได้ผิวสีแทน แต่ครีมกันแดดอยู่ก้นกระเป๋าเชียว คาดว่าต้องรื้อทั้งกระเป๋าอ่ะ เตือนตัวเอง อย่ากลัวๆๆๆดำนิดเดียวๆ และจุดสังเกตุที่เห็นมาแต่ไกล ตึก Komtar นี่เอง มีทุกสิ่งให้เลือกสรร เดี๋ยวเราเจอกัน ตอนนี้ต้องการซิมด่วนๆๆ เราอยู่บนเรือซักพักเลย ถ่ายรูปวนไปค่ะ ทะเลที่นี่ก็ปกติ ไม่ใสกิ๊งๆๆเหมือนบ้านเรา แต่ประเด็นเราไม่ได้มาเที่ยวทะเลปีนัง ไม่ต้องสนใจค่ะ ผ่านนนนนน คนเยอะเหมือนกันค่ะ ส่วนใหญ่คนไทยทั้งนั้น ไม่ต้องกลัวเหงาเลยค่ะ คนไทยพอมาอยู่ต่างแดน ความช่วยเหลือเรามีให้กันเสมอ 

ถึงแล้วท่าเรือ บางคนบอกเห็นเสาๆที่โผล่มาก็รู้ว่าคือท่าเรือ แต่เราไม่สน รู้คือถึงแล้ว เย้ๆๆๆ ตื่นเต้นทวีคูณ

เดินตามผู้คนไปค่ะ เดาๆคลำๆไป เดี๋ยวถึงเอง

มีรถเมล์ที่ท่าเรือเลย ใครอยากนั่งรถเมล์ก็นั่งได้จร้า ดูตามสายที่ผ่านได้ มีทั้งรถฟรีและเสียเงิน ข้อมูลเรื่องรถเมล์เราไม่เป๊ะ เพราะทริปนี้ตั้งใจมาเดินและเดิน จะได้สัมผัสทุกอณูของปีนัง เว่อร์วังไปอีก  ข้ามถนนมาจากฝั่งท่าเรือ เอาละไง ต้องเริ่มจริงๆละ อันดับแรกหาที่พักก่อนเลย คืนแรกเราพักที่ Time Capsule Hotel ก่อนเดินทางมาได้จองไว้กับ agoda เป็นโฮสเทลนอนรวมแต่เลือกแบบแยกชายหญิง ดูอยู่นานนึกภาพไม่ออกว่าที่นี่เป็นแบบไหน ตื่นเต้นอีกละ แต่....ตอนนี้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค่ะ แผนที่ด่วนๆๆๆเลย ก่อนมา...อีกละ เราโหลดแอพแผนที่มาใช้ เป็นแบบออฟไลน์ ชื่อแอพ maps.me แล้วก็โหลดแผนที่ปีนังมาลงไว้ในเครื่อง ไม่ลงรายละเอียดเรื่องการใช้แอพเนอะ สะดวกสบายพอควรเลยแอพนี้ มีพิกัด Streetart เยอะพอควร บางรูปไม่มีในแอพ เนื่องจากเป็นรูปใหม่ หรือบางรูปโดนลบไปแล้ว มีรูปไรบ้าง ไปติดตามกันๆๆ ระหว่างทางเดิน ผ่านตึกราวบ้านช่อง ดูชิลกับแดดเปรี้ยงๆ ความอยากรู้อยากเห็นแล้วก็มัวแต่ถ่ายรูปทำให้เราลืมความร้อนที่แผดเผาอยู่กลางหัวจนไฟจะลุกอยู่ละ 7-11 ที่แรกที่เจอ แต่ตลอดทริปไม่ได้เข้าไปอุดหนุนเลย เพราะเราเหมามาจาก 7-11 in thailand แล้ว วะฮ่าฮ่า ไม่ได้แอ้มชั้นหรอก และแล้วก็ได้เจอเหล็กดัดรูปแรก ด้วยสัมภาระอันหนักอึ้งกับนักท่องเที่ยว 2 คนที่ยืนหลบแดดอยู่ ถ่ายแค่นี้ไปก่อนละกัน เดี๋ยวเก็บเป๋าแล้วเจอกัน ระหว่างทางเดินไปที่พัก ก็เจอ.....เว่ยยยยยยยย รูปแรกเลย เบิ้มมาก ใหญ่สุดชีวิต ถ่ายเก็บไว้ก่อน เดี๋ยวมาถ่ายแบบสวยๆทีหลัง เย้!!!! ถึงแล้ว เป็นไงหล่ะ เหงื่อไหลยังกะน้ำตก เดินจากท่าเรือเดินมา 1.5 km กับกระเป๋าอีก 3 ใบ ขาตั้งกล้องกับกล้องอีก เป็นไงหล่ะ ตื่นเต้นกับทุกสิ่งบ่ายกว่าแล้วโคตรหิวเลย go go go มาถึงข้างในยังกะสวรรค์ชั้นฟ้า เย็นนนนนนนนนนเลย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ยื่นใบจองโลด ตอนก่อนมาจองผ่าน agoda ด้วยราคา 513 บาท และพร้อมจ่ายค่ามัดจำ 52rm แล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนรองเท้าก่อนขึ้นห้องเอาเก็บเข้าตู้ล็อคเกอร์ตามหมายเลขเตียงนอนเรา ลืมถ่ายมาให้ดูไม่ว่าไรเนอะ ออกมาจากลิฟท์จะเจอประตูเข้า ใช้คีย์การ์ดใบเดียวกะที่เราต้องใช้กับตู้นอนเราได้เลย แล้วเข้าห้องโลด ความปลอดภัยถือว่าดีเลยสำหรับผู้หญิงแบคแพคคนเดียว เราได้ชั้น 2 ชั้นนี้จะเป็นของผู้หญิงทั้งหมด มีหลายตู้เหมือนกันไม่ได้นับนะ ขึ้นไปอีกชั้นจะเป็นห้อง Dorm ชั้นบนสุดจะเป็นห้องนั่งเล่น มีโต๊ะสนุ๊ก มีทีวี มีชากาแฟให้ดื่ม ตอนนี้ก็เดินๆหาตู้ตัวเองอยู่ไหน ยังไม่เจอ ก็ถ่ายตู้อื่นไปค่ะ คนไม่ค่อยเยอะดี เงียบมาก บางตู้มีของวางอยู่ คงอาจจะไปเที่ยวข้างนอกกันหมด

ห้องน้ำจร้า ทีแรกที่อ่านรีวิว เค้าบอกอาบน้ำรวม!!!! ชอบสิคะ เอ้ย!!! ไม่ๆๆๆ ที่นี่จะปลอดภัยมั้ย สรุปจองก็จอง และแล้วพอมาดู คนรีวิวนี่คงหมายถึงห้อง Dorm สินะ ชั้นนี้มีแต่ผู้หญิง ผู้ชายที่ไหนจะมาอาบรวมกะเรา สบายใจไป ในห้องน้ำจะมีไดร์ให้ด้วย ห้องอาบน้ำแยก 2 ส่วน ส่วนเปียกกับแห้งในห้องเดียวกัน ดี๊ดี วางของสบายแต่งตัวคล่อง 2 วัน 1 คืนที่นี่ เหมือนเหมาห้องน้ำ อาบคนเดียวตลอดๆ ส่วนห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วน ขี้สบายกลิ่นไม่รบกวน

นี่คืออุปกรณ์ที่ให้มาในถุงผ้ามี ผ้าขนหนู คัตเติ้ลบัตและหูฟัง ในรีวิว(อีกละ) บางคนได้อุปกรณ์มากมาย ช่างเค้าเราไม่สนใจ 555555 ในตู้นอนอุปกรณ์ครบครันมาก หมอน 2 ใบ เตียงนุ่มๆผ้าห่มหนาๆ ตอนเปิดแอร์เหมือนจะมีแค่ลมเบาๆ แต่พอซักพัก เริ่มหนาว อาจจะเพราะข้างนอกเค้าก็เปิดแอร์ด้วย เลยเย็นทั้งตึกเลย คุ้มราคา 513 บาทจริงๆๆ ไงหล่ะ ธรรมดาซะที่ไหนผู้หญิงคนนี้ กระเป๋าที่หนักนี่พวกแกทั้งนั้นเลย ตอนจัดของวางเรียบร้อย แล้วมานั่งคิดไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ แบกพวกมันมาทำไมตั้งแต่นครปฐม ตู้นอนเราอยู่ชั้นบน ดีนะชั้นล่างไม่มีคนนอน แอบเกรงใจเพราะเวลาขึ้นลงมันมีเสียงบันไดด้วยนิดหน่อย แล้วชั้นนี้ก็เงียบเชียบบบบบบบ แต่เรามิได้อยู่คนเดียวค่ะ มีสาวเกาหลีนางนั่งดูซีรีย์อยู่ตู้ข้างๆเรา จะทักทายนางก็เดี๋ยวจะหาว่าไปขัดจังหวะการดูซีรีย์ของนาง ค่อยว่ากันปล่อยผ่านไปก่อน ตู้นอนเราอยู่ติดถนนเลยได้ยินเสียงรถทุกประเภท ทีสำคัญมีเพลงขับกล่อมตอนกลางคืนด้วย แหม่ะ!!! ดันมีผับอยู่ข้างๆอีก เค้ามีรองเท้าให้ใส่เดินด้วย ตอนเปลี่ยนรองเท้าด้านล่างที่ตู้ล็อคเกอร์เก็บรองเท้า ห้ามใส่รองเท้าตัวเองขึ้นมาค่ะ ได้เวลาออกไปหาซื้อซิมกัน เดินค่ะเดิน ที่นี่ก็คล้ายๆภูเก็ตเหมือนกันนะนี่ขนาดก่อนมาก็ดูรีวิวเรื่องซิมมาพอสมควร เลยมายืนตัดสินใจตั้งนาน มีอยู่หลายค่าย หลักๆดูแค่ความเร็วกับราคา ส่วนใหญ่ใช้อินเตอร์เน็ตและโทรหาแม่นิดหน่อยยยยและรับสายเยอะหน่อยยยยย 555555 คนขายพอพูดไทยได้ สบายเลยสอนพูดไทยกันไปเลย น่ารักดีค่ะ ศูนย์รวมรถเมล์ ใครอยากไปไหนมาที่นี่เลย ไม่ค่อยมีใครถ่ายกับเหล็กดัดเลย แล้วก็มีเยอะมากด้วย อาจจะเพราะไม่มีสีสัน แต่ถ้าดูดีๆมันก็มีความหมายนะ เป็นแบบล้อเลียน เวลาเจอแดดก็ไม่ค่อยสวยนะ เพราะดูไม่ค่อยรู้เรื่อง 555555 Upside down ที่นี่พิพิธภัณฑ์เยอะ แต่ไม่เข้าซักที่ ราคาแอบแรงนิดหน่อย ได้แต่ดูข้างนอกเอาละกันเนอะ  มีนายแบบด้วย เดินผ่านมาเห็นแล้วสวยดี ที่นี่มัสยิดค่ะ ถ่ายวนไปค่ะ มีบริการจักรยานด้วย สำหรับใครที่ไม่อยากเดิน ปั่นไปค่ะ ปั่นยกครัวเลย เดินมาตามเส้น Cannon street และแล้วก็เจอภาพดังของปีนัง Boy on chair ภาพสึกไปตามกาลเวลา ใกล้ๆกันแถวนี้มีหลายรูปอยู่ Happy boy เมื่อก่อนเสานี้เป็นรูปมินเนี่ยน สงสัยตอนนี้มินเนี่ยนคิวเยอะ เลยเปลี่ยนบ้าง นี่ไงรับจ๊อบอยู่นี่ Funny กว่าจะเจอพี่เค้า โชคดีที่มีแผนที่ในมือถือ เดินมาทางเส้น Ah quee street แล้วเลี้ยวเข้ามาในซอกตึกเก่าๆ ก็จะเจอ Bruce Lee พี่เค้าแอบมาถีบแมวอยู่ตรงนี้ เดินมาตามทางถนนเส้นเดิมก็จะเจอภาพฮิตอีก Old motorcycle ดูๆๆฮิตจริงๆๆ เราไปถ่ายรูปที่ไม่มีใครถ่ายดีกว่า Little boy with pet dinosaur แอบมีแดดมาส่องด้วย ระหว่างทางก็เจอสถานที่สวยๆSkippyมีอยู่ทุกที่เลย สนุกกับการตามหาและถ่ายรูปจริงๆ มีดนตรีก็ต้องมีคนเต้นสิ อากาศร้อนแค่ไหนแต่ก็สนุกสนาน เค้าว่ากันว่าลอดช่องที่นี่อร่อย ตามๆๆค่ะ พอเดินมาถึง อื้อออออหือ คนหรอเนี่ย

มีความชุลมุนวุ่นวาย แล้วคำถามก็บังเกิด "สั่งไงวะ" พอดีอีก คนขายพอพูดไทยได้ "ลอดช่อง" "ถ้วยหรือแก้ว" คนไทยมาบ่อยจนพี่เค้าพูดได้เลยอ่ะ อยากให้ดูตอนพี่เค้าตักให้ คือตักจนล้นถ้วยประหนึ่งล้างมือพี่เค้าไปด้วย 55555 ไหนๆๆๆๆกินดิ เออออออออ อร่อยเว้ย มีความแปลกๆนิดๆแต่อร่อย ชื่นใจไปอากาศแบบนี้

อิ่มอร่อยแล้วก็กลับมาพักค่ะ เดินเมื่อยมาก อาหารเย็นเดี๋ยวว่ากัน มาๆๆๆดูทีวีกัน รีโมทที่นี่มี 2 ด้านอีกด้านเป็นปุ่มกดช่อง อีกด้านเอาไว้พิมพ์ 

ภาษาจีน!!! หน้าเราจีน แต่ไม่ได้บ่งบอกว่าอ่านจีนได้นะ คลำๆเดาๆไปค่ะ

ว่าแล้วทำไมอากาศร้อนทั้งวัน สุดท้ายฝนตกหนักเลยค่ะ จบลงที่มาม่าที่แบกมาจากไทย ช่วยได้จริงๆ ขึ้นมากดน้ำร้อนชั้นบนสุดที่เคยบอกไว้ มีกิจกรรมให้เล่น เจอกลุ่มคนไทยที่นอนห้อง Dorm ด้วย 4 คน คุยกันซักพักแล้วแยกย้ายจร้า ขอตัวไปซัดมาม่าก่อน เช้าของวันที่ 3 ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า ระหว่างทางหาอะไรอร่อยๆกินก็ถ่ายรูปไปค่ะ จบลงที่ติ่มซำนะฮะ ชื่อร้าน Leong kee tim sum อร่อยดีนะ ไปถึงเค้าจะมีใบให้คนละใบ หรือจะโต๊ะละใบก็ได้ แล้วก็ชี้ๆๆๆๆ เอาอะไรบ้าง เค้าจะเขียนในใบที่ให้ไป เพื่อไว้ดูว่าเรากินไรไปบ้างเอาไว้คิดเงินนั่นเอง ชาก็มีทั้งชาธรรมดากับชาดำ ขมปี๋เลย โจ๊กที่นี่หน้าตาสากลเหมือนโจ๊กทั่วโลก ต่างกับบ้านเราตรงที่มันออกจะหนืดๆๆนิดหน่อย แต่รสชาดใช้ได้นะ ซาลาเปาใส่ทะลักๆๆเลย ให้น้องติงเป็นนายแบบซาลาเปาไส้ทะลัก อิ่มแล้วก็เดินย่อยไปค่ะ

 

Boat driver India ไว้เจอกันนะลุง ไปก่อนละ เดี๋ยวไปเก็บของออกจากโรงแรมไม่ทัน เตรียมตัว Check Out ออกจาก Time Capsule Hotel  ออกมาก็เจอเมฆดำก้อนใหญ่ รีบจ้ำเลยฮะ ก่อนฝนจะลง จาก Time Capsule Hotel เราจะเดินไปพักที่ใหม่ที่ได้จองไว้ Container hotel ในแผนที่บอกให้ตรงยาวเลย ระยะทางประมาณ 1 km และเรา 2 คนก็มายืนงงกับแยกที่มีทางข้ามม้าลายแบบนี้ ไม่มีไฟสัญญาณให้ข้ามด้วย พอรถติดไฟแดง รออะไรหล่ะคะ วิ่งข้ามโลด ฝรั่งคนนี้ก็วิ่งตามมาด้วย งงทางพอกัน 555555 โซนนี้ถนนเริ่มจะกว้างขึ้น คนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ มีตึกสวยๆให้ถ่ายเยอะเลย ถึงแล้ว ที่นี่ Container hotelเราก็จองผ่าน agoda ด้วยราคา 353 บาท ถูกอีกแล้ว ภายนอกดูดีมาก ถึงเรียบร้อย พอกดชัตเตอร์เสร็จ เอ๊ะๆๆ มุมข้างซ้ายตึกคนถ่ายอะไร ไปดูซิ อ่อ รูปนี้เอง Children playing basketball มีนายแบบแถมให้ด้วย และฝนก็เริ่มลงเม็ดเข้าไปโรงแรมไป check-in ก่อนดีกว่า ภายในจะดูสไตล์ Loft สวยเลย ชอบๆๆ ที่นี่มัดจำ 52rm check-out จะได้คืน 50rm เหมือนที่แรกเลย เป็น Container จริงๆ เอามาดัดแปลงเป็นห้องพัก ตู้นึงจะพักได้ 4 คน ในห้องนึงมี 2 ตู้ ห้องนี้เป็นแบบหญิงล้วน ตู้นอนเราอยู่ติดประตูเลย จะได้ยินเสียงประตูดังตลอดเวลาเปิดเข้า - ออก ให้ถุงยังชีพมาเหมือนที่แรกเลย ในนั้นมีผ้าเช็ดตัวและคัตเติ้ลบัต มีปลั๊กไฟแบบของไทยเลย ไม่ต้องหิ้วปลั๊กแปลงมาก็ได้ เห็นช่องๆสี่เหลี่ยมมั้ย เปิดออกมาเขียนหนังสือได้ แล้วก็เป็นกระจกด้วย แต่ไม่ได้ใช้ เพราะมันส่องลำบาก 55555 มันมีความเตี้ย ก้มใช้ลำบากมาก ระหว่างทางที่เดินมาที่ห้องเราจะเดินผ่านห้องน้ำชาย เดินไปตามทางก่อนถึงทางออกจะเจอห้องน้ำหญิงอยู่ตรงกลาง มีตู้ล็อคเกอร์ไว้ให้ด้วย ดูเหมือนมีหลายห้องเนอะ แต่เป็นกระจกสะท้อน 555555 มีห้องอาบน้ำ 3 ห้องถ่ายภาพยนต์ 3 (ห้องอึ) ตอนเราเช็คอินเข้ามาก็ใช้การ์ดเปิดประตูก่อน แล้วจะเจอตู้ล็อคเกอร์ มีข้อเสียอยู่อย่างนึง ชอบมีคนเดินเอามือ เอาของมาถูไปตามข้างๆตู้ เรานอนอยู่ก็จะได้ยินเสียงด้วย ออกไปถ่ายรูปกันดีกว่า เพิ่งได้ใช้ขาตั้งกล้องจริงๆก็วันนี้ หลังจากวานคนอื่นถ่ายให้ตลอด มุมแถวนี้ดี คนไม่ค่อยเยอะ Brother and sister on a swing เดินไปเรื่อยๆก็เจอหลายรูป Love Me Like Your Fortune Cat ขออนุญาตติดนางแบบมาด้วย หามุมว่างไม่ได้จริงๆ

แล้วก็แวะหาซื้อของฝากด้วย

ชอบรูปนี้มากเลยมีความใหญ่ มีความอลัง สีสวย แถมแอบอยู่ในพื้นที่ให้เช่าจอดรถ รูปนี้ไกลสุดเลยมั้งเนี่ย แถมกว่าจะหาเจอ อยู่ในซอกตรอกมาก ดูน่ากลัว แต่เจอจนได้ Child mural at prangin canal  ได้รูปแล้วก็เดินกลับ เจออีกหลายๆรูปมาก จนมาเจอร้านขายขนมเปี๊ยะ คนเต็มร้านเลย หอมด้วย แล้วเจอรูป Brother and Sister พอดีเลย ตกเย็นมาหาอะไรกินที่ CF nightfood court ของกินเยอะมาก เดินมาทางข้างตึกของ container hotel มาเรื่อยๆก็เจอ เช้าวันที่ 4 ขึ้นมาดูห้องนั่งเล่นชั้น 2 ซะหน่อย มีมุมหนังสือให้อ่าน 2 มุม มาม่าอีกละ ก็ฝนตกตั้งแต่เช้าเลยอ่ะ รอฝนหยุดแล้วเก็บของไปที่ท่าเรือกัน เดี๋ยวไม่ทันนะฮะ  ภาพสุดท้ายก่อนจากกัน ฝนหยุดแล้ว รออะไรหล่ะคะ เดินทางจร้า ไปค่ะ เดินไปตามทางเหมือนรอบที่เคยมาเลย ขากลับไม่ต้องเสียค่าเรือแล้วนะ พอเรือออก ฝนก็ตก สภาพอากาศดีแค่วันแรกที่มาถึง นอกนั้นฝนตกตลอดจร้า เมื่อมาถึง ความเซอร์ไพร์จึงบังเกิด จากรอบที่มาเราสามารถขึ้นรถไฟของมาเลย์จากปาดังเบซาร์เพื่อมาบัตเตอร์เวิร์ธได้เลย โดยใช้ตั๋วรถไฟไทยนี่แหล่ะ แต่.....ขากลับ ไม่เป็นเช่นนั้น เราไม่สามารถใช้ตั๋วเราขึ้นรถไฟไปได้ ต้องซื้อตั๋วของมาเลย์ จากบัตเตอร์เวิร์ธเพื่อไปขึ้นรถไฟที่ปาดังเบซาร์ ในราคา 11.40rm ต่อแถวซื้อตั๋วไปก่อนละกัน เดี๋ยวจะไม่ทัน เก็บความสงสัยไว้ไปถามเจ้าหน้าที่ละกัน และช่องขายตั๋วนั้นนนนนนน ขายใบนึงใช้เวลานานมากกกกก ใจนึงก็กลัวจะไม่ทันรถไฟ สุดท้ายก็ทันจนได้ หน้าตาตั๋วพิศวงเป็นแบบนี้ เก็บความงงไว้ค่ะ อีก 4 นาทีรถไฟมา นั่งรอตรงแถวที่ซื้อตั๋วได้เลยค่ะ รถไฟมาถึงจะออกไปขึ้นรถไฟได้ กลุ่มพี่คนไทยที่เจอปัญหาเดียวกันค่ะ คนไทยช่วยเหลือกันได้เสมอๆ ระหว่างทาง 2ชม.กว่า พี่ๆน่ารักมาก พาคุณแม่มาเที่ยวด้วย เราคุยกันเรื่องปีนัง เรื่องเที่ยว หลายๆทริป สนุกมากค่ะ สุดท้าย...ปัจจุบันเรายังคุยและติดต่อกันอยู่ค่ะ หลักๆคุยเรื่องเที่ยวอย่างเดียวเลย 555555ถึงแล้วสถานีปาดังเบซาร์ ระหว่างรอรถไฟมาหาไรกินก่อนได้ค่ะ ที่ชั้น 2 ของสถานีมีร้านขายของ ขายข้าว รับทั้งเงินไทยและมาเลย์ ได้เวลาตรวจเอกสารค่ะ ประมาณ บ่าย 3 อย่าลืม!!! แนบตั๋วไปด้วยนะจ๊ะ ระหว่างรอเวลารถไฟมา 6โมงเย็น รอไป 3 ชม. รอเบื่อไปเลยฮะ พี่ๆใจดีแบ่งขนมให้ทานด้วย พร้อมเล่าเรื่องท่องเที่ยวสนุกๆให้ฟัง เพลินลืมเวลาเลยค่ะ ระหว่างที่รอ พี่ๆไปเจอเจ้าหน้าที่ไทย เลยแจ้งเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ทางมาเลย์ ก่อนหน้านี้มีโดนกันไปแล้วและไม่สามารถไปเรียกเงินคืนจากการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ด้วย จริงๆไม่ได้ต้องการที่จะเรียกเงินคืนแต่อย่างใด ปีนังคนไทยมากันเยอะ อยากให้ปัญหานี้ได้รับการแก้ไข จริงๆพี่ที่สถานีเค้าบอกว่ามันเป็นสัญญาระหว่างประเทศ ฝั่งมาเลย์ไม่ควรมาเรียกเก็บให้ซื้อตั๋วต่างหาก หากปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วบอกต่อๆกันด้วยนะคะ ถ้าปัญหายังไม่จบแนะนำให้ขากลับซื้อตั๋วแค่ปาดังเบซาร์พอ แล้วจากบัตเตอร์เวิร์ธเราค่อยซื้อตั๋วจากทางมาเลย์กลับปาดังเบซาร์แทนจะดีที่สุด ไม่เสีย 2 ต่อ พี่หัวหน้านายสถานีปาดังเบซาร์ พี่สมชาย แก้วนิล พี่เค้าน่ารักมากๆๆ บอกให้รีบกลับไทยเค้าจะบอมมาเลย์ละ 55555 หน้าดุแต่พี่น่ารักมากค่ะ 

ถ่ายรูปด้วยกันก่อนกลับ เที่ยวคนเดียวใครว่าเหงา เพื่อนเพียบเลยค่ะ

รถไฟมาแล้ว ขึ้นรถไฟได้จร้า กลับบ้านแล้ว รถไฟยังไม่ออกก็ถ่ายรูปกับเม้าท์มอยกะพี่ๆ ซึ่งขึ้นมาขบวนเดียวกัน อยู่ตู้เดียวกันด้วย เริ่มจะหิว พึ่งพาอาหารการรถไฟอีกมื้อ อิ่มไปอีกมื้อ ซักพักสัญญาณโทรศัพท์เริ่มมา เปลี่ยนซิมได้ค่ะ ทั้งสายเข้าสายออก ไลน์ เฟส กระหน่ำซัมเมอร์เซลล์มาก กินอิ่มแล้วนอนได้ พี่นี่ก็รีบปูเตียงจริง ใครอยากอาบน้ำก็อาบได้นะ แต่ไม่เห็นมีใครอาบเลย 555555 ห้องน้ำจะเล็กมากๆๆ กลับตัวลำบากกันเลยทีเดียว จากฝักบัวอาบน้ำหันหลังมาก็เจออ่างล้างหน้า พอมองมาข้างล่างก็เป็นส้วน 3 in 1 มากห้องนี้ มีความน่ากลัวหากขาพลาดร่วงลงไป สุดท้าย...ได้กินเตี๋ยวราชรีแล้ว นั่นแสดงว่าเราจะถึงบ้านแล้ว จบทริปหญิงเดินทาง อย่าคาดหวังมากกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่าพึ่งพารีวิวจนเกินไป การเรียนรู้โลกด้วยตัวเองมันก็สนุกดีนะ แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าค่ะ