#น่านน่ะสิ :: เที่ยว "น่าน" 6 ชั่วโมง กับ งบ 600 บาท (เมื่อไปน่าน.. แบบไม่เนิบ!)
"เฮ้ย.. น่านมีโปรฯ..มา "
.
..นั่นคือ สิ่งแรกที่ผมทักแชทเพื่อนไป เพื่อหาแนวร่วมสักคน สองคน ไปเที่ยวด้วยกัน แต่..มันก็เป็นเรื่องยาก ที่โปรฯ จะออกมาในวันหยุด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วโปรฯ มักจะมีแต่ช่วงวันธรรมดา วันทำงาน ที่เรื่องการลาสักครั้งเป็นเรื่องที่ยากของใครหลายๆ คน ด้วยราคาตั๋วเครื่องบินสู่น่าน ที่ถูก และล่อใจขาสอยตั๋วโปรฯ อย่างผมยิ่งนัก ประกอบกับ ยังไม่เคยบินไปเยือนสนามบินน่านเลย ก็เลยตัดสินใจจองไปเที่ยว "น่าน" กันดูสักวัน แม้ต้องเลือกไปวันธรรมดา เพราะราคาโปรในช่วงวันพวกนี้มีเหลือ...อย่างมากมาย!

ทริปนี้.. ผมจึงเลือกไปเที่ยวเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ตอนแรกคิดว่าไปเช้า-เย็นกลับ ก็ดูน่าจะเพียงพอ แต่พอลองเข้าไปส่องในเวปเพื่อจอง ปรากฎว่า.. ไฟล์ทบินขาไป มีช่วงเกือบเที่ยง และ ขากลับตอนช่วงเย็น เท่านั้น ... ดูเหมือนจะมีเวลาค่อนข้างจำกัดลงไปอีก (มีเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง) แต่ด้วยความที่อยากไป.. ก็ไม่รอช้า ตัดสินใจจอง ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยว น่านเล่นๆ สักวัน ครับ!
โปรแกรมที่คิดไว้ในเบื้องต้น ก็ คือหาเที่ยวตามที่ต่างๆ ในบริเวณตัวเมือง เที่ยววัด ไหว้พระ และ หาของอร่อยๆ ทานประมาณนั้น เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา แบกเป้ไปเที่ยวน่าน (แบบไม่เนิบ..) ด้วยกันสักแป้บ ..นะครับ!!
หมายเหตุ :
6 ชั่วโมง คือ ระยะเวลาที่ผมใช้อยู่ที่ตัวเมืองน่าน ด้วยข้อจำกัดของไฟล์ทบิน ที่มี 2 เที่ยวต่อวัน ทำให้มีเวลาอยู่ที่น่านประมาณ 6 ชั่วโมง
600 บาท คือ งบประมาณที่ใช้ไปกับการเดินทางทริปนี้ ใช้จ่ายแบบสบายๆ ซึ่งก็ไม่ได้จำกัดไว้ว่าต้องใช้เงินแค่นี้ เพียงแต่มาคำนวณคิดค่าใช้จ่ายหลังจากจบทริปไปแล้วว่าใช้เงินหมดไปประมาณคนละ 600 บาท
ฝากเพื่อนๆ ที่ชอบท่องเที่ยว แวะมาทักทาย ติดตามกันได้นะครับ ^^
FACEBOOK FANPAGE : CHAILAIBACKPACKER
https://www.facebook.com/chailaibackpacker
นับเป็นครั้งที่สองแล้ว ที่ผมได้กลับมาเยือนเมืองน่านอีกรอบ หลังจากที่เคยมาครั้งแรก เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน "น่าน" เป็นจังหวัดที่น่ามาเที่ยว จังหวัดหนึ่ง ที่มีความสวยงามทั้งด้านวัฒธรรม และ มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะที่จะมาพักผ่อนในช่วงหนาวตอนปลายปีนะ..ผมว่างั้น!
การเดินทางในครั้งนี้ จึงรู้สึกเหมือนมาง่ายขึ้น อาจเป็นเพราะคุ้นชินกับการมาเที่ยวในครั้งแรกบ้าง และ การเที่ยวในตัวเมืองน่านเองนั้น ..ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร สถานที่ท่องเที่ยวก็อยู่ไม่ห่างกันมาก เพียงแค่มี แผนที่ในมือ ..ทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่าย แล้วครับ!
อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วว่า การเดินทางครั้งนี้ไปด้วยโปรฯ ของสายการบินแอร์เอเชีย ทำให้บิน ไป-กลับ ในราคาที่ประหยัดมาก เสียแค่ค่าภาษีสนามบินเท่านั้น หรือพูดได้ว่า ค่าเครื่องบินไป-กลับ ทริปนี้ รวมแล้วคนละ 150 บาท เท่านั้นเอง!
ปล. ช่วงเวลาที่ผมเดินทางในรีวิวนี้ คือช่วงเดือน กันยายนของปีที่แล้ว (2558) ซึ่งมีไฟล์บินขาไป 10.25 น. และขากลับ 18.20 น. ทำให้มีเวลาเที่ยวในเมืองน่านประมาณ 6 ชั่วโมง ครับ
ปล2 ตอนนี้(มีนาคม 2559) เที่ยวบิน ดอนเมือง-น่าน มีไฟล์ทเช้าแล้วนะครับ(07:30) และ ไฟล์ทกลับ(16:45) มีเวลามากขึ้นอีกนิดหน่อย สามารถเที่ยวในเมือง 1 วัน ได้สบายเลยครับ

สนามบินดอนเมืองในวันธรรมดาคนเยอะไม่ต่างจากวันหยุดเลย
เนื่องจากได้เช็คอินผ่านเวปไซต์ กันมาเรียบร้อยแล้ว ก็เอาบาร์โค้ด มา PRINT ตั๋ว ที่เครื่องด้านหน้า ไม่ต้องไปต่อคิวยาว
ไม่นานนัก สายฝนก็เทกระหน่ำลงมา เริ่มมีอารมณ์หวั่นๆ ในใจ กลัว.. ว่าปลายทางฝนจะตกแบบนี้ 
ก่อนออกเดินทางก็ เตรียมใจ และทำใจ กับสภาพอากาศที่จะต้องเจอซะแล้วครับ 
3Sixty THAILAND MAGAZINE ฉบับเดือนนี้(เดือนที่ผมเดินทาง).. หน้าปก เป็นเรื่องราวของจังหวัดน่าน พอดี
ใช้เวลาจาก ดอนเมือง - น่าน ..เพียงแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น! 
พอลงเครื่องมาก็ดีใจสิครับ...เพราะ ฝนไม่ตก เย้!

"สนามบินน่านนคร" เป็นสนามบินเล็กๆ ที่ปัจจุบัน ถูกปรับปรุงใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น
บริการแท็กซี่ รับ-ส่ง ไปยังสถานที่ต่างๆ มีราคาที่แตกต่างกันไปตามระยะทาง
ที่น่าสนใจ..ก็คงต้องใช้บริการรถสองแถวนี่ล่ะครับ น่าจะประหยัดดีนะ
เดินออกจากตัวอาคารสนามบินเพื่อที่จะหา รถสองแถวราคาประหยัดๆ เข้าเมือง พยายามเดินตามกลุ่มผู้โดยสารที่เดินทางมาพร้อมกัน ต้องมีสักกลุ่มนี่แหละ ที่ต้องนั่งรถโดยสารเข้าเมืองบ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มี .. ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร เพราะ มีบริการรถสองแถวเข้าเมืองอยู่ ครับ
แผนที่ตัวเมืองน่าน ระยะทางระหว่างสนามบินน่านนครเข้าเมืองประมาณ 2-3 กิโลเมตร
ถ้าเดินออกจากอาคารมา แล้วเลี้ยวไปทางซ้ายมือ เดินไปอีกหน่อยก็จะเห็นรถสองแถวจอดอยู่ หลังจากสอบถามราคา ก็ คนละ 50 บาท เข้าเมือง (ถ้ามากันหลายคน อาจจะได้ราคาถูกกว่านี้นะครับ พอดีเดินทางมาเข้าเมืองแค่ 2 คนเอง) และคนขับรถสองแถวก็ให้นามบัตรไว้ด้วย ซึ่งสามารถโทรให้มารับกลับไปสนามบินได้ด้วยครับ
ผมให้รถสองแถวไปส่งที่ ร้านเช่า มอเตอร์ไซค์ ครับ นั่นคือจุดหมายแรกเลย เพราะการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองน่านนี้ จะใช้วิธีเช่ามอเตอร์ไซค์ แว๊นซ์เที่ยวเอาครับ ซึ่งอันที่จริงนักท่องเที่ยวนิยมที่จะเช่าจักรยานปั่นชิลล์ๆ เที่ยวชมเมืองซะมากกว่า เพราะว่าสถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่ได้ห่างกันมาก แต่เนื่องด้วยจากสภาพอากาศที่ผมมาเที่ยวในช่วงนี้ ค่อนข้างที่จะร้อน และแดดจัด คิดว่าคงปั่นท่ามกลางความร้อนแบบนี้ไม่ไหวแน่ ประกอบกับระยะเวลาที่ค่อนข้างจำกัด เลยเลือกที่จะเช่ามอเตอร์ไซค์ ที่ดูจะสะดวก กว่าครับ
นั่งรถมาประมาณไม่เกิน 10 นาที รถสองแถวมาส่งลงที่ ร้านโอเวอร์ซี เป็นร้านจำหน่าย และ เช่า มอเตอร์ไซค์ และจักรยาน ครับ
จัดการทำเรื่องเช่ารถมอเตอร์ไซค์
ราคาเช่ามอเตอร์ไซค์ ก็วันละ 250 บาท พร้อมหมวกกันน๊อค (เติมน้ำมัน +50 บาท)
แวะมาข้อมูลการท่องเที่ยว และ แผนที่ไว้ดูสักใบครับ
บริเวณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จะมีร้านกาแฟ และที่ขายของที่ระลึกให้เลือกซื้อด้วยครับ
มานั่งเล่นพักเหนื่อยกันที่นี่ได้ บรรยากาศร่มเย็นดีครับ
ฮัก น่าน นาน นาน นะ! 
เฮือนฮอม ..เป็นร้านอาหารเหนือสไตล์พื้นเมืองแท้ๆ ครับ ร้านหาง่ายมาก มาทานสะดวก เพราะอยู่ใกล้ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวในเมืองเลยครับ ร้านนี้ดัดแปลงมาจากบ้านไม้เก่าตกแต่งเป็นร้านอาหารร่มรื่นตกแต่งสไตล์ชาวเหนือ มีเฟอร์นิเจอร์ไม้น่านั่ง และ ยังมีโซนที่นั่งแบบขันโตกดั้งเดิมด้วย
สั่ง ข้าวซอยไก่ ไปครับ ราคา 40 บาท รสจัดจ้านใช้ได้เลยครับ
เฮือนฮอม ..มีอาหารอีกหลายอย่างให้เลือกหลากหลายเลยนะครับ เมนูเด่นๆ ของที่นี่ ก็น่าจะเป็นพวกข้าวซอยต่างๆ และ ขนมจีนน้ำเงี้ยว หรือ น้ำยาอื่นๆ ก็มีให้เลือกเหมือนกัน อย่างน้ำยากะทิ น้ำยาป่า ก็น่าลองเหมือนกันครับ จะเสริฟมาพร้อมผักเครื่องเคียงต่างๆ
ตรงข้ามร้านเฮือมฮอม ก็จะตรงข้ามกับร้าน 7-11 ที่ดูไม่เหมือนร้าน 7-11 ทั่วไปเลยครับ
ข้างๆ กับ 7-11 ก็จะเป็นร้านข้าวซอยอีกร้านนึงครับ ชื่อ "ข้าวซอยต้นน้ำ" ครับ ตอนแรกกะว่าจะแวะชิมร้านละชาม แต่วันนี้ร้านปิดพอดีครับ .. อด!
7-11 อยู่ตรงข้าม ร้านเฮือนฮอม
เพิ่มพลังด้วยข้าวซอย แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ โดยไปกันที่ วัดพระธาตุเขาน้อย(8) ก่อนเลยซึ่งต้องเดินทางออกมานอกเมืองประมาณ 2 กิโลเมตร ระหว่างทาง ที่จะขึ้นไป วัดพระธาตุเขาน้อย ใกล้ๆ กันจะมี วัดพญาวัด(7) ซึ่งจะกลับมาแวะ ตอนขากลับลงมาครับ แว๊นซ์กันต่อไป ลุย..!

วัดพระธาตุเขาน้อย ตั้งอยู่บนดอยเขาน้อย สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 240 ม. ถือเป็นปูชนียสถานที่สำคัญ และเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของ จ.น่าน โดยหน้าวัดมีทางขึ้นเป็นบันไดนาค 303 ขั้น
ทางขึ้น วัดพระธาตุเขาน้อย มีทางขึ้นอยู่ 2 ทางครับ สามารถนำรถขึ้นไปถึงด้านบนได้เลย ซึ่งต้องอ้อมไปด้านหลังครับ และถ้าอยากเดินขึ้นไปก็ย่อมได้ครับ กับ บันไดนาค 303 ขั้น
ซึ่งผมขอเลือกเดินขึ้นล่ะกันครับ แค่นี้เอง จิ๊บๆ 55+
ระหว่างขึ้นบันไดไปจะค่อนข้างร่มเย็นมากครับ เพราะต้นไม้เยอะ อากาศดี ค่อยๆ เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ ระยะก้าวขาค่อยๆ เริ่มก้าวยากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับความรู้สึกเมื่อยของร่างกาย
อันที่จริงแล้วค่อยๆ เดินขึ้นบันไดมา ก็ใช้เวลาไม่นาน ก็มาถึงข้างบนแล้ว
เข้ามาไหว้พระในวิหารกันก่อนครับ 
จาก วัดพระธาตุเขาน้อย สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองน่าน
พักชมวิวให้หายเหนื่อยสักนิด! 



หลายคนก็คงคุ้นตากับมุมข้างบนนี้กันเป็นอย่างดีนะครับ เพราะน่าจะเคยเห็นและผ่านตา จากรีวิวต่างๆ เมื่อได้ขึ้นมาข้างบนจริงๆ ก็รู้สึกดีมากเลยนะครับ 
ข้างบนนี้อากาศดีมาก สดชื่นดี อาจจะเพราะเดินทางมาวันธรรมดาทำให้ข้างบนดูค่อนข้างเงียบสงบ ไม่มีคนเลยครับ นอกจากผมที่ขึ้นมาแล้ว ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ มาเลยครับ
"พระธาตุเขาน้อย" ในฉากของบรรยากาศท้องฟ้าสดใส องค์พระธาตุมีอายุมากกว่า 500 ปี ภายในบรรจุพระเกศาธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
องค์พระธาตุสีขาวงดงาม
วัดนี้ เป็นที่ตั้งของ เจดีย์จามเทวี หรือ พระธาตุวัดพญาวัด ปูชนียสถานที่เก่าแก่ และสำคัญแห่งหนี่งของจังหวัดน่าน สร้างด้วยศิลาแลงในสมัยพระนางจามเทวี เป็นทรงซุ้มสี่เหลี่ยมซ้อนกัน 5 ชั้น แต่ละชั้นประดิษฐานพระพุทธรูปยืนรอบเจดีย์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย
ในพระอุโบสถประดิษฐาน “พระเจ้าฝนแสนห่า" ซึ่งชาวเมืองน่านเคยนำมาแห่ขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล
เดินเข้าไปไหว้พระข้างในกันครับ
เข้ามาภายในอุโบสถ 
ด้านในจะมีธรรมาสน์แกะสลักฝีมือช่างพื้นเมืองน่านที่เก่ามาก สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยเจ้าอัตถวรปัญโญ ราวครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ 24
ด้านหน้าพระอุโบสถจิตรกรรมปูนปั้นพญานาค
ด้านหลังพระอุโบสถจิตรกรรมปูนปั้น ตัวมกร หรือ ตัวมอม 

ร้านมีชื่อของจังหวัดน่าน ที่ใครมาแล้วต้องลอง ซึ่งที่นี่ก็มีเมนูของหวานให้เลือกชิมมากมายตามอัธยาศัยกันเลย 
ร้านนี้จะเปิด 11.00 น. - 22.30 น. หยุดทุกวันพุธ (ช่วงเทศกาลไม่หยุด)
เมนูแนะนำ ที่พลาดไม่ได้ก็คือ "บัวลอยไข่หวาน" แต่ผมต้องอดชิมไป เพราะเริ่มขายตอน 6 โมงเย็น เมนูแนะนำอื่นๆ ก็อย่าง ไอติมข้าวเหนียวถั่วดำ ไอติมสาคู ไอติมเต้าส่วน เป็นต้น อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบว่าอยากจะ Mix กับเครื่องอะไร .. ก็ว่ากันไป ครับ!
ร้อนๆ แบบนี้จัดไปครับ สั่ง ไอศกรีมสลิ่ม(45 บาท) กับ รวมมิตรน้ำแข็งไส(30 บาท) 

"วัดศรีพันต้น" ก็เป็นอีกวัดหนึ่งในจังหวัดน่าน ที่ภายในวัดมีวิหารที่สวยงาม ตั้งเด่นเป็นสง่า มีสีทองอร่ามเด่นชัดสะท้อนแสงมองเห็นแต่ไกล วัดนี้ดูเด่นมากจริงๆ ครับ โดยเฉพาะช่วงที่แดดแรงเช่นนี้สะท้อนแสงสีทองเห็นมาแต่ไกลจริงๆ
เข้าไปไหว้พระด้านในอุโบสถกันครับ ภายในก็มีความสวยงามไม่แพ้กันเลย
บริเวณด้านหน้า ทีจิตรกรรมปูนปั้น พญานาคเจ็ดเศียร ขนาดใหญ่ ที่มีสวยงาม เฝ้าบันได หน้าวิหารวัด สีทองเหลืองอร่ามเช่นกันครับ (ขนาดใหญ่แค่ไหนเทียบกับตัวผมที่สูง 184 เซนติเมตรดูครับ ขนาดใหญ่โตมาก!)
จากนั้น ก็แว๊นซ์ออกไปนอกเมืองกันต่อ ผ่านหน้าวัดภูมินทร์ ข้ามแม่น้ำน่านราวๆ 3-4 กิโลเมตร เพื่อที่จะไป “วัดพระธาตุแช่แห้ง" ครับ

"พระธาตุแช่แห้ง" เป็นพระธาตุประจำปีของผู้ที่เกิดปีเถาะ ที่อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตควรหาโอกาสไปกราบนมัสการพระธาตุ เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต ครับ 
ในส่วนของตัวพระธาตุนั้น ตั้งอยู่บนเชิงเนินปูด้วยอิฐ ลาดขึ้นไปยังยอดเนิน มีบันไดนาคขนาบทั้งสองข้าง องค์พระเจดีย์เป็นแบบล้านนา ฐานเป็นสี่เหลี่ยมซ้อนกันขึ้นไปจนสูง ใช้แผ่นทองเหลืองบุรอบฐาน แล้วลงรักปิดทอง มองสะท้อนกับแสงแดดดูสวยงามมากครับ 
บรรยากาศภายในบริเวณวัดพระธาตุแช่แห้ง 
เป็นอีกหนึ่งวัดที่มาเที่ยวเมืองน่านต้องแวะมาไหว้พระทำบุญเลยครับ
ภายในวัดยังมี เจดีย์รูปแบบจำลองมาจากเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งทางวัดจัดสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ที่เกิด ปีมะเมีย (ปีม้า) ได้มากราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตอีกด้วยครับ
สำหรับผม เป็นครั้งที่ 2 แล้วครับที่มาเยือนที่ วัดพระธาตุแช่แห้ง แห่งนี้ พระธาตุมีความสวยงามมากครับ วันไหนที่ ฟ้าสวย ฟ้าใส ล่ะก็.. สีทองของพระธาตุตัดกับสีของท้องฟ้านี่เป็นภาพที่งดงามมากครับ 
วัดหัวเวียงใต้ ...เป็นวัดที่เก่าแก่ อยู่ในตัวเมืองนี่เองครับ ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนหลังคาทรงมะลิลา ดูเด่นสวยงาม 
ไหนๆ ก็มาแล้ว เดินเข้าไปไหว้พระกันข้างในกันสักหน่อยนะครับ

ร้านนี้จะมีจุดเด่นที่ซุปกระดูกหมูครับ และก็มีกระดูกหมูชิ้นโตๆ ติดเนื้อเต็มชาม มาให้แทะกินครับ ทีเด็ดมันอยู่ตรงนี้ล่ะอร่อยมากๆ ให้กระดูกชิ้นโต จนแทบจะมองไม่เห็นเส้นด้านล่างเลยทีเดียว ..อิอิ!
ช่วงที่ผมไปใช้บริการมี ส่วนลด 10% สำหรับผู้ที่โชว์ Boarding Pass ของ Air Asia ด้วย ได้ลดมาอีกนิดนึงครับ!
เมนูเด็ดของร้านที่ห้ามพลาดคือ บะหมี่ดูกยำ (ชามละ 50 บาท) น้ำซุปยำรสจัดจ้านถึงใจ
เครื่องดื่มต่างๆ เย็นชื่นใจ ดับกระหาย คลายร้อน..
นอกจากนั้นก็ยังมี เมนู ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น ยำ (30 บาท) ก๋วยเตี๋ยวหมูเด้ง ยำ (40 บาท) พิเศษเพิ่ม 10 บาท บรรยากาศร้านสะอาด พนักงานก็บริการใส่ใจดีครับ .. มาเที่ยวน่านต้องลองครับ! 

แต่ทีเด็ดก็คงจะเป็นข้าวผัดแหนมครับ ที่ เขาเล่าว่า... อร่อยต้องลองมาทาน แต่น่าเสียดาย.. เผอิญผมเพิ่งอิ่มเตี๋ยวกระดูกหมูไป ก็คงต้องขอผ่านครับ เพราะยังรู้สึกจุกๆ อิ่มๆ อยู่เลย แหนมของฝากที่นี่ ก็มีทั้งแบบเล็ก แบบใหญ่ ให้เลือกซื้อกันไปครับ
ตรงบริเวณนี้ เป็น “ข่วงเมืองน่าน" ซึ่งก็คือ ลานโล่งขนาดใหญ่ใจกลางเมือง อยู่ด้านหน้าทางเข้าวัดภูมินทร์ อดีตใช้ประกอบพระราชพิธี รัฐพิธี ประเพณีต่างๆ รวมทั้งเป็นที่แลกเปลี่ยนสินค้าของชาวบ้าน ปัจจุบันข่วงเมือง ใช้เป็นลานจัดกิจกรรมต่างๆ ของทางจังหวัด
วัดภูมินทร์ มีลักษณะแปลกกว่าวัดอื่น ๆ คือ โบสถ์และวิหาร สร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน ประตูไม้ทั้งสี่ทิศ แกะสลักลวดลายงดงามโดยฝีมือช่างเมืองน่าน
ความสวยงามแปลกตาของวัดภูมินทร์ ที่ไม่เหมือนใคร คือเป็นพระอุโบสถ และ พระวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน เป็นทรงจตุรมุข
เข้ามาชมภายใน ใจกลางพระอุโบสถ จะประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่สี่องค์ ประทับนั้งบนฐาน หันพระพักตร์ออกด้านประตู ทั้งสี่ทิศ สวยงามมากครับ 
ด้านใน จะมี "มัคคุเทศก์น้อย" คอยให้ข้อมูล และประวัติความเป็นมาต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวด้วยนะครับ น้องๆ จะเล่าประวัติต่างๆ ความหมายของจิตรกรรมภาพเขียน ฟังเพลินเลย ได้ความรู้ดีครับ..
ภาพจิตรกรรม ใน วัดภูมินทร์ นี่ถือเป็นความสวยงามที่ต้องเข้ามาชมเลยล่ะครับ ภาพเขียนจะเป็นเรื่องราวชาดกในพุทธศาสนา และวิถีชีวิตของคนเมืองในสมัยก่อน มีภาพที่น่าสนใจอยู่หลายภาพ แต่ภาพที่เด่นที่สุดก็คงเป็น ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน ครับ..
ปู่ม่าน ย่าม่าน เป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อในสมัยโบราณ ...กระซิบสนทนากัน ผู้ชายสักหมึก ผู้หญิงแต่งกายไตลื้ออย่างเต็มยศ ภาพวาดของ หนุ่มสาวคู่นี้มีความประณีตมาก จนได้รับการ ยกย่องว่าเป็นภาพที่งามเป็นเยี่ยมของวัดภูมินทร์ หรือ ที่เราเคยได้ยินกันคุ้นหู กับภาพที่มีชื่อว่า “กระซิบรักบันลือโลก" และกลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองน่านที่ไปปรากฏอยู่ในสินค้าจำนวนมาก เช่น เสื้อยืด, โปสการ์ด และของที่ระลึกต่างๆ
ภายในวิหารมีจิตรกรรมฝาผนังมากมายแสดงถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ ของชาวน่านในสมัยอดีตที่น่าศึกษา และควรอนุรักษ์ไว้
ภาพ “โมนาลิซ่าเมืองน่าน" เป็นภาพสาวงามเมืองน่านในอดีต ที่อยู่ในอิริยาบถที่กำลังเกล้าผมขึ้นเหนือศีรษะ และตกแต่งมวยผมด้วยดอกไม้สีสวย ที่ใบหูใส่ม้วนทอง เปลือยอกไม่ใส่เสื้อ มีเพียงผ้าคล้องคอปล่อยชายไปด้านหลัง
ภาพ "หญิงสูงศักดิ์" และ "ชายสูงศักดิ์" จะอยู่คนละฝั่งประตู ภาพ "หญิงสูงศักดิ์" เป็นหญิงสาวเกล้าผมมวย เปลือยอกมีผ้าพาดคอปล่อยชายไปด้านหลัง ซึ่งเป็นลักษณะการแต่งกายขณะอยู่บ้าน กำลังนั่งเท้าแขนอ่อนอยู่บนเก้าอี้ อีกมือหนึ่งคีบบุหรี่
ส่วนภาพ "ชายสูงศักดิ์" เป็นชายหนุ่มใส่เสื้อแขนยาวมีผ้าพาดบ่า เหน็บมีดไว้ที่เอว มีบุหรี่เสียบอยู่ที่หู ที่ต้นขามีการสักขาเป็นลวดลาย ซึ่งเป็นความนิยมของชายล้านนา โดยการสักนั้นแสดงถึงความเป็นลูกผู้ชาย เพราะต้องอดทนต่อความเจ็บปวด มีความเชื่อว่าหากชายคนใดไม่มีรอยสักก็จะไม่มีผู้หญิงยอมแต่งงานด้วยเพราะเป็นชายที่ไม่มีความอดทน
ภาพการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวในสมัยก่อน เป็นการมาพบปะกันระหว่างหนุ่มสาวที่ชานบ้านในเวลาค่ำขณะที่หญิงสาวกำลังปั่นฝ้าย
ภาพจิตรกรรมแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต และการแต่งกายของคนเมืองน่านในอดีตได้เป็นอย่างดี