ภูทับเบิก เที่ยวครบ:งบน้อย:ร้อยความประทับใจ

ย่างเข้าหน้าฝน หลายๆคนคงไม่อยากจะย่างกายออกจากบ้านไปไหน แต่คำนิยามเหล่านั้นใช้ไม่ได้กับพวกเรา.. สำหรับพวกเราแล้วหน้าฝนนี่แหละจะทำให้พวกเราได้สัมผัสกับธรรมชาติ ความอุดมสมบูรณ์ของภูเขาที่แท้จริงผ่านสายฝน ลมหมอก แสงแดด.. สัมผัสเหล่านี้ที่หลายๆคนกำลังตามหาและพวกเรามักจะเรียกมันว่า”ความสุข” ว่าแล้วก็เขียนวันลา หาที่เที่ยวเหมาะๆแล้วออกไปตามหา inspiration กันค่ะ..

ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์ ..เป็นหนึ่งในตัวเลือกของพวกเราสำหรับทริปหน้าฝน ซึ่งแน่นอนถ้าพูดถึงหน้าฝนก็จะต้องมาคู่กับทะเลหมอกขาวๆอย่างแน่นอน ทริปนี้เราไม่ได้ไปกันแค่2คนแบบทริปก่อนๆเพราะเรามีเพื่อนร่วมทริปเพิ่มมาอีกตั้ง3คน..ซึ่งมนุษย์ทั้ง3ที่ติดสอยห้อยท้ายตามเรามาก็เป็นพี่ๆที่ทำงานของเราเอง ง่ายๆก็คือทริปนี้ก็จะมีสิ่งมีชีวิตทั้งหมด5ชีวิต แหม..เพื่อนร่วมทริปเยอะขนาดนี้ไม่หารไม่ได้แล้ว อย่างนี้ต้องหาร หาร หารรรรรร สำหรับทริปนี้เราตั้งงบกันไว้ที่2พันบาทต่อคนรวมทุกอย่างทั้งที่พัก ค่ารถค่าน้ำมัน ค่าอาหารการกิน รายละเอียดมีอะไรกันบ้างตามอ่านได้ในรีวิวด้านล่างนี้เลยค่ะ^^

ทริปนี้เราออกเดินทางกันด้วยรถยนต์ส่วนตัวล้อหมุนเวลาประมาณตี3เศษๆ ที่พวกเราเลือกออกตี3เพราะว่าอยากให้ไปถึงบนภูทับเบิกตอนเช้าพอดีอาศัยขับรถชิลล์ๆชมวิวธรรมชาติยามเช้าไปเรื่อยๆง่วงที่ไหนก็จอดนอนที่นั่นซึ่งเราก็ง่วงและหลับกันมาตลอดทางจริงๆ555555 ลืมตาอีกทีก็มาโผล่ที่เพชรบูรณ์ซะแล้ว เรามาถึงเพชรบูรณ์กันตั้งแต่6โมงเช้านิดๆแล้วพวกเราก็คิดว่ามันเช้าเกิดไปสำหรับการที่จะต้องคลำทางขึ้นไปยังภูทับเบิก ดังนั้น..พวกเราเลยตกลงกันว่าจะแว๊บเข้าเขาค้อไปชมความงามของวัดผาซ่อนแก้วที่ถูกยกให้เป็น anseen in Thailand กันสักหน่อยมาถึงที่แล้วจะไม่แวะได้ยังไงเนอะ^^

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หรือชื่อเดิมว่า วัดผาซ่อนแก้ว มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม และบนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา ซึ่งมีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์และเรียกตาม ๆ กันว่า “ผาซ่อนแก้ว” และพุทธสถานที่มาตั้งในจุดที่โอบล้อมด้วยทิวเขาดังกล่าว จึงเรียกว่า “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว”

ส่วนพระธาตุที่เราเห็นตอนเดินเข้ามานั้น เรียกว่า เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิตค่ะ บนยอดเจดีย์จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก และ บริเวณใต้ฐานพระเจดีย์จะใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป หากเพื่อนๆท่านใดมีโอกาศได้แวะมาเพชรบูรณ์ก็อย่าลืมแวะมาชมความงามของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วท่ามกลางธรรมชาติกลางหุบเขาได้นะคะรับรองสวยจับใจแน่นอนค่ะ.. และถ้ามาถึงวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วแล้วไม่ได้แวะร้านกาแฟร้านนี้ถือว่าผิดค่ะ!!!!!!!

the Piney Bistro café  ร้านกาแฟที่ตั้งหลบมุมอยู่ทางด้านหลังของพระพุทธรูป5องค์แอบได้ยินมาว่าเป็น café ที่ใครได้แวะมาก็ต้องพากันตกหลุมรัก ด้วยวิวที่โดนโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติกลางขุนเขาและกลิ่นกาแฟหอมๆที่มีให้เราได้สัมผัสเป็นระยะ

บรรยากาศด้านในของ the Piney Bistro café ที่โอบอวนไปด้วยกลิ่นคลุ้งของชากาแฟไปทั่วร้าน

ด้านนอกของคาเฟ่ถูกจัดให้เป็นสถานที่นั่งดื่มกาแฟพร้อมกับชมวิวไปในตัวค่ะ นี่สินะที่เขาเรียกกันว่า กาแฟหลักร้อยแต่วิวหลักล้าน..ดื่มกาแฟที่ปรุงสดท่ามกลางหมอกจางๆและภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า กาฟงกาแฟกินไม่ลงแล้วค่ะอิ่มหมอกมากกว่า5555หมอกลงหนามากกก

รสชาติกาแฟอยู่ในระดับปานกลางที่ไม่ได้อร่อยมากขนาด5ดาวแต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดติดลบนะคะทุกๆอย่างรวมกันคือลงตัวของมันแล้วยิ่งบวกกับบรรยากาศแบบนี้ด้วยแล้ว ฟินเว่อออออ55555

ฟินขนาดไหนก็ดูหน้าเพื่อนร่วมชะตากรรมทริปนี้เอาเถอะค่ะแต่ล่ะคนยอมกันที่ไหน55555 ใครมาถึงวัดผาซ่อนแก้วแล้วก็อย่าลืมเดินเข้ามาด้านหลังนะคะนอกจากจะได้ดื่มกาแฟหอมๆแล้วเพื่อนๆยังได้ชมวิวภูเขากับวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วแบบใกล้ชิดอีกด้วย^^

เอาล่ะได้เวลาออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของพวกเราแล้ว (คนขับรถเราอึดมากบอกเลย555) จุดหมายปลายทางต่อไปของเราก็คือ ภูทับเบิกที่เราควรจะถึงกันสักที -_-

ถนนบนภูทับเบิกค่อนข้างดีค่ะแต่เส้นทางการเดินรถแนะนำให้ค่อยๆขับและขับอย่างมีสติกันนะคะเพราะหมอกลงค่อนข้างที่จะรุนแรงอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆดูจากในรูปที่เราถ่ายน้องหมอกลงจนมองแทบไม่เห็นทางเลยค่ะแต่อากาศดีมากๆพวกเราเลยปิดแอร์ในรถแล้วเลือกลดกระจกลงเพื่อสูดโอโซนเข้าปอดให้ละอองหมอกกระทบผิวหน้าเบาๆเป็นอะไรที่ฟินลืมโลกกันไปเลยค่ะ^^

ใช้เวลาขับมาได้สักพักก็มาถึงที่พักที่เราได้จองไว้ล่วงหน้าก่อนนี้แล้ว ทริปนี้เราเลือกพักกับทางภูการ์เด้นทะเลหมอก ซึ่งอยู่ตรงจุดวัดอุณหภูมิและจุดชมวิวด้านบนยอดภูทับเบิกพอดีเลยค่ะ 

ที่พักที่เราได้จองไว้สำหรับทริปนี้เราเลือกเป็น ภูการ์เด้น ทะเลหมอก ภูทับเบิก ค่ะ ภูการ์เด้นทะเลหมอกภูทับเบิก

บริการที่พักแบบบ้านเป็นหลังและลานกลางเต้นท์ขนาดกว้าง ราคาค่าที่พักมีหลายราคาขึ้นอยู่กับช่วงฤดูการนั้นๆด้วยค่ะ ช่วงหน้าฝนแบบนี้ก็จะอยู่ที่800บาทขึ้นไป(ราคานี้รวมอาหารเช้าแล้ว)  ส่วนใครที่สนใจจะเช่าเต้นท์ หรือเช่าพื้นที่บริเวณลานกลางเต้นท์ก็สามารถเข้ามาติดต่อสอบถามได้กับทางรีสอร์ตโดยตรงหรือโทรไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์  086-0004222,097-9506869 ได้เลยนะคะ  

และหากใครกังวลเรื่องที่จอดรถไม่ต้องห่วงนะคะ ภูการ์เด้น มีที่จอดรถบริเวณด้านหน้าบ้านพักเลยค่ะ

ในเมื่อมาถึงที่พักแล้วก็ขนของทุกสิ่งอย่างในรถออกมาให้หมดค่ะ เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านี่แค่มาเที่ยวกัน2ต้องขนของกันมาเต็มคันรถขนาดนี้เลยหรอ5555 เราเองก็แอบคิดว่าย้ายบ้านซะอีก.. (เพิ่มเติมนะคะที่พวกเราขนของจากบ้านมาเพราะด้านบนภูทับเบิกไม่มีพวกอาหารสดเช่น หมู เห็ด เป็ด ไก่ กุ้ง หอย ปู ปลา จำหน่ายนะคะเราแนะนำให้เพื่อนๆขนมาแบบพวกเราดีกว่าค่ะ555555)

ตรงนี้เป็นวิวที่มองลงมาจากหน้าบ้านพักของเราพอดีค่ะ หมอกกำลังลงเลยนี่ขนาดบ่าย2แล้วนะคะหมอกยังลงขนาดนี้แถมอากาศก็ดีมากๆด้วยยยยย >//< 

ส่วนตัวบ้านพักที่เราเลือกก็อาศัยว่ามากันหลายคนเลยขอเลือกเป็นบ้านพักเป็นหลัง(ใหญ่ๆ)เหมาะสำหรับเราทั้ง5คนที่สุดแล้วค่ะ55555แถมสะดวกกับการปาร์ตี้ของเราด้วยเพราะพื้นที่บ้านพักหลังที่เราเลือกค่อนข้างกว้างเลยค่ะ

หันออกไปทางด้านระเบียงบ้านพักก็จะเจอกับวิวไร่กระหล่ำปีที่มีน้องหมอกค่อยๆลอยตามกันมา ฟินแค่ไหนก็ดูจากหน้านางแบบของเราเอาเองเลยค่ะ5555 (ภาพนี้เราถ่ายจากหน้าต่างห้องเราเองค่ะ^^)

ด้านในบ้านพักก็จะเป็นแบบในรูปเลยค่ะที่นี่ไม่มีแอร์นะคะเพราะอากาศบนภูทับเบิกค่อนข้างหนาวเลยค่ะ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกจากทาง ภูการ์เด้น ที่เราจะได้รับนั้นก็จะมี Free wifi serviceจากพี่พนักงาน สถานที่จอดรถ เครื่องทำน้ำอุ่น และอาหารเช้าค่ะ^^ สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดนี้รวมไปใน800บาทที่เราจ่ายไปก่อนหน้านั้นแล้วนะคะ

เก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยเราก็มาจัดการกับอาหารมื้อเย็นที่เตรียมมาจากบ้านตั้งแต่เมื่อคืน55555 บอกก่อนเลยว่าเราตั้งงบการซื้อของสำหรับปาร์ตี้มื้อเย็นรอบนี้ไว้กันที่1,500บาท หารเฉลี่ยแล้วก็จะตกอยู่ที่300บาท/คน

แล้วงบ1,500บาทที่เราได้มาก็กลายมาเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา ที่เราซื้อมาจากตลาดไทแล้วแบกมันขึ้นมาบนภูกับเราด้วย5555 และปาร์ตี้มื้อนี้ขอเสนออออ 

ผ่ามพามมมมมม!!! บาร์บีคิวที่รักกับเจ้าปลาเผาจอมจุ้น555

ปลาเผาเกลือที่เราลงทุนทำกันเองทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน555555555

บาร์บีคิวที่มีอะไรก็ใส่มันลงไปทั้งหมด........... 

กุ้งเผาตัวโตๆ2โลกับปลาเผาเกลือที่เพิ่งทำกันคั้งแรก ไหนจะกุ้งแช่น้ำปลาที่ใส่อะไรบ้างก็ไม่รู้ และบาร์บีคิวไก่ที่มีอะไรก็ใส่มันลงไปทุกอย่าง (ที่จริงมีน้องหอยด้วยนะคะแต่หอยสุกไม่ทันเลยไม่ได้เขา้เฟรม555) อย่างที่เราบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเราซื้ออาหารทะเลสดมาจากตลาดไทมาถึงพวกเราก็จัดการตำนู่นทำนี่ การที่เราเลือกซื้อของมาทำเองก็เพราะเราคิดว่ามันประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าที่เราจะไปซื้อหมูกระทะราคาแพงหูฉีกจากบนภูมากิน อาจจะวุ่นวายหน่อยแต่เราคิดว่าทำกินเองมันได้อรรถรสมากกว่าที่จะไปซื้อกินค่ะทั้งสนุกทั้งอิ่มทั้งมีวุ่นวาย บรรยากาศแบบนี้แหละที่เราเรียกมันว่าความสุข ความสุขที่เกิดจากอาหารและการกินของพวกเรา^^

หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน อากาศที่นี่ยิ่งดึกยิ่งหนาวแต่เป็นหนาวจากละอองฝนค่ะพูดทีควันก็ออกปากทีแบบนี้จะไม่ให้ฟินได้ยังไง >//<  หมดไปแล้วหนึ่งวันสำหรับภูทับเบิก  รีบนอนเก็บแรงไว้ตื่นเช้าๆเพื่อมาดูทะเลหมอกกันดีกว่าค่ะ  zZZ

.......................................................................................................................

Good morning ภูทับเบิก สำหรับเช้าวันที่2ของทริป

เช้านี้บนภูทับเบิกกับอุณหภูมิ19องศา

พวกเราตื่นกันตั้งแต่เช้าาาาาาาตั้งใจว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดภู แต่พอดูสภาพอากาศแล้วไม่น่าจะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้เพราะหมอกลงหนาและรุนแรงมากกก เราเลยเปลี่ยนแพลนค่ะ ขอเดินไปเก็บภาพสวยๆกับอากาศดีๆด้านบนจุดวัดอุณหภูมิแทนดีกว่า โชคดีที่จุดชมวิวและจุดวัดอุณหภูมิอยู่ไม่ไกลจากที่พักของพวกเรามาก เดินสูดอากาศแปบเดียวก็ถึงแล้วค่ะ^^

ตรงจุดวัดอุณหภูมิอนุญาตให้เพื่อนๆที่นำเต้นท์มาเองเข้ามากลางตรงจุดที่พี่จนท.ได้จัดเตรียมไว้ให้ได้นะคะหรือหากใครที่ไม่ได้นำเต้นท์มาเองแต่อยากลองนอนเต้นท์ดูก็ไปติดต่อขอเช่าเต้นท์กับพี่จนท.ได้เลยค่ะ^^

การมาเที่ยวภูทับเบิกครั้งนี้เป็นครั้งที่2ของเราซึ่งครั้งแรกที่เรามาเราคิดว่าเราโชคดีมากที่มาทันเจอทะเลหมอกพอดีแต่ครั้งนี้กลับโชคดีกว่าครั้งที่แล้วที่มาอีกครั้งก็ยังคงเจอทะเลหมอกลอยผ่านตัวเราไหนจะอากาศเย็นสบายกลิ่นโอโซนธรรมชาติกับเพื่อนร่วมทริปดีๆเป็นอีกครั้งที่ประทับใจกับพื้นที่ตรงนี้มากๆไม่ว่าจะมาสักกี่ครั้งก็ยังสวยและเป็นธรรมชาติเหมือนเดิม..

เดินเล่นบนยอดภูสักพักก็มีเสียงประท้วงจากเพื่อนร่วมทริปตะโกนไล่หลังมาว่านางหิวแล้ว5555 นั่นสิตั้งแต่ตื่นมาเรายังไม่ได้กินอะไรกันเลยนินา ไปทานข้าวเช้ากันดีกว่าค่ะ^^

มื้อเช้าของเราวันนี้เป็นข้าวต้มเห็ดหอมจากทางที่พักที่ได้เตรียมไว้ให้เราค่ะ 

หรือถ้าใครไม่อยากทานหนักมื้อเช้าก็มีเป็นกาแฟ โอวัลติน ไว้ให้ชงดื่มได้เลยนะคะ ทุกอย่างตรงนี้รวมไปในค่าที่พักหมดแล้วค่ะจะทานเยอะขนาดไหนก็ทานได้ไม่อั้นเลยค่าาาา

หลังจากทานอาหารเช้ากันเสร็จสรรพก็ได้เวลาเก็บของ check out ออกจากที่พักกันแล้วค่ะ ก่อน check out เราก็แวะขอบคุณพี่เจ้าของที่พักที่ดูแลพวกเราทั้ง5เป็นอย่างดีพี่เจ้าของน่ารักมากเลยค่ะแถมยังบอกว่าถ้าปีหน้าเรามาใหม่จะแถมหมูกระทะชุดใหญ่ให้พวกเราด้วยยยย55555 ขอบคุณพี่ๆมากเลยนะคะ^^

ระหว่างทางลงขากลับก็จะมีพวกชาวบ้านที่ปลูกไร่ทำสวนนำผลผลิตที่เขาปลูกไว้มาจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวไว้หิ้วติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนะคะ

ของฝากจากด้านบน ก็จะเป็นพวกเบบี้แครอทที่สามารถทานได้ทันทีเลยและแมคคาเดเมี่ยที่ไม่คิดว่าจะปลูกบนพื้นที่แบบนี้ได้ ส่วนราคาที่ชาวบ้านขายกันก็จะอยู่ที่20บาทขึ้นไปค่ะเป็นราคาชาวบ้านถือว่าไม่แพงมาก^^

และอีกหนึ่งสิ่งที่หากได้มาถึงภูทับเบิกแล้วไม่ได้แวะหรือไม่ได้ลงไปถ่ายรูปถือว่ามาไม่ถึงนะคะ5555

ไร่กระหล่ำปี ที่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ด้านบนนี้หลักๆก็พากันทำไร่กระหล่ำปีนี่แหละค่ะ นอกจากจะเจอกับไร่กระหล่ำปีอยู่ตามฝั่งสองข้างทางแล้วเรายังเห็นต้นข้าวน้อยๆที่เขาพากันปลูกไว้เป็นพืชหมุนเวียนด้วยนะคะ

หมอกลงหนามากมองแทบจะไม่เห็นอะไรด้านบนเลยค่ะ และหากใครที่ไม่ได้มีโอกาศมาเห็นไร่กระหล่ำปีด้วยตัวเอง เราก็แอบเก็บภาพมาฝากด้วยนะคะ

ในเมื่อมีไร่กระหล่ำแล้วก็ต้องมีคนเก็บกระหล่ำด้วยใช่มั้ยคะ555555555

และถ้ามีไร่กระหล่ำและคนเก็บกระหล่ำแล้วก็ต้องมีคนฉีดยาฆ่าแมลงถึงจะครบคอนเซปใช่มั้ยคะ5555555

ไม่เก็บแล้วกระหล่ำเก็บของขึ้นรถกลับบ้านกันดีกว่าค่ะ...^^ แต่ระหว่างทางขากลับก็ดั๊นนนนนไปเจอเข้ากับอีกหนึ่งจุดชมวิวทะเลหมอกตรงทับเบิกอินดี้ไหนๆก็มาแล้วแวะมันทุกที่เนี่ยแหละ5555

จุดชมวิวตรงนี้จะอยู่ตรงบริเวณทับเบิกอินดี้รีสอร์ทที่หากใครได้มาเราแนะนำให้แวะเลยค่ะเพราะถ้ามองจากจุดตรงนี้ที่เรายืนถ่ายรูปกันจะสามารถมองเห็นเส้นทางที่เราใช้เดินรถขึ้นมาด้านบนแบบHDจนสุดลูกหูลูกตากันเลยค่ะ

เที่ยวเพลินจนถึงเวลาที่เราต้องกลับกันจริงๆแล้ว เก็บอากาศเย็นๆกับละอองฝนที่มาพร้อมกับสายหมอกจางๆให้เป็นความทรงจำดีๆกับสถานที่ดีๆแห่งนี้ ไว้มีโอกาศจะกลับมาใหม่และสัญญาว่าจะพยายามหาเวลาว่างมาที่แห่งนี้ทุกปี และสำหรับเพื่อนๆท่านใดที่กำลังจะเดินทางมาเที่ยวชมความงามของสายหมอกบนภูทับเบิกเราแนะนำให้นำรถส่วนตัวมาเองนะคะเพราะด้านบนนี้ไม่มีรถรับจ้างนอกจากจะเหมามาซึ่งมันแพงมากๆ ในเรื่องของอาหารเราก็แนะนำให้ซื้อหรือนำมาจากด้านล่างเลยดีกว่าค่ะเพราะหากมาวันธรรมดาด้านบนจะไม่ค่อยมีร้านค้าเปิดกันซักเท่าไหร่ และควรศึกษาเส้นทางก่อนที่จะมานะคะเพราะเส้นทางบนภูทับเบิกค่อนข้างที่จะชันและอันตรายพอตัวเลยค่ะ

ค่าใช้จ่ายทริปนี้

ค่าที่พัก 800บาท/ห้อง หาร3ก็จะแค่คนล่ะ260บาท (อีก2คนนอนคนล่ะห้องกับเราค่ะ)

ค่าอาหาร 1,000บาท หาร5ก็คนล่ะ200บาท

ค่าน้ำมัน 500บาท หาร5ก็ตกคนล่ะ100บาท

รวมๆแล้วค่าใช้จ่ายทริปนี้ก็จะอยู่ที่ 500-600 บาท/คน เท่านั้นเองค่ะ.. ภูทับเบิกแบงค์500ใบเดียวก็ไปได้..

 

ความรู้สึกผ่านตัวอักษรไม่สามาถทำให้เรารู้สึกดีเท่ากับการที่เราได้ลองออกเดินทางด้วยตนเองหรอกนะคะ

ไว้เจอกันใหม่รีวิวหน้า บ๊าบบายค่าาาาาา >//<

                                                                                                ชวนแฟนเที่ยว.