
จุดหมายแรก ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอแม่ริม ระหว่างทางแวะเที่ยวที่ปางช้างแม่สาเป็นจุดแรก ช่วงนี้ปางช้างแม่สาเปิดให้เข้าชมฟรีครับ ก่อนหน้าที่ Covid จะระบาดจะมีการเก็บค่าเข้าชม ผมเชื่อว่าก่อนหน้านี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ แต่พอ Covid ระบาด ทำให้ที่นี่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ทำให้ขาดรายได้หลักไปเลย ที่ปางช้างก็ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อการอยู่รอด โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมฟรี แต่รายได้ที่จะเข้ามาจุนเจือช้าง จะมาจากค่าอาหารที่นักท่องเที่ยวได้ซื้ออาหารเลี้ยงช้างครับ

เมื่อเราให้อาหารช้างหมดแล้ว ควาญช้างก็จะสั่งให้ช้างขอบคุณ โดยการเอางวงมาโอบรัดเรา เห็นแล้วก็น่าเอ็นดูจริงๆ
พลายหนึ่ง ช้างพลายงายาว อายุเกือบ 40 ปีแล้ว พลายหนึ่งไม่หวงงาครับ ควาญช้างบอกว่าสามารถเข้าไปจับงาเพื่อความโชคดี จะได้โชคได้ลาภครับ
ใครที่ใช้เส้นทาง 1096 หรือมาเที่ยวที่อำเภอแม่ริม ผมอยากให้เข้าไปเยี่ยมชมปางช้างแม่สากันเยอะๆ นะครับ จะได้ช่วยต่ออายุ ให้ “ช้าง” สัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทยได้อยู่ดีกินดีไปนานๆ ครับ
เที่ยงนี้ผมฝากท้องไว้ที่ร้านฟักแก้วริมน้ำ ร้านอาหารริมถนนสาย 1096 ซึ่งเลยปางช้างแม่สาไปไม่ไกล จริงๆ แล้วละแวกนี้มีร้านอาหารริมลำธารเยอะเลย เดิมทีผมวางโปรแกรมไว้ว่าจะไปใช้บริการที่ร้านทับริมธาร แต่พอมาถึงหน้าร้านแล้วต้องเปลี่ยนแผน เพราะคนเยอะมาก มากจนไม่มีที่จอดรถ เลยต้องขับรถต่อไปข้างหน้า เห็นร้านฟักแก้วริมน้ำ พอจะมีที่จอดรถอยู่บ้าง เลยตัดสินใจฝากท้องไว้กับที่นี่ครับ
ร้านฟักแก้วริมน้ำเป็นร้านอาหารเล็กๆ ริมน้ำ ผมเลือกที่จะไปนั่งที่ริมลำธารเลยครับ โต๊ะที่นั่งจะคล้ายๆ เป็นแคร่ไม้ไผ่ ตั้งอยู่บนผิวน้ำ มื้อนี้ได้อาหารจานด่วนแบบง่ายๆ เพราะตอนที่ผมเดินลงมานั่ง ได้กลิ่นไข่เจียวที่โต๊ะอื่นสั่งมาเตะจมูกเข้าอย่างจัง เลยจัดไปครับ เพิ่มเติมด้วยข้าวผัดกระเพาและส้มตำปูปลาร้าแซบๆ ครับ
จากร้านฟักแก้วริมน้ำ นั่งรถต่ออีกประมาณ 200 เมตร ก็มาถึง สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ การเข้าชมสวน มีค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี และผู้สูงอายุเกิน 60 ปีเข้าชมฟรี ทั้งนี้นักท่องเที่ยวสามารถขับรถเข้าไปด้านในสวนได้เลย โดยเสียค่านำรถเข้า (พร้อมคนขับ) 100 บาท ชำระเงินแล้ว เก็บบัตรไว้ให้ดีๆ นะครับ



จริงๆ แล้ว ด้านในยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย ผมไม่มั่นใจว่าถ้ามีเวลา 2-3 ชั่วโมง เราจะสามารถชมสวนให้ครบทุกจุดได้หรือไม่ แต่ถ้าหากใครมีเวลาน้อยอย่างผม แนะนำว่าไม่ควรพลาด 2 จุดที่ผมแนะนำไว้ครับ





















จากลานจอดรถด้านหน้ารีสอร์ท เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงลอบบี้แล้ว น้องๆ พนักงานต้อนรับอ่อนน้อมมากๆ การเข้าพักที่นี่ แขกที่มีอายุมากกว่า 12 ปี ต้องแสดงหลักฐานการรับวัคซีนโควิดมาแล้วอย่างน้อย 2 เข็มนะครับ พร้อมตรวจคัดกรองด้วยการวัดอุณหภูมิตรงด้านหน้าลอบบี้ ถือเป็นการกรองแขกได้ในระดับหนึ่งครับ สำหรับพนักงานในรีสอร์ทเองก็เห็นว่าต้องฉีดวัคซีนขั้นต่ำ 2 เข็มเช่นกันครับ
จากนั้นน้องพนักงานจะนำ Welcome Drink พร้อมผ้าเย็นและดอกพุด มาเสิร์ฟ ตัว Welcome Drink มีรสหวานอ่อนๆ จิบแล้วรู้สึกเย็นชุ่มคอ รสชาติหอมติดคอ น้องพนักงานบอกว่าเป็นชาสมุนไพรสด 7 ชนิด โดยส่วนประกอบหลักๆ เป็นใบมินท์ ชาคาโมมายล์ ส่วนความหวานที่ผมสัมผัสได้นั้นมาจากหญ้าหวานครับ
ห้องที่ผมพักเป็นห้อง Grand Terrace Suite with Outdoor Onsen โครงสร้างหลักของห้องพักทำจากไม้เกือบทั้งหมด

ฟูกที่นอนสไตล์เรียวกัง ผ้าห่ม หมอน หนา นุ่ม นอนสบายมากๆ ครับ นอกจากนี้ทางโรงแรมได้จัดเตรียมชุดยูกาตะ พร้อมรองเท้าแตะ ให้แขกได้ใส่ไปเดินเล่นถ่ายรูป หรือใส่ตอนที่จะไปออนเซ็น หรือไปทานอาหารด้วยครับ
สำหรับห้องน้ำ กว้างขวางเอาเรื่องเลยครับ โถสุขภัณฑ์ใช้ระบบแบบญี่ปุ่น น้องพนักงานรีบออกตัวเรื่องกระดาษชำระว่า ที่นี่ใช้กระดาษชำระแบบย่อยสลายได้ เนื้อกระดาษเลยอาจจะดูบาง หากนำกระดาษชำระใส่ลงไปในขวดน้ำแล้วเขย่า กระดาษชำระจะย่อยสลายจนหมด ที่น้องเขาต้องรีบออกตัวก่อน เพราะกลัวว่าผมจะเข้าใจผิดเหมือนกับแขกท่านอื่นๆ ที่เคยคอมเพลนว่าห้องพักราคาออกจะแพง แต่ทำไมใช้กระดาษชำระแบบบาง สำหรับอุปกรณ์แปรงสีฟัน ยาสีฟัน หากลืมพกติดตัวมา สามารถโทรไปขอได้ครับ
สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่นี่ก็ให้ความสำคัญ มีทั้งอุปกรณ์กันยุง สเปรย์ขจัดกลิ่น ลูกกลิ้งกำจัดขนต่างๆ บนเสื้อผ้า เตรียมไว้ให้พร้อม แถมยังมีร่มไม้ เป็นพร็อพสำหรับถ่ายภาพด้วยครับ
มินิบาร์ ในส่วนที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ รวมถึงของขบเคี้ยวอย่างถั่ว ผลไม้อบแห้ง ดื่ม/ทานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แถมมีเติมให้ทุกวัน สำหรับน้ำดื่ม ชา กาแฟ หากดื่มจนหมด สามารถขอเพิ่มได้ไม่จำกัดครับ




เมื่อคลี่ผ้าออกมา จะมี ไดฟุกุ วาราบิโมจิ และบราวนี่ น้องบอกว่า วาราบิโมจิและบราวนี่เป็น signature ของที่นี่ครับ

วิวที่มองออกไปจากระเบียงห้องพัก มองเห็นโรงออนเซ็นอยู่ใกล้ๆ ครับ
ช่วงค่ำอากาศเย็นสบาย เหมาะอย่างยิ่งกับการแช่น้ำแร่มากๆ แช่แล้วรู้สึกผ่อนคลาย ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงพระจันทร์เต็มดวงด้วย ทำให้บรรยากาศยามค่ำคืนนั้นสวยงามมากๆ ครับ
ติดกับบาร์เป็นที่ตั้งของเลาจน์ ชื่อ Ko Sake (โค-ซาเกะ) เป็นเลาจน์ที่ลูกค้าสามารถมานั่งดื่ม นั่งชิลล์ ได้ บรรยากาศเงียบสงบดีครับ
เดินลงบันได ขยับลงมาหนึ่งชั้น จะเป็นที่ตั้งของห้องอาหาร Mee Su Nam ห้องอาหารแบบ All day ให้บริการอาหารเช้าตั้งแต่ 07.00-11.00 น จากนั้นจะให้บริการอาหารกลางวัน ต่อเนื่องกันไปจนถึง Dinner เลย จะปิดให้บริการในเวลา 23.00 น. ครับ







ภาพมุมสูงต่างๆ ผมได้ขออนุญาตทางรีสอร์ทเพื่อถ่ายเก็บบรรยากาศแล้วนะครับ โดยผมแจ้งว่าผมจะนำไปเขียนลงคอลัมน์ของนิตยสาร My World ซึ่งทางรีสอร์ทอนุญาตให้ถ่ายได้ในช่วง 06.30-07.00 น. ครับ

สำหรับอาคารไม้หลังนี้เป็นโรงออนเซ็น และยังมีปลาคราฟฝูงใหญ่ให้ชมกันเพลินๆ ด้วย



ติดกับโรงออนเซ็น จะเป็นสวนหิน ซึ่งจะมีชิงช้าไม้ ตั้งเคียงคู่อยู่กับต้นสนเกรวิลเลีย กำลังออกดอกสวยงาม ผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นต้นสนเกรวิลเลียของจริงก็วันนี้แหล่ะครับ
ต้นซากุระที่เห็นมุมขวามือของภาพล่าง เป็นต้นซากุระที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงปลูกไว้ตั้งแต่ช่วงรีสอร์ทเปิดใหม่ๆ เห็นว่าปีนี้ออกดอกสะพรั่งเลยครับ
เนื่องจากที่นี่อากาศจะเย็นตลอดปี ต้นไม้ที่ปลูกในรีสอร์ทส่วนใหญ่จะเป็นไม้ดอก เช่นกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์ทำให้เวลาออกดอก ดอกจะใหญ่และสวยงามครับ
ดอกเสี้ยวบานพรั่งเลยครับ




เย็นนี้ผมได้ Yakiniku Kani miso พร้อมสลัดผักครับ
Kani miso เป็นมันปูปรุงรสแล้วผัดกับไข่ไก่ ซอสมิโซะ แล้วนำกลับมาใส่ไว้ในกระดองปู ท็อปหน้าด้วยไข่กุ้ง เวลาจะทาน ให้เอามาย่างบนไฟอีกนิดหน่อย รสชาติเค็มๆ มันๆ อร่อยมากๆ ครับ เมนูนี้ 350 บาทครับ
สำหรับ Yakiniky ผมเลือกเป็นหมูครับ เสิร์ฟคู่กับผักสด มาเป็นตะกร้าเล็กๆ พร้อมกับน้ำจิ้ม 3 ชนิดครับ ชุดนี้ 950 บาทครับ
เครื่องดื่มเป็น Christmas tree และ Berry Boost ครับ
ปิดท้ายเป็นของหวาน กับ Warabi Panacotta ตัว Panacotta น้องพนักงานภูมิใจเสนอว่าส่วนประกอบหลักทำจากนมฮอกไกโด ท็อปด้วย Waranbi และสตรอว์เบอร์รี่ สำหรับซอสเป็นน้ำอ้อยเคี่ยว ผมทานแล้วรู้สึกได้ทั้งรสหวานของซอสน้ำอ้อยเคี่ยว ได้ความเปรี้ยวจากผลไม้ ได้ความละมุนของตัว Panacotta และความหยุ่นๆ ของ Warabi อร่อยดีครับ
บรรยากาศช่วงที่มีแสงว่าดีแล้ว ช่วงค่ำยิ่งดีเข้าไปอีก อากาศเริ่มเย็นลง แสงสีเริ่มสว่างไสวครับ

ภายในห้อง Ko Sake ยิ่งต้องแสงไฟยิ่งสวยงาม ผมชอบการออกแบบโคมไฟ ให้ความรู้สึกเหมือนได้แวดล้อมอยู่ในดวงดาวครับ
บรรยากาศของห้องอาหาร Mee Su Nam ครับ


มุมนี้ปังมาก อยู่ข้างห้องอาหาร มีกองไฟเล็กๆ ให้ไออุ่นด้วย ผมนั่งเสพความเย็นอยู่เป็นนานสองนาน เพราะฤดูหนาวปีนี้ ทางภาคกลางแทบจะไม่ได้สัมผัสความหนาวแบบจริงๆ จังๆ เลย
ดึกแล้ว กลับไปแช่ออนเซ็นในห้องพักดีกว่าครับ





พื้นที่ส่วนกลางของโรงออนเซ็นครับ
โรงออนเซ็นที่นี่จะให้แช่ตามแบบวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยแยกชาย-หญิงอย่างเป็นสัดส่วน มีพื้นที่แต่งตัว ตู้ล็อคเกอร์ มีทุกอย่างเหมือนที่ญี่ปุ่นมี


จากนั้นก็ไปแช่ในบ่อน้ำร้อนด้านนอก อีกประมาณ 10-15 นาที
เมื่อครบเวลา ก็มาแช่ตัวในออนเซ็นน้ำเย็นในอ่างไม้ครับ
สุดท้าย แต่งตัว พักดื่มน้ำ ผ่อนคลาย เป็นอันเสร็จพิธี แต่ถ้าใครยังไม่หนำใจ ก็วนลูปแบบนี้อีกสัก 2 รอบครับ แต่การแช่ออนเซ็น ไม่ควรเกินวันละ 3 รอบ เพราะร่างกายจะสูญเสียแร่ธาตุและเหงื่อเยอะ อาจทำให้หน้ามืดได้
Teriyaki Saba (ปลาซาบะซอสเทริยากิ)
Grilled Saba (ซาบะย่างเกลือ)
Grilled Buta (หมูย่าง)
Scrambled
Egg benedict

Vegetable rolls (สลัดโรล) และ Egg white congee miso (โจ๊กมิโซะเสริฟพร้อมไข่ออนเซ็น)

สวนส้มจินจู เขาทำสวนส้มสายน้ำผึ้งธรรมดาๆ ให้กลายเป็นสวนส้มสไตล์เกาหลี มีมุมเก๋ๆ ให้ถ่ายรูป แถมยังมีพร็อพสำหรับให้ยืมถ่ายภาพกันเพียบเลย มีทั้งตะกร้าหวาย รองเท้าบูท ผ้ากันเปื้อน ผ้าคลุมผม รับรองถูกใจแน่นอน




จุดที่เป็นไฮไลท์อยู่ที่ชั้นล่าง ภายในถ้ำไม่มีแสงไฟส่องสว่างนะครับ คงต้องพกไฟฉายไปเอง หรือถ้าใครไม่ได้พกไป สามารถเช่ากับเจ้าหน้าที่ได้ ในราคา 20 บาทครับ















ที่ศูนย์แห่งนี้จะเริ่มปลูกข้าวสาลีตั้งแต่ช่วงมกราคมจนกลายเป็นทุ่งสีเขียวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และข้าวจะเริ่มทยอยสุกจนเป็นทุ่งสีทองช่วงปลายๆ เดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนมีนาคม ใครมาช่วงนี้อาจได้เห็นทั้งทุ่งสีเขียวและทุ่งสีเหลืองทองพร้อมๆ กัน ส่วนช่วงปลายเดือนมีนาคมจะเป็นช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตจนถึงเดือนเมษายน จากนั้นศูนย์วิจัยข้าวจะทำการหว่านเมล็ดปอเทืองแทนที่ครับ การเข้าชมที่นี่ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ

จุดรับ Order และจุดชำระเงิน อยู่ด้านหน้าร้านเลยครับ
พื้นที่นั่งทาน จะอยู่ทางปีกซ้ายและขวาของร้าน ส่วนตรงกลางจะเป็นครัวแบบเปิดครับ และด้านในสุดของพื้นที่นั่งทาน จะมีบันไดให้เดินขึ้นไปด้านบนได้ครับ

สั่งอาหารแล้ว สามารถมายืนชมเชฟทำราเม็งได้นะครับ
ราเม็งที่ Yama Ramen มี 3 น้ำ เริ่มที่ Tonkotsu Ramen รสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นน้ำซุปกระดูกหมูมากๆ โรยหน้าด้วยขิงดองที่นำเข้าจากญี่ปุ่นครับ
น้ำที่ 2 คือ Chouy Ramen ชามนี้ของเพื่อนผม เพื่อนบอกว่ารสชาติจะออกเบาๆ หอมหวานจากน้ำซุปผัก หน่อไม้ดองเห็นว่านำเข้าจากญี่ปุ่นเหมือนกันครับ
น้ำสุดท้าย คือ Miso Ramen ชามนี้แบ่งกันทานกับเพื่อน รสชาติจะออกเปรี้ยวๆ จากมิโสะครับ



เนื่องจากเป็นครัวเปิด ผมเลยได้เห็นเชฟกำลังรีดเส้นและทำหมูชาชูพอดีครับ

Assorted Sashimi เนื้อปลา เนื้อหอย สดดีครับ แต่ติดที่ปลาหมึกหั่นเส้นเหนียวไป จานนี้ 790 บาท
Wagyu Don เพื่อนบอกว่าเนื้อหวาน นุ่ม Set นี้ 450 บาท
UNA Don เนื้อปลาไหลย่างออกมาได้ดีเลยครับ เนื้อนุ่ม ชุ่มฉ่ำ หอมและหวานน้ำซอส Set นี้ 395 บาท
ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง Mee Zu Mochi เสิร์ฟพร้อมผงถั่วฮินาโกะ และน้ำตาลอ้อย อร่อยดีทีเดียว เมนูนี้ 145 บาทครับ นอกจากนี้ยังมี Green tea Ice Cream กลิ่นชาเขียวเข้มข้นมาก เพิ่มรสชาติหวานเปรี้ยวด้วยสตรอว์เบอร์รี และบลูเบอร์รี เมนูนี้ 90 บาท
Cheese cake ก็อร่อยครับ เมนูนี้ 120 บาท สำหรับเครื่องดื่มเป็น Mango Passion ดื่มแล้วสดชื่นเลยทีเดียว แก้วนี้ 180 บาท ส่วน Berry Berry เพื่อนบอกเปรี้ยวดี แก้วนี้ 180 บาทครับ
หลังอาหารเย็น พอเข้าห้องไป น้องพนักงานได้นำข้าวซอยตัดมาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมชาคาโมมายล์ครับ







มีคาเฟ่น่ารักๆ ไว้คอยให้บริการด้วยนะครับ



วิหารพระเจ้าทันใจ ลักษณะเป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่ ซุ้มบันไดเป็นรูปปั้นพญานาคราชศรีสุทโธ ที่โอบรอบพระวิหารไม้สักไปจนถึงด้านหลัง ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจครับ

รูปหล่อพระครูบาเจ้าเทือง นาถสีโล องค์สีทองอร่าม ผู้สร้างวัดบ้านเด่น ด้านหลังรูปหล่อเป็นมณฑปที่ประดิษฐานพระเศรษฐีนวโกฏิ
ถัดจากรูปหล่อพระครูบาเจ้าเทือง นาถสีโล เป็นหอพระธรรม ลวดลายละเอียดอ่อน งดงามมากๆ ครับ
ถัดจากหอพระธรรม เป็นที่ตั้งของพระวิหารมาต๋าม ภายในประดิษฐาน พระแก้วเกล้าเจ้าบุญเรือง ซึ่งเป็นพระประธานที่มีสีเหลืองทองอร่าม มีพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ ประดิษฐานเรียงรายตามเสาพระอุโบสถ ด้านหลังพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานของ 12 พระธาตุประจำปีเกิด ที่จำลองมาจากพระธาตุประจำปีเกิดทั่วประเทศครับ
จริงๆ ยังมีอีกหลายส่วนเลยที่น่าสนใจ แต่เนื่องจากแดดร้อนมากๆ จนต้องยอมแพ้ครับ
ขณะนี้ทางวัดได้สร้างพระพุทธรูปพระเจ้าต๋นหลวงต๋าคำ ซึ่งทำจากทองเหลืองขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หน้าตัก 10 เมตร ความสูง 18 เมตร พระเนตรจะเป็นทองคำ น้ำหนักข้างละ 108 บาท ซึ่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในพระมหาวิหารที่กำลังสร้างขึ้นไปพร้อมๆ กัน คาดว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือเลยครับ



ลอบบี้ตกแต่งแบบเรียบแต่ดูหรู ในโทนสีขาวผสมผสานกับสีโรสโกลด์ มีการนำหินอ่อนเข้ามาเป็นส่วนประกอบร่วมด้วยครับ
ไปดูในห้องพักกันบ้าง ห้องพักที่ผมพักเป็นห้อง Nimano Suite พื้นที่ใช้สอยในห้องกว้างขวางเลยครับ ในห้องแบ่งพื้นที่หลักๆ เป็น 4 ส่วน ส่วนที่นอน ส่วนนั่งเล่น ส่วนแต่งตัว และห้องน้ำครับ เตียงนอนหนา นุ่ม นอนสบายมากครับ

มีโคมไฟพร้อมลำโพงบลูทูธ วางอยู่ที่หัวเตียงครับ
ติดกับเตียงนอน เป็นมุมสำหรับแต่งตัวและมุมนั่งทำงานหรือทานอาหารก็ได้ พร้อมตู้เย็นและมินิบาร์โดยมีฉากกั้นที่มีดีไซน์โค้งมน ตามคอนเซปของโรงแรมครับ 
บริเวณปลายเตียง เป็นมุมพักผ่อน มีโซฟาขนาดใหญ่ พร้อมสมาร์ททีวีจอใหญ่เบิ้มเลยครับ 
ในห้องน้ำมีทั้งอ่างอาบน้ำและ Shower ครับ 
มินิบาร์ครับ 





นอกจากจะมีสวนสวยแล้ว ยังมีสระว่ายน้ำในร่มด้วยนะครับ ผมไม่รู้หรอกว่าจะมีแขกมาว่ายน้ำกันเยอะไหม แต่รู้ว่ามีแขกมาถ่ายรูปเก๋ๆ ริมสระว่ายน้ำกันเยอะมากครับ


หลังจากเก็บของเข้าห้องพักเรียบร้อย ผมเลยลงมาใช้บริการ Afternoon tea โดยเลือกมุมข้างสระน้ำครับ



ถ้าหากสังเกตดีๆ แทบจะทุกมุม จะมีการดีไซน์ให้โค้งมน ไม่หนีคอนเซปโรงแรมเลยครับ