Sawasdee Singapore Lah มือใหม่จะพา....ไปเที่ยวสิงคโปร์ #1

ถ้าให้เลือกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก เราเชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนคงมีตัวเลือกในใจ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกงออสเตรเลีย เวียดนาม ฯลฯ แตกต่างกันออกไป ตามความชอบและเหตุผล

สำหรับมือใหม่อย่างเรา......เราเลือกเปิดซิงที่ ++ Singapore++ ค่าาาาาาาา

เหตุผลหลัก.....คงไม่ใช่เพราะอยากมาทานข้าวมันไก่แน่ๆ ^^ โนว โนว เราเลือกที่นี่ เพราะชอบที่สิงคโปร์เป็นเมืองที่ มิกซ์เอาหลายๆอย่างมาไว้ด้วยกัน หลากเชื้อชาติ หลายภาษา ต่างวัฒนธรรม แค่คิดว่าจะได้เจออะไรบ้างก็เริ่มสนุกแล้ว ทริปนี้เราจะอธิบายละเอียดนิดนึงนะคะ เผื่อเป็นไอเดียสำหรับมือใหม่คนอื่นๆ ส่วนคนที่เก๋าแล้ว ข้ามไปอ่านเนื้อหาด้านล่างได้เลยค่า^^

 

**************************************************************************** 

ฝากติดตามผลงานเพจ FB https://www.facebook.com/travelandoutdoors/

ขอบคุณสำหรับทุกไลค์และแชร์ค่ะ ^V^

******************************************************************************

 

เราจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าถึง 3 เดือน ช่วงนั้น Air Asia มีโปรก่อนสิ้นปี ตั๋วเครื่องบิน + ที่พัก ราคาดี (เค้าว่างั้น) แต่เดี๋ยวน๊า.... เพื่อนเราจองหลังจากนั้น 2 เดือน ก็ราคาพอๆกันป่ะ ไหนว่าจองก่อนจะถูกกว่า คุณหลอกดาววววววว T___T

 

 

ตั๋วพร้อม ที่พักพร้อม ภารกิจต่อไปของเราคือ ทำพาสปอร์ต ค่ะ เราเลือกทำที่ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ (แนะนำให้ลงทะเบียนออนไลน์ก่อนไปทำนะคะ จะได้รวดเร็ว) ต่อคิวทำพาสปอร์ตไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็เรียบร้อย จ่ายเงินเสร็จ กลับมานั่งรอนอนรออยู่ที่บ้าน ไม่เกิน 1 สัปดาห์ พาสปอร์ตจะส่งมาให้ถึงที่เลยค่ะ ไวเฟร่อ ประทับใจ^^

 

 

อินเตอร์เนตเราใช้ Sim2Fly ของ AIS นะคะ เพราะเราไม่ได้เล่น social มากนัก ไม่ต้องรับสายจากเมืองไทย หลักๆคือเอาไว้เปิด google map และหาข้อมูลอื่นๆ อีกนิดหน่อย ใช้แบบนี้ตอบโจทย์เรามากกว่าค่ะ (ราคา 399 บาท 3GB ใช้ได้ 8 วัน) เราเปิดใช้ซิมก่อนขึ้นเครื่อง ตอนอยู่เมืองไทยจะยังใช้สัญญาณเนตไม่ได้นะคะ รอเครื่องลงสัญญาณถึงจะมาค่ะ (เมื่อเปิดเครื่องซิมจะตั้งเวลาเป็นของสิงคโปร์ให้โดยอัตโนมัติ)

+++แนะนำให้เปิดใช้งานซิมตั้งแต่อยู่เมืองไทยนะคะ ถ้ามีปัญหาจะได้ติดต่อ call center ได้ทันค่ะ+++

 

 

ส่วนตั๋วเข้าชมสถานที่ต่างๆ เราซื้อจาก Singapore Fan Club ที่เมืองไทยไปเลย ราคาแพงกว่าที่ Singapore นิดหน่อย แต่ประหยัดเวลาไม่ต้องไปเดินหาซื้อตั๋วที่นู่น ไปถึงสามารถเที่ยวได้เลยค่ะ (รายละเอียดเพิ่มเติม ดูใน comment ท้ายรีวิวนะคะ)

 

ทริปนี้เราไป 3 วัน 2 คืน ขอแบ่งรีวิวเป็น 3 ตอน เพื่อจะได้ไม่ยาวเกินไปนะคะ

Day 1 : Changi Airport ==> Porcelain Hotel ==> ==>Sri Mariamman Temple ==> Tooth Relic Buddha Temple ==> Maxwell food center ==> Fort Canning Park ==> Helix Bridge

Day 2 : Universal ==> Siloso Beach ==> Palawan Beach ===> Supertree Grove 

Day 3 : Ya kun Kaya Toast ==> Hajilane ==> Garden by the bay ===> Changi Airport ===> Don Muang 

 

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ตัดภาพมาถึงวันเดินทางกันเลยค่ะ ได้เวลาไปพิสูจน์กันแล้ว.....ว่าที่นี่ เมืองที่คนอื่นๆบอกว่า "ไม่เห็นมีอะไร" จะทำให้มือใหม่อย่างเรา ได้อะไรๆ กลับมาบ้างหรือเปล่า

 

 

Day : 1 (February 18, 2017)

06.00 น. ว๊าปมาถึงสนามบินดอนเมือง Terminal 2 ( เดินทางในประเทศจะใช้ Terminal 1 นะคะ) เราเช็คอินล่วงหน้า มี Boarding pass + track กระเป่าอยู่แล้ว ไปต่อแถวโหลดกระเป๋าได้เลยค่ะ โหลดเสร็จเจ้าหน้าที่จะให้ ใบ ตม.ของไทย มา 1 ใบ  ให้เรากรอกกข้อมูลให้ครบทั้ง 2 ส่วน ส่วนแรกจะใช้สำหรับขาออก และอีกส่วนเก็บไว้ใช้สำหรับขาเข้าค่ะ

 

 

กรอกเสร็จไปต่อแถว "หนังสือเดินทางไทย" เพื่อพบเจ้าหน้าที่ ตม. บางช่องเจ้าหน้าที่จะให้เราทำเอง 4 ขั้นตอนง่ายๆค่ะ

  • คว่ำพาสปอร์ตลงในช่องเพื่อสแกนพาสปอร์ต
  • สแกน boarding pass
  • สแกนนิ้ว
  • มองกล้องเพื่อถ่ายรูป (ถ้าสวมหมวก ต้องถอดหมวกออกด้วยนะคะ)

เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย พร้อมสำหรับเดินทางแล้วค่ะ^^

 

 

เสร็จแล้วก็ไปนั่งหน้า Gate เพื่อรอขึ้นเครื่องค่ะ

 

 

หลังจากนั่งประจำที่ น้องแอร์คนสวยจะเดินมาแจก Immigration Form ของสิงคโปร์ค่ะ กรอกข้อมูลลงไปตามนี้นะคะ (ขอบคุณรูปจากอินเตอร์เนต)

Image result for ลูกอมที่ ตม. สิงคโปร์ 

 

ตอน check in เราเลือกที่นั่ง 5F เป็นที่นั่งติดหน้าต่าง บินไฟล์เช้า เครื่องบินลงทางใต้ เลือกนั่งฝั่งขวาจะไม่โดนแดด นั่งดูวิวริมหน้าต่างชิลล์ไปค่ะ (ส่วนขากลับเราไม่ได้เลือก เพราะกลับไฟล์ดึกขึ้นเครื่องก็หลับยาวววววจนถึงกรุงเทพ^^)

 

 

 

10.45 น.Sawasdee Changi ในที่สุดก็มาถึง ภาระกิจแรกคือตรงไปหา เจ้าหน้าที่ ตม. ก่อนเลยค่ะ อ่านหลายๆรีวิวบอกว่า ตม.ที่นี่ค่อนข้างเข้มงวด โดยเฉพาะกับสาวไทย เราเลยกังวลนิดหน่อย ตอนต่อแถวพยายามเลือกแถวที่ไปไวที่สุด เราเลือกแถวที่ 4 เจอ ตม.ผู้หญิงผมสั้นๆ หน้านิ่งๆ ไม่ยิ้ม พอถึงคิวเรา.....

เรา : ยื่นพาสปอร์ตพร้อม boarding pass ให้ (แล้วยิ้มหวานๆไป 1 ที)

ตม. : (ทำหน้าเฉยๆ) พร้อมยื่นมือมารับเอกสาร .........มองหน้าเราเทียบกับพาสปอร์ต................ชี้ให้แสกนนิ้ว...................

เรา : สแกนนิ้วเสร็จ (ส่งยิ้มหวานไปอีก 1 ที)

ตม.: ประทับตรา ปึ๊งงงงง...เป็นอันจบ….

อ้าว!!! เฮ๊ยยยยย..........ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า ^V^

ส่วนเพื่อนเราเลือกแถว 1 เจอ ตม.ผู้ชาย ฮีใจดีมว๊ากกกกกกก แถมพูดไทยได้ด้วย สัมภาษณ์กันเป็นภาษาไทยเลยจ้า อันนี้ฮาเข้าไปอี๊กกกกกกก

+++ หลังจากผ่านพิธีการเจ้าหน้าที่ ตม.จะคืนพาสปอร์ตกับ Immigration Form ส่วนที่ 2 มาให้ เก็บให้ดีนะคะเพราะต้องใช้แสดงตอนขากลับค่ะ+++

แต่ว่า...... แต่ว่า เราดีใจเพลินจนลืมหยิบลูกอมจาก ตม. มาด้วยอ่ะ แอบเสียใจ (ขอบคุณรูปจากอินเตอร์เนต)

Image result for ลูกอมที่ ตม. สิงคโปร์ 

ผ่าน ตม.มาอย่างง่ายดาย ก็เดินไปหยิบกระเป๋า แล้วเดินตามป้ายไป Terminal 2 กันเลยค่ะ

 

ขึ้นสาย Train to City เพื่อไป MRT Platform ซื้อบัตรโดยสารกันค่ะ

 

 

 

บัตรเดินทางที่นี่ มีให้เลือก 2 แบบคือ

1. EZYlink : เป็นบัตรแบบเติมเงิน ใช้ได้ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ เกาะ Sentosa และซื้อสินค้าใน 7-11 เงินในบัตรเหลือสามารถคืนเงินได้ตอนกลับ แต่ไม่สามารถคืนบัตรได้

2. Singapore Tourist Pass (STP) เป็นบัตรแบบเหมา เดินทางไม่จำกัดเที่ยว ใช้ได้ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ แต่ใช้ข้ามเกาะ sentosa ไม่ได้ มีให้เลือกแบบ 1/2/3 วัน

เราเลือก Singapore Tourist Pass แบบ 3 วัน ราคา 30 เหรียญ โดยสามารถคืนบัตรได้ตอนกลับ จะได้รับค่ามัดจำบัตรคืนมา 10 เหรียญค่ะ

 

อย่าลืมหยิบ แผนที่ MRT มาด้วยนะคะ ++สำคัญมาก++ แนะนำให้ศึกษาเส้นทางก่อน และมาร์คจุดสำคัญที่จะเราจะเดินทางไว้ในแผนที่ เพื่อช่วยประหยัดเวลาค่ะ

 

 

11.45 น. เราจองที่พักไว้ที่ Poreclain Hotel อยู่แถว China town ย่านที่คนคึกคักตลอดคืน กลับดึกก็ไม่น่ากลัว หิวก็มีของกินเพียบ ออกเดินทางจากสนามบินด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียวมาลงที่สถานี Outram Park เพื่อเปลี่ยนมาสายสีม่วง ลงที่สถานี China Town ทางออก A

 

 

ออกจากสถานีรถไฟฟ้าแล้ว เลี้ยวซ้ายทันที อย่าเดินตรงนาจา เพราะข้างหน้าคือตลาด ไปเที่ยวกันก่อน เดี๋ยวค่อยมาช็อปกันวันหลัง

 

 

 

 

เดินไปทางขวา 1 ช่วงตึก จะเจอถนน Mosque St. ตรงหัวมุมพอดี เดินเข้าไปในซอยประมาณ 30 ม. โรงแรมเป็นตึกสีขาว อยู่ทางด้านซ้ายมือเลยค่ะ (แอบยืมรูปมาจากเพจของโรงแรมนะคะ เราไม่ได้ถ่ายรูปด้านนอกไว้)

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

 

12.30 น. มาถึงโรงแรมเรียบร้อย เวลา check in ปรกติคือ 14.00 น. (ถ้าจะ check in ก่อนเวลา เช็คกับพนักงานให้ดีนะคะว่าจะไม่มีค่า Early check in fee เดี๋ยวเสียตังค์เพิ่มนาจา) เราโชคดีวันที่ไปมีห้องว่างพอดี เลยได้เข้าพักก่อนเวลาค่ะ  

บรรยากาศของเคาน์เตอร์ด้านหน้า 

 

 

เมื่อ check in แล้ว พนักงานจะให้ key card พร้อมแผนที่เล็กๆ แสดงสถานที่สำคัญใกล้โรงแรม และแจ้งระเบียบข้อบังคับให้เราเซ็นต์รับทราบ (ที่นี่ห้ามสูบบุหรี่ในห้องพัก ฝ่าฝืนปรับ 500 เหรียญ นะคะ)

 

การตกแต่งสถานที่จะเน้นสีฟ้า - ขาว เพื่อให้ดูกว้าง สะอาด และสบายตา

 

 

 

ห้องพักของเราอยู่ ชั้น 4 ห้อง 436 เป็นห้องพักขนาดกระทัดรัด มีการแบ่งสัดส่วนของพื้นที่ใช้งานได้อย่างลงตัว เตียงคู่อยู่ด้านในสุดติดผนัง มีทีวีอยู่ปลายเตียง

 

 

 

ด้านข้างจะเป็นตู้เสื้อผ้า มีกาต้มน้ำ ตู้เย็นและตู้เซฟอยู่ด้านใน ทางโรงแรมจะมีน้ำดื่มให้วันละ 2 ขวด ส่วนไดร์เป่าผม และรองเท้า 2 คู่ อยู่ในลิ้นชักตรงโต๊ะข้างเตียงค่ะ

 

ห้องน้ำเป็นกระจกเลื่อนแบบขุ่น พอมองเห็นลางๆ ไม่มีผ้าม่าน ถ้าใครมากับเพื่อนอาจจะเขินๆนิดนึงเวลาใช้ห้องน้ำนะคะ อุปกรณ์ในห้องน้ำมี ครีมอาบน้ำ แชมพู แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าขนหนู แต่....ไม่มีสายฉีดชำระค่ะ

 

 

 

13.00 น. เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาหาอะไรเติมเต็มให้ท้องก่อนออกไปเที่ยวค่ะ ว่าแล้วก็เปิดอากู๋ช่วยนำทาง จุดหมายของเราคือ Maxwell Food Center เพื่อตามล่าหาข้าวมันไก่ในตำนาน Food court จะอยู่ใกล้ๆที่พักเลยค่ะ ออกจากโรงแรมให้ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม จากนั้นเดินเข้าไปในซอยจนสุดซอยแล้วเลี้ยวขวาที่หัวมุมถนน

เดินตรงไปประมาณ 50 เมตรจะเจอ "วัดแขก"(Sri Mariamman Temple) เป็นวัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ ที่สร้างมาเพื่อถวายพระศรีมาริอัมมันหรือพระแม่อุมาเทวี (ซึ่งเป็นเทวีแห่งอำนาจ สันติสุข และความงาม) โดยแรกเริ่มที่สร้างวัดแห่งนี้เพราะมีความเชื่อว่าจะช่วยป้องกันโรคระบาด ผู้ที่ศรัทธาจึงนิยมมาสักการะเทพเจ้าที่นี่ เพื่ออธิษฐานขอให้มีความสมบูรณ์ สุขภาพแข็งแรง และปลอดภัยจากอันตราย

 

 

จุดเด่นของวัดนี้คือ "ซุ้มประตู" ที่มีความสวยงามมากค่ะ ++ ที่นี่ห้ามถ่ายรูปด้านในนะคะ ถ้าถ่ายรูปต้องจ่ายเพิ่ม 3 เหรียญค่ะ ++

 

 

ใกล้ๆทางเข้าวัดจะมีรถขายไอศรีมอยู่ด้วยค่ะ ไอศครีม Wall ราคา 1.20 เหรียญ มีหลายรสให้เลือกทานคู่กับขนมปังแผ่นหรือเวเฟอร์ เราเลือก Rasberry เนื้อไอศครีมไม่หวานมากทานคู่กับเวเฟอร์กรอบๆ อร่อยมากค่ะ

 

 

เดินตรงมาอีก 170 ม. จะเจอ "วัดพระเขี้ยวแก้ว " (Tooth Relic Buddha Temple) เป็นวัดจีนที่คนไทยนิยมมาสักการะมากที่สุด เพื่อแก้ปีชง เสริมดวง และขอพรจากเทพเจ้าที่คุ้มครองปีเกิด อาคาร 4 ชั้นสีแดงสดหลังใหญ่อลังมากกกกก เป็นศิลปะสมัยราชวงศ์ถังผสมศิลปะมันดาลา (Mandala) ซึ่งชั้นบนสุดของวัดได้บรรจุพระสารีริกธาตุพระทนต์ของพระพุทธเจ้าไว้

 

 

ห้องโถงนี้เรียกว่า Hundred Dragon ประดิษฐานพระศรีอริยเมตรัยเป็นประธานอยู่ตรงกลาง และตั้งโต๊ะสำหรับให้พระและผู้ศรัทธาเข้ามาร่วมสวดมนต์ค่ะ

 

 

 

 

 

ส่วนอีกห้องเรียกว่า "Universal Wisdom Hall" ประดิษฐานรูปปั้นพระโพธิสัตว์ 6 กร

 

 

 

 

 

 

 

สำหรับสาวๆที่สวมเสื้อแขนกุด หรือกางเกงขาสั้น ต้องสวมผ้าถุงและผ้าคลุมไหล่ก่อนเข้าด้านในนะคะ

 

 

 

14.00 น. ฝั่งตรงข้ามวัดพระเขี้ยวแก้วจะมีซอยเล็กๆอยู่ ให้เดินตรงเข้าไปในซอยประมาณ 50 เมตร แล้วมองไปทางขวาจะเจอป้ายชี้ไปทางเข้าด้านหลัง Maxwell food center ค่ะ เดินตามลูกศรเข้าไปได้เลย

 

 

ถึงแล้ว Tian Tian ร้านข้าวมันไก่ในตำนาน สั่งออเดอร์ จ่ายเงิน แล้วไปรอรับอาหารที่ด้านหน้าเลยค่ะ

 

 

 

ข้าวมันไก่จานละ 5 เหรียญ ผัดผักจานละ 6 เหรียญ รสชาดอร่อยสมคำร่ำลือ ข้าวนุ่มๆ เนื้อไก่เน้นๆเต็มคำ ทานคู่กับผัดผัก หวาน กรอบ แต่น้ำจิ้มเราชอบของไทยมากกว่าค่ะ

 

 

 

ช่วงเที่ยงๆถึงบ่าย ด้านในศูนย์อาหารคนจะแน่นมากหาที่นั่งยาก แนะนำให้ออกมานั่งทานด้านนอก พิกัดอยู่ด้านหลังร้าน Tian Tian เลยค่ะ โซนนี้คนค่อนข้างน้อย ออกมานั่งรับลมเย็นๆ ทานชิลล์ๆ ค่ะ

 

15.30 น.ออกจาก Maxwell เดินไปด้านหลังวัดพระเขี้ยวแก้วเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าค่ะ เรานั่งรถไฟฟ้าสายสีม่วงจากสถานี China Town มาลงที่ Dhoby Ghaut ทางออก B เปิดอากู๋ แล้วเดินตามมาทางมาเรื่อยๆ จะเจอ "Fort Canning Park" ทางเข้าสามารถเข้าได้หลายทางทั้งจาก Orchard หรือ Clark Quay ค่ะ

ที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของพระราชวังกษัตริย์มาเลย์ในช่วงศตวรรษที่ 14 และเคยเป็นป้อมปราการในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ตอนนี้กลายร่างมาเป็นสวนพฤกษศาสตร์, แกลเลอรี่, โรงแรม และร้านอาหาร สวนมีความกว้างมาก หากมีเวลา เดินเที่ยวในสวน ดูป้อมปราการเก่า ก็เพลินดีค่ะ บรรยากาศร่มรื่น เดินได้เรื่อยๆ

 

 

 

 

 

 

 

เริ่มเหนื่อยก็แวะหาน้ำดื่มกันค่ะ ในเมืองที่ราคาน้ำดื่มแพงกว่าน้ำอัดลมแบบนี้ ก็ดื่มน้ำอัดลมวนไปค่ะ ^^ 

 

 

 

จากนั้นให้มองหาป้าย Fort Canning Walk หรือ Fort Canning Lodge นะคะ อุโมงค์จะอยู่ใกล้ถนนด้านหน้าโรงแรมเลยค่ะวิวมีความสวย วันที่เราไป เจอคนมาถ่าย pre-wedding ด้วยค่ะ

 

 

 

 

 

17.30 น. นั่งรถไฟสายสีเหลืองจาก Dhoby Ghaut มาลงที่สถานี Bayfront เพื่อมาชมวิวที่นี่ค่ะ Helix Bridge เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่าง Marina Bay Sands กับ Singapore Flyer

 

 

สะพานแห่งนี้ถูกออกแบบให้มีรูปเกลี่ยวแทนโครงสร้าง DNA ตอนกลางวันจะดูธรรมดา แนะนำให้มาช่วงทไวไลฟ์จนถึงกลางคืนจะสวยงามมากค่ะ ที่นี่เป็นอีกที่ที่เป็นมุมมหาชนไปแล้ว

 

 

บนสะพานมีจุดให้แวะชมวิวได้หลายที่ ลองเดินเปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆ จะได้วิวสวยๆหลายภาพเลยค่ะ 

 

 

 

19.30 น. มื้อเย็นเราฝากท้องไว้ที่ Food Court ใน Marina Bay Sand อยู่ด้านล่างใกล้ลานไอซ์สเก็ต มื้อนี้เราลองชิมอาหารมาเลเซีย " Lor Mee" ค่ะ เป็นเส้นหมี่แบน ใส่สารพัดเครื่อง น้ำซุปสีดำใส่แป้งมันทำให้หนืดๆคล้ายราดหน้า ออกรสหวานนิดๆทานคู่กับพริกน้ำส้ม อร่อยดีค่ะ

 

ส่วนอีกชามเป็นบะหมี่ต้มยำทะเลมาเลย์ เส้นหมี่กลม กุ้งตัวโตๆ น้ำซุปคล้ายต้มยำบ้านเราแต่รสชาดอ่อนกว่า ซดร้อนๆคล่องคอดีค่ะ ทั้ง 2 ชามคนขายให้เยอะมาก ทานไม่หมดกันเลยทีเดียว ^V^

 

 

20.30 น. ที่ Marina Bay Sand จะมี Casino ด้วยนะคะ แค่โชว์พาสปอร์ตก็สามารถเข้าได้แล้วค่ะ แต่ด้านในห้ามถ่ายรูปต้องฝากกล้องไว้ด้านนอก ที่นี่จะมีน้ำดื่ม ชา กาแฟ น้ำผลไม้ ไว้บริการฟรี (ขอบอกว่า Minute Maid Apple อร่อยมากแกร ^^) ใครไม่เล่นก็เข้าไปเที่ยวชมบรรยากาศได้ค่ะ (ต่างชาติเข้าฟรี แต่คนสิงคโปร์ถ้าจะเข้าต้องเสียค่าเข้า 100 เหรียญนะคะ)

 

22.00 น. ด้านในคาสิโนรวมเครื่องเล่นหลากหลายมาก แต่ละโต๊ะจะบอกเรทขั้นต่ำในการเล่น ต่ำสุดคือ 25 เหรียญ (คิดง่ายๆเล่นตาละ 750 บาท) บางโต๊ะเริ่มต้นที่ 100 เหรียญ ถ้าไม่รวยจริง ไม่ชอบเสี่ยงดวงจริง ไม่กล้าเล่นนะเนี่ย ^V^ เวลาข้างในผ่านไปไวมากค่ะ เข้าไปยืนลุ้นนักเล่นเพลินๆดูเวลาอีกทีสี่ทุ่มกว่าแล้ว เลยต้องรีบกลับไปนอน เก็บแรงไว้เที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้ เราจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวไหนบ้าง ตามอ่านได้ในตอนต่อไปค่ะ

 

**************************************************************************** 

  • ปากกา เป็นสิ่งที่ must have นะคะ ควรมีติดกระเป๋าไว้ เพราะต้องใช้กรอกข้อมูล หรือจด นู่น นี่ นั่น
  • ถ้าใคร check in ล่วงหน้าทั้งไป-กลับแล้ว แนะนำสำเนา poarding pass เผื่อไว้ 1 ชุดกันหายนะคะ
  • ถ่ายสำเนาพาสปอร์ตติดกระเป๋าไว้เผื่อใครทำหายระหว่างทริปจะได้มีเอกสารช่วยยืนยันค่ะ
  • ยาประจำตัว หรือยาสามัญพวก พารา แก้ปวดท้อง ท้องเสีย ฯลฯ ควรพกไปด้วยเผื่อฉุกเฉินค่ะ
  • สถานที่จำหน่ายตั๋วเครื่องเล่นในเมืองไทยจะมี 2 ที่คือ 
  1. Singapore Fan Club // ได้บัตรจริง แบบไม่ระบุวัน + บัตรส่วนลดค่าอาหารใน USS สาขาห้างเกตเวย์ เอกมัย ชั้น B (BTS สถานีเอกมัย) เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11:00 - 20:00 น. โทร. 093 8932688 - 90, 02 0005391 – 2 แฟกซ์ : 02 0005392
  2. Sea wheel (สาขาประเทศไทย) // ได้ตั๋วแบบ E-ticket 491/18 , Silom Plaza Bld, 3rd Floor, Silom Rd., Bangrak,กรุงเทพมหานคร

ทั้ง 2 ที่ราคาใกล้เคียงกัน ถ้าไปหลายที่แนะนำให้สอบถามราคาแบบ Combo set นะคะ ราคาจะถูกกว่าค่ะ

  • Sri Mariamman Temple ถ้าใครได้เข้าไปด้านในให้ไปเดินตามเข็มนาฬิการอบพระอุโบสถวัดให้เป็นเลขคี่ มีความเชื่อว่าจะทำให้เราโชคดีค่ะ