#พาไปสกลที :: พาเที่ยวสกลนคร ใน 12 ชั่วโมง กับ งบประมาณ 500 บาท [บิน/กิน/เที่ยว]

สารภาพตามตรงเลยนะครับ ว่า ผม...นั้น ไม่ได้มีข้อมูลสำหรับ “จังหวัดสกลนคร” นี้เลย ตั้งแต่แรกเริ่มจองตั๋วเครื่องบิน ซึ่งการเดินทางในเส้นทางสู่จังหวัดสกลนครนั้น เป็นเส้นทางใหม่ของสายการบินแอร์เอเชีย ก็เลยอยากลองไปเที่ยวในเส้นทางนี้ดูบ้าง ประมาณว่า จองตั๋วไปก่อน จะไปยังไงค่อยว่ากันอีกที ซึ่งก็เกิดเป็น ทริป “สกลนคร” นี้ขึ้นมาครับ เนื่องจากมีเวลาไม่มากนัก ประกอบกับไม่แน่ใจว่าสกลนครจะมีอะไรให้เที่ยวบ้าง จึงจองตั๋วเครื่องบินแบบ ไปเช้ากลับเย็น ครับ (ตอนแรกกลัวว่าไปแล้ว จะไม่มีอะไรเที่ยว แล้วไม่มีที่ไป ต้องนั่งรอเครื่องกลับตอนเย็น อะไรประมาณนั้นครับ 55+) ทริปนี้ จึงเป็นทริปสั้นๆ วันเดียว พาไปเที่ยวเมืองสกลนครกัน ซึ่งมีเวลาในการเที่ยวทั้งหมดประมาณ 12 ชั่วโมง และ งบประมาณค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะใช้ไป ประมาณ 500 บาท ซึ่งสำหรับผมถือว่าคุ้มค่ามากที่จะลองไปเยือนจังหวัดนี้ดูสักครั้งครับ ก่อนเดินทาง 1 วัน ผมก็เลยค้นหาข้อมูลใน Google ดู ก็เก็บข้อมูลคร่าวๆ และอาศัยจำข้อมูลที่จำเป็นเอาครับ ไปถึงสกลนครยังไง เดี๋ยวค่อยคลำๆ หาทางไปอีกทีนึง 55+
ซึ่ง โปรแกรมท่องเที่ยว โดยคร่าวๆ เที่ยววันเดียวก็วางไว้ประมาณนี้ครับ
เช้า – เดินทางไปเที่ยวที่ ท่าแร่
เที่ยง – กลับมาตระเวณหาของอร่อยกินในตัวเมือง
บ่าย – เที่ยววัด ในบริเวณตัวเมือง
เย็น – เดินเล่นริมหนองหาน ก่อนเดินทางกลับ กทม.
เป็นการเที่ยว “สกลนคร” ใน 1 วัน (12 ชั่วโมง) กับ งบประมาณ 500 บาท ที่ถือว่าเป็นการแลกกับประสบการณ์ที่คุ้มค่าเลยทีเดียวล่ะ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา.. ไม่ต้องรอให้ใคร #พาไปสกลที เดี๋ยว ผม.. จะพาเพื่อนๆ ไปสกลเองครับ 55+ ออกไปเที่ยวเมืองสกลนครกัน ว่าแล้ว.. ก็ แบกเป้ ตามมาได้เลยครับ…. !!!!
“จังหวัดสกลนคร” เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนบน เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีความสำคัญ และมีความหลากหลายในด้านต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ที่สวยงาม มีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ที่น่าสนใจ เป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับจังหวัดนครพนม และมุกดาหาร ซึ่งเป็นกลุ่ม “สามจังหวัดสนุก” ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวกัน อีกด้วย
ถ้าดูแผนที่ ของจังหวัดสกลนครนั้น จะเห็นจุดเด่นเลยก็คือ “หนองหาน” บึงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ติดใจกลางเมือง ซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์ค สำคัญของที่นี่เลยก็ว่าได้ครับ ส่วน.. สถานที่เที่ยวใกล้เคียง ก็เป็นวัดวาอารามต่างๆ ให้ได้เข้าไปไหว้พระ กัน
การเดินทางครั้งนี้ เป็นการท่องเที่ยวแบบเน้นประหยัด จึงเริ่มต้นจาก การจองตั๋วเครื่องบินแบบประหยัด ของสายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งเส้นทางไป “สกลนคร” นั้น ถือว่าเป็นเส้นทางใหม่ ของแอร์เอเชีย ถึงแม้จะไม่ใช่เส้นทางท่องเที่ยวยอดฮิต แต่ก็เป็นเส้นทางหนึ่งที่ออกโปรฯ มาบ่อยมากๆ และเวลาก็ค่อนข้างดีด้วย โดยผมได้จองไปไฟล์ทเช้าสุด 6.55 น. (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) และเที่ยวกลับ 19.30 น. ซึ่งจะใช้เวลาในทริปนี้ทั้งหมดไปประมาณ 12 ชั่วโมง จองโปรโมชั่น 0 บาทไป ค่าใช้จ่ายไป-กลับ ทั้งหมด 150 บาท..!
มาถึงตรงนี้..หักงบในการซื้อตั๋วเครื่องบินไป 150 บาท ทำให้ผมเหลือตังค์ในกระเป๋าในการไปใช้จ่ายที่สกลนคร 500-150 = 350 บาท
สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบท่องเที่ยวแบบประหยัด แวะมาทักทาย ติดตามกันได้นะครับ
CHAILAIBACKPACKER : https://www.facebook.com/chailaibackpacker
เริ่มต้นออกเดินทางในเช้าวันเสาร์ที่ “สนามบินดอนเมือง” ค่อนข้างที่จะวุ่นวาย เป็นเช้าที่นักท่องเที่ยวออกไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือ ต่างประเทศกันเยอะมาก การเผื่อเวลามาสนามบิน ก็สำคัญเหมือนกัน ถึงแม้..ค่าตั๋วจะแค่ 150 บาท ถ้าตกเครื่องขึ้นมาก็เจ็บใจไม่แพ้กันนะ (เคยมาแล้วครับ 55+)



เช้าวันนี้..มีฝนตกโปรยปราย มองเห็นรุ้งซ้อนกัน 2 ชั้นเลยครับ อากาศเย็นสบาย..ดีครับ
มาขึ้นที่ Gate 72 เป็น Bus Gate แน่นอน
พร้อม..ออกเดินทางกันครับ..!! จะใช้เวลาเดินทางจาก ดอนเมือง – สกลนคร ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ รวดเร็ว สะดวกสบายมากๆ
หนังสือ 3Sixty Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน ช่างเข้ากับทริปนี้จริงๆ
นั่งหลับๆ ตื่นๆ งัวเงียๆ คอพับคออ่อน แป๊บเดียว! ก็เดินทางมาถึงแล้วครับ.. “สนามบินสกลนคร” – เป็นสนามบินเล็กๆ น่ารัก กะทัดรัดดีเหมือนกันนะ
จาก “สนามบินสกลนคร” จะเข้าเมืองยังไง ? สนามบินสกลนคร จะอยู่ห่างจาก ตัวเมือง ประมาณ 8 กิโลเมตรได้ครับ มีรถบริการเข้าเมืองในราคา เที่ยวละ 80 บาท สามารถไปส่งตามจุดที่ต้องการ ในบริเวณตัวเมือง ซึ่งก็ถือว่าเป็นวิธีที่สะดวกสบายดีเหมือนกันครับ หรือ.. จะเช่ารถขับก็ได้นะครับ มีเคาเตอร์บริการที่สนามบินเช่นกันครับ
รถบริการเข้าเมือง 80 บาท 
“แผนที่เมืองสกลนคร”

A = สนามบินสกลนคร
B = อุทยานบัวหนองหานเฉลิมพระเกียรติ
C = ท่าแร่
D = ตัวเมืองสกลนคร
เมื่อมาถึง “สนามบินสกลนคร” แล้ว ผมอยากจะไปเที่ยวทางเส้นท่าแร่ก่อน ซึ่งเมื่อดูจากแผนที่ด้านบนแล้ว เมื่อออกจาก สนามบิน(A) จะเลี้ยวไปทางขวามือ เพื่อไปที่ ท่าแร่(C) และ เลี้ยวซ้ายเพื่อที่จะ เข้าเมือง(D) ตอนแรกมีความคิดว่าจะนั่งรถเข้าเมืองไปก่อน มันก็ดูวกไปวนมาไปหน่อย ก็เลยจะลองเดินออกไปรอรถที่ถนนเส้น สกลนคร-นครพนม หน้าสนามบิน ซึ่งต้องเดินออกมาประมาณ 1.5 กม. ก็ดูไกลพอเหนื่อยเหมือนครับ ใครอยากจะลองเดินดูก็ได้นะครับ 55+ (แนะนำให้นั่งรถเข้าเมืองก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยต่อสองแถวสกลนคร-ท่าแร่ วกกลับมาอีกทีก็ได้ครับ จะได้ไม่เหนื่อย พอดีผมอยากลองเดินกันดูครับ 55+ ) แต่..เดินออกมาแป๊บนึง ก็มีรถกระบะใจดีให้ติดไปลงปากทางสนามบินข้างหน้าครับ มาลงปากทาง ซึ่งทางขวาจะไปนครพนม (ผ่านท่าแร่ที่ผมจะไป) ส่วนทางซ้ายเข้าเมืองสกลนคร
จากนั้น ข้ามถนนมาอีกฝั่งครับ เพื่อมารอรถสองแถวสาย สกล-ท่าแร่ เป็นรถสองแถว สีแดงๆ แบบนี้ครับ สังเกตได้ง่าย รถผ่านมาบ่อยวิ่งทุก 10 นาทีเลยครับ
บรรยากาศการเดินทาง
นั่งรถโดยสารไปท่าแร่อีกประมาณ 15 กิโลเมตร ระหว่างทางจะมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่ง ซึ่งก่อนถึง “ท่าแร่”ประมาณ 3 กม. จะมี “อุทยานบัวหนองหารเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร” ที่ถือว่าเป็นอุทยานบัวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีสายพันธ์บัวหลากหลายสายพันธุ์รวบรวมมาให้ได้ชมกันครับ
ผมก็แวะลงที่นี่ทันที จ่ายค่าโดยสารรถสองแถวไป 15 บาท
อุทยานบัวหนองหารเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร สามารถเข้ามาชมได้ฟรีนะครับ ไม่เสียค่าใช้จ่าย สามารถเดินชม หรือ จะเช่าจักยานปั่นเล่นก็ได้ ชั่วโมงละ 10 บาท
มีเส้นทางจักรยานให้ได้ปั่นเล่นครับ
“อุทยานบัวหนองหารเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2553 เป็นแหล่งรวบรวมบัวพันธุ์ต่างๆ จากทั่วโลกมาจัดแสดงไว้สำหรับให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจเข้าไปชมและเรียนรู้ และเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว สถานที่พักผ่อนหย่อนใจของจังหวัดสกลนคร 
ภายในอุทยาน แบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน
ส่วนแรก รวบรวมพันธุ์บัวไว้ในสระ มีบัวทั้งในและต่างประเทศ สามารถเดินตามสะพานไม้เข้าไปชมได้อย่างใกล้ชิดเลยครับ ส่วนที่สอง เป็นที่จัดแสดงพันธุ์บัวที่หาดูได้ยาก แปลกๆ มากมายหลายสายพันธุ์ ส่วนสุดท้าย ได้จัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้ และความเป็นมาของบัวพันธุ์ต่างๆ รวมทั้งมีบัวพันธุ์ต่างๆ ไว้จำหน่ายให้ผู้ที่สนใจด้วย
สะพานไม้ทอดตัวเป็นทางเดิน ไว้เดินชมดอกบัว
มีศาลาเล็กๆ กลางสระ ไว้พักหลบแดด หรือ นั่งเล่น ก็ได้ครับ
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาสายๆ ดอกบัวเพิ่งโดนแสงแดดได้ไม่นาน กำลังค่อยๆ พากันบานโชว์สีสันที่สวยงาม
มาเดินเล่นที่สะพานช่วงเช้าๆ หรือ เย็นๆ แดดไม่ร้อน คงจะชิลล์ และ บรรยากาศดีมากๆ นะครับ
ศาลาเล็กๆ มีอยู่ทั่วสระ ไว้พักหลบแดด และนั่งเล่น ชมบรรยากาศได้ทั่วสระกันเลย
บางจุดก็มีบัวขึ้นอยู่หนาแน่น บางจุดบัวก็โผล่พ้นน้ำมาอย่างโดดเดี่ยว





ชอบตรงสะพานไม้ เดินได้ทั่วสระเลย ใครชอบถ่ายรูปเล่น ไม่น่าพลาดนะครับ แบบนี้..
ระหว่างที่เดินก็จะมีดอกบัว ชูความสวยงามทักทาย ตลอด 

เดินเข้าไปอีกนิด ก็จะเป็นส่วนของ “บัวกลางคืน” (ตามที่เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลมา) ก็จะเป็นสระที่มีคันดินให้เดินชม และมีศาลาเล็กๆ ไว้นั่งเล่นเหมือนเดิมครับ 





ถัดจากบึงบัวเข้าไป ก็จะมี กรงจระเข้ ให้ดูครับ หรือ จะให้อาหารจระเข้ ก็ได้ด้วยในราคา 20 บาท 


ที่เห็นๆ นอนอาบแดดอยู่ และ ลอยคออยู่ในน้ำ รวมๆ แล้ว นับได้ประมาณ 20 ตัวครับ.. 

“ท่าแร่” ถือเป็นชุมชนคาทอลิกที่มีประชากรที่นับถือคาทอลิก จำนวนมากที่สุดในประเทศไทยครับ โดยคริสตชนท่าแร่ดั้งเดิมนั้นอพยพมาจากเวียดนามในราวปี พ.ศ. 2427
จึงมีการสร้าง “โบสถ์อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล” ซึ่งเป็นโบสถ์ขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายเรือ เพื่อระลึกถึงการอพยพมาตั้งถิ่นฐานของคริสตชนในท่าแร่นี้อีกด้วย
บรรยากาศโดยรอบดูสงบเงียบมากๆ ครับ ทุกอย่างดูนิ่งๆ และ สงบ 


เดินทะลุโบสถ์ไปด้านหลัง แล้วเลี้ยวขวามือก็จะเป็น “ย่านตึกเก่า” ครับ จากโบสถ์ไม่ไกลประมาณ 100 เมตร ก็จะได้บรรยากาศของชุมชนเก่าแก่แล้วครับ ซึ่งผังเมืองของ “ท่าแร่” นั้นจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมตารางหมากรุก คล้ายกับบ้านเมืองในแถบประเทศตะวันตก มีบ้านเรือน ตึกสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส เรียงราย ให้ได้ชมกัน
เดินมาไม่ไกลจะเห็นตึกนี้เป็นตึกแรกเลยครับ เห็นคนเดินเข้าออกตึก อยากรู้เลยเดินเข้าไปดูหน่อยครับ ปรากฎว่า….
ปรากฎว่า… เป็น ร้านก๋วยเตี๋ยว ครับ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่สุดคลาสสิคเลยนะครับ แหม่! 55+
ก็สั่งก๋วยเตี๋ยวกินสิครับ รออะไรอยู่.. กินก๋วยเตี๋ยวในตึกสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส นี่ก็เก๋ ได้อารมณ์ไปอีกแบบเหมือนกัน ลูกค้า แวะเวียนมาที่ร้านอย่างไม่ขาดสายเลยล่ะครับ ในช่วงเที่ยงๆ แบบนี้
แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวกำลังทำก๋วยเตี๋ยวแบบฉบับท่าแร่ให้ได้ชิมกันครับ มีทั้ง ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ก๋วยเตี๋ยวหมู ทั้งน้ำข้น น้ำใส น้ำซุปเข้มข้นเด็ดแน่นอนครับ! 

บรรยากาศภายในอาคารครับ ร้านก๋วยเตี๋ยวแบบไทยๆ กับตึกแบบฝรั่งเศสผสมเวียดนาม กลายมาเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวสุดคลาสสิค ของท่าแร่ ที่อยากให้มาลองครับ..
และนี่คือ… หน้าตาของก๋วยเตี๋ยวที่ผมได้สั่งไปครับ.. เป็น “ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก” ได้เยอะมากๆ ครับ เสริฟมาพร้อมกับผักสด และ พริกสดที่คั่วมาพอให้หอมๆ เติมกะปิหน่อย.. เด็ดเลยล่ะครับ ค่าเสียหายชามนี้ 30 บาทเท่านั้น ถูกมาก! ได้เยอะด้วย (แถมน้ำเปล่าที่ร้านก็ฟรีอีก) แนะนำเลยครับ มาแล้ว..ลองแวะมาชิมกันดูนะครับ!!
จากร้านก๋วยเตี๋ยวสุดคลาสสิค เดินต่อไปอีกประมาณ 100 เมตร ก็จะเจอตึกเก่าสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสผสมเวียดนาม อีก 2 ตึกตั้งอยู่ ติดกันครับ (ซึ่งด้านหลังตึกเดินเข้าไปอีกหน่อยก็ไปโผล่หนองหารเลยครับ)
ตึกแรก “คฤหาสถ์อุดมเดชวัฒน์” ซึ่งเป็นเรือนโบราณของ องเด หรือ นายคำสิงห์ อุดมเดช สร้างเมื่อปี 2476 เป็นร้านขายของเบ็ดเตล็ด ชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของ ชั้นบนเป็นที่พักอาศัย ภายในมีพระแท่นบูชาที่สามารถประกอบพิธีทางศาสนา ปัจจุบันพื้นล่างชำรุด ไม่อาจสันนิษฐานว่าใช้ปูนซีเมนต์เทราดพื้นหรือไม่ โครงสร้างมีการเข้าลิ่มไม้ ที่เป็นเทคนิคแบบโบราณ ทำให้ตึกมีความมั่นคง 
ตึกที่สอง ใกล้ๆ กันนั้น..เป็นเรือนโบราณของ “องเลื่อน หรือ เตรื่อง โสรินทร์” ที่สร้างเมื่อปี 2475 เป็นตึกทรงยุโรป สถาปัตยกรรมฝรั่งเศสผสมเวียดนาม โดยไม่ใช้ปูนซีเมนต์ แต่ช่างญวณใช้ปูนขาวผสมกับทรายและผสมกับยางพืชพื้นเมือง คือยางบงและน้ำอ้อย เป็นแทนปูนประสานอิฐและปูนฉาบ ทำโครงสร้างส่วนบนเพื่อยึดผนัง อุปกรณ์บางอย่าง ถูกสั่งซื้อมาจากประเทศฝรั่งเศส ใส่เรือส่งมาถึงกรุงเทพฯ แล้วนำขึ้นรถไฟมาโคราช ก่อนบรรทุกด้วยเกวียนเข้ามาที่ท่าแร่อีกต่อหนึ่ง 

จากนี้..เดินต่อไปอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะพบกับ “เรือนโบราณ” เป็นบ้านโบราณอายุ 90-100 ปี ของ นายหนู ศรีวรกุล (เฮียน เรียนดึงดึง) และนางหนูนา อุปพงษ์ ซึ่งเป็นบุตรของพระยาประจันตประเทศธานี เจ้าเมืองสกลนครเวลานั้น
เดิมสร้างเป็นที่อยู่อาศัย พอถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางราชการสั่งปิดโบสถ์ ไม่ให้ทำพิธีกรรมทางศาสนา
ชาวคริสต์ที่นั่นจึงต้องหาสถานที่ไว้ประกอบพิธีทางศาสนา ประกอบกับ บุตรหลานของเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นพระสงฆ์ในศาสนาคริสต์ จึงอนุญาตให้บ้านหลังนี้ เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ต่อมาเกิดไฟไหม้ ชำรุดทรุดโทรม ปล่อยให้รกร้าง มีต้นโพธิ์ขึ้นปกคลุมอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ชำรุดทรุดโทรมมานาน จนต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้นปกคลุม 

แม่ค้าทำให้แบบสดๆ ร้อนๆ 
ร้านจะอยู่ในซอยโรงหนังปารีสเก่า (ตรงข้ามกับโรงแรมดุสิต) ร้านนี้จึงได้ชื่อว่าร้าน ปากหม้อปารีส นั่นเอง (ไม่ใช่ปากหม้อที่แยกสาขามาจากปารีสแต่อย่างใดนะครับ อิอิ!) ปกติช่วงเที่ยง คนค่อนข้างจะเยอะมากๆ เลยครับ ผมไปถึงช่วงบ่ายหน่อยๆ แล้วก็ยังเยอะอยู่ครับ แต่ก็พอมีที่นั่ง
ปากหม้อจะอร่อย ต้องมีดีที่ “แป้ง” ครับ 
2) ปากหม้อไข่พับ 35 บาท
3) ปากหม้อธรรมดา 35 บาท
4) ปากหม้อไข่ม้วน 35 บาท 
คิวรถสองแถววิ่งรอบเมืองมีอยู่หลายสายครับ ถ้าจะขึ้นลองสอบถามคนแถวนั้นก่อนก้ได้ครับจะได้ขึ้นไม่ผิดสาย นี่เป็นคิวรถ สกล-ท่าแร่ ที่ขึ้นกันเมื่อเช้าครับ เดี๋ยวได้ใช้บริการอีกรอบตอนขากลับไปสนามบิน
ลงสองแถว เดินเข้าไปต่ออีกหน่อยครับ วัดป่าสุทธาวาทยังเป็นที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ หรือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต” ด้วยครับ สามารถเดินเข้าไปทางเดียวกันได้เลยครับ
เดินเข้ามาประมาณ 300 เมตร ก็ถึงประตูทางเข้าวัดครับ
“วัดป่าสุทธาวาส” นั้นเป็นวัดป่ากลางเมืองที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ของชาวเมืองสกลนครและจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงพุทธศาสนิกชนทั่วไป เพราะเป็นวัดที่จำพรรษา และ มรณภาพ ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ หรือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 
พระอุโบสถที่สวยงาม เด่นเป็นสง่า ภายในมีพระพุทธรูปประจำวัด เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญและสวยงามมาก มักถูกใช้เป็นสถานที่ในการประกอบพิธีทางศาสนาต่างๆ อีกด้วย 
ภายในบริเวณวัดร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ มีจุดบริการนักท่องเที่ยว และ บริการดอกไม้ธูปเทียนไว้ไปไหว้พระ (บริการมีน้ำดื่มฟรีด้วยนะ)
บริเวณภายในวัดยังมีจุดแสดงนิทรรศการ ประวัติต่างๆ ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และ พระอาจารย์ท่านอื่นๆ ด้วยครับ 
ใกล้ๆ กัน ภายในบริเวณ วัดป่าสุทธาวาท นี้เอง ยังเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ หรือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 
ภายในพิพิธภัณฑ์มีรูปหล่อเหมือน เท่าตัวจริง ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้
ภายในยังมี ตู้บรรจุอังคารธาตุ เครื่องอัฐบริขาร พร้อมทั้งส่วนจัดแสดงประวัติความเป็นมา ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตั้งแต่เกิด จนมรณภาพ 


เดินกลับเข้ามาสักพัก ก็เจอร้าน “วิลลี่แหนมเนือง” (2) ป้ายร้านสีส้มสะดุดตา เด่นมองเห็นแต่ไกลเลย 
เข้ามาภายในร้าน.. สัมผัสแรก คือ แอร์เย็นฉ่ำ เดินมาร้อนๆ มาเจอแอร์เย็นๆ แบบนี้ถือว่าสุดยอด 55+ ภาพแรกที่วาดไว้ในหัวคิดว่าน่าจะเป็นร้านห้องแถว แบบเปิด นั่งเป็นโต๊ะๆ แต่ที่ไหนได้ ผิดคาด.. ร้านโทนสว่าง ดูสะอาดตามาก แถมเปิดแอร์เย็นฉ่ำ อีกต่างหาก 


รวมแล้วจ่าค่าเสียหาย (แหนมเนือง 100 บาท + น้ำอัดลม น้ำแข็ง 50 = 150) /2 = ตกคนละ 75 บาท อิ่มมม!! เดินออกจากร้าน “วิลลี่แหนมเนือง” จะเดินไปต่อที่ “วัดพระธาตุเชิงชุม” เดินออกมาได้แป๊บเดียว สะดุดตากับ ซุ้มประตู “วัดแจ้งแสงอรุณ” เลยแวะถ่ายรูปสักหน่อยครับ
เป็นวัดที่มี ซุ้มประตู สวยมาก 

“พระธาตุเชิงชุม” เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน ฐานรูปสี่เหลี่ยม ส่วนบนเป็นทรงบัวเหลี่ยม มีความสูงประมาณ 24 เมตร ไม่มีลวดลายประดับ ยอดฉัตรทองคำเหนือองค์พระธาตุเชิงชุมทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ มีซุ้มประตู 4 ด้าน นับเป็นปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมืองสกลนครมาแต่โบราณ ใครมาเยือนเมืองสกลนคร ต้องแวะมาไหว้พระธาตุสักครั้ง บรรยากาศโดยรอบ .. มีพุทธศาสนิกชน แวะเวียนมาทำบุญอย่างไม่ขาดสาย 





ยอดฉัตรทองคำเหนือองค์พระธาตุเชิงชุม
เดินจาก วัดพระธาตุเชิงชุม ไม่ไกลกันนัก ก็จะเป็น “สระพังทอง” ครับ เป็นสระน้ำ และสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของคนสกลนคร ถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนย่อนใจ และ สถานที่จัดงานสำคัญต่าง ๆ
และ ยังเป็นที่ออกกำลังกายในช่วงเย็นๆ แบบนี้อีกด้วยครับ มีคนมาวิ่ง มาออกกำลังกายกันเยอะเลย อากาศดีมากครับ..
ขอนั่งเล่น..ชมบรรยากาศ ที่ “สระพังทอง” แห่งนี้สักพักครับ.. 
ตอนช่วงบ่ายเห็นครึ้มๆ เหมือนฝนจะตกแน่ๆ แต่ก็..ไม่ตกซะงั้น ครับ สักพัก แดดออกเฉยเลย ยังมีอีกที่ที่ยังไม่ได้ไป ไม่ไปไม่ได้ ก็ต้องเป็น “ประตูเมือง” ครับ
เดินมาจาก “สระพังทอง” ข้ามฝากมาฝั่ง “ประตูเมือง” นี้เลย ก็ต้องขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อยครับ..
ว่า..ครั้งหนึ่ง เคยมาเยือนแล้วนะ “สกลนคร”
และ สถานที่สุดท้ายของทริปนี้ ซึ่งเก็บไว้เป็นลำดับสุดท้ายให้เข้ากับช่วงเวลา นั้นก็ คือ.. ยามเย็น ที่ “หนองหาร”ครับ
“หนองหาร” แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ เป็นแหล่งรวมน้ำจากลำน้ำหลายสาย จึงเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของชุมชนแถบนี้นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนสกลนครอีกด้วย ยามเย็นแบบนี้ ริมหนองหาร บรรยากาศดีมากครับ..
นั่งเล่น..ชิลล์ๆ สูดอากาศยามเย็น เก็บบรรยากาศดีๆ ก่อนเดินทางกลับครับ
ได้เวลาอันพอสมควร.. ถึงเวลาที่ต้องอำลา “สกลนคร” กันแล้ว ผมออกมายืนรอรถสองแถว บริเวณประตูเมืองครับ จะนั่งรถกลับสนามบิน (ถ้าหันหลังให้กับประตูเมือง ให้ไปรอรถที่ถนนตรงเส้นทางซ้ายมือครับ) จะมีรถ สกล-ท่าแร่(สายที่ขึ้นเมื่อตอนเช้าตอนไปท่าแร่) จะผ่านมาทางนี้ครับ รถจะหมดเวลาประมาณ 6 โมงเย็น คันสุดท้ายครับ..หรือ จะไปขึ้นที่ต้นสายที่คิวรถ เลยก็ได้นะครับ ผมใช้เวลาวันนึงได้เต็มที่มาก 55+ เพราะไปยืนรถตอน 6 โมงเย็นพอดี แป๊บเดียวรถก็ผ่านมาครับ สามารถที่จะให้สองแถวเข้าไปส่งที่สนามบินได้ด้วยนะครับ เขาจะเลี้ยวแวะไปส่งข้างใน ไม่ต้องลงปากทางแล้วเดินเข้าไปนะครับ 55+ .. บอกคนขับล่วงหน้า แล้วเขาจะแวะไปส่งให้ครับ เสียค่าโดยสารเข้าไปในสนามบิน 50 บาท ครับ ..ก็ช่วยประหยัดได้มาหน่อย ครับ มาถึง “สนามบินสกลนคร” ก็เช็คอิน เตรียมตัวเดินทางกลับครับ.. 

