สองแบบสองสไตล์ ท่องเขาใหญ่หลายอารมณ์

พูดคำว่าเขาใหญ่ นึกถึงอะไรกันบ้าง ขารักธรรมชาติคงต้องแว่บภาพ ช้าง กวาง นกเงือก น้ำตกเหวสุวัต น้ำตกเหวนรก ผาเดียวดาย ลานกางเต็นท์ ห้วยลำตะคอง แต่อีกกลุ่มอาจคิดถึง ปาลิโอ พรีโม เพียซซ่า ร้านสเต็กอร่อยๆ โรงแรมรีสอร์ทตากอากาศ ซึ่งก็ว่ากันตามแต่รสนิยมว่าใครชอบเที่ยวแบบไหน

ต้นเดือนมิถุนายน หน้าฝนที่ฝนยังไม่ตกและร้อนระอุกว่าหน้าร้อน ผมมีโอกาสไปเที่ยวเขาใหญ่อีกรอบ เป็นการไปเขาใหญ่ที่แปลกกว่าทุกครั้ง เพราะเป้าหมายหลักไม่ได้เป็นการขึ้นข้างบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หนำซ้ำยังเป็นงวดแรกที่ไม่ได้กางเต็นท์นอนอีกต่างหาก แต่ขอไปพักผ่อนชิลๆ ในโรงแรมสวยๆ เน้นการเที่ยวถ่ายรูปเล่นกับสถานที่เก๋ๆ แบบเมืองนอก สำหรับป่าเขาใหญ่แค่แวะวันสุดท้ายก่อนกลับเท่านั้น

ทริปสามวันสองคืน เดินทางกับคุณนายผู้บังคับบัญชา (ฮา...) ผมชำนาญเส้นทางดีครับ วางแผนคือเที่ยวตีนเขาใหญ่แถวถนนธนะรัชต์ อำเภอปากช่อง นครราชสีมา แล้วรอวันสุดท้ายค่อยขึ้นเขาใหญ่ ข้ามฝากมาลงฝั่งเนินหอม จังหวัดปราจีนบุรี ปิดทริปกลับบ้าน

พอแผนการเดินทางพร้อมแล้วก็กรอเทปเดินหน้าถึงตอนสตาร์ตรถกันเลย

จุดแรกที่แวะคือฟาร์มโชคชัยเพื่อซื้อของฝาก... เพราะไม่ได้กลับทางนี้เลยต้องจัดของฝากตั้งแต่เพิ่งมาถึง ไม่ต้องเข้าชมฟาร์มก็มีพื้นที่เที่ยวเล็กๆ ด้านนอกนะ ให้อาหารลูกวัว ม้า แกะ กินไอติม ถ่ายรูปเล่นว่ากันไป ผมคิดว่าจะซื้อของและกินไอติมแป๊บเดียว ฝนดันตกกระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตา รถก็ดันจอดเสียไกล เลยต้องหลบอยู่พักใหญ่

ฝนซาฟ้าเปิดแล้วค่อยออกตัวใหม่ เข้าเขาใหญ่ด้วยทางหลวงชนบท นม.1012 นักท่องเที่ยวส่วนมากคุ้นปากเรียกว่าเส้นแดรี่โฮม เพราะมีร้านแดรี่โฮมตั้งอยู่ตรงทางเข้า แต่คนท้องถิ่นเขาเรียกว่าถนนผ่านศึก (กุดคล้า-ผ่านศึก) ใช้เส้นนี้เพื่อไปสวนดอกไม้ เดอะ บลูม แต่ระหว่างทางผ่าน พีบี วัลเล่ย์ เลยโฉบเข้าไปดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจากที่เคยมาหรือเปล่า

ได้ข้อมูลมาว่าเขามีรถนำเที่ยวชมไร่องุ่นและโรงผลิตไวน์ วันละสามรอบ 10.30 13.30 15.30 ค่าตั๋วผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 200 บาท ผมไปถึงบ่ายสอง รถรอบบ่ายครึ่งออกไปแล้ว คุณนายบ่นเสียดายอดเที่ยวไร่ด้านในเลย ผมตีหน้าเศร้าไปด้วยตามระเบียบ แต่ในใจยิ้มปริ่มเพราะประหยัดตังค์ตั้งหกร้อย (ฮา...)

ถ่ายรูปเล่น เก็บบรรยากาศแถวร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกแบบหอมปากหอมคอครับ

เลยจากพีบี วัลเล่ย์ อีกนิดเดียวก็ถึง เดอะ บลูม มีสร้อยท้ายว่า บาย ทีวีพูล (ป่านฉะนี้เจ๊ติ๋มจะเป็นไงบ้างน้อ) ผมเคยมาตั้งแต่ตอนยังไม่เปิดเป็นทางการด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จดีเพราะต่อเติมโน่นนี่ไปเรื่อย โดยรวมมีอะไรเพิ่มขึ้นกว่าตอนมาหนแรกเยอะเลย ทว่าข้อเสียคือค่าเข้าชม 100 บาท ราคาแบบนี้เป็นการกดดันตัวเอง โอกาสที่คนจะผิดหวังมีมากกว่าสมหวังนะ

ช่วงนี้อากาศร้อนจัดทำให้ดอกไม้ไม่หลากหลาย สีสวยก็จริงอยู่แต่เป็นดอกไม้ที่พบเห็นตามสวนสาธารณะทั่วไป แค่พอถ่ายรูปเล่นเพลินๆ ประมาณหนึ่ง ยังไม่ถือว่าคุ้มค่าตั๋ว คงต้องถามคนเคยไปเที่ยวหน้าหนาวอากาศดีๆ ว่าจะสวยขนาดไหน

ออกจาก เดอะ บลูม เห็นว่าใกล้จะเย็นแล้ว แถมฟ้าไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่ ผมเลยตัดสินใจเข้าโรงแรมดีกว่า สองคืนนี้พักที่ โรแมนติค รีสอร์ท แอนด์ สปา อยู่ไม่ไกลจากปาลิโอ ห่างจากด่านทางขึ้นอุทยานฯ สัก 5 กิโลเมตรเอง  ภาพรวมเหมาะกับการพักผ่อนดีครับ

เก็บภาพโรงแรมมาให้ชมสักนิด นานๆ จะได้พักที่พักมีระดับอย่างนี้สักที (ฮา...) เป็นภาพจากตอนเย็นวันแรกกับเช้าวันที่สองครับ อาคารหลักสามหลังต่อกันรูปตัวยู มีสระว่ายน้ำตรงกลาง รายละเอียดอื่นต้องขออนุญาตข้ามไป เสิร์ชในอากู๋ตามสบาย ผมขอเน้นเรื่องที่เที่ยวแล้วกัน

วันที่สอง ผมวางโปรแกรมหลวมๆ เที่ยวแถวนี้แหละ อยากไปที่สุดคือ พรีโม เพียซซ่า ตั้งอยู่บนเส้นผ่านศึก เมื่อวานผ่านมาแล้วแต่ขอเก็บไว้สำหรับเที่ยววันนี้แบบเต็มที่ จอดรถปุ๊บชะงักปั๊บกับค่าเข้า 100 บาท ซึ่งก็ต้องยอมจ่ายนั่นแหละ ตัวอาคารแบบทัสคานีมีไม่เยอะ ถือว่าค่อนข้างน้อยด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสถานที่คล้ายกันอย่างปาลิโอ

ทว่าที่ผมชอบมากคือ ทุ่งหญ้า ฟาร์ม และโรงเลี้ยงสัตว์ด้านหลังครับ บรรยากาศดีทีเดียว

เขาเลี้ยงแกะเมอริโน่ เขาโง้งโค้งเป็นวงกลมสวยมาก แล้วยังมี อัลปาก้า กับ ลาแคระ น่ารักน่าเล่นด้วยทั้งคู่ เราให้อาหารมันตามสบายโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะรวมอยู่ในค่าตั๋ว มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือนทีละนิดละหน่อยแต่ไม่มากนัก

ผมกับคุณนายเฮฮากับแกะและอัลปาก้าอยู่นานเชียว คิดอยู่ว่าจะกินข้าวมื้อบ่ายที่ไหน พอเจอน้ำเปล่าขวดละสามสิบเข้าไป ตัดสินใจได้ทันทีว่าไม่ใช่ที่นี่แน่นอน คำเตือน... หนุ่มคนไหนคิดพาสาวมาสวีทพิชิตหัวใจ ณ พรีโม เพียซซ่า ควรตรวจสอบกระเป๋าสตางค์ให้พร้อมนะเอ้อ

สรุปแล้วมื้อบ่ายอิ่มเอมกับสถานที่อันแสนคุ้นเคย แบล็ค แคนย่อน ที่ปาลิโอ...

ข้อดีที่สุดของปาลิโอคือไม่เสียค่าเข้านี่แหละ มีทัวร์มาลงหลายกรุ๊ปอยู่นะถึงจะเป็นวันธรรมดาก็ตาม มาทีไรก็สนุกกับการหามุมถ่ายรูปทุกที แม้จะเก่าลงเยอะแต่ปาลิโอยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะเวียนเมื่อมาเที่ยวเขาใหญ่อยู่ดี เห็นว่าตรงลานจอดรถเก่าทำเป็นโซนขายของใหม่เสร็จแล้ว คงกำลังรอเปิดอย่างเต็มตัวเพิ่มเติม

บ่ายแก่ๆ ออกจากปาลิโอ ขับรถไปดู เดอะ สโม๊ค เฮ้าส์ เก่าสักหน่อย เขากลับมาเปิดใหม่เปลี่ยนชื่อเป็นมิดวินเทอร์ ราคาคงเกินเอื้อมสำหรับผมเลยขอแค่ถ่ายภาพแค่ข้างนอก เช่นเดียวกับที่ทอสคาน่า วัลเล่ย์ ซึ่งได้แต่ถ่ายรูปเพียงด้านนอกครับ

กลับรีสอร์ทตากแอร์เย็นฉ่ำดีกว่า แล้วรอกระโดดน้ำตอนเย็นให้สุขอุรา รีสอร์ทสวยแบบนี้ต้องใช้เวลาให้คุ้ม ขออนุญาตเอากล้องวางทิ้งไหว้ปล่อยให้มันได้พักผ่อนบ้างนะครับ (ฮา...)

วันสุดท้ายบึ่งรถลุยโลดขึ้นเขาใหญ่ จ่ายค่าธรรมเนียมผ่านด่าน 130 บาท (คนละ 40x2 บาท รถยนต์ 50 บาท) เวลาวันเดียวคงเที่ยวทุกจุดไม่ได้ เน้นเอาเฉพาะที่เที่ยวไม่ยากและอยู่ตามเส้นทางแล้วกัน

เริ่มต้นสักการะเจ้าพ่อเขาใหญ่ จากนั้นแวะจุดชมวิวเก็บภาพนิดหน่อย ฟ้าใสแดดแรงแต่ก็มีกลุ่มเมฆอยู่ไม่น้อย

ขึ้นเขามาเรื่อยๆ ผ่านทางเดินศึกษาธรรมชาติเข้าหอดูสัตว์หนองผักชี จนมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ก็ต้องแวะทักทายเจ้าถิ่นสักนิด รวมทั้งแวะกินข้าวเบาๆ อีกจานกันด้วยครับ เดี๋ยวต้องออกแรงกันพอสมควร

ผ่านอ่างเก็บน้ำสายศร ทำจุดชมวิวใหม่อย่างดีเชียวแฮะ ไม่มีอะไรต้องพูดมาก ลั่นชัตเตอร์มันเข้าไป

ขึ้นมาเขาใหญ่มาแล้วต้องเยี่ยมเยือนน้ำตกเหวสุวัต ทั้งที่รู้แก่ใจว่าคงไม่สวยเท่าไหร่ ซึ่งก็ตามคาดครับ น้ำมากกว่าน้ำก๊อกแต่ยังน้อยเกินจะเรียกว่าเป็นน้ำตก ถึงอย่างนั้นยังคงมีนักท่องเที่ยวมาชมกันแทบไม่ขาดช่วง

เป้าหมายหลักในการขึ้นเขาใหญ่ครั้งนี้ของผมอยู่ที่ผาเดียวดายครับ อยู่บนเขาที่เรียกกันว่าเขาเขียว รถเก๋งขึ้นสบาย จอดรถแล้วจะมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอย่างดีสู่หน้าผาและวนกลับมาที่เดิม ระยะทางแค่ไม่เกิน 500 เมตร เป็นจุดชมวิวที่ผมชอบที่สุดบนเขาใหญ่ สูดอากาศแห่งป่าเขาใหญ่กันให้เต็มปอด

หลังจากนั้นวิ่งตามเส้นทางที่วางแผนคือลงจากเขาใหญ่ทางปราจีนบุรี ระหว่างทางผ่านน้ำตกเหวนรก ที่นี่เขาปิดตอนห้าโมงเย็น ผมไปถึงสี่โมงโชคดีทันเวลา แต่ก็ต้องเร่งฝีเท้าในการเดินสักนิด เส้นทางจากลานจอดรถไปถึงตัวน้ำตกประมาณ 1 กิโลเมตร ช่วงสุดท้ายเป็นบันไดขาค่อนข้างชันลงประมาณ 200 ขั้น เตรียมใจสำหรับขาขึ้นไว้เลย

เหวนรกก็น้ำน้อยเช่นเดียวกัน เปรียบเทียบกับคนก็เหมือนกำลังนอนหลับสนิท เฝ้ารอการตื่นขึ้นเมื่อฝนเทลงมานั่นแหละ

น้ำตกที่เห็นจากจุดนี้คือชั้นบนสุดครับ ใครอยากเห็นน้ำตกชั้นล่างจะต้องไปยังจุดชมวิวบนเขาซึ่งต้องเดินป่าสั้นๆ ราว 400 เมตร แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่นำทางไป ช่วงเดือนตุลาคมสวยที่สุด

ผมลงจากเขาใหญ่ถึงด่านเนินหอม ปราจีนบุรี สักห้าโมงกว่าๆ แวะเข้าไปหาของกินที่ตัวเมืองปราจีน แล้วค่อยขับรถกลับเมืองกรุง เป็นการปิดทริปนี้ ซึ่งหากจะบอกว่าเป็นการเที่ยวที่ผสมผสานกันระว่างการพักผ่อนแสนสบายในรีสอร์ทสวย การเที่ยวถ่ายรูปตามสถานที่เที่ยวกระแสนิยม และปิดท้ายกับการสัมผัสธรรมชาติที่เป็นของแท้ไม่มีการปรุงแต่ง ก็น่าจะนำมาปรุงกันลงตัวพอสมควร

คำว่า “เที่ยวเขาใหญ่” มีหลายมุมหลายอารมณ์ และเหมือนทริปนี้เพียงทริปเดียว ผมจะได้พบเจอเกือบครบทุกมุมแล้วล่ะ...

อยากคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องท่องเที่ยว สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) หรือชวนเที่ยว ยินดียิ่งนะครับ

www.facebook.com/alifeatraveller

หรือ

alifeatraveller.wordpress.com