ขึ้นรถไฟ ไปโดดน้ำตก . . . เอราวัณ

เรื่องทั้งหมด เกิดจากความชอบเที่ยวของผมเอง แต่เวลาก็มีจำกัดตามประสามนุษย์เงินเดือน(ผมไม่ค่อยชอบลางานเพื่อไปเที่ยว) ก็เที่ยวมันตามที่มีเวลาพอ  เพื่อนร่วมงานก็ต่างแนะนำให้มาลองสร้างเพจ เขียนบทความอะไรต่างๆนาๆ ก็เลยเป็นที่มาของชื่อ SalaryPacker (Salary man + Backpacker)  รีวิวแรก เลยขอรีวิวทริปง่ายๆ ใกล้กรุงเทพ ไปเสาร์ กลับ อาทิตย์ ละกันนะครับ  โดยบทความนี้จะเป็นการยกทริปเก่ามารีวิว และเลือกทริปนี้เพราะดูเหมาะกับคอนเซป SalaryPacker ดี

วันศุกร์ หลังเลิกงานก็ได้ไปนั่งคุยกับเพื่อนร่วมงานว่า สัปดาห์นี้ อยากออกต่างจังหวัดไปพักผ่อนหย่อนใจสักหน่อย  เพื่อนเราก็ใจง่าย พูดอะไรไป ก็เออออห่อหมกกับเราไปซะหมด  ก็เสนอเลย อยากนั่งรถไฟ Slow life แบบที่ Hipster เค้าทำกันบ้าง   เพื่อนก็พูดแค่ "เอาดิๆ"  ตลอดการสนทนา ก็มีแต่ผมที่พูดๆ เสนอๆ สรุปคือเราจะนั่งรถไฟ ไปกาญจนบุรีกัน และถ้าอยากพักผ่อน แน่นอน ป่าไม้ คือตัวเลือกแรก เราเสริมไปอีกนิดคืออยากเอาเท้าไปแช่น้ำธรรมชาติเย็นๆสักหน่อย หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างแยกย้ายกลับไปเก็บกระเป๋า นอนพักเอาแรง

วันออกเดินทางเลย เรานัดกันเจอที่สถานีรถไฟเลยครับ  รถไฟไปกาญจนบุรี จะออกจากสถานีธนบุรีเป็นสถานีต้นทางนะครับ  ไม่ได้ออกจากสถานีหัวลำโพง   เว้นแต่จะเป็นขบวนน้ำเที่ยว กรุงเทพฯ-น้ำตกไทรโยค เส้นทางเดียว ที่จะออกจากสถานีหัวลำโพง  มาถึงสถานี ก็ตรงไปช่องขายตั๋ว ขอตั๋วรถไฟจาก เจ้าหน้าที่เลยครับ แล้วก็มารอรถไฟ  ที่ชานชาลาเลย รถไฟจะออกจากสถานีเวลา 07.50 น. แต่เรามาถึงตั้งแต่  6 โมงครึ่ง  มีเวลาทำอย่างอื่นอีกเยอะครับ  แต่เราเลือกมานั่งรอที่ชานชาลา นั่งดูรถไฟขบวนอื่นๆวิ่งเข้าออกสถานี เพลินดี

เวลาประมาณ 07.40 น. รถไฟชบวน กรุงเทพ-น้ำตก ซึ่งเป็นขบวนที่เราจะเดินทาง ก็เข้ามาเทียบชานชาลาครับ เมื่อรถไฟจอดสนิท เราก็ขึ้นไปจับจองที่นั่งกันเลยครับ รถไฟออกจากสถานีจริงๆ เวลา 08.00 น. ช้ากว่ากำหนดเพียง 10 นาที ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดนี่นา

เนื่องจากเมื่อคืน เราจัดกระเป๋ากันทั้งคืน บวกกับอาการตื่นเต้นต่อการที่เราจะได้ไปเที่ยว  หลังจกขึ้นรถไฟได้แป๊บเดียว  พวกเราก็หลับกันเป็นตายเลยครับ  มาตื่นอีกที ก็ตอนที่ เจ้าหน้าที่เดินมาประกาศว่า สถานีหน้า กาญจนบุรีแล้วนะครับ ใครลงสถานีนี้ให้เตรียมสัมภาระไว้ให้พร้อม  แล้วรถไฟก็จอดเทียบชานชาลาที่สถานีรถไฟ กาญจนบุรี เวลาประมาณ 10.40 น. ใช้เวลาไปประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ถือว่าไม่ช้ามาก  หลังจากลงจากรถไฟ  เราก็วิ่งไปถ่ายรูปป้ายสถานีก่อนเลย เป็นหลักฐานว่าเรามาแล้วว จากนั้นก็ไม่รีรออะไรแล้วครับ  เดินออกจากสถานีรถไฟ  ตรงไปยังถนนใหญ่ เพื่อไปจุดแวะแรกของเราครับ  อยู่ห่างสถานีรถไฟออกไปไม่มาก  เราจึงใช้วิธีเดินเอาครับ เดินมันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง 

ออกมาถึงถนนใหญ่ ก็เลี้ยวซ้ายแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆครับ จุดแวะของเราคือ "สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก" หรือ "สุสานดอนรัก" หรือ "สุสานฝรั่ง" หรืออีกหลายๆชื่อ ตามแต่สะดวกจะเรียกเลยนะครับ   เป็นสุสานของทหารสัมพันธมิตรที่เป็นเคยเชลยศึกเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วเสียชีวิตที่นี่ บรรยากาศภายใน ก็เงียบสงบ ดูมีความขลัง มีกลิ่นอายของความสูญเสียแฝงอยู่ 

เข้าไปถ่ายรูปในสุสานได้ไม่นาน  รถเมล์สาย กาญจนบุรี-เอราวัณ ที่เรารอคอยก็มาถึง แบบไม่ทันตั้งตัว  เราจึงต้องวิ่งหน้าตั้งไปที่รถ  เพราะกลัวจะไม่ทันรถกัน   เมื่อขึ้นรถแล้ว ก็หาที่นั่ง นั่งกันตามสะดวกเลยครับ  หรือถ้าไม่มีที่นั่งก็ยืนเอา เหมือนรถเมล์ในเมืองกรุงนั่นแหละ  แต่อาจจะแน่นกว่านิดนึง   เพราะคนเดินทางกันเยอะ แต่รถวิ่งตามตารางเวลา  ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถได้สักพัก กระเป๋ารถ ก็จะเดินมาเก็บค่าโดยสาร คาดว่าน่าจะเป็น Flat rate คือ 50 บาทตลอดสาย  นั่งไปประมาณ เกือบๆ สองชั่วโมง อาจจะช้ากว่าขุบรถส่วนตัว เนื่องจากเราเดินทางกันหลายคน รถจอดระหว่างทางตลอด เพื่อรับผู้โดยสาร บ่ายโมง รถก็มาถึงอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ครับ ระหว่างที่รถผ่านประตูทางเข้าอุทยานมา รถจะจอดเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ขึ้นมาเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยานฯ คนละ 100 บาทครับ(ครึ่งราคาสำหรับนักศึกษา และ 300 บาทสำหรับชาวต่างชาติ) แล้วรถกจะขับต่อเข้ามาในพื้นที่อุทยาน และจอดตรงใกล้ๆศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ของอุทยานเลยครับ  อย่างแรกที่เราต้องทำคือ เดินเข้าไปลงทะเบียน แจ้งความประสงค์ว่าจะพักแรมที่นี่ เจ้าหน้าที่จะให้กรอกข้อมูลทั่วไป มากี่คน, มาอยู่กี่วัน, มีรถส่วนตัวมารึเปล่า ฯลฯ  แล้วเจ้าหน้าที่จะให้เอกสารการลงทะเบียนให้เราไปยื่นยังอาคารอุปกรณ์ ที่ลานกางเต๊นท์เลยครับ

ใครที่มีสมุดบันทึกตราประทับอุทยาน  ก็สามารถมาขอให้เจ้าหน้าที่ประทับตราได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนี้ได้เลยครับ

เรียบร้อยก็เดินต่อไปตามทางที่เจ้าหน้าที่บอกเลยครับ ไปลานกางเต๊นท์ เพื่อจับจองที่กางเต๊นท์ กันก่อน

มาถึงอาคารอุปกรณ์แล้ว ก็เอาเอกสารที่เจ้าหน้าที่ให้มาจาก ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมายื่นที่นี่ครับ  และหากเรามีอะไรขาดเหลือยังไง สามารถซื้อหรือเช่าได้จากที่นี่เลยครับ มีครบทุกอย่าง เตา ตะแกรง ถ่าน มาม่า ฯลฯ  แล้วก็ออกไปกางเต๊นท์กัน  

กางเต๊นท์เสร็จเราก็ไม่รอช้า  รีบออกไปน้ำตกต่อเลยครับ ด้วยความที่อยากสัมผัสน้ำ

เล่นน้ำเสร็จแล้ว เราก็เดินกลับไปที่ลานกางเต๊นท์  มานั่งเล่นที่โป๊ะ เทียบแพ ของอุทยานครับ บรรยากาศก็ดีใช้ได้เลย  ตอนเย็นๆ อากาศไม่ร้อน  แถมน้ำก็เย็นเจี๊ยบเลย  เอาเท้าลงไปจุ่มน้ำนิดหน่อยนี่ บอกได้คำเดียว ฟินน~  

เสร็จแล้ว ก็ไปอาบน้ำ แล้วมานั่งเตรียมอาหารกินกันที่เต๊นท์เลยครับ เมื่อฟ้าเริ่มมืด สิ่งที่เราหวังทุกครั้งที่ออกมาเที่ยวต่างจังหวัดคือ การนั่งดูดาว และตามที่คาดหวังครับ พอมีดาวให้ดู แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ  เนื่องจากฝนกำลังจะตก ใจอยากจะถ่ายดาวมาฝากเหลือเกิน  แต่ฝีมือไม่ถึงจริงๆ จึงทำได้แค่พอเห็นจุดๆ  แยกกันเองนะครับ ว่าไหนดาว ไหน Noise  นอนดูดาว พลางกินขนมกันจนหมดแล้ว ก็ได้เวลาเข้านอนแล้วครับ ถือเป็นการจบวันอย่างสมบูรณ์

อากาศไม่หนาวมาก ในตอนหัวค่ำ  แต่เลยเที่ยงคืนไปนี่ แย่งผ้าห่มกันจนลืมคำว่าเพื่อนไปเลยครับ  

ตื่นเช้ามาอากาศก็หนาวใช้ได้เลยครับ จากที่วางแผนว่าจะไปเล่นน้ำตกในตอนเช้า แผนก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยายครับ มานั่งต้มโอวัลตินกินที่เต๊นท์ดีกว่า  แล้วก็จัดแจงเก็บเต๊นท์ ไปรับเอกสารที่ อาคารอุปกรณ์ แล้วเดินออกมายังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แล้วชำระเงิน ค่าเช่าอุปกรณ์ และค่าธรรมเนียมการกางเต๊นท์พักแรม  

ออกมา เวลา 09.50 น. ก็เห็นรถเมล์ จอดรอเราอยู่แล้วครับ น่าจะเป็นรถรอบแรก (รอบ 08.00 น.) ที่เดินทางออกจาก กาญจนบุรี 

ก่อนจะขึ้นรถกลับ ตาก็เหลือบไปเห็นฝูงน้องผีเสื้อ เราไม่พลาด รีบหยิบกล้องมาซูมแล้วรัวชัตเตอร์ทันทีครับ  และแน่นอน ฝีมือช่างภาพสายเที่ยวอย่างเรา . . . เหลือภาพที่ดูได้ ให้มาลงรีวิวแค่ 2 รูป จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์ เข้าเมืองกาญ  แจ้งกระเป๋ารถว่าเราจะลงที่สถานีรถไฟ เพื่อไปรอรถไฟกลับเข้ากทม.  เป็นอันจบทริป ที่แสนง่ายดายสำหรับ มนุษย์เงินเดือนกากๆ อย่างเราครับ

สรุปค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับทริปนี้ ดังนี้ครับ 

ตั๋วรถไฟ ไป-กลับ กาญนบุรี-กรุงเทพมหานครฯ   => ฟรี

รถเมล์ ไป-กลับ กาญจนบุรี-เอราวัณ   => 50 + 50 = 100 บาท

ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ   => 100 บาท

ค่าธรรมเนียมกางเต๊นท์พักแรม   => 60/2 = 30 บาท

ค่าเช่าเตาปิ้งย่าง   => 35 บาท

ค่าถ่าน(ใช้ปิ้งย่าง)   => 25 บาท 

รวม แล้วค่าเสียหายเพียง 290 บาท สำหรับการเช่าป่าผืนนี้นอน   แต่ในทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายดังกล่าว ยังไม่รวมค่าอาหารทั้งมื้อหลักและอาหารกินเล่นนะครับ  สำหรับทริปนี้ เราวางเงินไว้คนละ 1000 บาท โดยจบทริป พอมีเงินทอนไว้จ่ายค่าแท็กซี่กลับบ้าน และกลับมาหยอดกระปุกอีกนิดหน่อย  

ขอบคุณที่ทนอ่านกันจนจบนะครับ  แล้วผมจะพัฒนาตัวเอง หาที่เที่ยวมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันให้มากขึ้นและดีขึ้นครับ

 

http://www.facebook.com/SalaryPacker
#SalaryPacker