แพบ้านกล้วย ธรรมชาติที่แอบซ่อนตัวอยู่ในป่า ริมเขื่อนศรีนครินทร์

 

ท่ามกลางอุณหภูมิในเมืองที่ร้อนระอุ เกือบแตะ 40 องศา คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่า หาเรื่องลาพักร้อน ไปนอนแช่น้ำที่ไหนสักแห่ง...แต่ที่ยากกว่าการหาเหตุผลขอนายลาพักร้อน ก็เห็นจะเป็นการเลือกสถานที่ที่จะไปพักร้อนเนี่ยแหละ...

เมื่อโจทย์มีคำว่า ลาพักร้อน ไปนอนแช่น้ำ คำว่า "กาญจนบุรี"  ก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที ในภาพจำของเรา กาญจนบุรี คือจังหวัดที่เต็มไปด้วยน้ำตก แม่น้ำ ป่า ภูเขา และเขื่อน...แถมอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางเป็นวันๆ... โจทย์ต่อมาคือ เราและเพื่อนๆ อยากไปหาที่ฝึกถ่ายรูปน้ำตก และแน่นอนน้ำตกในจังหวัดกาญจนบุรี ที่เรื่องลือในความสวยงามอลังการระดับประเทศ ก็คงจะหนี "น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น" ไปไม่พ้น..

ได้ที่เที่ยวแล้ว ต่อมาก็เป็นที่พัก พวกเราไม่เน้นที่พักเลิศหรู แต่ขอให้มีมุมถ่ายรูปเยอะๆ ซึ่งบ้านกกกอด ก็คือชื่อที่พวกเรานึกถึงพร้อมกันเป็นชื่อแรก...แต่พอติดต่อไปปรากฎว่า ที่พักในวันที่เราจะไปนั้นเต็มแล้ว... งานเข้า!!สิทีนี้

แยกย้ายกันไปหาข้อมูล จนมาสรุปที่ "แพบ้านกล้วย" ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ใกล้น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นมากที่สุด บรรยากาศที่แพก้อโอเค รอบล้อมไปด้วยความเป็นธรรมชาติ ราคาไม่แพง หารต่อหัวแล้ว ตกคนละ 600 บาทนิดๆ... ทุกอย่างลงตัว พร้อมจะไปพักร้อนนอนแช่น้ำกันแล้วววววว...

- Mar 25, 2017 -

ออกเดินทางจากจุดนัดรวมพล เซ็นทรัลพระราม 2  เวลา 06.30 น.  มุ่งหน้าสู่ จ.กาญจนบุรี ตามเส้นทาง กาญจนาภิเษก-พระราม 2 - สมุทรสาคร - สมุทรสงคราม - ราชบุรี - บ้านโป่ง -  ท่าม่วง

แวะเที่ยวจุดแรก ถ่ายรูปหลังวัดถ้ำเสือ กันสนุกสนาน ท่ามกลางแสงแดด ระดับม่านตาหยี ร้อนแค่ไหน ใจก้อสู้...

จากนั้นก็วนรถขับเข้าไปในวัดถ้ำเสือ กราบพระชินประทานพร และถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก

เนื่องจากวัดถ้ำเสือตั้งอยู่บนเนินเขา จึงมีทางให้ขึ้น 2 ทาง คือ

1. ทางบันได 157 ขั้น  

2. รถรางไฟฟ้า ไป-กลับ 10 บาท ใช้เวลา 3-5 นาทีถึง

 

วัดถ้ำเสือ เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี  งดงามวิจิตรการตามาก 

ด้านซ้ายของวัดมีเจดีย์ทรงสูง ชื่อว่า พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท สูง 9 ชั้น

มีบันไดเวียนให้เดินขึ้นไปกราบสักการะ พระบรมสารีริกธาตุ

และมีช่องหน้าต่างสำหรับชมความงดงามรอบๆวัด ได้ 360 องศา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 จากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไปยังแพที่พัก โดยแวะซื้ออาหารสดไว้ทำกับข้าวมื้อเย็นกันที่ Lotus ท่าม่วง และขับรถตาม GPS ต่อไปยังอำเภอศรีสวัสดิ์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ขับไปตามถนนขนานกับแม่น้ำแควใหญ่ บรรยากาศสองข้างทางดูชุ่มชื่น เต็มไปด้วยรีสอร์ทที่ตั้งเรียงรายกันตามริมแม่น้ำแควใหญ่ พวกเราที่หลับงัวเงียมาก่อนหน้านี้ เริ่มตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบตัว ชี้รีสอร์ทนู้น รีสอร์ทนี้ว่าน่ามาอีกจัง ส่วนเราจินตนาการไปถึงแพบ้านกล้วย ว่าจะสวยงามสักแค่ไหนกันนะ...

เส้นทางที่จะไปยังแพบ้านกล้วย แตกต่างจากแพอื่น เพราะเราต้องขับเข้าไปในอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ทางเดียวกับที่จะไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น อ้อลืมบอกไปว่า พวกเราไม่ได้แวะไปเที่ยวน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นแล้ว เพราะ 3 วัน ก่อนจะเดินทางมา มีข่าวว่าทางอุทยานฯ ประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ไม่เก็บค่าผ่านด่านเข้าไปที่น้ำตกเนื่องจากมีน้ำน้อยมาก ไม่เพียงพอต่อการประกอบกิจกรรมต่างๆของนักท่องเที่ยว พูดง่ายๆก็คือ น้ำแห้ง น้ำน้อย ไม่เพียงพอให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปเล่นน้ำนั่นเอง...ผิดหวังสิคะงานนี้ เนื่องจากความตั้งใจที่จะมาเล่นน้ำตก ฝึกหัดถ่ายรูปน้ำตก เป็นอันต้องพังทลาย แต่พวกเราก็เสียใจอยู่ไม่นาน เพราะเข้าใจดีว่าทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากฝีมือมนุษย์ที่ทำให้ธรรมชาติผิดเพี้ยนไป..เด่วฝนมา ค่อยไปเที่ยวใหม่ก้อได้  ดีซะอีก เราจะได้ใช้เวลาสนุกสนานกับการเล่นน้ำ พายเรือ กินข้าว เล่นกีตาร์ และเมาท์มอยกันให้หนำใจ...

จากด่านเก็บค่าธรรมเนียมของอุทยานฯ เราต้องขับต่อไปอีก 7 กม. ซึ่งเป็นทางลูกรัง ก้อนหินขรุขระ สองข้างทางเป็นป่าไผ่ สูงโค้งเป็นซุ้มตอนรับพวกเราอย่างสวยงาม สงสารก็แต่ล้อกับโช๊คของรถที่ทำงานหนัก เสียวหินบาดยางล้อพวกเรานั่งลุ้นให้กำลังใจคนขับตลอดเส้นทาง แล้วรำพันกันว่า แพอะไรอยู่ในป่าลึกทุรกันดารซะขนาดนี้...

.... ขับต่อมาสักพัก จะเจอป้ายชี้ไปแพบ้านกล้วย พวกเราครึกครื้นกันอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เราจะได้พบกับธรรมชาติที่สวยงาม แพที่พักหลังใหญ่ น้ำใสไหลเย็นในเขื่อน กันแล้ววววววว...ฮิๆๆ

          ว้าวๆๆๆๆ...เนินหญ้ากว้างใหญ่ กับแพริมน้ำ ที่ตั้งห่างกัน ให้ความรู้สึกส่วนตัวและใกล้ชิดธรรมชาติแบบสุดๆ มีน้องแพะออกมาเล็มหญ้า เหมือนที่เคยเห็นคนรีวิวไว้เลย...

ลุงกุ้งมาต้อนรับพวกเรา ด้วยสตรอเบอรี่อร่อยๆ 1 ถุง แบ่งกัน และถ่ายรูปให้พวกเราด้วยความเต็มใจ และมีรอยยิ้ม

           

            จากนั้นพวกเราก็รีบขนสัมภาระขึ้นแพ แพที่เราจองไว้ คือ แพ 5  ราคา 8,000 บาท หาร 12 คน ก็ตกที่คนละ 666 บาท แต่แพหลังนี้สามารถนอนกันได้ถึง 18-20 คน ถ้ามาเต็มอัตรา ก็ตกที่คนละ 400-500 บาทเอง เหลือเงินไว้กินอีกเพียบ...

            ในแพ 5 มีห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำ 2 ห้อง และมีครัวอยู่ที่โถงด้านนอก ลุงกุ้งจัดที่นอนให้พวกเรา เป็นเตียง 2 ชั้น แต่ละเตียง นอนได้ 2 คน ได้ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนประจำ อุปกรณ์เครื่องนอน หมอน ผ้าห่ม ก็สะอาดสะอ้าน มีพัดลมให้แบ่งใช้กัน 3 ตัว สำหรับใครที่เลือกนอนชั้นบนก็ไม่ต้องกลัวร้อน เพราะมีพัดลมติดข้างฝามุมสูงให้ห้องละ 1 ตัว อ้อ...ที่นี่มีแต่แพพัดลมนะจ๊ะ ไม่ต้องถามหาแพติดแอร์ ถ้ามาเที่ยวหน้าร้อนแบบพวกเรา อากาศตอนหัวค่ำก็อาจจะร้อนๆหน่อย แต่พอตกดึก อากาศจะเริ่มเย็นๆ เปิดลมพัดส่ายไปมาเบาๆ นอนหลับสบาย...

             สำหรับกระแสไฟฟ้า เนื่องจากที่นี่ต้องปั่นไฟใช้ ทำให้มีไฟฟ้าใช้ตั้งแต่เวลา 19.00 - 07.00 น. เท่านั้น

 

 

อุปกรณ์เครื่องครัวมีพร้อม ทั้งเตาแก๊ส กะทะ หม้อ ครก จาน ชาม ช้อน แก้วน้ำ มีด กะละมัง กาต้มน้ำร้อน หรือแม้แต่หม้อไฟ ถ้าจะทำอาหารก็แจ้งลุงกุ้งไว้ก่อนเลย ลุงมีถังแก๊สให้บริการ คิดวันละ 200 บาท แค่นี้ก็จัดปาร์ตี้เล็กๆได้สบาย หรือถ้าแก๊งค์ไหนไม่สะดวกทำอาหาร ก็สามารถโทรสั่งอาหารตามสั่งได้ที่ร้านป้ายุ้ย มีบริการส่งถึงที่แพ หรือจะสั่งน้ำแข็ง โซดา ร้านป้าก็มีพร้อม ยกมาให้พร้อมถังพลาสติก แบบจัดเต็ม ขอเบอร์โทรจากลุงกุ้งที่หน้างานได้เลย...

 

ส่วนบรรยากาศรอบๆแพ ก็ธรรมชาติสุดๆ ทั้งแพะ นก แมลงปอ เป็ด ห่าน 

แดดร่มลมตก ออกมาเดินชมวิวรอบๆแพ หรือจะเล่นน้ำ พายเรือ

ก็มีเรือแคนู ห่วงยาง เสื้อชูชีพ ให้บริการฟรี ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเพิ่มแต่อย่างใด

 

หลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว พวกเราก็นั่งล้อมวงกินอาหาร พูดคุย หยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน

มันก็แค่ความสุขแบบง่ายๆ ที่นึกย้อนกลับมาเมื่อไหร่ ก็แอบมีรอยยิ้มที่มุมปากทุกที...

 

รุ่งเช้า พวกเราออกมานั่งรอแสงอาทิตย์สาดแสง สะท้อนผิวน้ำหน้าแพ พายเรือ เล่นน้ำกันอีกสักรอบ

ดื่มด่ำกับบรรยากาศริมเขื่อนยามเช้า ถ่ายรูปเล่นกันอย่างสนุกสนาน...

จนถึงเวลาแพ็คความสุขใส่กระเป๋า เดินทางกลับบ้าน อำลามิตรภาพดีๆของพี่น้องผองเพื่อน

เพื่อไปตั้งหลัก สำหรับการตะลอนในครั้งต่อไป...

วันธรรมดา

ชีวิตธรรมดา

กับคนธรรมดา

ความคาดหวังแบบธรรมดา

มักก่อเกิดความสุขและได้กำไรง่ายกว่า

#jiradt

 

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

ติดตามเรื่องราวการเดินทางของกุ้งตะลอน ได้ที่เพจ  https://www.facebook.com/Slowlifetraveller/

 

----------------------------------------------- Thank You ----------------------------------------------------------