หากพูดถึงสุดยอดน้ำตกในเมืองไทยที่เป็นหนึ่งใน Dream Destination ของนักเดินทาง เชื่อว่าต้องมีชื่อของ น้ำตกทีลอซู ถูกจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน และเราเองก็เป็นหนึ่งในนักเดินทางที่ใฝ่ฝันว่าอยากจะไปชมความงดงามอลังการของน้ำตกแห่งนี้ด้วยตาตัวเองซักครั้ง

น้ำตกทีลอซู ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก เป็นน้ำตกภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ที่มีน้ำไหลแรงตลอดปี ซึ่งตัวน้ำตกถูกห้อมล้อมไปด้วยผืนป่าดงดิบผืนใหญ่ที่นับว่ามีความอุดมสมบูรณ์มาก และด้วยความยิ่งใหญ่ของน้ำตกแห่งนี้ทำให้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 6 ของเอเชียอีกด้วย
นอกจากน้ำตกทีลอซูที่มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวแล้ว ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ยังมีอีกหนึ่งน้ำตกที่มีความสวยงาม และเต็มไปด้วยเสน่ห์น่าดึงดูดไม่น้อยไปกว่ากันเลย นั่นก็คือ น้ำตกทีลอจ่อ หรือ น้ำตกสายฝน ซึ่งการจะเข้าไปชมน้ำตกทีลอจ่อนั้น ต้องล่องเรือยางจากอุ้มผางไปตามลำน้ำแม่กลอง ซึ่งตัวน้ำตกจะอยู่ระหว่างทางมุ่งหน้าไปทีลอซู ซึ่งเราสามารถใช้บริการทัวร์ท้องถิ่นโปรแกรมท่องเที่ยวธรรมชาติตามเส้นทางชมน้ำตกทีลอจ่อ-ทีลอซูได้ในหนึ่งวัน
ทริปนี้เราใช้บริการทัวร์ของ ภูดอยแคมป์ไซท์ แอนด์ รีสอร์ท ซึ่งโปรแกรมมีให้เลือกหลากหลายแพ็คเกจ สามารถตรวจสอบโปรแกรม และค่าใช้จ่ายได้ที่นี่ >> โปรแกรมทัวร์ <<
เราเริ่มต้นการเดินทางในช่วงเช้า โดยช่วงเวลาที่แนะนำคือ ตั้งแต่ 08:00-09:00 น. เพราะนอกจากอากาศจะไม่ร้อนมากแล้ว ถ้าโชคดีเราก็มีโอกาสจะได้ชมปรากฏการณ์สายรุ้งฉายบนสายน้ำตกทีลอจ่อที่เขาล่ำลือกันว่าสุดมหัศจรรย์ และมีความสวยงามเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าเรามาในช่วงหน้าหนาวแบบนี้โอกาสที่จะได้เห็นปรากรณ์การ์ณนี้ก็จะมีมากขึ้นด้วย หลังจากที่รถของทางรีสอร์ทมาส่งรถยังจุดเริ่มต้นล่องเรือยาง เจ้าหน้าที่ก็จะจัดกลุ่มให้ลงเรือยางลำละ 6 คน และมีคนพายอีก 2 คน ซึ่งเราจะต้องนั่งเรือยางล่องไปตามลำน้ำแม่กลอง ซึ่งปลายทางจะพาเรามุ่งหน้าไปยังน้ำตกทีลอซูนั่นเอง
ระหว่างที่เราล่องเรือยางไปตามลำน้ำแม่กลอง สายน้ำใส และเย็น ไม่มีเสียงอื้ออึงอื่นใดนอกจากเสียงของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงลำธาร เสียงใบไม้ไหวตามลม เสียงแมลง และเสียงนกนานาชนิดร้องส่งสลับกันไปตลอดทาง สองฝั่งซ้ายขวาเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นหนาแน่นเขียวชะอุ่ม ในบางช่วงก็จะสลับกับทิวทัศน์หน้าผาหินปูนสูงชันรูปร่างแปลกตา ซึ่งสองไกด์ (คนพาย) ของเราจะคอยชี้ชวนให้พวกเราดู และจินตนาการตามตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นผาโหว่ ผาแหงน ผามือ ผาผึ้ง ผากะโหลก หรือแม้แต่โขดหินหน้าตาประหลาดก็มีให้ดูอยู่หลายจุด มองออกบ้าง ไม่ออกบ้าง บางคนก็มองเป็นอย่างอื่นบ้างก็ชี้ชวนกันไปด้วยความตื่นเต้น และสนุกสนาน ทำให้บรรยากาศระหว่างทางที่ล่องเรือนั้นไม่เงียบเหงาเลย
เราล่องเรือมาประมาณหนึ่งชั่วโมงนิด ๆ ไกด์ก็บอกกับเราว่า "ถึงแล้วครับ ทีลอจ่อ...น้ำตกสายฝน" ทันทีที่เราได้ยินเราก็รีบชะเง้อมองไปข้างหน้า และภาพที่เราเห็นคือ สายน้ำตกที่ไหลลงมาจากผาหิน ตกลงมากระทบกับลำธารด้านล่างทำให้เกิดเป็นละอองน้ำฟุ้งกระจายสะท้อนกับแสงแดดสวยงาม และภาพที่สร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคนก็คือ ภาพของสายรุ้งเส้นใหญ่สีสดคมชัดระดับ 4K ที่พาดผ่านไปบนธารน้ำตกนั้น ต้องเรียกว่าเป็นปราการณ์ทางธรรมชาติที่มหัศจรรย์ และงดงามสร้างความอิ่มเอมใจให้กับเราเป็นอย่างมาก
หมายเหตุ : ปรากฏการณ์สายรุ้งพาดผ่านธารน้ำตกทีลอจ่อ จะมีโอกาสพบได้มากในช่วงฤดูหนาว โดยจะอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ 09.00 - 10.30 น. ซึ่งหากพ้นช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้วแสงแดดจะเปลี่ยนทิศทาง จนไม่สามารถมองไม่เห็นสายรุ้งได้นั่นเอง


ผ่านไปราว 3 ชั่วโมง เราก็มาถึงหน่วยพิทักษ์ป่าผาเลือด เราจะพักทานมื้อเที่ยงกันที่จุดนี้ ก่อนจะเปลี่ยนจากการล่องเรือยาง มาเป็นนั่งรถโฟร์วีลขึ้นเขาระยะทางกว่า 13 กิโลเมตร ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อไปยัง ที่ทำการน้ำตกทีลอซู ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง
เมื่อมาถึงที่ทำการน้ำตกทีลอซูแล้ว เราต้องเดินเท้าต่ออีก 1.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เพื่อไปยังตัวน้ำตกทีลอซู ลักษณะทางเดินเพื่อเข้าไปยังตัวน้ำตกค่อนข้างเดินง่าย เป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติที่ร่มรื่นสวยงาม มีจุดนั่งพัก และจุดชมวิวสวย ๆ ให้ดูตลอดทาง เดินมาซักพักเราจะเริ่มได้ยินเสียงน้ำตกดังก้องมาแต่ไกล นั่นยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นให้เรามากขึ้น ว่าแล้วก็ได้เวลาเร่งฝีเท้าเพื่อจะได้ไปเห็นเจ้าของเสียงเร็ว ๆ

น้ำตกทีลอซู หรือ น้ำตกดำ ตามความหมายของภาษากะเหรี่ยงแห่งนี้ สมแล้วที่เป็น Dream Destination ของเหล่านักเดินทางมากมาย และความยิ่งใหญ่ของทีลอซูที่เราได้เห็นในครั้งนี้ก็สมกับการเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของเอเชีย เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่เราอยากให้คุณได้ลองมาสัมผัส และได้มาเห็นกับตาตัวเองซักครั้ง
หมายเหตุ : เมื่อจบทริปรถของทางรีสอร์ทจะมารับเราที่ที่ทำการน้ำตกทีลอซู เพื่อเดินทางกลับไปยังตัวอำเภออุ้มผาง โดยไม่ต้องนั่งเรือกลับในเส้นทางเดิม



































































































