ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เที่ยวคนเดียวเมืองกาญจน์วันฝนพรำๆ (น้ำตกเอราวัณ, สังขละบุรี, จุดชมวิวป้อมปี่ , หมู่บ้านอีต่อง, สะพานข้ามแม่น้ำแคว, น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น, ทางรถไฟสายมรณะ, องค์พระปฐมเจดีย์, มหาวิทยาลัยศิลปากร, พระราชวังสนามจันทร์) จังหวัดกาญจนบุรี (Kanchanaburi) จ.กาญจนบุรี
    • โพสต์-1
    Paipasu •  กรกฎาคม 01 , 2558

    ทริปนี้หน้าฝน ผมนั่งคิด นอนคิดว่า  เห้ย!!! หน้าฝนทั้งที อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝนดิ ต้องหาเรื่องออกไปนอนตากน้ำฝน แล้วผมก็แพลนว่าหน้าฝนต้องนอนตามเขาตามน้ำตกมันถึงจะอิน เลยนึกได้กาญจนบุรีเนี่ยแหละน่าจะเหมาะ เขากับน้ำตกเยอะดี ว่าแล้วก็เก็บของแล้วอีกวันสองวันก็ออกเดินทางเลยครับ ความจริงก็แอบหลอนใจฝ่อๆเหมือนกันครับ ก่อนหน้านั้นไปดู jurassic world มา หลอนว่าในโลกนี้ยังมีไดโนเสาร์อยู่และที่กาญจน์อาจมี เห็นมีป่าเยอะแยะ (คิดไปได้เนาะผม) กลัวจะโดนคาบไปกินตอนกางเต็นท์นอนคนเดียว 555 แต่จะกลัวอะไรละวัยรุ่นนนนนน!!! ก็ลุยเลยเซซซซซซซซ้!!! ตามสไตล์อีกละครับ ทริปนี้กางเต็นท์นอนตามอุทยานแห่งชาติเหมือนเคย

    นี่เป็นแผนการเที่ยวคร่าวๆครับ ผมวางไว้ที่ละวันสองวัน ความจริงทริปเกือบล่มละ ก่อนเดินทางผมต้องไปส่งน้องที่แพร่ ขับรถเช้าไปเย็นกลับ อีขากลับเนี่ยแหละแวะซื้อกรอยกิน พึ่งรู้ว่าแพ้กรอย เมากรอยแทบแย่ อ้วกแตกอ้วกแตน ถึงบ้านผมรีบนอนเลย เด็กๆจำได้ครูสอนว่า เวลานอนร่างกายจะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ นอนตั้งแต่เย็นเลยครับ ตื่นมาสามทุ่ม โอเค สภาพร่างกายฟื้นฟูแล้ว ผมจองตั๋วรถไปกรุงเทพฯไว้รอบสี่ทุ่ม

     

    วันที่หนึ่ง 16/06/58 ผมออกจากสุโขทัยด้วยรถรอบสี่ทุ่มไปถึงหมอชิตประมาณตีสี่ เดินถามหารถไปกาญพักนึงก็เจอครับ ได้รอบหกโมงครึ่ง 130 บาท ก็กะว่าจะนอนพักสักหน่อย เอาจริงๆก็ไม่ได้นอนหรอกครับ เดินดูโน้นดูนี้ คุยกับคนข้างๆไปเรื่อยเปื่อย 

     

    หกโมงครึ่งรถออก ผมมาถึงกาญจนบุรีประมาณเก้าโมงครึ่ง มาถึงก็เดินสำรวจเลยครับ ว่ามีรถไปที่ไหนบ้าง 

     

    ผมวางแผนไว้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง แต่ไม่ได้คิดว่าจะไปไหนก่อนหรือหลังดี ปัญหาใหญ่เลยคราวนี้ เดินดูไปเรื่อยก็เจอตารางเดินรถที่จะไปน้ำตกเอราวัณ เอาวะ!! ไปเอราวัณก่อนก็ได้

     

    ผมได้รถรอบสิบโมงครึ่ง อากาศตอนนั้นมันจะร้อนไปไหนนิ ผมนี่นึกว่าฝนมันจะตกจะได้เย็นๆ อันนี้โคตรจะร้อน นั่งรอในรถไม่ไหวต้องออกมารับลม เดี๋ยวเป็นลมก่อนได้เที่ยวไปซะก่อน นั่งสักพักก็ถึงเพลา 10.30 น. แล้ว รถก็ล้อหมุนทันที ค่ารถไปน้ำตกเอราวัณ 50 บาทครับ เค้าส่งถึงหน้าที่ทำการอุทยานเลย ตอนนั่งไปก็สนุกสนานดีครับ เหมือนเค้าจะรู้จักกันทั้งลำรถ คุยสนิทสนมกันทั้งคัน มันดีครับนั่งฟังนั่งคุยแจมไปกับเค้าด้วย ก่อนเข้าอุทยานจะมีด่านเก็บค่าเข้า ค่าเข้าอุทนยานก็ 100 บาทต่อคนครับ ถ้ามีบัตรนักศึกษาลด 50%

     

    มาถึงปุ๊บผมก็ตรงไปจุดกางเต็นท์เลย อย่างไกลอะครับ เป็นเนินอีก อีขาไปมันลงเนินพอไหวแต่อีขาขึ้นเนี่ยแหละ ตอนเดินไปมีน้องนักศึกษามารถคันเดียวกับผมด้วยคนหนึ่งครับ น้องเค้ามานอนเต็นท์คนเดียวเหมือนกัน พอเดินไปถึงจุดกางเต็นท์ผมกับน้องก็ไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อทำเรื่องขอกางเต็นท์ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่บอกว่าต้องไปลงทะเบียนที่ที่ทำการที่ลงมาเมื่อกี๊ แม่เจ้า!!! ไปก็ไป วางสัมภาระไว้ก่อน ต้องเดินขึ้นเนินอีกละ ก่อนจะถึงเนินเนี่ยแหละมันจะมีสะพาน สภาพเหมือนจะพัง ผมนี่ต้องค่อยย่องเวลาข้าม

     

    ลงทะเบียนเสร็จผมก็ลงมากางเต็นท์ น้องนักศึกษาก็กางใกล้ๆกันแหละครับ ตอนนี้ทั้จุดกางเต็นท์มีพวกผมสองคน แต่กว่าจะหาที่กางได้ก็พักใหญ่ๆ มดมันเยอะ ย้ายมาสามที่ แต่กางตรงไหนก็มีแต่มดเลยไม่ย้ายละ มันเป็นมดที่ตัวดำๆอะครับ เลยไม่มีปัญหา ตอนนอนนี่ไต่กันทั้งเต็นท์ แต่ไม่เป็นไรคิดซะว่ามีเพื่อนจะได้ไม่เหงา 

     

    กางเสร็จน้องนักศึกษาเค้าขอตัวไปลุยน้ำตก ส่วนผมก็นอนเล่นสักพัก นี้เป็นภาพบรรกากาศจากภายในเต็นท์ครับ ที่พักวิวสุดหรูในราคาคืนละ 30 บาท

     

    นอนได้แป๊ปหนึ่งก็วูบหลับเลยผมอะ ภาพตัดตื่นมาอีกทีเย็นๆ น้องเค้ากลับมาพอดี ผมก็ถาม “ไง ไปชั้นเจ็ดเหนื่อยไหม” น้องบอก “พอได้ครับ” เดี๋ยวพรุ้งนี้เช้ารู้เลยว่าพอได้นี่ได้ขนาดไหน และแล้วฝนก็ตก ผมเลยต้องย้ายเต็นท์ไปนอนบนศาลา น้องนักศึกษาคนนั้นก็มาด้วยครับ เพราะแถวที่ผมเลือกมันเงียบหน่อย ตอนบ่ายๆมีนักท่องเที่ยวมากางเต็นท์แถวที่นอนที่เดิมสิบกว่าคน คาดว่ากลางคืนจะมีปาร์ตี้รอบกองไฟผมกับน้องเลยปรีกวิเวกมาแถวนี้

     

    ฝนตกได้แป๊ปหนึ่งก็หยุด ตอนตกก็ตกแบบปรอยๆด้วย ตกอย่างนี้นี่ไม่ได้ช่วยให้เย็นขึ้นเลยยยยย ร้อนอบอ้าวกว่าเก่าอีก  ช่างมันร้อนก็ถอดเสื้อนอนเอา แล้วผมก็ออกไปเดินสำรวจจุดกางเต็นท์ครับว่ามีห้องน้ำไหม มีร้านสวัสดิการไหม ปรากฏว่าห้องน้ำอะมีครับ แต่ร้านสวัสดิการกับร้านอาหารอยู่เลยที่ทำการไปอีกนิดนึง เอาอีกละเดินขึ้นเนินไปอีกละ กลัวไรละวัยรุ่น แค่ขยับเท่ากับออกกำลังกาย ไปเลยซิครับกินข้าวกินปลาซื้อน้ำมาให้พร้อม พร้อมนอนนะครับ ไม่ใช่ไปลุยน้ำตก เพลียจากการเดินทางกับเมากรอย แล้วก็น้ำตกเจ้าหน้าที่เค้าเปิดแปดโมงถึงสี่โมงครึ่งด้วยครับ

     

    เริ่มเย็นละครับ เก็บภาพบรรยากาศนิดนึง เก็บมากเดี๋ยวแบตหมด เสร็จแล้วผมก็ไปอาบน้ำเตรียมนอน เอาจริงๆก็นอนไม่ค่อยหลับหรอกครับ ตื่นมาบ้าง เพราะมันร้อน ร้อนจนเสื้อเปียก จะออกมานอนข้างนอกก็ยุง ส่วนในเต็นท์ก็มดเพรียบ เอาวะเจอมดดีกว่าเจอยุง

    • Ter  มีหมอกลงด้วย ได้บรรยากาศสุดๆ 18 สิงหาคม 2558 11:22:10
    • โพสต์-2
    Paipasu •  กรกฎาคม 01 , 2558

    วันที่สอง 17/06/58 ผมตื่นมาตีห้าครึ่ง อากาศหนาวมาก ไมเมื่อตอนหัวค่ำมันร้อนจังวะ ผมกะจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ปรากฏว่ามีแต่หมอกแล้วงี้จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นไหมละเนี่ย ผมก็นั่งดูวิวไปเรื่อยๆ เมฆหมอกก็เริ่มหายไปๆ ในที่สุดพระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมา แทบจะวิ่งไปอ้าแขนรับแสงแรกแห่งวันติดที่อายเด็ก

     

    พระอาทิตย์เริ่มโผล่มาละครับ คุ้มค่ากับการรอคอย พอสักสักเกือบๆแปดโมง น้องนักศึกษาก็ขอตัวกลับ เค้าบอกว่าจะไปสังขละบุรีต่อ ผมก็ขอตัวไปตะลุยน้ำตก 7 ชั้น ล่ำลากันเสร็จก็แยกย้ายไปตามเป้าหมายต่อไปของตัวเอง ผมก็เดินลุยไปที่น้ำตกเลย

     

    ผมไปถึงปากทางขึ้นแปดโมง ไม่มีเจ้าหน้าที่เลยอะ นี่เค้าเปิดยังเนี่ย ไม่สนใจละครับเดินไปเลย คนเดียวเนี่ยแหละ บรรยากาศนี่มืดๆทึมๆ เพราะฝนจะตกอีกแล้ว เส้นทางขึ้นไปน้ำตกช่วงแรกจะมีทางขึ้นไปค่อนข้างดีครับ หลังจะเป็นแบบในรูปแล้ว

     

    เริ่มที่ชั้นที่ 1 “ไหลคืนรัง” ใกล้ๆ สบายๆ

     

    ชั้นที่ 2 “วังมัจฉา” ใกล้ๆ กับชั้น 1 สบายมาก ในวันที่ผมไปผมว่าชั้นนี้สวยสุดละครับ

     

    ต่อไปชั้น 2.5 ก็มันอยู่ระหว่างทางชั้น 2 กับ 3 อะ ผมว่าอันนี้ก็สวยนะ

     

    แล้วก็มาถึงชั้น 3 “ผาน้ำตก” เหนื่อยแต่ยังไหว เตรียมระเบิดพลังวัยรุ่นต่อ

     

    ต่อมาชั้นที่ 4 “อกนางผีเสื้อ” ตอนแรกก็กะจะโกหกตัวเองว่าไม่เหนื่อยแหละครับ แต่เจอสภาพน้ำตกเข้าไปอึ้งเลย หือออออ นี่หรือคือน้ำตก ทรุดเลย ตอนนี้อะเหนื่อยละครับ แล้วยิ่งเห็นระยะทางไปชั้นต่อไปนี้ถึงกับท้อ แต่มาขนาดนี้แล้วอะ ก็ลุยต่อเลยเซซซซซซ้!!! 

    โคตรเหนื่อยเลยครับตอนนี้ แล้วระหว่างทางก็มีศาลอยู่หลายศาล จิตตกเลยผม ฝนก็จะตกบรรยากาศโคตรวังเวง จะกลับก็มาซะไกลขนาดนี้ จะไปก็ใจหวั่นๆ มองไปนี่มืดตึบ มาคนเดียวอีกต่างหาก วันนี้ยังไม่มีคนขึ้นมาเลยมั้ง เอาวะ!!! ไปก็ไป เป็นวัยรุ่นมันต้องเสี่ยง ฮัมเพลงคนเดียวให้ใจมันฮึกเฮิมไว้ เจ้าตงเจ้าตาก บางระจัน เพลงการ์ตงการ์ตูนมาหมดครับ 

     

    ชั้นที่ 5 “เบื่อไม่ลง” ใจชื้นละครับ เจอภาพนี้เข้าไป เท่าที่ผมสังเกตุชั้น 1-4 ค่อนข้างที่ใกล้ๆกันครับ ชั้น 5-7 นี้ไกลขึ้นมาอีก ยิ่งตรงชั้นที่ 4 มาชั้น 5 อย่างไกล ผมนี่ปางตายเลยกว่าจะถึง 

     

    ผมเห็นป้ายบอก 300 เมตรจะถึงชั้นที่ 6 ตอนนั้น 300 เมตรเหมือน 3 กิโลเมตร สภาพอย่างกับคนตกน้ำมา เปียกทั้งตัว น้ำดื่มก็ไม่ได้เอามา ข้าวก็ยังไม่กิน ก็บ่นไปงั้นแหละครับ ไงก็ไหว และแล้วก็มาถึงชั้นที่ 6 “ดงพฤกษา” มาได้ถึงกับอึ้ง ไหนวะน้ำ ภาพที่เห็นทำร้ายจิตใจกันมาก ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับคนออกหัก เอ้า!!! ปาดเหงือแล้วลุยต่อไปชั้นที่ 7 ซะ

     

    อันนี้เป็นน้ำตกย่อยๆ ก่อนถึงทางแยกไปชั้น 6 กับ 7 

     

    ถึงแล้ววววว ชั้นที่ 7 “ภูผาเอราวัณ”  น้ำน้อยมากๆ แต่ยังพอมีน้ำตรงพื้นเป็นสีฟ้าๆอยู่บ้าง ถึงตอนนี้จะไม่ได้มีน้ำมากมายเหมือนที่เคยเห็นในเว็บท่องเที่ยว แต่ด้วยสภาพแวดล้อม บวกกับบรรกาศทำให้ผมหายเหนื่อยได้เหมือนกันครับ อย่างกับใครเอาครามใส่ลงไปในน้ำ น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา น้ำเย็นมากๆ นั่งพักสูดอากาศบริสุทธิ์ พักผ่อนกายใจสักแป๊ปนึง 

     

    ดื่มด่ำกับบรรยากาศสักพัก เล่นน้ำนิดหน่อย ก็เตรียมตัวลงไปข้างล่าง ตอนนั้นประมาณสิบโมงครึ่ง ระหว่างทางจะมีจุดชมวิวครับ ตอนขาลงเริ่มมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติขึ้นมาแล้วครับ เค้าก็ถามว่าข้างบนเป็นไงสวยไหม คุ้มหรือเปล่าที่ขึ้นไป ถ้าเอาจริงๆผมว่าถ้าไม่ใช่ฤดูน้ำหลาก  ชั้น 2 สวยสุดแล้ว 1,3,4 พอได้ มันอยู่ใกล้ๆกันเลยสบาย ส่วน 5,6,7 นี่เหมือนไปเพื่อความสะใจเฉยๆอะ แต่ถ้าน้ำเยอะๆนี่ชั้น 7 น่าจะสุดๆ

    ผมลงมาถึงจุดกางเต็นท์ประมาณ 11 โมง เก็บเต็นท์กะนั่งรถไปขนส่งต่อ ขากลับรถจะมีรอบ 10 โมง เที่ยง แล้วก็สี่โมงเย็นเลย ผมได้รอบเที่ยงพอดี เกือบไม่ทัน

     

    ผมมาถึงขนส่งประมาณบ่ายครึ่ง ผมนั่งคิดในรถว่าจะไปไหนดี เป็นว่าสังขละบุรีต่อดีก่า ตอนแรกอยากนั่งรถหวานเย็นไปแต่กลัวถึงมืด ผมมาได้รถตู้รอบบ่ายสองสิบ นึกว่าจะเร็วมันก็ช้าเหมือนกันครับเพราะฝนตก เลยขับไวมากไม่ได้ ระหว่างทางได้เวลาโรงเรียนเลิกพอดี เด็กที่นี่สุดยอดอะ ต้องนั่งรถไปกลับโรงเรียนเช้าเย็นอย่างนี้ทุกวัน ผมนี่นับถือเลยครับ

     

    ผมมาถึงสังขละบุรีห้าโมงเกือบครึ่ง พักกินข้าวแล้วกะจะไปกางเต็นท์นอนที่จุดชมวิววังกะ เค้าบอกนอนฟรีแค่บอกเจ้าหน้าที่ เดี๋ยวเค้าเปิดไฟให้ ตอนแรกจะนั่งวินมอไซค์ไป กลัวแพงเลยเดินไปเอง ประมาณ 2 กิโลกว่าๆ ระยะทางไม่ใช่ปัญหาครับ ระหว่างทางเนี่ยแหละ ผมแบกสัมภาระพะลุงพะลัง หมานี่วิ่งไล่กันให้เกรียว คือมันไม่ได้มาตัวเดียวครับ มันมากันทั้งฝูง แถมอีฝั่งตรงข้ามก็มา ผมก็ตะโกน “เห้ย!!! อย่านะหมาน้อย ใจเย็น เรามาอย่างสันติ” จะโดนหมารุมกัดตาย โชคดีที่ผ่านมาได้ เจอประมาณสองสามฝูง เอาตัวรอดมาได้โดยปลอดภัย ไม่รู้มันจะเห้ากันไปไหน -_-!

    แล้วผมก็มาถึงจุดชมวิววังกะ ผมกะกางเต็นท์นอนเต็มที่ พอเดินเข้าไป ไหนละเจ้าหน้าที่ ไม่มีสักคน พอดูนาฬิกา มันจะหนึ่งทุ่มแล้วใครจะมาเฝ้าได้ตลอดยิ่งไม่ใช่หน้าเทศกาลด้วย ตอนนั้นฟ้าเริ่มสลั่วๆแล้วครับมีนักท่องเที่ยวผู้หญิงสามคนกำลังถ่ายรูปอยู่แล้วก็จากไป ผมก็เดินสำรวจเลยครับ มีน้ำมีไฟไหม  สักพักมันเริ่มมืดจริง ไฟฟ้ามันจะไปมีได้ไง เจ้าหน้าที่ไม่อยู่ ผมก็เก็บของแล้วเดินไปตามทางที่เดินมาเมื่อกี๊ 

    ผมเดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปเรื่อยๆ ไม่รีบๆ แต่ฟ้ามันมืดเรื่อยๆแว้ววว สักพักผมก็เจอนักท่องเที่ยวผู้หญิงสามคนที่เจอก่อนหน้านี้ เค้าถามผมว่า “มีที่พักหรือยังคะ ให้ไปส่งไหม” ผมตอบไปว่า “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมลองหาแถวนี้ดู ขอบคุณครับผม ^^” นึกในใจ ไม่น่าหยิ่งเลยตู มืดชิบ โดนหมาไล่กัดอีกจะทำไงละทีนี้ T T

    ผมก็ได้แต่เดินต่อไปจนเกือบๆสองทุ่ม มีเสียงตะโกน “Where are you going?” ผมก็หันซ้ายขวา ใครวะ แล้วเค้าคุยกับใคร กับตูหรอ ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ถนนฝั่งตรงข้าม เค้าเป็นเจ้าของรีสอร์ทครับ ผมตะโกนกลับไป “หาที่พักครับ” เค้าตอบกลับมา “อ่าว คนไทยหรอ พี่นึกว่าไต้หวัน” แหม่หน้าผมก็ไม่ได้ตี๋อะไรขนาดนั้นนนนน ค่าห้อง 600 บาทครับ แต่พี่เค้าลดให้เหลือ 500 คืนนั้นไงก็ต้องยอมเสียตังแหละ

    • โพสต์-3
    Paipasu •  กรกฎาคม 01 , 2558

    วันที่สาม 18/06/58 ผมปลุกนาฬิกาตีห้า แล้วเดินไปจุดชมวิววังกะ ไม่มีรถส่วนตัวก็งี้แหละครับต้องพึ่งลำแข้งตัวเอง 

     

    นั่งรอจนหกโมงเช้า พระอาทิตย์เริ่มขึ้นแล้วครับ ผมก็ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นบันทึกความทรงจำไปเรื่อยๆ  

     

    พระอาทิตย์โหม่ขึ้นมาละครับ ตอนผมไปน้ำแห้งมาก เหมือนจะมาผิดฤดู แต่ก็ดีนะครับ ภาพน้ำน้อยก็จ๊าบไปอีกแบบ

     

    นี่เป็นภาพโดยรวมของจุชมวิววังกะครับ

     

    สักเจ็ดโมงครึ่งก็เดินกลับที่พักครับไปชาร์จแบต กะเช็คเอาท์สัก 10 โมงกว่าๆ ระหว่างทางก็เก็บภาพไปเรื่อยๆ ที่ผมพักเค้ามีอาหารเช้าให้ด้วยครับ เป็นกาแฟ โอวันติน ปาท่องโก๋ ขนมปังปิ้ง สบายท้องเลยผมอะ

     

    พอสิบโมงครึ่งผมก็เช็คเอาท์ แล้วก็เดินไปแถวในตลาด ระหว่างทางเจอโจทย์เก่าซิครับ ฝูงเดิมเลย นอนรอกันเพรียบ ผมหันหลังไปเจอพี่วินมอไซค์มาพอดีเลยเรียก ปรากฏว่ามันไม่ไล่เหมือนตอนผมเดินมาแฮะ โล่งอกไป วันนี้ผมกะพักที่พีเกสเฮาส์เห็นถูกดี ห้องพัดลม 300 บาท ผมเช่ามอไซค์อีก 200 (มาสังขละผมเสียตังค์เยอะสุดแล้วครับ ที่อื่นวันละไม่กี่ร้อยเอง) 

     

    เสร็จแล้วก็ไปหาข้าวกลางวันกิน กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ ^^ พอกินเสร็จแล้วลุยยยยยย!!! ขี่มอไซค์เที่ยวเจดีย์พุทธคยา วัดวิเวการาม สะพานมอญ ท้องฟ้านี่ไม่ต้องหวังครับจะเจอแสงดีๆ อึมครึมตลอด แต่ก็ดีนะครับ ไม่ร้อนเพราะแดดมันไม่ส่อง

     

    เจดีย์พุทธคยาครับ

     

    สะพานมอญ น้ำแห้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

     

    หลังจากนั้นผมก็ขับมอไซค์ไปเที่ยวด่านเจดีย์สามองค์ต่อครับ ฝนตกตลอดทางเปียกซิครับงานนี้ต้องพักหลบฝนแป๊ปนึง

     

    ถึงแล้วครับ ด่านเจดีย์สามองค์ ผมพึ่งรู้ว่าองค์เล็กประมาณตัวคนเอง เคยคิดว่าองค์ใหญ่มาก ตอนมาถึงก็เวลาโรงเรียนเลิกพอดี มีเด็กนักเรียนตัวเล็กตัวน้อยกำลังกลับบ้าน

     

    ขากลับครับ ฝนตกหนักกว่าขามาอีก โทรศัพท์ผมเปียกน้ำเลย ไร้การสื่อสารไปคืนหนึ่ง เครื่องรวนซะ!!

     

    ก่อนกลับที่พัก ผมแวะเดินเล่นตลาดนัดในวัด ของอย่างถูก มีน้ำจรวดขายด้วย เคยกินสมัยเด็กๆโน่นเลย ไม่นึกว่ายังมีขายอยู่ ตอนผมมามีคนบอกว่าตอนนี้หน้าฝนไม่มีถนนคนเดินนะ มีอีกทีหน้าหนาว ไม่เป็นไรครับ ผมชอบตลาดนัดแบบนี้มากกว่าเดินเล่นสบายๆ เหมือนเดินตลาดแถวบ้านตัวเอง ของก็ถูกด้วย

     

    มาถึงที่พักก็ออกไปจุดชมวิวของที่พัก ที่นี่สามารถเห็นสังขละได้มุมกว้างเลยครับ เห็นเจดีย์พุทธคยา สะพานมอญด้วย

     

    สักห้าโมงเย็น ผมก็ขับมอไซค์ไปแถวสะพานมอญ ผมเจอน้องสองคนกำลังตกปลา ก็ถามว่า “ตกปลาอะไรกันรึน้อง” น้องบอก “ตกปลาทงครับ (ผมไม่แน่ใจว่าปลาทงหรือเปล่า) เจ้าแห่งแม่น้ำที่นี่เลยพี่ ตัวเท่าๆพี่แหละ”  หืออออ นี่มันอย่างกับกอนตกปลาเจ้าบึงก่อนออกไปเป็นฮันเตอร์เลยนะเนี่ย แล้วถ้าตกได้จะเอาไหวรึนั่น ผมก็นั่งดูจนมืดก็ไม่เห็นได้ สงสัยน้ำจะแห้งเกิน

     

    ผมเดินเล่นจนมืด แล้วก็มาถ่ายภาพสะพานมอญตอนกลางคืนครับ สวยไปอีกแบบเหมือนกัน พอเสร็จแล้วก็กลับไปนอน รอใส่บาตรพรุ้งนี้เช้า

    • Raykard  สักวันนึง จะขอไปให้ถึง^^ 10 กันยายน 2558 11:09:06
    • โพสต์-4
    Paipasu •  กรกฎาคม 01 , 2558

    วันที่สี่ 19/06/58 ผมตื่นประมาณเกือบๆหกโมงเช้า แล้วก็ขับรถไปสะพานมอญ ตอนนี้ยังมืดอยู่เลยครับ เดินเล่นรอฟ้าสว่างสักแป๊ปก็มีเหล่าดาราของสะพานมอญมา ^^

     

    ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้วครับ ผมก็เดินตามไปเรื่อยๆ จนถึงฝั่งมอญ เพื่อจะไปใส่บาตร

     

    ผู้คนที่มารอใส่บาตรครับ

     

    ดาราของที่นี่เลย น่าจะชื่อ "พี่เย็น" หรือเปล่า ^^

     

    กิจกรรมระหว่างรอใส่บาตรครับ

     

    พระมาแล้วครับ

     

    เสร็จแล้วผมก็เดินข้ามสะพานกลับ ระหว่างทางเจอนักกระโดดน้ำแห่งสะพานมอญ ตอนแรกนึกว่าจะไม่เจอเห็นน้ำแห้ง น้องบอกผม “โอเคยังพี่ ผมจะโดละนะ อย่าลืมให้ติบละพี่” ผมสงสัญญานแล้วน้องก็โดด ผ่านไปสักพักผมยืนถ่ายรูปอยู่บนสะพาน น้องเค้าเข้ามาแล้วบอก “ขอจับจับมือหน่อยพี่” ยืนคุยเล่นกันพักหนึ่ง  แล้วน้องชวนผมเข้าแก็งซ์ “คราวหน้าเอามอไซค์มาดิพี่ เดี๋ยวผมพาเข้าแก็งซ์” ผมก็หัวเราะ  “โอเค เดี๋ยวจะเอามา ตอนแรกกะเอามาอยู่แล้ว แต่อยากลองนั่งรถในท้องถิ่นดู” แล้วน้องก็บอกว่า “เดี๋ยวผมไปโรงเรียนแล้วพี่ ไม่มีเด็กคนไหนได้ตังค่าขนมไปโรงเรียนสามร้อยแบบผมหรอก 555” 

     

    แล้วผมก็กลับที่พัก พอสัก 11 โมงก็เช็คเอาท์ ไปรอรถรอบบ่ายโมงที่ขนส่ง ระหว่างนั้นก็ไปเดินเที่ยวตลาดแถวนั้นชื่อ “ตลาดสด 5 เชื้อชาติ” แวะกินข้าวเลยด้วยหิวจัด เจอแกงฮังเลเลยจัดไป 1 จาน

     

    รถจะไปกาญมีสามรอบครับ หกโมงครึ่ง แปดโมงแล้วก็บ่ายโมง รอบเก้าโมงสี่สิบห้าไม่มีครับ พอบ่ายโมงรถก็ออก ผมบอกจอดหน้าทางเข้าจุดชมวิวป้อมปี่อะครับ

     

    ถึงแล้วครับ จุดชมวิวป้อมปี่ เดินเข้าไปประมาณ 1กิโล สบายยยยย พอผมเดินมาถึงจุดลงทะเบียน เจ้าหน้าที่บอก “เดินมาจากปากทางหรอ สุดยอด มาคนเดียวด้วย เดี๋ยวพี่คิดครึ่งราคาละกัน”  มาถึงฟ้านี่เยิ้มมาเชียว

     

    สักพักฝนก็ตก ผมยังไม่ทันจะกางเต็นท์เลย ต้องไปหลบในห้องน้ำก่อน     ตกอย่างหนัก ลมโคตรแรง ซวยละคืนนี้จะนอนได้ไหมวะเนี่ย แต่ก็เอาเหอะครับ ทริปกางเต็นท์หน้าฝนก็ต้องนอนกางฝนซิครับ สนุกดี

     

    ได้ละครับที่กางเต็นท์ สบาย อากาศเย็นมาก มีปลั๊กไฟด้วย ตรงอาคารสวัสดิการ แต่ที่นี่เสียอย่างเดียว ร้านปิดตอนสี่โมงครึ่ง ดีนะผมไปซื้อน้ำไว้ก่อนขวดหนึ่ง แต่ไม่มีข้าวกินครับ อดไปปปปปปปปปปปปปป    

     

    ที่เค้าบอกว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ เป็นเรื่องจริงครับ ลองไปดูภาพกันเลยครับ มีรุ้งกินน้ำด้วย

     

    ที่นี่บรรยากาศดีนะครับ ห้องน้ำก็มีหลายห้องอยู่ ค่อนข้างสะอาดด้วย     ผมหลับไปตอนสามทุ่มกว่าๆ  คืนนั้นฝนตกครับ มันเลย นอนเต็นท์กลางสายฝน เย็นสบายถึงเช้าครับ

    คืนนั้นฝนตก แมลงเยอะ ผมกำลังเข้าไปในห้องน้ำ เจอตุ๊กแกซิครับ มาดักกินแมลง ผมนี่ออกแทบไม่ทัน คือปกติก็ไม่เท่าไรนะครับ อยู่ร่วมบ้านกันได้ แต่นี่ระยะสองฟุต มันเผชิญหน้ากันเกินไปทำใจลำบาก

    • โพสต์-5
    Paipasu •  กรกฎาคม 01 , 2558

    วันที่ห้า 20/06/58 ผมตื่นมาหกโมงกว่าๆ พระอาทิตย์ไม่ขึ้นอีกแล้วครับ เลยรีบเก็บเต็นท์เพื่อจะไปทองผาภูมิต่อ รถเมล์จากสังขละมานี่ใช่เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ผมเดินออกไปรอหน้าปากทางประมาณ 7 โมงกว่า รอ 40 นาทีรถก็มาครับ ระหว่างทางได้ยินว่ารถรอบแปดโมงไม่มี โชคดีนะที่ผมไม่มัวลีลาแล้วออกมารอรถรอบแปดโมง ไม่งั้นรอจนเหงือกแห้งแน่ๆ ระหว่างทางที่เดินออกไปก็ชมนกชมไม้ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

     

    นั่งรถหวานเย็นใช้เวลาจากป้อมปี่มาทองผาภูมิประมาณ 50 นาที รถเมล์จะจอดแถวตลาดทองผาภูมิ แถวนั้นจะมี 7-11 ครับ ตรงข้ามจะเป็นร้านข้าว เป็นที่จอดรถไปหมู้บ้านอีต่อง ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไปของผมคือจะไปนอนที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ  ระหว่างรอรถออกผมไปเดินเล่นในตลาดสดแถวนั้นก่อนครับ หาอะไรกินด้วยหิวมากกกกกก เมื่อวานอดข้าว

     

    แล้วผมก็ไปเดินตลาดสดครับ หาของกินซะหน่อย ไปเจอขนมแปลกๆ แม่ค้าบอกเป็นขนมพม่าครับ ชิ้นละ 5 บาท อร่อยครับ ผมก็ซื้อไปกิน

     

    รถขาไปจะมีรอบ 10 โมงครึ่งกับ เที่ยงครึ่งครับ ผมไปรอบสิบโมงครึ่ง ผมเจอลุงโชว์เฟอร์ แกบอกว่า อช.ทองผาภูมิตอนนี้กางเต็นท์ไม่ได้มีก็ที่อีต่องเลย ผมก็คิดว่าจริงเหรอออ ลุงแกโม้ป่าวเนี่ย (ในอนาคตอันใกล้ลุงคนนี้จะมีบทบาทกับชีวิตผมมากๆเลยครับ T^T) ตอนนั่งไปมีเด็กนักเรียนขึ้นมาด้วย น้องเค้าอยู่ที่หมู่บ้านอีต่อง เรียนอยู่มัธยม ที่หมู่บ้านมีแค่ระดับประถม เวลากลับบ้านก็กลับวันเสาร์ แล้วลงมาอีกทีวันอาทิตย์ไม่ก็เช้าวันจันทร์

     

    เด็กน้อยที่นั่งไปด้วยกันครับ ^^

     

    ระยะทางไปอุทยานประมาณ 50 กว่ากิโลเมตร ไปหมู่บ้านอีต่องอีก 8 กิโลเมตร ถนนที่นี่ราดยางแล้วครับ แต่ตอนนี้ชำรุดเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดสาย จะมีเรียบบ้างแต่ค่อนข้างจะน้อย  เส้นทางก็ขึ้นเขาแต่ไม่ชันมาก แต่เรื่องโค้ง เยอะสุดๆ

     

    พอผมมาถึงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ผมก็เดินไปจุดลงทะเบียน แล้วเจ้าหน้าที่ก็เอ่ยว่า “ตอนนี้ที่อุทยานงดให้กางเต็นท์ค่ะ เพราะฝนตกหนักกลัวกิ่งไม้จะร่วงใส่ มีแต่บ้านพักค่ะ ถ้ากางเต็นท์ต้องที่หมู่บ้านอีต่อง”  เวนนนนนนนนนน!!! ซวยละผม ลุงพูดความจริง รถพึ่งออกไปเมื่อกี๊ด้วย รถเที่ยวต่อไปอีกตั้ง 2 ชั่วโมง ไม่รอละ โบกรถเลยละกัน ไปนอนที่อีต่องเอา โบกตั้งนานไม่มีคนไปถึงอีต่องสักคน จนเจอกระบะคันหนึ่ง เจ้าหน้าที่อุทยานถามให้ว่าไปหมู่บ้านอีต่องไหม บังเอิญว่าไปครับ โล่งไปเปราะหนึ่ง ไงก็ไปก่อนละกัน

    โชคดีสุดๆอีกแล้วผมอะ รถที่โบกมาเป็นรถของคณะทัวร์ผมเลยได้ไปเที่ยวด้วยเลย ในรูปเป็นตอนขึ้นไปเนินช้างศึกครับความจริงจะกางเต็นท์ตรงนี้ก็ได้ มี ตชด. อยู่ด้วย แต่มันไม่มีอาหาร กับลำบากตอนกลับ ไม่มีรถต้องเดินลงไปเอง

     

    พอผมมาถึงหมู่บ้านอีต่องก็ร่ำลาและขอบคุณคณะทัวร์ และแล้วโชคชั้นสองก็มา ผมไปเจอลุงโชเฟอร์ที่ผมนั่งรถมาตอนแรกแกบอก “ไอ้หนุ่มเจ้าเก่านี่เอง มานอนบ้านลุงไหม มีที่นอนเยอะแยะ หรือจะเอาแบบเท่ๆ ลุงมีอุโมงค์หลบภัย” กลัวไรละวัยรุ่น ผมขอนอนในอุโมงค์หลบภัยเลย ลุงแกเล่าว่า...
    ลุง : ลุงขุดไว้หลบสมัยที่พม่ารบกับกระเหรี่ยง 
    ผม : ลุงเก่งจังอะ ขุดเองเลย
    ลุง : เปล่า ลุงจ้างเค้าขุด
    ผม : -_-! (ลุงแกก็ฮาดีนะครับ แหม่)

     

    ข้างในมีไฟครับ สบายละคืนนี้ แล้วผมก็จัดที่หลับที่นอนให้เรียบร้อย ลุงแกหาเสื่อหามุ้งมาให้ผมด้วย น้ำตาผมจะไหล

     

    จัดข้าวของเสร็จผมก็ไปเดินเล่นในหมู่บ้าน หมู่บ้านอีต่องเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เงียบสงบ เดินแป๊ปเดียวก็ทั่วแล้ว ที่พักที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นโฮมสเตย์  ผมว่าเสน่ห์ของที่นี่คือความเงียบความสงบ และเวลาหลังฝนตก จะมีหมอกเต็มไปหมด ตอนกลางคืนผมออกมาเดินเล่น เดินฝ่าหมอกเล่นได้เลยอะครับ

     

    เหมืองปิล็อกครับ เหมือนตอนนี้จะปิดปรับปรุงทำเป็นรีสอร์ทหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ แต่เงียบมาก

     

    เงียบสงบดีจริงๆ ครับ

     

    ผมก็เดินตามทางไปเรื่อย ลุงเค้าให้ร่มมาคันนึงเผื่อฝนตก ลุงบอกว่าไปที่เนินเสาธงซิ ประมาณโลนึง ระหว่างทางไปจะเจอจุดกางเต็นท์ครับ ปีใหม่คนนี่เพรียบ อยู่แถวโรงเรียน

     

      เดินขึ้นไปอีกหน่อยก็จะเจอวัดครับ

     

    เดินต่อไปเรื่อยๆ จะเจอป้ายนี้

     

    ถึงแล้วครับ เนินเสาธง ที่ป้ายเขียนไว้ว่า "จุดประสานสัมพันธ์ไมตรี นิจนิรันดร์ ไทย-เมียนมาร์"

     

    ธงชาติครับ เลยไปจะเป็นช่องมิตรผมนึกว่าที่เดียวกันเลยไม่ได้ไป

    ขากลับผมกำลังเดินกลับชมวิวไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงบีบแตรมาจากด้านหลัง เป็นคณะทัวร์ที่ผมติดรถมาด้วยครับ เค้าเรียกให้ขึ้นไป จะไปส่งที่พักให้ มิตรภาพมันยิ่งใหญ่จริงๆครับ น้ำตาจะไหล T^T

     

    กลับมานั่งคุยกับลุง ลุงแกเล่าประวัติหมู่บ้านกับช่วงเวลาสมัยสงครามให้ฟัง สนุกแถมได้ความรู้อีกด้วย

     

    ที่นี่ไม่มียุงสักตัว แต่กลางคืนหนาวมาก หนาวขนาดหายใจออกมาเป็นควัน ถนนมีหมอกเต็มไปหมดอย่างกับใครมาเผาอะไรเล่น ผมออกมาเดินฝ่าหมอกเล่นสบายๆ แต่ต้องรีบกลับเข้าไปเพราะหนาวมากกกกกกก ในรูปเป็นขนมพม่าที่ผมซื้อมาจากข้างล่างครับ เอามาเป็นเสบียงยามดึก

    • Saruda  สุดยอดมากๆค่ะน้อง อ่านเพลินมาก 17 กรกฎาคม 2558 22:19:13
    • โพสต์-6
    Paipasu •  กรกฎาคม 01 , 2558

    วันที่หก 21/06/58 ผมตื่นตอนหกโมงเช้ากะไปถ่ายรูป แต่ไม่มีแสงอีกแล้ว พอผมเดินออกมาล้างหน้าแปรงฟันลุงแกก็ชวนกินกาแฟ เสร็จแล้วผมก็ไปเดินเล่นในหมู่บ้านต่อ

     

    แมวแม่ลูกที่บ้านลุงครับ จำไม่ได้แล้วตัวไหนแม่ตัวไหนลูก

     

     

    อันนี้คือแถวหน้าบ้านลุงครับ

     

    ผมถามลุงว่าเขาช้างเผือกอยู่ทางไหนครับ แกบอก "หน้าเอ็งแหละ เขาช้างเผือก" 

     

    ผมรอรถกลับเที่ยว 7 โมงครึ่ง ไปกับลุงแหละครับ ไปรอในหมู่บ้าน ปกติรถเที่ยวกลับจะมีรอบ 6 โมงครึ่ง 7 โมง 7 โมงครึ่ง 3 เที่ยว

     

    ทางไปเขาช้างเผือกครับ

     

    ใครมาที่หมู่บ้านอีต่องก็มาหาลุงแกได้นะครับ มาดูอุโมงค์หลบภัย ที่บ้านแกปกติจะให้บริการห้องน้ำครับครั้งละ 5 บาท อาบน้ำ 20 บาท น้ำอุ่น 30 บาท ห้องน้ำสะอาดดีครับผม เข้ามาในหมู่บ้าน (เลยป้ายยินดีต้อนรับสีน้ำเงินใหญ่ๆเข้าไปอีก) ซ้ายมือหลังแรกเลย

     

    แล้วก็ได้เวลากลับ ผมนั่งรถไปกับลุง ตอนแรกมีคนไปไม่กี่คนหรอกครับ ลุงแกบอก “คนน้อยงี้วิ่งสบาย นี่ลุงใส่เกียร์ว่างเลยนะเนี่ย” หือออออออออ ไม่ต้องบอกผมก็ได้มั้งครับ ใจนี่หายว่าบเลย ว่าแล้วไมขับเร็วจริง

     

    วิวรายทางครับ หลังๆมีผู้โดยสารแล้ว นั่งรถเพลินๆ ลุงแกเปิดเพลงสากลยุค 70 คลอไปตลอดทาง ได้บรรยากาศดีจริงๆ แต่จู่ๆลุงแกก็พูดว่า “เปิดเพลงที่มันฟังไม่รู้เรื่องเนี่ยแหละ ตาสว่างดี” น่านนนนนนนน แสดงว่าลุงง่วง ไม่ต้องบอกผมก็ได้มั้งครับ

     

    เขื่อนวชิราลงกรณ์ครับมัวหลับถ่ายไม่ทัน T T พอมาถึงตัวเมือง อ.ทองผาภูมิ ผมก็ร่ำลาขอบคุณลุง แล้วไปกินข้าวก่อนไปลุยใน อ.เมืองต่อ

     

    ผมนั่งรถตู้จากทองผาภูมิไปอำเภอเมืองครับ ตอนแรกจะนั่งรถเมล์ไปแต่ไปไม่ทัน ผมบอกให้รถตู้เค้าจอดให้หน้าบิ๊กซี เพราะผมจะไปพักที่ Bamboo House แพริมน้ำแคว สักเที่ยงๆก็ถึงบิ๊กซีผมก็เดินไป โลสองโลเอง เดินไปอะไม่เท่าไรหรอกครับ ติดที่โจทย์เก่าอีกแล้ว ตั้งแต่หน้าปากซอยยันท้ายซอย ไล่ผมให้ให้เกรียว มีตัวหนึ่งมาจ่อน่องผมละ ดีที่ผมหันไปทัน ตะโกน "เห้ย!!!" อย่างดัง แล้วก็มีคนแถวนั้นมาช่วยไล่หมาไป ไม่งั้นจบทริปครับ ในภาพนี้เป็นบรรยากาศของแพริมน้ำที่ผมไปนอนครับ คืนละ 400 พัดลม แต่เย็นสบาย ลมพัดทั้งวันทั้งคืน

     

    ที่นี่ห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำแควประมาณ 500 เมตรครับ เดินไปได้สบายๆ ระหว่างทางก็เจอสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญสองที่ ที่แรกผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่ที่ที่สองเป็นพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2    

     

    ผมเดินไปสำรวจเส้นทางกับดูว่าที่พักกับสะพานไกลมากไหม เสร็จประมาณบ่ายสองกว่าๆ ก็กลับมานอนเล่นที่แพจนห้าโมงครึ่งก็ค่อยเดินไปสะพานอีก กะเจอแสงสวยๆ แต่ฟ้าก็อึมครึมเหมือนเดิม คนเยอะแยะเลยครับ มาเดี่ยว มาคู่ มาเป็นหมู่คณะทั้งไทยและต่างชาติ บนสะพานจะมีน้องๆตัวเล็กๆมายืนเล่นกีตาร์ร้องเพลงเปิดหมวกกัน คนก็มุงดูกันใหญ่ ถ่ายรูปบ้างให้ติบบ้าง  

     

    ผมรอจนมืด เอาวะ! ฟ้ามืดๆก็สวยดี

    • โพสต์-7
    Paipasu •  กรกฎาคม 01 , 2558

    วันที่เจ็ด 22/06/58 ผมตื่นมาประมาณหกโมงกว่า นึกว่าจะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น ไม่มีอีกแล้วครับ ฝนทำท่าจะตก รอจนเจ็ดโมงครึ่งก็ออกไปรับอาหารเช้า ทางที่พักเค้าเตรียมไว้ให้ครับ วันนี้ผมแพลนไว้ว่าจะไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น

     

    สักสิบโมงผมก็เช็ดเอาท์แล้วเดินไปขึ้นรถสองแถวสีเหลืองที่จะไปลาดหญ้า 15 บาทเองครับ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงครับ พอไปถึงลาดหญ้ารถที่ไปห้วยแม่ขมิ้นจะอยู่ข้างอนามัยลาดหญ้า กว่ารถจะออกก็อีกนาน ผมเลยไปกินข้าวก่อนเลย

     

    รถที่จะไปห้วยแม่ขมิ้นไม่มีรถเมล์ แต่จะเป็นรถของชาวบ้านที่ห้วยแม่ขมิ้นเองครับ ราคา 140 บาท แกชื่อพี่มาส ปกติรถจะออกเที่ยง แต่วันนั้นพี่มีคนเหมาแกไปในเมือง เค้ามารับผมเกือบๆบ่ายโมง แล้วก็ไปในเมืองต่อ สบายครับผมไม่รีบอยู่แล้วคิดซะว่านั่งรถเที่ยวในเมือง กว่าจะออกจากอำเภอเมืองก็บ่ายสามกว่าๆ ตอนไปก็แวะเที่ยวตลาดนัดข้างทางอีก

     

    ผมเรียกพี่แกว่า มาส ทอเร็ตโต้ ซิ่งมาก ของเขิงนี่กลิ้งหมด แต่รับลองถึงที่หมายปลอดภัย แกขับเก่งโคตร

     

    ขาไปเจอฝนตลอดทางตั้งแต่ทางเข้าเลยครับ

    เบอร์โทรพี่มาส 081-9813645 

     

    ใช้เวลาสักสองชั่วโมงก็ถึงน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นละครับ ขามานอกจากผมมีคนมากับพี่มาสด้วยประมาณ 5-6 คน ผมพึ่งรู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่อุทยาน ตอนเข้าเลยไม่เสียค่าเข้ากับค่ากางเต็นท์ นอนฟรีเลยผม เค้าให้ไปกางบนศาลาได้เลย เผื่อฝนตก สบายละครับมีไฟฟ้าด้วย แถมพี่แกยังโทรสั่งข้าวให้ด้วย เพราะร้านกำลังจะปิด 30 บาทโคตรเยอะเลย

     

    ผมจำได้ว่าตอนหาข้อมูลที่นี่ จุดกางเต็นท์มันจะอยู่ใกล้กับน้ำตกชั้น 4 แต่ทำไมตอนผมกางเต็นท์มันเงียบๆไงชอบกล เลยเดินไปดู

    สิ่งที่ผมคิด 

    เครคิต : http://www.holidaythai.com/rainrun/showphoto-104954.htm

     

    สิ่งที่ผมเจอ

    ช็อคซิครับ ยืนนิ่งไปพักนึงเลย แล้วก็กลับมานอนในเต็นท์ต่อ นอนคิดว่า "ตูมาทำอะไรที่นี่" อึ้งครับอึ้ง ตอนมาก็ได้ยินเจ้าหน้าที่คุยกันว่าน้ำแห้ง มีแต่ชั้นหนึ่งกับชั้นสอง แต่ไม่แห้งเท่าเอราวัณ ไม่นึกว่าจะขนาดนี้นะเนี่ย นี่มันยิ่งกว่าเอราวัณอีกนะครับ แหม่

    • Paipasu  เจ้าหน้าที่ใจดีเป็นกันเองครับ ^^ 26 กรกฎาคม 2558 01:41:25
    • Paipasu  ลองคุยกับเจ้าหน้าที่ดูครับ ผมว่าน่าจะไม่มีปัญหา เพราะรถที่มาที่นี่มีเที่ยวเดียว เจ้าหน้าที่น่าจะเข้าใจ 26 กรกฎาคม 2558 01:11:54
    • Juny  คือว่ากลัวเช็คอินไม่ทันอ่ะค่ะ 26 กรกฎาคม 2558 00:35:39
    • Paipasu  รถออกประมาณเที่ยง ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงครับ 26 กรกฎาคม 2558 00:02:08
    • Juny  แล้วตอนไปถึงนี่ประมาณกี่โมงคะ เขาปิดบริการยัง 25 กรกฎาคม 2558 23:57:57
    • Paipasu  มีครับผม 25 กรกฎาคม 2558 23:02:57
    • Juny  อยากสอบถามว่าที่นี่มีบ้านพักให้บริการมั้ยคะ 25 กรกฎาคม 2558 22:50:18
    • Paipasu  มันเจ็บจี๊ดตรงที่ผมกลับมาได้ไม่กี่วัน มีคนโพสรูปไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น แต่น้ำเยอะมากกกกกกกก 18 กรกฎาคม 2558 10:03:10
    • Saruda  ฮาอะ 555555 17 กรกฎาคม 2558 22:28:15
    • โพสต์-8
    Paipasu •  กรกฎาคม 01 , 2558

    วันที่แปด 23/06/58  เมื่อคืนนอนหลับสบายดีครับอากาศเย็นไม่ร้อนไม่หนาว ติดอยู่อย่างเดียวไฟมันติดๆดับๆเพราะที่นี่เค้าใช้ไฟจากโซล่าเซลล์ครับ ผมตื่นตอนตีห้ากะมาดูพระอาทิตย์ขึ้น เพราะตรงจุดกางเต็นท์เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นพอดี มีคนมานอนที่บ้านพักคงกะมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น เห็นบ่นกันใหญ่ "ฝนก็ตก น้ำตกก็ไม่มี พระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้น" 

     

    ผมก็ไม่รอละครับพระอาทงพระอาทิตย์ รีบไปเดินดูน้ำตกดีกว่า เผื่อทันจะได้กลับบ้านวันนี้เลย รถออกเจ็ดโมงกว่า ก็พี่มาสคนเดิมแหละครับ ส่วนน้ำตก เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าจะมีชั้นที่ 1 กับ 2 ครับที่มีน้ำ ผมจำไม่ได้ว่าอันไหนเป็นชั้นไหน พอเดินดูไปดูมา มันก็สวยดีแฮะ ขนาดน้ำน้อยนะ

     

    อีกชั้นครับ เกือบล้มไปแล้ว มันต้องเดินลงไปตั้งขาตั้งในน้ำ โคลนทั้งนั้น

     

    ภาพบรรยากาศโดยรวมครับ ตลอดเดินดูก็มีหมาเดินตามไปเป็นเพื่อนตลอด

     

    ผมเดินดูเสร็จเจ็ดโมง ก็เลยลองโทรหาพี่มาส แกยังไม่ออกครับ ผมเลยบอกผมกลับวันนี้เลยดีกว่า ภาพๆนี้เป็นภาพก่อนกลับครับ มีแสงรอดออกมาบ้าง

     

    ขากลับพี่มาสก็จะแวะไปตามหมู่บ้านก่อนครับ เผื่อมีใครจะไปหรือฝากซื้ออะไรจากในเมือง ผมก็เลยได้ไปเที่ยวตามหมู่บ้านไปด้วย พี่เค้าทำอย่างนี้ทุกวันแหละครับ เจ็ดโมงลงไปในเมือง เที่ยงกลับบ้าน ตอนขับไปพี่เค้าเล่าเรื่องความลำบากสมัยก่อนให้ฟัง ถนนแถวนี้เคยเป็นลูกลังมาก่อน เป็นหลุมเป็นบ่อ เดินทางยากลำบาก สองสามชั่วโมงกว่าจะไปถึงถนนใหญ่ ฝนตก รถติดหล่มก็ต้องลงกันไปช่วยเข็น หน้าร้อนก็ฝุ่นตลบอบอวน ชาวบ้านป่วยทีก็แย่เลยกว่าจะถึงโรงพยาบาล แต่ตอนนี้ถนนราดยางเข้ามาถึงแล้วก็สะดวกหน่อย ติดที่ไฟฟ้ายังไม่ถึง ใช้โซล่าเซลล์แทน

     

    ระหว่างทางเจอคาราวานวัวกับแพะ

     

    พี่เค้ามาส่งผมที่ท่ารถลาดหญ้าประมาณเก้าโมงครึ่ง ผมบอกว่าผมจะไปนั่งรถไฟสายมรณะเล่นต้องลงสถานีไหน พี่เค้าบอกว่าต้องลงสถานีถ้ำกระแซ มันจะลงไปเดินได้ด้วย แล้วผมก็ต่อรถเหลืองไปสถานีรถไฟ

     

    ตอนที่ผมไปทางการรถไฟเค้าปิดปรับปรุงทางช่วงชุมทางหนองปลาดุกถึงกาญจนบุรี เลยมีรถไฟขบวนสั้นๆจากกาญจนบุรีไปสถานีน้ำตก ผมได้รถไฟเที่ยว 10.35 น.

     

    อันนี้เป็นเวลาเดินรถไฟช่วงที่มีการซ่อมบำรุงครับ

     

    บรรยากาศที่สถานีรถไฟครับ

     

    ตอนที่ผมไปมีคณะทัวร์ลงพอดี เป็นทัวร์ของคุณครูจากอุทัยธานี เห็นบอกว่าตื่นเต้น คนอุทัยไม่เคยขึ้นรถไฟเพราะไม่มีรถไฟ ผมว่านั่งรถไฟฟรีไปคราวนี้ดูสนุกสนาน อบอุ่นดีครับ เหมือนผมไปทัวร์กับพ่อแม่ผมอะ แม่ผมก็เป็นครู เมื่อก่อนสมัยเด็กๆ โรงเรียนแม่ก็จะมีทัวร์แบบนี้แล้วผมก็ไปด้วย เลยเหมือนย้อนอดีต ผมละฮาครูผู้ชายคนที่นั่งตรงข้ามผม ปล่อยมุขตลอดเวลา อย่างตอนรถเบลคก็บอกว่า "สงสัยจอดดูเบรคแน่ๆ เบรคคงไหม้ ได้กลิ่นผ้าเบรคไหม้เลยเนี่ย" 

     

    ตอนรถไฟกำลังข้ามสะพานแม่น้ำแคว ก็จะชลอความเร็วครับ คนที่ยืนเที่ยวกันอยู่บนสะพานก็จะหลบเข้าข้างทาง แล้วเวลารถไฟผ่านคนก็จะโบกไม้โบกมือทักทายกัน

     

    บรรยากาศระหว่างทางครับ ขบวนนี้สนุกสนานเฮฮาขำตลอดทาง เวลานั่งไปอย่ายื่นหน้าแขนขาออกไปนอกหน้าต่างเด็ดขาดนะครับแค่นั้งใกล้ก็เสียวแล้ว กิ่งไม้มันยื่นมาขูดกับรถไฟตลอดทาง 

     

    มีขนมมาขายด้วยครับ ชิ้นละ 10 บาท ถือว่าแพงนะ แต่ผมก็ซื้อ ตอนนั้นผมหิวมากยังไม่ได้กินอะไรเลย กินไปกินมาผมว่าอร่อยดีแฮะ

     

    และแล้วก็มาถึงทางรถไฟสายมรณะ (ก่อนจะถึงสถานีถ้ำกระแซ)

     

    คนออกมาถ่ายรูปกันใหญ่

     

    ผมลงที่สถานีถ้ำกระแซแล้วกะไปเดินเที่ยวตามรางรถไฟ 

     

    ถ้ำกระแซข้างในมีพระพุทธรูปอยู่ครับ แต่ผมไม่ได้เข้าไป

     

    จากนั้นผมก็ไปเดินเล่นตามรางรถไฟ

     

    ผมถามเจ้าหน้าที่เรื่องขากลับ รถไฟจะมารับเราที่นี่ตอนบ่ายโมงครึ่งครับ เท่าที่ดูนักท่องเที่ยวที่มาจะเป็นคนญี่ปุ่นหรือไม่ก็จีนมากกว่าชาติอื่น

     

    ก่อนรถออกผมก็ไปหาข้าวกินหนึ่งจานแล้วก็นั่งกลับไปสถานีกาญจนบุรี

     

    ผมนั่งวินมอไซค์ไปขนส่ง จริงๆผมกะจะกลับบ้านอยู่แล้ว แต่ต้องเบนเข็มไป ม.ศิลปากรที่นครปฐม เพื่อนมันบอกให้แวะหาก่อน กว่าจะถึงก็เย็นๆครับ คืนนั้นผมนอนฟรี นอนหอเพื่อนผมแหละ

    • โพสต์-9
    Paipasu •  กรกฎาคม 01 , 2558

    วันที่เก้า 24/06/58 เป็นวันพุธพอดี เพื่อนมันบอกว่าวันพุธจะมีตลาดนัดใน ม. ผมเลยไปเลยครับ ภาพบรรยากาศตลาดนัดใน ม.ศิลปากร ครับ

     

    พอหิว ผมไปกินข้าวในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย 3 อย่าง 30 บาท ถูก+อร่อย

     

    ผมก็นั่งรอเพื่อนมันทำงานใต้ตึกศูนย์คอมไป มันบอกว่ามาที่นี้แล้วไม่ได้ไปพระราชวังสนามจันทร์ถือว่าไม่ได้มา ไปเลยซิครับ ระหว่างทางก็แวะเก็บภาพสระแก้วนิดนึงครับ

     

    พระราชวังสนามจันทร์ครับ ผมโดน รปภ. ไล่ตามจับด้วย ดันไปเข้าเขตห้ามเข้าหลังสี่โมงเย็น ตอนแรกก็คิดๆอยู่ว่าเข้าได้ไหม แต่เห็นประตูเปิดไว้เลยเข้าไป ขอโทษขอโพยกันพักใหญ่

     

    คืนนั้นเพื่อนผมมันพาไปขี่รถเล่นรอบองค์พระปญมเจดีย์ครับ 

     

    แล้วก็ไม่ลืมเก็บภาพไว้เป็นบันทึกความทรงจำ

    • โพสต์-10
    Paipasu •  กรกฎาคม 01 , 2558

    วันที่สิบ 25/06/58 เดินทางกลับบ้าน ผมนั่งรถตู้ไปลงกรุงเทพก่อน แล้วก็แวะเที่ยวในกรุงเทพนิดหน่อย พอเที่ยงครึ่งก็ขึ้นรถกลับสุโขทัยเป็นอันจบทริปหน้าฝนของผมละครับ

    ค่าใช้จ่ายตลอดเส้นทาง  4,798 บาท
     

    รายละเอียดค่าใช้จ่ายในแต่ละวันครับ

    วันที่ 1 น้ำตกเอราวัณ
        ค่ารถ กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี         130   บาท
        ค่ารถไป อช.เอราวัณ                    50   บาท
        ค่าเข้า อช.เอราวัณ                     100   บาท
        ค่ากางเต็นท์                                30   บาท
        ค่าข้าว+ส้มตำ                              90   บาท
        ค่าน้ำเปล่า ( 3 ขวด )                    60    บาท
      รวม                                            460    บาท
      รวมทั้งหมด                                460    บาท

    วันที่ 2 สังขละบุรี
        ค่ารถไปขนส่ง                              50    บาท
        ค่ารถไปสังขละบุรี                       175    บาท
        ค่าข้าว (กะเพราหมูกรอบ)              35    บาท
        ค่าน้ำเปล่า ( 2 ขวด )                     30    บาท
        ค่าที่พัก                                      500    บาท
        รวม                                           790    บาท
        รวมทั้งหมด                            1,250    บาท

    วันที่ 3 สังขละบุรี
        ค่าวินมอไซค์                                 20    บาท
        ค่าห้องพัก                                   300    บาท
        ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์                       200    บาท
        ค่าข้าวเหนียว+ไก่ย่าง+ส้มตำ           75    บาท
        ค่าน้ำจรวด                                     10    บาท
        ค่าขนม                                          20    บาท
        ค่าข้าว (กะเพราหมูกรอบ+ไข่ดาว)    40    บาท
        ค่าน้ำเปล่า                                     15    บาท
        รวม                                            680    บาท
        รวมทั้งหมด                             1,930     บาท

    วันที่ 4 จุดชมวิวป้อมปี่ อช.เขาแหลม
        ค่าดอกไม้                                      20    บาท
        ค่าติบกระโดดน้ำ                             20    บาท
        ค่าข้าว                                           50    บาท
        ค่าน้ำมัน                                        40     บาท
        ค่าวินมอไซค์                                  20    บาท
        ค่าข้าว (แกงฮังเล)                          50    บาท
        ค่าขนม                                          10    บาท
        ค่ารถไปป้อมปี่                                50    บาท
        ค่าเข้า อช.+กางเต็นท์                     50    บาท
        ค่าน้ำเปล่า                                     20    บาท
        รวม                                            330    บาท
        รวมทั้งหมด                             2,260    บาท

    วันที่ 5 หมู่บ้านอีต่อง
        ค่ารถไป อ.ทองผาภูมิ                      40    บาท
        ค่าขนมพม่า                                  20    บาท
        ค่าข้าว (กะเพราหมูกรอบ)                35    บาท
        ค่ารถไปหมู่บ้านอีต่อง                     70     บาท
        ค่าน้ำเปล่า ( 2 ขวด )                     20    บาท
        ค่าข้าว (ไข่เจียวแหนม)                   50    บาท
        รวม                                            235    บาท
        รวมทั้งหมด                              2,495    บาท

    วันที่ 6 สะพานข้ามแม่น้ำแคว
        ค่ารถไป อ.ทองผาภูมิ                      60     บาท
        ช่วยค่าไฟ                                     100    บาท
        ค่าข้าว (กะเพราหมูกรอบ)                 40    บาท
        ค่ารถตู้ไปกาญจนบุรี                       115    บาท
        ค่าที่พัก                                        400    บาท
        ค่าข้าว                                            50    บาท
        รวม                                             765    บาท
        รวมทั้งหมด                              3,260    บาท

    วันที่ 7 น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น
        ค่ารถไปลาดหญ้า                             15     บาท
        ค่าน้ำเปล่า ( 2 ขวด )                        20     บาท
        ค่าข้าว (กะเพราหมูกรอบ+ไข่เจียว)    45     บาท
        ค่ารถไปห้วยแม่ขมิ้น                       140     บาท
        ค่าข้าว (กะเพราหมูสับ)                     30     บาท
        รวม                                              250    บาท
        รวมทั้งหมด                                3,510    บาท

    วันที่ 8 รถไฟสายมรณะ
        ค่ารถไปกาญจนบุรี                           140     บาท
        ค่ารถไปสถานีรถไฟ                            15    บาท
        ค่าขนม                                              20    บาท
        ค่าข้าว (กะเพราหมูสับ+โค้ก)                55    บาท
        ค่าวินมอไซค์ไปขนส่ง                          25    บาท
        ค่ารถตู้ไป ม.ศิลปากร                           70    บาท
        ค่าหอยทอด                                        45    บาท
        รวม                                                 370    บาท
        รวมทั้งหมด                                   3,880    บาท

    วันที่ 9 ม.ศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ องค์พระปฐมเจดีย์
        ค่าข้าว                                                30    บาท
        ค่าน้ำเปล่า                                           15    บาท
        ค่าขนม                                                  5    บาท
        ค่าข้าว (ปักษ์ใต้)                                  30    บาท
        ค่าไก่ทอด                                           20    บาท
        รวม                                                  100    บาท
        รวมทั้งหมด                                   3,980    บาท

    วันที่ 10 กลับบ้าน
        ค่ารถตู้ไปกรุงเทพ                                80     บาท
        รวม                                                    80    บาท
        รวมทั้งหมด                                    4,060    บาท

    บวกค่ารถ ไป-กลับ สุโขทัย-กรุงเทพ 738 บาท =  4,798 บาท

     

    ผมว่าการท่องเที่ยวมันก็เหมือนกับการเรียนแหละครับ เราต้องทำสมองให้โล่ง ทำตัวให้เหมือนแก้วที่ไม่มีน้ำ พร้อมรับกับสิ่งใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ มิตรภาพใหม่ๆ ฯลฯ แล้วการท่องเที่ยวมันจะสนุกสนานขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะสะดวกหรือลำบากขนาดไหนก็ตาม ถึงแม้ไปคนเดียวแต่ก็เหมือนไม่ได้ไปคนเดียวหรอกครับ มีมิตรภาพรออยู่ระหว่างเส้นทางเสมอ ^^ ขอบคุณครับ

    • เดิน เตะ ฝุ่น  สุดยอดๆๆๆตามๆๆ 17 พฤศจิกายน 2560 23:42:29
    • Rut  เจ๋งอ่ะ 16 ธันวาคม 2558 18:42:04
    • Ter  สุดยอดอะครับ ไปหลายวันแต่ใช้งบไม่แพงเลย รูปสวยครับ เล่าเรื่องได้ดีครับ 18 สิงหาคม 2558 11:27:47
    • Paipasu  @Apinya Payakchon สำหรับผู้หญิง ถ้าไปคนเดียวก็อันตรายเยอะอยู่ครับ แต่ผู้ชายก็มีนะครับ ผมก็โดน ผมเดินกลับที่พักตอนกลางคืนมีคนขับมอไซค์ตามหลังตั้งแต่ปากซอย ตะโกนอะไรไม่รู้ แต่ผมมัวหาข้อมูลที่เที่ยวในโทรศัพท์อยู่นึกว่าเค้าคุยกับคนอื่น เลยไม่ได้สนใจ สักพักเหมือเค้าถอดใจ พอผมหันไปเค้าบอก "รีบเดินไปไหนจังเล่า ..." หงุงหงิงๆ ไรไม่รู้ครับ ลืมฟัง 555 แต่ก็ไม่รู้ใช่มิจฉาชีพหรือเปล่า กลับมาถึงที่พักพึ่งนึกออก 18 กรกฎาคม 2558 09:58:46
    • Paipasu  ขอบคุณครับผม ^^ เดี๋ยวมีทริปอีกแน่นอนครับ 18 กรกฎาคม 2558 09:51:59
    • Padyos  เล่าสนุกดีครับ ถ่ายรูปก็สวย มีโอกาสจะตามรอยครับ : ) 18 กรกฎาคม 2558 02:21:42
    • Saruda  พี่อ่านสนุกมาก น้องเขียนได้ดีมากๆ ชื่นชมเลยค่ะ ทั้งรูป และเนื้อหา น่าสนใจทั้งหมด ^_^ 17 กรกฎาคม 2558 22:39:13
    • Lmm  เขียนได้น่าติดตามมากคับ จะรอผลงานชิ้นต่อๆไปนะคับ :) 07 กรกฎาคม 2558 10:12:21
    • Apinya Payakchon  อยากไปบ้างค่ะ แต่ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายคงมีข้อจำกัดที่ทำให้ทำไม่ได้ในสิ่งที่เหมือนๆๆกัน
      #อยากเป็นผู้ชาย
      03 กรกฎาคม 2558 23:24:36
  1. โหลดเพิ่ม