ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
    • โพสต์-1
    Paipasu •  พฤศจิกายน 07 , 2558

    สวัสดีครับ กระทู้นี้เป็นบันทึกการเดินทางท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์แล้วก็โน้นเลยครับจังหวัดเลยเป็นเวลา 9 วัน โดยสถานที่ที่ผมไปมีดังนี้ครับ 

    อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง (หนองแม่นา), อุทยานแห่งชาติเขาค้อ, พิพิธภัณฑ์อาวุธ (ฐานอิทธิ), อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ, อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว, อุทยานแห่งชาติภูกระดึง, เชียงคาน, ภูทอก, แก่งคุดคู้, อุทยานแห่งชาติภูเรือ, ภูหัวฮ่อม (อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย), ภูทับเบิก, อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า

    จริงๆตอนแรกผมบอกที่บ้านว่าจะไปจังหวัดอุตรดิตถ์ กะไปไม่กี่วัน แต่ดันไปเปลี่ยนแผนตอนกำลังขับรถซะงั้น ทิศทางการเดินทางเลยเบี้ยวเลยครับ วันแรกผมไปนอนอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง(หนองแม่นา) แล้วก็ขับไปเที่ยวจังหวัดเลย แวะตามรายทาง ผ่านอะไรก็แวะเที่ยวแวะพักไปเรื่อยๆ ภูกระดึงนี่ตอนแรกผมคิดว่ามันจะเหนื่อยอะไรกันนักกันหนา ก็แค่เขาลูกหนึ่ง (คิดไปได้...!!!) ลงภูมาเดี๋ยวจะเที่ยวมาราธอนต่อยาวไปเลย เอาละครับ ไปดูกันเลย ความประมาทในแรงโน้มถ่วงโลกของผม ว่าจะมีสภาพเป็นยังไง...

     

    วันที่ 1 (26/10/2558) ผมเป็นคนสุโขทัยครับ ตอนที่กำลังขับมอเตอร์ไซค์จะไปอุตรดิตถ์ก็นึกขึ้นมาว่าอยากไปภูทับเบิกอีก คราวแล้วไปตอนพายุเข้า ลืมดูพยากรณ์อากาศ  ไม่เจออะไรเลย แทบจะไม่ได้ออกจากเต็นท์ ทั้งหมอกทั้งฝนขาวโพลนไปหมด หนาวก็หนาว เปียกก็เปียก ลมนี่ก็พัดแรงเหลือเกิน เล่นซะเต็นท์เบี้ยวเลย นึกแล้วยังตะเตือนใตอยู่เลยครับ แล้วผมก็ตกลงเปลี่ยนแผนเป็นเที่ยวภูทับเบิก ภูหินร่องกล้า แล้วค่อยขึ้นไปอุตรดิตถ์ก็แล้วกัน ผมก็ขับรถเล่นไปเรื่อยๆ แวะตามทางตลอด ค่อยๆไป ไม่รีบร้อน เดี๋ยวมันจะพลาดรายละเอียดระหว่างการเดินทาง

     

    ก่อนจะไปภูทับเบิกผมก็ไปอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง(หนองแม่นา)ครับ ได้ยินว่าที่นี่บรรยากาศดี นอนที่นี่สักคืนละกัน ระยะทางแค่สองร้อยกว่ากิโลเมตร ผมขับเกือบห้าชั่วโมง ออกจากบ้าน 10 โมง ถึงบ่ายสองกว่าๆ (หลงทางด้วยครับ เลี้ยวไปไหนมาก็ไม่รู้) บริเวณที่ผมไปพักเค้าเรียกว่าหน่วยพิทักษ์ฯอุทยานหนองแม่นา เห็นบอกกันว่าเหมือนทุ่งหญ้าสะวันนา ระหว่างทางเข้าก็เป็นป่า มีป้ายระวังสัตว์ป่าข้าม ที่เห็นในรูปตรงไปจะเป็นจุดกางเต็นท์อีกเหมือนกันครับแต่จะไม่มีเจ้าหน้าที่

     

    เข้ามาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจะอยู่ทางซ้ายมือ ขวามือจะเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา ที่นี่ไม่มีร้านอาหารนะครับ ผมตองขับออกไปกินข้างนอก โชคดีที่เอารถมาเองเลยได้โอกาสไปดูที่เที่ยวแถวนั้นพอดี ผมไปกินโน้นเลยครับ แถวๆพระตำหนักเขาค้อ ระหว่างทางก็ผ่านจุดชมวิวเขาตะเคียนโง้ะ อุทยานแห่งชาติเขาค้อ ไว้พรุ้งนี้ค่อยมาละกัน

     

    ขากลับผมเลยไปที่แก่งบางระจันก่อนครับ อยู่เลยทุ่งแสลงหลวงไปนิดหนึ่ง ทางเข้าร่มรื่นมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด เห็นเค้าบอกว่ามีแมงกะพรุนน้ำจืดให้ดู แต่ผมไม่รู้จะติดต่อใครเลยไม่ได้เห็นแมงกะพรุนน้ำจืดเลย

     

    วิวบรรยากาศถ่ายจากในเต็นท์ครับ อากาศเย็นสบายไม่หนาวไม่ร้อนเกินไป นอนเล่นสักพักผมก็วูบหลับไปเฉยเลย

     

    ผมตื่นมาห้าโมงจะครึ่ง พระอาทิตย์กำลังจะตกแว้วววว  ออกไปถ่ายรูปเก็บไว้ซะหน่อย ถ่ายได้ไม่กี่รูปผมก็พอละ ดูด้วยตาตัวเองดีกว่า เป็นการประหยัดแบตกล้องด้วย 

     

    ผมนั่งดูพระอาทิตย์ตกจนมืดแล้วค่อยเดินกลับไปที่เต็นท์ คืนนั้นมันขึ้น 14 ค่ำ พระจันทร์ใกล้จะเต็มดวง ท้องฟ้าสว่างมาก มีคนมากางเต็นท์หลายเต็นท์อยู่ มากันเป็นครอบครัว ทำอาหารกินกัน ไม่เหงาครับคืนนี้

     

    บรรยากาศรอบๆเต็นท์ผมครับ อากาศสบายๆ คนที่มากางเต็นท์สังสรรค์กันก็ไม่ได้ส่งเสียงดังมาก ทำให้บรรยากาศยังเงียบสงบดี สักสามทุ่มผมก็หลับแล้วละครับ

     

    ค่าใช้จ่ายวันแรก

         น้ำมันสำรอง 4 ลิตร         115      บาท

         น้ำมัน(บ้าน)                   60        บาท

         น้ำมัน(วังทอง)                80        บาท

         ค่ากางเต็นท์                   30        บาท

         น้ำมัน (เขาค้อ)               50        บาท

         ข้าวเย็น                         50        บาท

         รวม                               385     บาท

         รวมทั้งหมด                   385     บาท 

    • โพสต์-2
    Paipasu •  พฤศจิกายน 07 , 2558

    วันที่ 2 (27/10/2558) ผมตื่นมาตีเกือบๆตีห้า โคตรหนาวเลย ดีที่น้ำค้างไม่แรงมาก ผมไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ออกมานั่งดูดาวรอพระอาทิตย์ขึ้น ปรากฏว่าหมอกลงครับ แต่ก็สวยไปอีกแบบ ทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยหมอกสีขาว สักหกโมงครึ่งผมก็ขับรถออกไป กะไปที่จุดชมวิวเขาตะเคียนโง้ะ 

     

    ถึงละครับจุดชมวิวเขาตะเคียนโง้ะ   เห็นวิวได้ 360 องศาเลยทีเดียว ที่นี่มีลานกางเต็นท์แล้วก็มีห้องน้ำด้วยครับ ผมเห็นมีคนมากางนอนอยู่ ตอนเช้าๆก็จะมีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเยอะพอสมควร 

     

    สักพักผมก็กลับไปที่อุทยานฯทุ่งแสลงหลวง แดดเริ่มส่องผ่านหมอกมาให้เห็นละครับ ผมรอให้เต็นท์แห้งแล้วก็เก็บเต็นท์เพื่อนที่จะไปเป้าหมายต่อไป

     

    ลาก่อยทุ่งแสลงหลวง

     

    ระหว่างทางผมก็ไปแวะอุทยานแห่งชาติเขาค้อ ผมพูดจริงๆนะ ไม่เห็นมีอะไรเลยอะ หรือผมพลาดอะไรบางอย่างไป หลังจากออกจาก อช.เขาค้อ ผมก็กะจะขึ้นไปเที่ยวพระตำหนักเขาค้อ แต่ผมแต่งตัวไม่ค่อยสุภาพ เสื้อยืดกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะ เลยไม่ไปดีกว่าเอาไว้วันหลังแต่งตัวให้สุภาพหน่อยแล้วค่อยมาใหม่

     

    ต่อไปผมก็ไปพิพิธภัณฑ์อาวุธ(ฐานอิทธิ) เสียค่าเข้า 10 บาทครับ 

     

    พิพิธภัณฑ์ อาวุธ (ฐานอิทธิ) ตั้งชื่อตาม พันเอก อิทธิ สิมารักษ์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ยึดพื้นที่เขาค้อคืนจาก ผกค.ในปี พ.ศ.2524 บริเวณนี้เคยเป็นฐานปืนใหญ่ ยิงสนับสนุนการ สู้รบ ปัจจุบันจัดให้ เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง มีอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ใช้ในการสู้รบตั้งอยู่มากมาย เช่น เครื่องบินขับไล่ เอฟ 5 รถสายพานลำเลียงพล ปืนใหญ่ ปืนใหญ่ขนาด 105 มม. จำนวน 2 กระบอก ปืนใหญ่ ขนาด 155 มม. ยิงได้ไกล 11 กิโลเมตร 1 กระบอก ฯลฯ ภายในอาคารมีห้องบรรยายสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ ในยุทธภูมิเลือดเขาค้อ มีห้องจัดนิทรรศการ เกี่ยวกับอุปกรณ์ เครื่องใช้ เสื้อผ้า อาวุธของคอมมิวนิสต์ ส่วนด้านนอกอาคารยังมีฐานอาวุธ จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น ปืนใหญ่ รถถัง รถแทรกเตอร์ บังเกอร์หลบภัย แต่ละจุดมีป้ายประวัติพร้อมคำอธิบายประกอบ

    อ้างอิง : http://www.khaoko.com

     

    ปืนใหญ่ครับ มีชื่อเรียกด้วย

     

    จุดชมวิวที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ครับ

     

    ต่อไป “อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ” เลยพิพิธภัณฑ์ไปนิดเดียว ที่ผมถ่ายเป็นด้านหลังนะครับ ผมพึ่งมารู้ตอนขาลงว่าเป็นด้านหลง เค้าให้เดินรถทางเดียวผมก็เลยไม่ได้เลี้ยวรถกลับ

    - รูปทรงสามเหลี่ยม หมายถึงการปฏิบัติการร่วมกันระหว่าง พลเรือน ตำรวจ และทหาร

    - ฐานอนุสรณ์สถานกว้าง 11 เมตร หมายถึง พ.ศ.2511 อันเป็นปีเริ่มการปฏิบัติการรุนแรงของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่นี้

    - ความสูงจากแท่นบูชาถึงยอดอนุสรณ์สถาน 24 เมตร หมายถึงพ.ศ. 2524 อันเป็นปีที่เปิดยุทธการครั้งใหญ่

    - ความสูงจากฐานถึงยอดอนุสรณ์สถาน 25 เมตร หมายถึงปี 2525 อันเป็นปีสิ้นสุดการต่อสู้ด้วยอาวุธ

    - ความกว้างฐานสามเหลี่ยมด้านละ 2.6 เมตร หมายถึงปี 2526 อันเป็นปีเริ่มการก่อสร้างอนุสรณ์สถานผู้เสียสละแห่งนี้

    นอก จากนี้บริเวณด้านข้างของอนุสรณ์ฯ เป็นฐานจำลองการสู้รบ ที่เป็นเนินเตี้ยๆ มีหลุมหลบภัย มีกระสอบทรายบังเกอร์ ซึ่งในอดีตที่แห่งนี้เป็นฐานแห่งแรกที่ทหารไทยยึดคืนมาได้จากการสู้รบกับ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) นอกจากนี้ บริเวณอนุสรณ์สถาน ยังเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งบนเขาค้อ เนื่องจากตั้งอยู่บนส่วนที่สูงที่สุด สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเนินเขาลูกเล็ก ลูกน้อย ไล่เลียงกันเป็นทะเลภู แลในเช้าวันที่มีทะเลหมอกด้านล่าง ยังสามารถชมทะเลหมอกได้จากจุดชมวิวนี้ได้ด้วย

    อ้างอิง : http://www.khaoko.com

    • โพสต์-3
    Paipasu •  พฤศจิกายน 07 , 2558

    เมื่อคืน ก่อนนอนผมนั่งคิดว่าอยากไปเที่ยวภูกระดึงสักครั้ง จะไปหน้าหนาวก็กลัวคนจะเยอะ งั้นไปช่วงนี้เลยละกัน ปลายฝนต้นหนาวแล้วน่าจะเวิร์คอยู่ ว่าแล้วก็เบนทิศไปจังหวัดเลยทันที ระหว่างทางก็ไปเจอนี่ครับสะพานพ่อขุนผาเมือง ก่อนถึงอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว เป็นสะพานตอม่อที่สูงสุดในไทย สูงประมาณ 50 เมตร ยาว 180 เมตร

     

    ผมแวะที่อุทยานแห่งชาติน้ำหนาวหาข้าวกินซะก่อน วันนี้บรรยากาศเงียบมาก คนน้อยสุดๆ จริงๆผมกะจะนอนที่นี่สักคืนนะ อยากไปถ่ายรูปที่ภูค้อกับถ้ำผาหงส์สักหน่อย แต่กลัวว่าจะไปขึ้นภูกระดึงไม่ทัน อยากขึ้นตอนเช้าๆ งั้นคืนนี้ไปนอนที่ตีนภูเลยละกัน อิอิ ผมก็อ้างไปเรื่อย จริงๆกลัวครับ ไม่อยากนอนคนเดียว ผมไปถามเจ้าหน้าที่เรื่องกางเต็นท์ เค้าบอกว่าไม่ต้องกลัวหรอกน้อง ที่นี่มีแนวกันไฟล้อมรอบ ปลอดภัย หึๆ ผมไม่ได้กลัวไฟน่ะซิครับ กลัวอย่างอื่นที่ไม่ใช่ไฟมากกว่า ว่าแล้วก็ไปภูกระดึงเลยละกัน 

     

    ระหว่างทางที่กำลังจะไปภูกระดึง ผมเจอด่านตำรวจครับ เอาอีกแล้ว เวลาผมไปเที่ยวทีไรต้องเจอตำรวจเรียกตรวจตลอด ไม่รู้เป็นอะไร พอผมเห็นด่านผมก็จอดรถเลยครับ มีตำรวจคนหนึ่งโบกมือเรียกอยู่ แล้วคุณตำรวจก็เดินเข้ามาหา ผมเลยถามออกไปว่า "ตะ ตะ ตะ ตรวจไหมครับ" เสียงนี่สั่นเชียว ปรากฏว่าเค้าเรียกรถยนต์อีกคันครับ คันหลังผม ไม่ได้จะตรวจผม ไอ้เราก็ตกอกตกใจ คิดในใจ "ตูโดนอีกแล้ววว" ผมอะไว้ผมยาว ไม่ได้โกนหนวดเครา ตำรวจเค้าก็ต้องสงสัยเป็นธรรมดาแหละครับ จริงๆผมไม่มีไรหรอก แค่ขี้เกียจตัดขี้เกียจโกน นึกทรงไม่ออก แล้วก็เอาไว้ขู่พวกมิจฉาชีพได้ด้วยนะ อย่างน้อยเค้าเห็นหน้าเหี้ยมๆก็คงไม่จ้องจะมาขโมยของหรอกมั้งงงง เวลาโดนจับหรือโดนตรวจแล้วกลับไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็ขำ ส่วนพ่อผมเค้าเป็นตำรวจก็บอกว่า "บอกแล้วให้ตัดผมตัดเผ้าให้มันดูดีๆหน่อย" โถ่ ชีวิต T^T หลังจากผ่านด่านตำรวจมาโดยสวัสดิภาพ ผมก็มาถึงที่หมาย นั่นไงครับภูกระดึง เดี๋ยวก่อนเหอะ พรุ้งนี้จะไปพิชิตให้ดู

     

    ถึงละครับอุทยานแห่งชาติภูกระดึง กว่าจะถึงก็เกือบจะห้าโมงเย็นละครับ เค้าให้ขึ้นช่วง 7 โมงเช้าถึงบ่ายสองเท่านั้น ไม่เป็นไรไงผมก็กะมานอนที่นี่คืนหนึ่งก่อนอยู่ละ

     

    ขั้นตอนปฏิบัติการพิชิตยอดภูกระดึงครับ

     

    บรรยากาศในศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

     

    ผมไปถามเจ้าหน้าที่ว่ากางเต็นท์นอนตรงไหนได้บ้าง จริงๆลานกางเต็นท์อยู่แถวลานจอดรถครับ แต่เจ้าหน้าที่ให้ผมมานอนในศาลาก่อนทางขึ้นภู มีห้องน้ำมีไฟมีปลั๊กไฟ สบายละครับคืนนี้  ผมเอาของไปวางแล้วก็ไปกินข้าว อาบน้ำ กางเต็นท์ แล้วก็นอนเอาแรงไว้เจอศึกใหญ่พรุ้งนี้  

    ค่าใช้จ่ายวันที่สอง

         ข้าวเช้า                         30        บาท

         น้ำมัน (วังทอง)               110      บาท

         ค่าเข้า อช.น้ำหนาว          40        บาท

         ข้าวกลางวัน                   50        บาท

         น้ำมัน (อ.ภูกระดึง)          70        บาท

         ค่าเข้า อช.ภูกระดึง          40        บาท

         ข้าวเย็น                         50        บาท

         น้ำเปล่าสองขวด             40        บาท

         รวม                              430     บาท

         รวมทั้งหมดสองวัน        815     บาท

    • โพสต์-4
    Paipasu •  พฤศจิกายน 07 , 2558

    วันที่ 3 (28/10/2558) ผมตื่นมาตีห้าเพราะได้ยินเสียงลูกหาบคุยกัน เห็นเค้าขนของขึ้นไปบนภู  น่าจะเป็นของที่เอาไปส่งตามร้านค้าข้างบน  พอ 7 โมงผมก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะขึ้นภูกระดึง แล้วลองไปชั่งน้ำหนักสัมภาระ บร๊ะเจ้า!!! 15 kg. โลละ 30 บาท ทั้งหมด 450 บาท แบกเองก็ได้  ค่อยๆขึ้นไป ยอดภูไม่ได้หายไปไหนซะหน่อย เดี๋ยวก็ถึง แต่ถึงตอนไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง T^T 

     

    ผมเริ่มขึ้นตอน 7.22 น. ผมจำได้เป๊ะ!!! เพราะมันต้องเซ็นชื่อก่อนขึ้น เอาล่ะ ได้เวลาไประเบิดพลังกันแล้ววววว!!!

     

    รูปเริปนี่ถ่ายอยู่ไม่กี่รูปหรอกครับ เหนื่อยโคตร เปียกเหงื่อทั้งตัว เก็บดีกว่ากล้องจะพัง ก่อนจะถึงซำแฮกมีแม่ค้าเดินคุยไปเป็นเพื่อน เค้าขายของอยู่ที่นั่น  แม่ค้าก็ชวนชวนคุยจังเลย ผมนี่โคตรจะเหนื่อยอะ แต่ก็ดีครับ ไม่เหงา

     

    แล้วก็มาถึงซำแฮก นี่แค่จุดแรกนะเนี่ย ปางตายซะละ วางกระเป๋าลงตัวอย่างเบาเลย ผมมาแวะพักร้านของแม่ค้าที่เดินมาด้วยกัน แล้วก็เจอลุงสามคนที่มาจากสตูล อายุประมาณ 60 โหดแท้ๆ เลยได้เพื่อนร่วมเดินทางต่อครับ จะได้ช่วยกันยุ เวลาหมดกำลังใจขึ้น

     

    จุดชมวิวแถวซำแฮกครับ

     

    เดินไปสักพัก ก็มีผู้ร่วมเดินทางมาอีกสองคน เป็นน้องผู้หญิงจาก ม.ศิลปากร

     

    จุดชมวิวครับ แถวไหนผมจำไม่ได้ละ 

     

    ตอนนี้ยอมรับเลยโคตรเหนื่อย หนักก็หนัก อยากจะทิ้งกระเป๋าไปเลยอะ ตอนเดินขึ้นไม่มีปวดฉี่สักนิด ขนาดกินน้ำสองขวดใหญ่ตลอดทาง  ช่วงท้ายก่อนถึงยอดนี่โหดสุดละครับ 1300 เมตร ชันตลอดสาย มีบันดงบันไดอีก จ้างลูกหาบทันไหมเนี่ย แรงก็ใกล้จะหมด ดื่มน้ำไปก็ไม่รู้สึกดับกระหายสักนิด แถมหิวข้าวอีก คิดในใจ “นี่ตูมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ยยยยย T^T”

     

     

    แผนที่ทางขึ้นครับ  ตลอดที่เดินขึ้นมานี่พวกลุงถามคนที่กำลังเดินลงมาว่าอีกไกลไหม เค้าบอกว่าอีกนิดเดียว แหมมมมมมมมมมมมมมมม่!!! นิดเดียวตั้งแต่ซำแฮกละ ถามตรงไหนคนไหนก็บอกว่า “อีกนิดเดียว”  ผมนี่ขนลุกเลยอะ เวลาได้ยินคำว่าอีกนิดเดียว ขากลับถ้ามีใครถามผม ผมจะบอกเลย “อย่างไกลเลยครับ พักก่อนก็ได้” นิดเดียวนี่ให้กำลังใจสุดๆ คิดว่าพ้นโค้งนี้ไปแล้วถึงแน่ๆ  ที่ไหนได้ พ้นโค้งไปเจอบันได เจอทางชันอีก กร่อยเลยผมอะ แต่มันก็เป็นการให้กำลังใจที่ดีนะครับ ทำให้มีแรงฮึดต่อ

       

    ถึงแล้ววววววววววววววววววววววววว!!! หลังแป ขึ้นเขามา 5.5 กิโลเมตร กับสัมภาระ 15 kg. ใช้เวลาไป 5 ชั่วโมง ผมขึ้นตั้งแต่ 7.22 ถึงหลังแปประมาณเที่ยงครึ่ง ยังเหลือทางราบอีก 3.5 กิโล กว่าจะถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จะตายอยู่แล้วววววว คอนี่แห้งเลย แต่ก็เอาวะ อีกนิดเดียว (นิดเดียวอีกละ)

     

    คณะพันธมิตรแห่งแหวน ไม่ใช่ละ คนละเรื่องแล้ว ต้องเป็นคณะพันธมิตรแห่งภูกระดึง 6 ชีวิตด้วยกัน จริงมี 7 ครับ เป็นพี่ผู้ชายอีกคนเปิดร้านข้าวอยู่บนนี้ เค้าเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว

     

    บอกเลยครับว่าแรงหมดไปแล้ว ตอนนี้เผาผลาญพลังชีวิตล้วนๆ รีดเร้นจักระแทบไม่ขึ้น แต่มีลุงคนหนึ่งที่มาด้วยกันเค้าช่วยผมแบกเต็นท์ น้ำตาจะไหล T^T

     

    เมื่อไรจะถึงงงงงงงงงง 3.5 กิโลเมตร พวกผมเดินกันเป็นชั่วโมง ชั่วโมงครึ่งด้วยซ้ำมั้ง เดินๆหยุดๆ บนนี้ลมเย็นมาก แต่แดดโคตรร้อนเลย นี่มันภูกระดึงหรือแกรนด์ไลน์เนี่ย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฟ้าโปร่ง เดี๋ยวฟ้าปิด  ฟ้าครึ่มๆอยู่ อีกแป๊ปเดียวแดดมาละ แปรปรวนซะเหลือเกิน 

     

    พระเจ้ายอดมันจอร์จมาก ถึงซะที ผมติดต่อเรื่องกางเต็นท์แล้วไปกินข้าวทันที โรงอาหารก็ไกลจริง แทบจะคลานไปกินข้าว ตอนนี้อยากได้โค้กเย็นๆสักขวด

     

    บนนี้น้ำขวดเล็ก 30 บาท ใหญ่ 50 บาท ข้าวจานละ 60 บาท ในภาพนั่นทั้งหมด 100 บาทครับ ข้าว 60 โค้ก 40 แต่จานใหญ่อยู่นะครับข้าวอะ ถ้ากินหมดนี่เกินคำว่าอิ่มเกือบจะไปถึงจุกเลย

     

    ขากลับไปจุดกางเต็นท์ผมเห็นกวางมากางเต็นท์อยู่ตัวหนึ่งครับ สงสัยอยู่ในป่าคงเหงาเลยออกมากางเต็นท์นอน ดูจากภาพแล้วเหมือนพึ่งจะอาบน้ำมาด้วยนะเนี่ย 

    • โพสต์-5
    Paipasu •  พฤศจิกายน 07 , 2558

    กลับมาจุดกางเต็นท์แต่ละคนก็สลบครับ ผมปลุกนาฬิกาไว้ 4 โมงเย็น จะไปผาหมากดูกไปดูพระอาทิตย์ตก พอสี่โมงเย็นปรากฏว่าน้องผู้หญิงสองคนนั้นหมดสภาพการแข่งขันไปแล้วครับ หลับลึกสุดใจกันไปเลย จะไปปลุกเดี๋ยวน้องจะตกใจนึกว่าไปทำมิดีมิร้าย เลยปล่อยให้นอนต่อไป ผมก็ไปกับลุงสามคนนั้นล่ะครับ ผมกางเต็นท์อยู่ระหว่างเต็นท์ลุงกับเต็นท์น้องเค้าพอดี พี่ที่เป็นพ่อค้าบนนี้เค้าบอกว่าปกติเต็นท์ที่เอามาเองกับของอุทยานจะอยู่คนละโซน แต่วันนี้คนน้อยถือซะว่ามาด้วยกันเป็นทีมเดียวกันกางได้

              ที่จุดบริการนักท่องเที่ยวมีบริการชาร์จแบตด้วยนะครับ มือถือ กล้อง 20 บาท ไอแพท พาวเวอร์แบงค์ 40 บาท แถมที่นี่ห้องน้ำสะอาดมาก แต่น้ำโคตรเย็น อาบทีสะดุ้งเลย

     

    ระยะทางบอกว่า 2 กิโลจากจุดกางเต็นท์ ผมว่ายังไงมันก็เกิน เดินมาอย่างนาน ไม่ถึงสักที พอเจอคนเดินสวนมา ลุงเสื้อชมพูก็ถาม “อีกไกลไหม” เค้าก็ตอบกลับมาว่า “อีกนิดเดียวครับ” นิดเดียวอีกแล้ว!!! ผมละเกลียดคำนี้จริงๆ  เอ้า!!! เดินก็เดิน อีกนิดเดียว เดินไปอีกพักใหญ่พ้นโค้งปุ๊บ ลุงเสื้อชมพูแกก็พูด “นี่รึอีกนิดเดียว!!! โคตรไกลเลย จริงๆบอกตรงๆก็ได้นะ จะได้ทำใจได้”  555 จากเหนื่อยๆผมนี่ขำกลิ้งเลย หลังจากนั้นอีกพักหนึ่งเราก็ถึงละครับ

     

    ถึงละครับ “ผาหมากดูก” น่วมมาเลย มาถึงพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี

     

    บรรยากาศโดยรวมที่ผาหมากดูกครับ

     

    ลุงเสื้อชมพูนี่อย่างฮาเลยครับ ตั้งแต่ตอนขึ้นมาแล้ว แกคุยตลกมาก แถมยังคึกเป็นม้า ทางชันๆแกวิ่งขึ้นเฉยเลย วิ่งขึ้นมาหอบรอเพื่อน 555 ลุงเสื้อลายจะเงียบๆครับ แกเป็นคนช่วยผมหามเต็นท์ช่วงท้ายๆ ส่วนลุงเสื้อม่วงนี่ก็จะกลับบ้านอย่างเดียว ตั้งแต่ซำแฮก 555 แต่ก็ขึ้นมาถึงกันจนได้ ฮาครับ ขึ้นมาพร้อมกับลุงสามคนนี้ เหมือนมากับพ่อด้วย รู้สึกทั้งฮาทั้งอบอุ่น

     

    พระอาทิตย์เริ่มตกละครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ถ่ายรูป ผมว่านั่งดูมันสวยกว่าเยอะ อ้างไปเรื่อย จริงๆเหนื่อยครับ หมดแรง T^T

     

    บรรยากาศระหว่างทางที่เดินกลับครับ มืดตึบเลย

     

    กลับมานอนเล่นสักพัก ผมก็ไปกินข้าวมื้อเย็น 60 บาท เหมือนจะแพงนะครับ แต่มันก็เยอะอยู่ กะเพรากุนเชียง(ไม่ใช่กะเพรากวางนะครับ)ข้าวอย่างเยอะ กุนเชียงก็เกือบจะครึ่งจานละ กินหมดจุกเลย

     

    ระหว่างที่กำลังกินข้าวก็มีกวางน้อยเดินเข้ามา นี่มันกวางหรือหมาละครับเนี่ย เชื่องซะไม่มี

     

    หลังจากนั้นผมก็กลับไปอาบน้ำเตรียมตัวนอน  บนภูน้ำค้างแรงมาก หัวค่ำๆก็ลงจนเต็นท์เริ่มเปียกแล้วครับ คืนนี้หลับยาว เพลียมาทั้งวัน เตรียมตัวไปผานกแอ่นดูพระอาทิตย์ขึ้นพรุ้งนี้เช้า

     

    ค่าใช้จ่ายวันที่สาม

         ข้าวเช้า                          50        บาท

         โค้ก                              20        บาท

         ค่ากางเต็นท์                   90        บาท (ตีนภู 1 คืน บนภู 2 คืน)

         ข้าวกลางวัน                   60        บาท

         โค้ก+น้ำแข็ง                  40        บาท

         น้ำบนภู 2 ขวด                100      บาท

         ข้าวเย็น                         60        บาท

         ค่าชาร์จแบต                   20        บาท

         รวม                               440     บาท

         รวมทั้งหมดสามวัน         1,255  บาท

    • โพสต์-6
    Paipasu •  พฤศจิกายน 07 , 2558

    วันที่ 4 (29/10/2558) ผมตื่นมาตี 4 เพราะมันหนาววววว น้ำค้างลงเต็นท์เปียกเลยครับ ขนาดมีฟลายชีทแล้วนะ เลยออกมาดูดาวซะหน่อยสักตีสี่ครึ่งก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน พอใกล้ตีห้าต้องไปรวมตัวแถวเสาธงหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่เค้าจะพาไปผานกแอ่นเผื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น

     

    ระยะทางประมาณ 2 กิโล เจ้าหน้าที่เดินซะเร็วเลยครับ ต้องรีบจ้ำตามให้ทันเพราะมันมืด แต่ยังดีที่มีแสงจันทร์ พอมาถึงก็ใกล้สว่างแล้ว  ฟ้ากำลังสวยเลย ผู้คนต่างหาตำแหน่งเพื่อคอยชมแสงแรกของวันที่ผานกแอ่น ณ ภูกระดึง

     

    สาวๆนั่งรอชมแสงยามเช้า

     

    น้องคนนี้เหมือนจะมาคนเดียว ผมเห็นแล้วเหงาแทน เดี๋ยวๆ ผมก็มาคนเดียวนี่หว่า

     

    ขึ้นมาแล้วละครับ ดวงอาทิตย์ ณ ภูกระดึง ถ่ายสักรูปสองรูปแล้วดื่มด่ำด้วยตาตัวเองดีก่า 

     

    นี่ไงครับ ถึงผมจะมาคนเดียวแต่ก็ไม่เหงานะครับ ผมได้พบมิตรภาพระหว่างทาง  ทำให้การมาภูกระดึงคราวนี้ของผมไม่สูญเปล่า สนุกสนานมาก พูดแล้วน้ำตาจะไหล T^T

     

    สักเจ็ดโมงก็เดินกลับ วิวระหว่างเดินกลับเต็นท์ครับ ผ่านลานวัดพระแก้วด้วย

     

                วันนี้เราจะไปเดินเที่ยวน้ำตกต่างๆบนภูกระดึงกัน แล้วที่พลาดไม่ได้ พระอาทิตย์ตก ณ ผาหล่มสัก 

    • โพสต์-7
    Paipasu •  พฤศจิกายน 07 , 2558

      แผนที่สถานที่ท่องเที่ยวบนภูกระดึงครับ จะกว้างไปไหนเนี่ยยยยย

     

    กินข้าวเติมพลังก่อนเดินทางไกล หลายกิโลอยู่ครับ กวางมาอีกแว้วววว

     

    คณะพันธมิตรออกเดินทางสู่น้ำตกด้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!! แต่ละน้ำตกก็อยู่ห่างกันไกลเหลือเกิน เหนื่อยแต่ก็สนุกสนานดีครับ 

     

    อันนี้ไม่น้ำตกเพ็ญพบก็โผนพบอะครับ ผมก็งงๆ ตอนไปก็ไม่รู้หรอกว่าน้ำตกอะไร  เราหยุดพักถ่ายรูปเล่นน้ำกันแป๊บหนึ่ง เพราะจุดนี้เดินมาไกลพอสมควร

     

    แล้วเราก็ออกเดินทางต่อครับ เจอบันได ทางลาดชัน น้ำตกต่างๆ เยอะแยะไปหมด เริ่มเหนื่อยแล้วครับ อาการล้าจากการเดินขึ้นภูมาเมื่อวานเริ่มออกฤทธิ์  ปวดเท้าปวดขากันหมด แต่สาวๆจะดูคึกคักกันเป็นพิเศษ เห็นเล่นต่อเพลง ต่อนิทานกันตลอดทาง เอาเค้าไม่อยู่จริงๆ แต่หนุ่มๆสองคนเดินรั้งท้ายตลอด 

     

    นี่น่าจะเป็นน้ำตกถ้ำใหญ่ครับ ที่มีใบเมเปิลแดง แต่ตอนนี้ยังไม่แดงครับ เราหยุดพักกันพักหนึ่งเพราะแถวนี้บรรยากาศสวยมาก

     

    ใบเมเปิลแดงครับ เห็นริบๆเลย

     

    แล้วก็ออกเดินทางต่อครับ หิวข้าวละ วนกลับไปที่เต็นท์ตอนนี้ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ แดดอย่างแรง

     

    พระพุทธเมตตาครับ ระหว่างเดินกลับที่พัก สาวๆเข้าไปขอพรกันใหญ่

     

    เรากลับไปพักผ่อนกันสักแป๊บครับ เพื่อเก็บแรงจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร  ตอนแรกผมกะเดินไปเอง แต่คนอื่นเช่าจักรยานกันบวกกับสภาพผมตอนนี้น่วมซะไม่มี  เช่าจักรยานดีกว่า ถึงจะแพงไปหน่อยก็เหอะ คันเล็กวันละ 360 บาท คันใหญ่ 410 บาท ถือซะว่าได้ทั้งเดินเที่ยวกับปั่นจักรยานบนภูกระดึง ก็ถือว่ามาละครับงานนี้

     

    เหมือนจะสบายนะปั่นจักรยานอะ ผมว่าเหนื่อยกว่าเดินอีก แต่มันเร็วกว่าเยอะ พอเจอทราย เจอเนิน เจอหินนี่รู้เรื่องเลย ปั่นไปปั่นมาปวดต้นขาไปหมด ปั่นไปนานๆปวดตูดอีก แต่เพลินครับ ขับไปแวะถ่ายรูปตามผาไปเรื่อยๆ มีเพื่อนร่วมทางสนุกสนานตลอดทาง ระหว่างทางไปผาหล่มสักก็มีร้านค้าอยู่ตลอด แต่แต่ละผามันก็ค่อนค้างไกลกันอยู่

     

    สักห้าโมงเย็นเราก็ถึงผาหล่มสักละครับ มีคนมาเยอะเหมือนกัน บางคนปั่นจักรยานมา บางคนเดินมา เพื่อมาที่นี้โดยเฉพาะ

     

    พระอาทิตย์เริ่มตกละครับ เสียดายเมฆเยอะไปหน่อยไม่เห็นตอนกำลังตกเป็นไข่แดง แต่แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มละครับ มิตรภาพ ความสนุกสนานระหว่างการเดินทางมา อันนี้ผมว่าคุ้มว่าพระอาทิตย์ตกอีก

     

    หกโมงๆกว่าก็ปั่นกลับ มีเจ้าหน้าปั่นนำหน้าด้วย เพราะทางมันไม่ใช่ทางเรียบ มีหิน มีบ่อ เนิน รากไม้ ทรายเต็มไปหมด น้องที่มากับผมล้มไปทีหนึ่ง ตรงหน้าผมเลย ผมก็งงใครวะมาจับกบตรงตรงหน้าเราพอดี เห็นหน้าแล้วฮาเลย 555 แต่ก็มีคนเดินกลับนะครับ คนเหล่านี้โหดมากๆ หยุดเค้าไม่อยู่จริงๆ กำลังกายสุดยอดไม่พอ ต้องกำลังใจต้องแข็งด้วย ระหว่างทางอย่างมืด 

     

    คืนนี้คืนสุดท้ายละที่จะอยู่บนภูกระดึง เราเลยไปกินหมูกระทะกัน ชุดละ 500 หาร 5 ก็สบายๆ

     

    ภูกระดึงนอกจากจะมีกวางเป็นมาสคอตแล้วนะครับ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งคือ “ทาก!!!” เมื่อเช้าผมโดนไปหนึ่งช็อตตรงหัวเข่า ผมนึกว่ายุง รู้สึกคันๆ ตบแป๊ะ!!! ไมมันนิ่มๆวะ ดึงมาเลือดกระฉูดเลย หลังจากนั้นก็ไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน แต่ก่อนนอนมานั่งคุยเล่นกันก่อนครับ เพราะพรุ้งนี้จะแยกย้ายกันละ เราคุยกันเบามากๆ แต่ด้วยความเงียบบนภูเจ้าหน้าที่เลยมาเตือน ตั้งสองครั้งแหนะ เลยพอดีกว่า รบกวนคนอื่นเค้า สักเกือบๆห้าทุ่มเราก็แยกย้ายกันไปนอน หลับยาวเลยครับคืนนี้ เตรียมตัวลงภูพรุ้งนี้เช้า

     

    ค่าใช้จ่ายวันที่สี่

         ค่าข้าวเช้า                   60        บาท

         ค่าชาร์จแบต                40        บาท

         ค่าข้าวกลางวัน             60        บาท

         ค่าเช่าจักรยาน             410      บาท

         ค่าน้ำ                        50        บาท

         ค่าโค้ก                      40        บาท

         ค่าสปอนเซอร์             35        บาท

         ค่าหมูกระทะ              140      บาท

         รวม                           835     บาท

         รวมทั้งหมดสี่วัน         2,090  บาท

     

    • โพสต์-8
    Paipasu •  พฤศจิกายน 07 , 2558

    วันที่ 5 (30/10/2558) วันนี้ตื่นช้าหน่อยหกโมงกว่าๆ ตอนแรกกะจะไปผานกแอ่นอีกรอบ แต่ไม่น่าไหว เพลียจัด

     

    เช้านี้หมอกเยอะมากครับ ผมก็เริ่มเก็บของเก็บเต็นท์เตรียมตัวลงภู

     

    เก้าโมงเช้า เราก็ออกเดินทางลงภูครับ เหมือนเดิม แบกเอง ไม่มีตังจ้างลูกหาบ T^T ขาลงนี่มันไม่ค่อยเหนื่อยนะครับ แต่มันปวดน่องกับปลายเท้านิดหน่อย ต้องคอยเบรคตลอดเวลา ผมนี่ได้กลิ่นผ้าเบรคไหม้ตลอดเวลา (ว่าไปนั่น) 

     

    บ่ายสองครึ่งผมก็มาถึงจนได้ น้ำตาแทบไหล มิชชันคอมพลีต ส่งเควสเรียบร้อย เวลอัพไปอีกเวล พอลองมองทางย้อนขึ้นไป ตูขึ้นไปได้ไงวะเนี่ย ชันชิบ คนอื่นๆเค้าลงมาก็ไปอาบน้ำกันเพราะต้องเดินทางกลับบ้าน ส่วนผมยังไม่อาบ ผมต้องไปเชียงคานต่อ 135 กิโลเมตร ชิวๆ ร่ำลากันแล้วก็แยกย้ายไปตามเส้นทางของแต่ละคน ลาก่อยคณะพันธมิตรแห่งภูกระดึง

     

    ขับรถมาโคตรเหนื่อยเลยครับ ค่อยๆขับไป สักห้าโมงเย็นผมก็มาเติมน้ำมัน ผมถามเด็กปั๊มว่า “น้อง เชียงคานไปทางไหนอะ” น้องบอกว่า “ที่นี่แหละพี่ เชียงคาน นั่นน่ะป้าย ตัวเบ่อเริ่มเลย” เอ้า!!! มาถึงแล้วหรอเนี่ย ห้าโมงครึ่งผมก็ไปแถวริมโขง พระอาทิตย์กำลังตกเลยครับ เลยนั่งดูพระอาทิตย์ตกไปก่อน ตัวโคตรเหม็นเลยตอนนี้ ไม่กล้าไปอยู่ใกล้ๆคนอื่น เกรงใจเค้า ได้แต่นั่งห่างๆอยู่คนเดียว อย่างกับสังคมรังเกียจ เหงาเลยทีนี้ T^T ใกล้ๆที่ผมไปดูพระอาทิตย์ตกเป็นถนนคนเดินครับ ผมชมอาทิตย์ตกไปถ่ายรูปไป ดื่มด่ำกับบรรยากาศริมโขง พอสักทุ่มๆกว่า พึ่งนึกออก ยังไม่มีที่นอนนี่หว่า เลยไปหาที่นอนก่อนครับ พอได้ที่พักก็อาบน้ำอาบท่าแล้วไปหาอะไรกินที่ถนนคนเดิน

     

    บรรยากาศถนนคนเดินที่เชียงคานครับ จะยาวไปไหน ถ้าสภาพร่างกายสดๆนี่ผมเดินสบาย อันนี้พึ่งลงมาจากภูกระดึง เดินกระเผลกๆเที่ยวถนนคนเดิน ต้องแอ๊บไว้ เจ็บเท้าก็เจ็บ มันปวดตรงหัวแม่เท้าอะครับ แต่ต้องกัดฟันทำแอ้คเดิน เดี๋ยวอายเค้า มาทรมานตัวเองแท้ๆ

     

    อันนี้ของเด็ดที่นี่เลยครับ กุ้งเสียบไม้ อร่อยจริง ไม้ใหญ่ 20 เล็ก 10 บาทเดินสักชั่วโมงกว่าผมก็กลับไปนอนละครับ เพลียจัด กะว่าพรุ้งนี้จะไปภูทอก

     

    ค่าใช้จ่ายวันที่ห้า

         ข้าวเช้า                      60        บาท

         น้ำ (บนภู)                   50        บาท

         ปาท่องโก๋                   30        บาท

         น้ำมัน (เติมที่เลย)         70        บาท

         ผัดไท                        40        บาท

         กุ้งเสียบไม้                 50        บาท

         ค่าที่พัก                     500      บาท

         รวม                           800     บาท

         รวมทั้งหมดห้าวัน       2,890  บาท 

    • โพสต์-9
    Paipasu •  พฤศจิกายน 07 , 2558

    วันที่ 6 (31/10/2558) ตีห้าผมขับรถไปภูทอก เราต้องไปจอดรถไว้แถวตีนภู แล้วขึ้นรถของท้องถิ่นขึ้นไป ค่ารถ ไป-กลับ 25 บาท 

     

    คนขึ้นมารอชมพระอาทิตย์ขึ้นกันเยอะมาก เพราะที่นี่สวยจริงๆครับ มีทะเลหมอกด้วย ฟ้าระเบิดเชียว แทบจะเห็นวิวได้ 360 องศา

     

    ฟ้าเปลี่ยนสีละ พระอาทิตย์เริ่มขึ้นแล้วครับ

     

    เหล่านักล่าแสงอาทิตย์ ณ ภูทอก เชียงคาน

     

    ขาลงผมเห็นคนเยอะรอคิวกันเต็มไปหมด ผมเลยตัดสินใจเดินลงไปเองครับ (ไม่เจียมสังขารอีกละ) ระยะทางประมาณเกือบ 2 กิโลเมตร ถือเป็นการสัมผัสบรรยากาศของภูทอกโดยตรง เดินผ่าหมอกลงไปเลย กลัวอะไรละวัยรุ่น ก็ลงเลยเซ่!!!

     

    ลงมาถึงข้างล่างผมก็ขับรถไปแก่งคุดคู้ ฟ้าดูอึมครึมไงไม่รู้ สักพักก็กลับไปที่พักนอนเอาแรงอีกหน่อย ใกล้ๆเที่ยงค่อยออกเดินทางต่อ

     

    เดินเล่นอยู่แป๊บหนึ่งผมก็กลับไปที่พักนอนเอาแรงอีกหน่อย ใกล้ๆเที่ยงค่อยออกเดินทางต่อ

     

    ก่อนกลับที่พัก ผมไปเจอป้ายนี้ เป็นประวัติความเป็นมาของแก่งคุดคู้

    นานแล้วมีพรานป่าคนหนึ่งชื่อ “จึ่งขึ่งดั้งแดง” รูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน มีฝีมือในการล่าสัตว์ วันหนึ่งนายพรานผู้นี้ตามล่าควายเงินมาจากหลวงพระบาง (ที่เรียกควายเงินเพราะมูลของควายตัวนี้เป็นเงิน) พอมาถึงริมน้ำโขงเห็นควายเงินพักกินน้ำ นายพรานจึงดักซุ่มยิง พอดีชาวบ้านแล่นเรือผ่านมา ควายเงินตกใจตื่นเตลิดขึ้นไปบนเขาลูกหนึ่ง (ต่อมาเขาลูกนี้ได้ชื่อว่า"ภูควายเงิน") นายพรานเลยยิงไปถูกเขาอีกลูกจนพังทลายไปซีกหนึ่ง กลายเป็นหน้าผาสูงชัน ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ภูผาแบ่น”

    นายพรานโกรธคนที่แล่นเรือผ่านซึ่งเป็นต้นเหตุให้ควายเงินหนีไป จึงกลั่นแกล้งด้วยการขนหินมาขวางกั้นลำโขงไม่ให้เดินเรือได้ นายพรานทำการเกือบจะสำเร็จ ก็พอดีมีสามเณรรูปหนึ่งมาเห็นเข้า เณรนั้นออกอุบายหลอกให้นายพรานใช้ไม้เฮียะ (ไม้ใผ่ชนิดหนึ่ง) ผ่าซีกหาบหินแทน ไม้เฮียะผ่าแล้วจะเป็นสันคมกริบ เมื่อนายพรานใช้หาบหิน ไม้นั้นก็บาดคอนอนตายคุดคู้อยู่ที่ริมโขงนั้นเอง แก่งหินนั้นจึงเรียกว่า “แก่งคุดคู้”

    ผลจากการที่นายพรานขนหินมาวางขวางทำให้กลางน้ำโขง มีหลายแก่งหลายแห่ง มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น แก่งฟ้า แก่งจันทร์ เป็นต้น แก่งเหล่านี้แม้จะเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางในลำน้ำโขงมาแต่โบราณ แต่ก็เป็นบริเวณที่มีปลาเข้ามาอยู่อาศัยอย่างชุกชุม

    อ้างอิง : http://www.nairobroo.com/nairobroo-take-flight/tips-travelers/1533-%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%89.htm

    • โพสต์-10
    Paipasu •  พฤศจิกายน 07 , 2558

    เป้าหมายต่อไป “อุทยานแห่งชาติภูเรือ” ระหว่างทางขึ้นมีรีสอร์ทเต็มไปหมดครับ ปากทางก็มี 7-11 ถือว่าสะดวกสบายอยู่ ผมไปนอนจุดกางเต็นท์ที่ 2  ใกล้ๆกับยอดภูเรือ ที่นี่มีผา มีน้ำตกต่างๆให้เดินเที่ยวเยอะแยะไปหมดครับ แต่ผมไม่ได้ไป ขายังเดี้ยงอยู่เลย T^T 

     

    การจะขึ้นไปยอดภูเรือ เราต้องไปขึ้นรถของที่นั่นครับ ครั้งละ 10 บาท ซึ่งห่างจากจุดกางเต็นท์ที่ผมพักประมาณ 1.3 กิโลเมตร แถวๆนั้นมีลานจอดรถอยู่ ขึ้นไปก็จะเห็นวิวภูเขาเรียงสลับกันไปมา 

     

    ระหว่างทางที่ขับกลับไปจุดกางเต็นท์ พระอาทิตย์ก็ตกพอดีครับ ผมจอดรถมาถ่ายรูปแป๊บหนึ่งแล้วก็ไปต่อ เดี๋ยวจะมืด

     

    พอมาถึงลานกางเต็นท์ ฟ้ากำลังสวยเลยครับ วันนี้คนมากางเต็นท์นอนเยอะมาก แต่ผมดันไปกางผิดจุด เค้ากางกันล่างๆ ผมมาก่อนคนอื่นเลยกางซะตรงนี้ โดดเดี่ยวเลย แต่ก็พอมีคนมานอนเต็นท์ของทางอุทยานบ้าง เสร็จภารกิจของวันนี้แล้วละครับ ^^

     

    ค่าใช้จ่ายวันที่หก

         ค่าจอดรถ (ภูทอก)           20        บาท

         ค่ารถขึ้นภูทอก                 25        บาท

         ข้าวเหนียวไก่ทอด            50        บาท

         น้ำ                                15        บาท

         ค่าน้ำมัน (ภูเรือ)              50        บาท

         ค่ากางเต็นท์                   30        บาท

         ข้าวกลางวัน                   45        บาท

         น้ำ 2 ขวด                      30        บาท

         ค่าเข้า อช.ภูเรือ              60        บาท

         ค่ารถ ขึ้น-ลง ยอดภูเรือ     20        บาท

         ข้าวเย็น                         50        บาท

         รวม                                395     บาท

         รวมทั้งหมดหกวัน           3,285  บาท

     

  1. โหลดเพิ่ม