หากพูดถึงจังหวัดสตูล ทุกคนคงนึกถึงความงดงามของท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์จนโด่งดังทั่วไทยไปไกลทั่วโลก แต่วันนี้เราจะไม่พาไปทะเลครับ เราจะพาทุกคนไปเข้าถ้ำแทน ถ้ำที่ว่านี้เป็นถ้ำหินงอกหินย้อยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และยังมีขนาดใหญ่ติดอันดับ 4 ของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

ถ้ำภูผาเพชร เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด มีเนื้อที่ภายในถ้ำกว่า 50 ไร่ เพดานถ้ำมีลักษณะสูงโปร่ง  ภายในเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยหลากหลายรูปทรงซึ่งมีความงดงามเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อยามแสงไฟกระทบกับหยดน้ำที่เกาะบนหินก็จะเกิดกายวาวแววสวยงามราวกับเพชร นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ "ถ้ำภูผาเพชร"

ผู้ค้นพบถ้ำแห่งนี้ คือ พระธุดงด์นามว่า "หลวงตาแผลง" จากนั้นได้มีนักโบราณคดีเข้าทำการสำรวจพบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นกระดูกมนุษย์ยุคโบราณส่วนกระโหลกศรีษะ เศษภาชนะดินเผาเคลือบลายเชือกทาบ ที่ก้นภาชนะมีเปลือกหอยยึดเกาะ และอีกมากมาย ต่อมาจึงได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ที่มีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้  พอรู้ประวัติคร่าวๆ แล้ว เราก็ไม่รอช้า เตรียมตัวไปพิสูจน์ความงามของถ้ำภูผาเพชรกันเลย

ก่อนจะไปถึงปากทางเข้าถ้ำเราต้องเดินขึ้นบันได จำนวน 300 กว่าขั้น ซึ่งจุดนี้บอกเลยว่าเรียกเหงื่อกันได้พอสมควร แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะเหนื่อยจนหมดแรง เพราะเมื่อเดินมาถึงปากทางเข้าถ้ำแล้ว ก็จะมีจุดให้นั่งให้ชาร์จพลังครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้าไปลุยกันจริง ๆ ข้างใน

แม้ทางเข้าจะดูเล็กไปสักนิด แต่พอเรามุดผ่านเข้ามายังด้านในของถ้ำ เราก็ได้พบกับความยิ่งใหญ่ที่อยู่ภายในถ้ำแห่งนี้ราวกับว่าเราเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น 

ในขณะที่อากาศด้านนอกนั้นร้อนอบอ้าว แต่พอเข้ามาข้างในนี้กลับรู้สึกเย็นสบาย แถมมีลมพัดอ่อนๆ ผสมกับความชื้นของอากาศในนี้ ทำให้เราเดินได้เรื่อย ๆ แบบไม่รู้สึกเหนื่อยเลย หรืออาจเป็นเพราะเรากำลังตะลึงกับความงดงามของถ้ำนี้อยู่ก็เป็นได้

ทางเดินทำด้วยไม้ มีราวกั้น และมีไฟส่องสว่างตลอดทาง ทำให้เดินได้อย่างสบาย แต่อย่ามัวแต่เพลิดเพลินจนลืมดูพื้นนะครับ อาจเหยียบขี้ค้างคาวตามทางได้ เพราะระหว่างเดินอยู่ เรามักจะได้ยินเสียงค้างคาวร้องเรียกให้เงยหน้าไปมองเหมือนเล่นซ่อนแอบกับเราอยู่เป็นระยะ ๆ

เจ้าหน้าที่เล่าให้เราฟังระหว่างเดินชมว่า ชื่อเดิมของถ้ำภูผาเพชร คือ "ถ้ำลอด ถ้ำยาว หรือถ้ำเพชร" เนื่องจากถ้ำมีความยาว ลักษณะคดเคี้ยว แบ่งเป็นหลายตอน หลายห้อง ซึ่งแบ่งได้ถึง 20 ห้องเลยทีเดียว แต่ละห้องก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น ห้องปะการัง ที่มีหินงอกหินย้อยคล้ายประการังในทะเลสวยงามมาก ยิ่งเดินเข้าไป ยิ่งขนลุกซู่ รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับกับความอลังการของถ้ำนี้จริงๆ 

มาถึงจุดไฮไลต์กันแล้ว เมื่อเราเดินมาจนสุดทางเดินสะพานไม้เราก็จะพบกับ “ลานแสงมรกต” ซึ่งที่มาของชื่อนี้ก็มาจากลักษณะของเพดานถ้ำบริเวณนั้นที่เป็นช่องปล่อง ยามเมื่อแสงธรรมชาติจากด้านบนสาดส่องกระทบกับหินงอกหินย้อยในบริเวณนั้น ทำให้เกิดเป็นแสงสีเขียวมรกตที่งดงามอย่างมาก และถ้าหากใครมายืนรับแสงจากจุดนี้ ก็ราวกับว่าได้รับพลังจากธรรมชาติอย่างไรอย่างนั้น แต่ใช่ว่าจะได้เห็นแสงมรกตกันง่ายๆ นะครับ ต้องเลือกเวลามากันสักหน่อย ซึ่งเวลาที่แสงตกกระทบลงมาพอดี จะอยู่ในช่วงประมาณบ่ายสามโมง ของแบบนี้ถูกที่แล้วต้องถูกเวลาด้วยนะครับ

ผมเดินออกมาจากถ้ำภูผาเพชรด้วยความตะลึงในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ จึงอยากจะแชร์ประสบการณ์และสถานที่ท่องเที่ยวแสนมหัศจรรย์แห่งนี้ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก อย่างประโยคที่ว่า "เมืองไทย ไม่ไปไม่รู้"

สามารถเดินทางไปได้ 2 เส้นทาง คือ จากจังหวัดสตูล เข้าทางแยกควนกาหลง มุ่งตรงเข้าสู่อำเภอมะนัง หรือหากเริ่มต้นจากจังหวัดตรัง เมื่อเข้าสู่เขตสตูลให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่มะนังเช่นกัน ทั้งนี้จะมีป้ายบอกทางไปถ้ำภูผาเพชรเป็นระยะๆ