โคตรขุนเขา
ปุ๊บที่อินบ็อกซ์เฟซบุ๊กเด้งข้อความจากเพื่อนขึ้นมาในกลุ่มว่ามีใครสนใจพิชิตดอยพะตีโด่-หมื่อกาโด่ กันหรือเปล่า ปั๊บนั้นผมก็พิมพ์ตอบกลับทันทีโดยไม่ต้องคิดสักวินาทีเดียวว่า “ขอไปด้วยคน” ทั้งที่ยังไม่รู้วันเดินทาง หรือรายละเอียดใดเลย
ก็นะ ได้ยินกิตติศัพท์มานานว่าทั้งสวยทั้งโหด สำหรับยอดซึ่งเป็นภาษากะเหรี่ยงแปลว่า ลุงใหญ่ - ป้าใหญ่ (พะตีคือลุง หมื่อกาคือป้า โด่คือใหญ่) เมื่อโอกาสมาถึงเช่นนี้แล้วก็ย่อมต้องฉวยคว้าไว้ก่อน
ทำความรู้จักสักนิด พะตีโด่ – หมื่อกาโด่ เป็นขุนเขารอยต่อของตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ กับตำบลแม่ยวมน้อย อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน วัดจากพื้นที่จริงๆ ยอดเขาถือว่าอยู่เขตแม่ฮ่องสอนนะ แต่ถนนจะเข้าไปน่ะอยู่เชียงใหม่
เกริ่นคร่าวๆ พอ ที่เหลือเดินไปเล่าไป สรุปแล้วทริปนี้เราเดินทางหยุดยาววันแม่ เพื่อนร่วมทริปกว่า 30 ชีวิต ก็อย่างที่บอกครับว่าชื่อ พะตีโด่ – หมื่อกาโด่ ช่างยั่วยวนใจคนชอบความเหน็ดเหนื่อยจริงๆ ซึ่งเพราะคนเยอะแบบนี้ เพื่อความสะดวก การเดินทางต้องเป็นแบบเหมาโลด
----------------------------------------------------
(1)
จุดรวมพลอยู่ที่ขนส่งอาเขต เชียงใหม่ พวกเราติดต่อเหมารถแดงไว้เรียบร้อยสามคัน มุ่งหน้าสู่บ้านปางอุ๋ง อำเภอแม่แจ่ม (คนละที่กับปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอนนะ) เส้นทางคือออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ ลงใต้ผ่านหางดง สันป่าตอง ดอยหล่อ เข้าจอมทอง เลี้ยวขวาขึ้นดอยอินทนนท์ พอถึงจุดตรวจ 2 (ก่อนถึงยอดดอย 9 กม.) ก็เลี้ยวซ้ายตัดลงแม่แจ่ม ใครเคยไปเที่ยวอินทนทท์คงนึกภาพออก
ทางขึ้นอินทนนท์น่ะไม่โหดหรอกครับ แต่จากอินทนนท์ไปแม่แจ่มนี่ปราบเซียนจริงๆ ยิ่งนั่งรถแดงแล้วไม่ต้องพูดถึง พะอืดพะอมแทบทนไม่ไหวกันหลายคน ผมคนหนึ่งด้วยแหละ (ฮา...)
ออกจากเชียงใหม่แปดโมงครึ่ง แวะกินข้าวสองรอบ แวะปั๊มกันอีกนิดหน่อย กว่าจะถึงบ้านปางอุ๋ง ก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงครึ่ง นี่คือเดินทางอยู่ในจังหวัดเดียวกันนะเนี่ย
ถึงบ้านปางอุ๋ง จุดนัดพบคือป้อมจุดตรวจ ตรงข้ามโรงเรียนบ้านปางอุ๋ง ซึ่งเราต้องทำการเปลี่ยนจากรถแดงเป็นกระบะของชาวบ้านพาเข้าไปจุดเริ่มเดิน ห่างจากตรงนี้ไปประมาณแปดกิโลเมตร เป็นทางดินผ่านพื้นที่เกษตร ช่วงฝนตกเละเทะใช้ได้เลยทำความเข้าใจกันหน่อยครับว่าจุดตรวจบ้านปางอุ๋ง อยู่เขตตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม แต่เมื่อเรานั่งรถเข้ามาสักครึ่งทางก็จะเข้าสู่เขตตำบลแม่ยวมน้อย อำเภอขุนยวม โดยมียอดพะตีโด่ตั้งเด่นท้าทายอยู่ข้างหน้า
นี่คือป้ายหลักฐานว่าเราพ้นเชียงใหม่เข้าสู่แม่ฮ่องสอนแล้วครับ
หลังนั่งโยกเยกโคลงเคลง บางช่วงเป็นร่องลึกต้องลงไปช่วยกันเข็นรถสักชั่วโมงก็ถึงจุดเริ่มเดินขึ้น มองนาฬิกา 16.50 น. เอิ่ม... รับสภาพว่างานนี้มีไนท์เทรลแน่นอน หยิบไฟฉายเตรียมไว้ได้เลย
จัดเตรียมสัมภาระ แบ่งของกองกลาง เริ่มก้าวเท้าออกสตาร์ตจริงๆ เกือบห้าโมงครึ่ง เห็นยอดพะตีโด่อยู่ลิบๆ ทางค่อนข้างชัน พอมีสลับทางราบเป็นระยะสั้นๆ ให้หยุดหายใจนิดหน่อย สองข้างทางทึบด้วยต้นไม้
ไปได้ไม่ไกลนักก็ฟ้ามืด เก็บกล้อง หยิบไฟฉายสิจะรออะไร จ้ำเอาๆ มองแสงแว้บๆ คนข้างหน้าคอยนำทาง ยังดีว่าร่องทางค่อนข้างชัดเจน มีทางแยกให้เลือกซ้ายขวานิดหน่อย แต่ก็ไปทิศเดียวเดี๋ยวบรรจบกันผมเดินอยู่กลุ่มกลางครับ ถึงจุดตั้งแคมป์ราวสองทุ่ม เดินแค่สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง ระยะทางสักสองกิโลเมตรนิดๆ จริงๆ คือไม่ไกลเลย เพราะทางขึ้นจากพะตีโด่ ถือว่าใกล้และง่ายกว่าขึ้นจากหมื่อกาโด่
ถึงแล้วรีบกางแคมป์ตั้งเต็นท์กางเปล จุดนี้นอนได้ทั้งเต็นท์และเปล เสร็จแล้วก็ลงมือทำอาหาร หุงข้าว ซึ่งการจะทำอาหารสำหรับคน 30 คน ไม่ใช่น้อยๆ คืนนี้กว่าจะได้กินข้าวเย็นปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม (ฮา...)
----------------------------------------------------(2)
บรรยากาศยามเช้า หมอกลง ฝนพรำเป็นระยะชวนให้ขี้เกียจเหลือเกิน กว่าจะกระดิกตัวทำอะไรก็ปาเข้าไปสิบโมงกว่าๆ นั่นแหละถึงได้ฤกษ์เดินขึ้นยอดพะตีโด่
วัดระยะทางจากแคมป์ถึงยอดแล้วไม่ไกล กิโลเมเตรเดียวเท่านั้น แต่เรื่องความชันก็ตามภาพคืออัพแอนด์อัพ ไต่ขึ้นเรื่อยๆ ตามแนวสันเขา นอกจากเหนื่อยยังเสียววาบอีกต่างหาก
สภาพอากาศลมแรง หมอกลอยมาเป็นระยะ ฟ้าเปิดๆ ปิดๆ สดชื่นสุดๆ และโชคดีว่าถึงจะเห็นแบบนี้แต่ฝนไม่ตกครับช่วงสุดท้ายก่อนขึ้นยอดเป็นอะไรที่ท้าทายมาก ชัน ดินร่วน หินลอย ชวนให้ลื่นกลิ้งตกเขาเหลือเกิน แล้วในที่สุดก็ถึงยอดเขาจนได้ วิวสีขาวนี่ช่างบริสุทธิ์น่าปลื้มใจยิ่งนัก (ประชด!) แต่ไม่เป็นไรครับ ทริปของพวกเราเองดังนั้นไม่ต้องรีบร้อน อ้อยอิ่งลุ้นกันว่าหมอกจะลอยไป ฟ้าจะเปิดตอนไหน อ้อ... ที่เห็นลางๆ คือดอยซึ่งเรามองเห็นจากยอดพะตีโด่ เพื่อนในกลุ่มที่เคยมาก่อนหน้านี้ตั้งชื่อไว้ว่า “ดอยดิบดี” เป็นชื่อตั้งไว้เล่นๆ นะครับไม่ใช่ชื่อจริง เดินไปได้ แต่ทางเป็นสันเขาต้องใช้ความระวังมาก ดังนั้นเพื่อสวัสดิภาพ ผมขอมองจากตรงนี้แล้วกัน แล้วเมื่อถึงเวลาที่ความอดทนของเราบังเกิดผล ก็ไม่มีอะไรต้องบรรยาย รัวชัตเตอร์เข้าไปสิ เที่ยงเศษๆ เราลงจากยอดพะตีโด่ บอกเลยว่าขาลงยากกว่าขาขึ้นหลายเท่าครับ ดินร่วนสไลด์ต้องจิกเกาะกันสุดถึงจะยากแต่ก็ผ่านมาได้แบบปลอดภัยทุกคน ถึงแคมป์แล้วหาของกิน เก็บกระเป๋า บ่ายสองโมงครึ่งค่อยเคลื่อนตัวต่อสู่ดอยหมื่อกาโด่ ระยะทางราวสี่กิโลเมตร แต่เป็นสี่กิโลเมตรที่รู้สึกว่ายาวนานเหลือเกิน
ทางจากพะตีโด่ไปหมื่อกาโด่ ต้องข้ามเขาหลายลูกทีเดียว ชัน โหด หนัก เหนื่อย ยาก มีช่วงเป็นตัววีคือลงลึกจากสันหนึ่งแล้วขึ้นสุดสู่อีกสัน สองข้างทางก็ไม่กว้างมาก บางช่วงต้องตะกายไต่หิน หากก้าวพลาดก็ลงไปเก็บข้างล่างได้เลยครับ
แอบเสียดายนิดๆ ครับที่หมอกลงหนาเกือบตลอดทาง แต่ก็เป็นอะไรที่ทำใจไว้อยู่แล้วเพราะว่าเลือกมาเที่ยวกันหน้าฝน ขอบอกว่าถ้าฟ้าเปิดความเสียวคงเป็นทวีคูณแน่ ผ่านความเหนื่อยโคตรๆ มาทีละสิบเมตรยี่สิบเมตร จนใกล้เคารพธงชาติตอนเย็นนั่นแหละที่เราไต่ขึ้นถึงยอดหมื่อกาโด่ ตัวเลขบอกไว้ 1,927 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล สูงกว่าพะตีโด่เล็กน้อย ช่วงไปถึงตอนแรกฟ้าขาวโพลนไม่เห็นอะไรเลย แต่หลังถ่ายรูปเล่นอยู่สักพักก็เหมือนโชคเข้าข้าง แม้ไม่ได้เปิดกระจ่างทั้งหมดเหมือนที่พะตีโด่ แต่ก็พอเห็นอะไรข้างล่างอยู่บ้าง บรรยากาศแบบนี้เหมือนสวรรค์สุดๆ ชื่นใจมาก เก็บภาพอีกสักพักก็เดินต่อลงเขาราวสามสี่ร้อยเมตรจึงถึงจุดตั้งแคมป์ เป็นแนวสันเขาเหมาะกับการกางเต็นท์เท่านั้นครับ ต้นไม้พอมีผูกเปลได้นิดเดียวเท่านั้น เราตั้งแคมป์หุงข้าว ทำกับข้าว กินข้าวเร็วกกว่าเมื่อวานนิดหน่อยคือสามทุ่ม ก่อนแยกย้ายใช้เวลาส่วนตัวพักผ่อนจากความหนักของวันนี้กันตามสบาย----------------------------------------------------
(3)
ยามเช้าที่หมื่อกาโด่ขาวโพลนด้วยสายหมอกไม่ต้องเห็นแสงตะวันกันเลยล่ะ โปรแกรมการเดินกลับขึ้นยอดไปเก็บภาพอีกครั้งของผมก็พังพาบไม่เป็นท่า ดังนั้นจะบอกว่าเป็นดอยที่สวยมากเลยพูดไม่ได้เต็มปากเท่าไหร่ (ฮา...)
เราช่วยกันทำลายเสบียงที่เหลือโดยการกินให้เรียบ แล้วก็เก็บแคมป์เดินลงเขาตอนสิบโมงกว่าๆ หมอกยังคลุมอยู่เลย ไต่ระดับลดความสูงลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มอยู่ต่ำกว่าเมฆหมอกนั่นแหละ ค่อยได้เห็นวิวสีเขียวๆ ในช่วงหน้าฝนกันบ้างให้ชื่นใจพอหอมปากหอมคอขึ้นโหดแบบไหน ลงก็โหดแบบนั้นแหละ ประกอบกับความลื่นทำให้ต้องระวังกันสุดๆ ใช้เวลาสักชั่วโมงครึ่งก็ลงมาถึงทางราบข้างล่าง แต่ไม่ได้เดินสบายกว่าเดิมสักเท่าไหร่ ชื้นแฉะ ตะไคร่เกาะ เดินเพลินจนเสียท่าลงไปวัดพื้นกันก็หลายคน ผมอยากจะภ่ายภาพแต่กลัวพลาดเก็บซุกไว้ในกระเป๋าดีกว่า (ฮา...)
และเมื่อลงจากเขามองย้อนกลับขึ้นไป มุมนี้มองไม่เห็นยอดหมื่อกาโด่แล้วครับ บ๊ายบายจะคุณป้า ยินดีจริงๆ ที่ได้มาเยือน
จุดที่รถมารอรับตอนเที่ยงครึ่ง ตรงนี้คือบ้านแม่ลาก๊ะ อำเภอขุนยวม จากนั้นก็นั่งรถย้อนกลับออกไปทางเดียวกับเราเข้ามานั่นแหละ ผ่านจุดทางขึ้นพะตีโด่ และเข้าสู่เขตตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม
แต่ แต่ แต่... ความโหดของทริปยังไม่จบเท่านี้ จากการข้างล่างฝนตกหนักมาตลอดช่วงที่เราอยู่บนดอย ทำให้ถนนที่แย่อยู่แล้วเละเทะยิ่งขึ้น รถติดหล่มกันแทบทุกคัน ต้องช่วยกันทั้งเข็น ทั้งฉุด ทั้งขย่ม ลุ้นจนเหนื่อยกว่าจะออกไปถึงจุดตรวจบ้านปางอุ๋ง
จากตรงนั้นเราเปลี่ยนเป็นรถแดงสามคัน มุ่งหน้าผ่านเส้นทางวกวนชวนอ๊วกขึ้นดอยอินทนนท์ กลับสู่เชียงใหม่ แล้วค่อยแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน เป็นอันจบทริปการเดินทางอันแสนทนทรหด
ถ้ามีใครถามผมหลังจากนี้ว่าตั้งแต่เที่ยวเดินป่ามา ทริปไหนเดินสนุกที่สุด ผมได้คำตอบใหม่เรียบร้อยแล้วล่ะครับ
----------------------------------------------------
ข้อมูลสักนิด
- ปัจจุบันการท่องเที่ยวอยู่ในความดูแลของชาวบ้าน เนื่องจากเป็นเบอร์โทรส่วนตัวเลยขออนุญาตไม่ลงไว้นะครับ ใครสนใจทักหลังไมค์มาได้ที่ www.facebook.com/alifeatraveller
- หรืออีกช่องทางคือติดต่อผ่านศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปางอุ๋ง 053318326
- สามารถเดินได้ทั้งสองทาง คือขึ้นทางพะตีโด่ ลงทางหมื่อกาโด่ หรือขึ้นหมื่อกาโด่ ลงพะตีโด่
- เหมาะกับการกางเต็นท์มากกว่าผูกเปล
- ห้องน้ำไม่ต้องถามหา ไม่มีแน่นอน
- มีแหล่งน้ำบนเขา (ลูกหาบสามารถไปเอาให้ได้) แต่หากจะใช้ทานควรกรองหรือต้มเสียก่อน
- มีทากอยู่บ้างในระดับค่อนข้างน้อย
- คนจะมาเดินที่นี่ควรมีประสบการณ์มาบ้าง ไม่เหมาะกับมือใหม่สดๆ ซิงๆ และไม่เหมาะกับคนมีโรคประจำตัว คนกลัวความสูง
- ส่วนใครพร้อมอยากมาวัดใจก็เอาเลย ยากแต่ไม่ได้ยากแบบต้องร้องขอชีวิต โหดแต่ก็ไม่ได้โหดแบบสงสัยตายแน่ๆ ฮึดสักนิดก็พิชิตได้แล้วล่ะ
----------------------------------------------------
ค่าใช้จ่าย
- รถแดงเหมาไป-กลับ เชียงใหม่-บ้านปางอุ๋ง 4,500 บาท ต่อคัน
- รถกระบะเหมารับ-ส่ง จุดเดินขึ้นเดินลง 2,000 บาท ต่อคัน
- ลูกหาบและคนนำทาง 1,500 บาท ต่อคน
----------------------------------------------------
ใครอยากคุยกับผมเรื่อยเปื่อยเรื่องท่องเที่ยว สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) หรือชวนเที่ยว ยินดียิ่งนะครับ
www.facebook.com/alifeatraveller
----------------------------------------------------