ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
เดอะแก๊งปากหมาฯ พาหลง..รัก...เมืองน่าน จังหวัดน่าน (Nan Province) จ.น่าน
    • โพสต์-1
    Taya@ •  มิถุนายน 15 , 2559

    แก๊งปากหมาฯ ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา

    แก๊งปากหมาฯ ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา...

    ตอบ ชื่อแก๊งนี้มาจากพฤติกรรมการปากดีชวนเจอตรีนล้วนๆ มีทั้งหมาพันธ์ุเล็กพันธุ์ใหญ่ หากอยากลองต้องมาเจอ>>>รุ่นพี่ท่านหนึ่งตั้งไว้ ชื่อเต็มๆ คือ "แก๊งปากหมาหน้าสวย" เพราะแก๊งฯ นี้มีเฉพาะผู้หญิง ขอบคุณรุ่นพี่ที่อุตส่าห์คิดตั้งชื่อให้ ก่อนหน้าไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเล้ย แต่ได้รับการยันยันจากผู้เชี่ยวชาญด้านปากหมา ช่างตรงใจจริ๊งจริง..ขอบอก^^ 

    "เมืองน่าน" ชาวเดอะแก๊งฯ ได้ยินชื่อเมืองนี้มานาน พี่ใหญ่ขาลุยนึกคึกชวนน้องๆ ตามรอยตำนานกระซิบรักที่อยากจะมาศึกษาเพื่อเป็นลู่ทางในการกระซิบบอกรักใครสักคน วิ๊ดวิ๊ววว

    เดอะแก๊งฯ ไม่รีรอ เพราะอยากมาสัมผัสมนต์กระซิบรักเมืองน่านมานาน เผื่อติดใจได้หนุ่มๆ ติดไม้ติดมือกลับไปสักคนสองคน จึงเริ่มต้นวางแผนที่ไม่ค่อยเป็นแผน และต้องพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

    ที่วางแผนไว้คือ ล้อหมุนตี 3 แต่จนแล้วจนรอดกว่าจะพร้อมก็กลายเป็น ล้อหมุนตอนตี 4 แทน รอบนี้ให้พี่ใหญ่ขาลุยเป็นคนขับรถสองมือคนเดียว ส่วนน้องๆจัดแจงเล่นเกมส์ยอดฮิตปริศนาฟ้าแลบที่โหลดมา และแปลงร่างเป็นดีเจเปิดเพลงตามใจนายหัวรถ (ที่เป็นคนใต้อยากแอ่วเหนือ) สักพักเริ่มกินมะม่วงน้ำปลาหวานเคล้าการนินทาชาวบ้านเพื่อเพิ่มอรรถรส แวะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องของคนตามปั๊มต่างๆ อย่าหวังว่าใครจะได้หลับ เพราะหากหลับนั้นคือเป้าหมายใหม่ของการเปิดโต๊ะนินทา และพร้อมต่อการทำคลิปประจาน พวกเราจริงใจเสมอ 555

    หมดพลังไปกะการนินทาชาวบ้าน และเมาท์มอย เห็นร้านอาหารตามข้างทาง ร้านไหนน่ากิน ขอแวะหย่อนอาหารลงท้องตลอดทาง แต่นายหัวรถของเราบังคับไว้ว่าจะให้กินทีละนิด ไม่ได้กลัวท้องตึงหนังตาหย่อนหรอกนะ แต่กลัวต้องแวะปั๊มเปลี่ยนไส้กรองชุดใหญ่ เพราะคุณพี่เล่นสายตรงไม่มียั้งเก็บไว้ 555

    แวะตลอดเส้นทางหลวงหมายเลข 11 ทำให้ช้ากว่าปกติที่วางแผนไว้ ก็บอกแล้ว>>>แผนนี้วางไว้นิ่ง ๆ เฉยๆ เท่านั้น 555 ประมาณบ่าย 3 จึงได้แวะลองชิมก๋วยเตี๋ยวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่เวอร์ จ.แพร่ มาไม่ยากเพราะอยู่ติดถนนหมายเลข 101 ตรงจุดนี้ภูมิใจเล็กน้อยไม่มีการหลงเพราะเป็นเส้นทางตรง และที่สำคัญเราหลงเอาฤกษ์เอาชัยตั้งแต่เริ่มออกจากกรุงเทพแล้ว 555

    โห้!!! ชามใหญ่เท่าวงโอบของแขนเลย^-^

    กว่าจะเถลไถลไปตรงโน้นตรงนี้ ก็ปาเข้าไปจะ 5 โมงเย็น เราวางแผนเฉพาะเส้นทางท่องเที่ยว แต่ที่พักไม่เคยวางแผน คืนนี้เราจะค้างในตัวเมืองน่านเพื่อสัมผัสกลิ่นไอความเป็นสาวชาวเหนือสักคืนก่อนเดินทางกางเต้นท์ที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา 

    การวางแผนที่แน่นอนคือการไปตายเอาดาบหน้าโดยเฉพาะกับเดอะแก๊งปากหมาฯ เท่านั้น มันเป็นพฤติกรรมที่โปรดอย่าลอกเลียนแบบ 555 เราตระเวนหาที่พัก เปิดกูเกิ้ล เข้าไปสอบถามจนได้เจอ #Home Sweet Home 

    คนดีมักจะพบเจอแต่สิ่งดีๆ ขอ"มโน"เองว่าเป็นคนดี^-^ ได้เจอเจ้าของเกตส์เฮ้าส์ที่ใจดี บริการเยี่ยม ที่สำคัญไม่รำคาญเดอะแก๊งฯ ที่คอยซอกแซกสอบถามโน้นนี้ แถมใจดีบอกร้านอาหารขึ้นชื่อให้พวกเราต้องไปลองทานให้ได้ 5555

    สวนอาหาร "สะเนียน" พี่เจ้าของเกตส์เฮ้าส์แนะนำมา เดอะแก๊งฯไม่รอช้าออกตามหากันเลยทีเดียว กูเกิ้ลเป็นเพื่อนร่วมทางตลอด พี่เขาบอกว่าร้านอยู่ไม่ไกลจากที่พักอยู่ตรงข้ามกับเฮือนจำจังหวัด ผ่านไปเกือบ 20 นาที เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาตามคำบอกของพี่กูเกิ้ล ก็ไม่ยักกะเจอ เห็นชายหนุ่มหน้าตาดียืนอยู่ข้างทาง แวะสิคะ เฮี๊ยดดด!!! รถเบรคจนผู้โดยสารหน้าคะมำ สมใจอยากลงไปถามทางเลย หน้าใสๆ ใครหละจะไม่อยากคุยด้วย 5555 

    น้องเขาชี้บอกทาง "พี่ต้องขับเลียบแม่น้ำตรงไปเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาก็ถึงแล้ว" ฟังดูง่ายจัง แต่ไหง!! เดอะแก๊งฯ เวียนวนจนครบ 3 รอบยังกะเวียนเทียนก็ยังหาไม่เจอ... สงสัยต้องมนต์โดนบังตาก็แล้วแต่วาสนาละกัน...เฮ้อ!!! ตอนนี้ร้านไหนก็ได้ง่ะ.. หิวจนไส้จะขาดแล้ว พี่ใหญ่ขาลุยอดรนทนไม่ไหวจอดทันที เดินหาร้านกินแถวนี้ดีกว่า.. พอลงจากรถ เฮ๊ย!!! นี่เรามาจอดรถอยู่หน้าเฮือนจำ งั้นก็...สายตาสอดส่าย... ป๊ะแหม+++ ร้านสวนอาหาร "สะเนียน" อยู่ตรงหน้า 

    รีบเลยค่ะ เข้าไปนั่งเรียบร้อยเตรียมสั่งอาหารเต็มที่ แต่พนักงานร้านเข้ามาบอก "ขอสุมาเต๊อะเจ้า ของกิ๋นหมดแล้ว ฮ้านจะปิ๊ดแล้วเจ้า" งง!! สิค่ะ ฟังก็ไม่ค่อยเข้าใจเลยต้องถามสาวห้าวชาวเหนือของแก๊ง ได้รับคำตอบว่า "นู๋ว่าพวกเรารีบออกจากร้านนี้เถอะค่ะ เขาจะปิดร้านแล้ว" แหง่วววว... 

    ก็ได้ ก็ได้ จำไว้เลย.. 555 เดินถัดไปอีกหน่อยวันนั้นมีตลาดตรงข้ามวัดภูมินทร์ วัดภูมินทร์!!!!(เสียงสูง) นี้คือต้นตำนานกระซิบรักสินะ ตื่นเต้นๆ ลืมหิวไปชั่วขณะแต่ป่านนี้มันปาเข้าไปจะ 2 ทุ่มแล้วหาอะไรลงท้องก่อนดีกว่า มาเจอร้านอาหารเหนือที่อยู่ไม่ไกล เลยเข้าไปจัดการซะให้หายอยาก แต่ร้านจะปิดครัวแล้วเลยได้สั่งไปไม่กี่อย่าง (ขอโทษนะ จำชื่อร้านไม่ได้ เพราะขณะนั้นไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากกิน กิน แล้วก็กิน 555)

    คืนนั้นได้เดินชมตลาดเปิดท้ายขายของและวัดใกล้ๆ แสงไฟล่อตาล่อใจให้ชวนเดินหลงเข้าไป แต่ก็ต้องรีบกลับที่พักเพราะหลงมา 3 รอบ ขากลับไม่รู้จะหลงอีกหรือเปล่า แล้วจะได้ถึงที่พักกี่โมงละเนี้ยะ 

    เช้าวันใหม่ เดอะแก๊งฯ ตื่นสายนิดหน่อยเพราะเหนื่อยล้าจากการหาร้าน "สะเนียน" ชื่อนี้จะจำไว้ต้องมาแก้มืออีกรอบแน่ อย่าคิดหนีไปเปิดสาขาที่อื่นก่อนหละ เราจำทางหลงไว้แล้ว 5555

    วันนี้ขอชื่นชมมนต์เมืองน่านด้วยการเดินไปตลาดเช้าในเวลาสายโด่ง ซึ่งไม่ไกลจากที่พัก ตลาดเช้ามีของกินหลากหลาย เราเริ่มต้นกินต้มเลือดหมู ซาลาเปา และปาท่องโก๋ ปิดท้ายด้วยของกินพื้นเมืองที่เรียกอะไรไม่รู้ ช่วงนั้นหน้ามืดตาลายกินอย่างเดียวโดยลืมถ่ายรูปเก็บไว้ ได้เห็นวิถีการดำเนินชีวิตของคนท้องถิ่น เมืองน่านยังคงมีเสน่ห์ บรรยากาศที่ไม่วุ่นวาย รถมีแต่วิ่งไม่ขวักไขว่ ผู้คนยิ้มแย้มทักทายเหมือนเป็นญาติพี่น้อง สภาพบ้านเรือนยังคงเอกลักษณ์ความเป็นล้านนา เช้านี้หลังเดินกลับจากตลาด ได้มีโอกาสซื้อปลามาปล่อยกันคนละคู่ มีคนบอกว่าทำบุญเป็นคู่แล้วจะได้คู่ ขอนิดเถอะเพี้ยง+++ เอาเคล็ด 555สภาพที่หลับที่นอนของเราภายในเกตส์เฮ้าส์ แต่ไม่ได้นอนห้องเดียวกัน 5 คนนะค่ะ จองไว้ 2 ห้องแบ่งกันนอนเพื่อความรวดเร็วในการเข้าห้องน้ำ เพราะอย่างที่บอกพี่ใหญ่ขาลุยเราจะผูกพันกะห้องน้ำมาก เลยยกให้ไปเลย 1 ห้อง 555 และคงเป็นคืนที่สบายที่สุดในทริปนี้ เพราะหลังจากนี้จะต้องใช้บริการเต้นท์ที่แบกมาหลังรถแล้ว บ๊ายบายนะที่นอนอันแสนนุ่มและอบอุ่น ^^

    หลังจากได้ปล่อยปลา เดิมชมเมืองใกล้ๆ ที่พักแล้ว เดอะแก๊งฯ จึงรีบเก็บสัมภาระออกจากที่พัก เพราะมีเป้าหมายคือ ไปย้อนรอยตำนานกระซิบรัก วัดภูมินทร์ที่เราได้ปักหมุดไว้เมื่อคืน คงไม่ย้อนรอยการหลงทางแล้วหละ เชื่อว่างั้นนะ 555

    นี้ไง ตื่นเต้นๆ ภาพกระซิบรักบันลือโลก....

    นักท่องเที่ยวรุมถ่ายเธอเหลือเกิน "กระซิบรักบันลือโลก" เล่นเอาเราเหนื่อย ไอ้เรารึ!! ก็ไม่ใช่คนที่ชอบรุมสุ่มอะไรตามคนอื่นด้วยสิ เลยขอเดินชื่นชมรูปอื่นดีกว่า เพราะจริงๆ แล้วมีภาพวาดที่สวยงามมากมาย

    ใกล้ๆ ยังมีวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหารที่สวยงามไม่แพ้กัน เดินข้ามถนนตรงแยกถัดไป ตรงข้ามวัดยังมีอุโมงค์ต้นลีลาวดีที่มีเฉพาะกิ่งส่วนใบร่วงหมดต้น ก็สวยแปลกตาดีนะ^^

    เดอะแก๊งฯ อยากไหว้พระให้ครบ 9 วัดจริงๆ เพราะในเมืองน่านมีวัดอยู่ไม่ไกลกันมาก แต่ครานี้ขอแวะสักการะใกล้ๆ ก่อนหละกัน งานนี้เดินไปเหมือนโดนมนต์สะกดตกอยู่ในภวังค์เพราะจำไม่ได้ว่าภาพไหนคือวัดไหนเพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับความสวยงามจนลืมมองชื่อวัด 

    กว่าจะเดินชมวัด ชักภาพตามอารมณ์ เวลาปาเข้าไปเกือบบ่าย 4 โมง เลยต้องรีบออกเดินทางต่อเพราะจะได้ไปถึงอุทยานแห่งชาติดอยภูคาไม่มืด ขอบอกกลัวจริงๆ ถ้าต้องไปหลงกลางป่า บรื้อออ!! นึกแล้วก็เสียวววว แต่ใจหนึ่ง เอ๊ะ!!! ถ้าหลงทางกลางคืนกลางป่าอะไรจะเกิดขึ้นก้อน่าสนุกนะ 555

     

    • โพสต์-2
    Taya@ •  มิถุนายน 16 , 2559

    ไป๋ ไปเต๊อะ ไปแอ่ว..ไปเต๊อะ ไปแอ่ว..ยอดดอยภูคา>>>

    อุทยานแห่งชาติดอยภูคา คือเป้าหมายถัดไปของเดอะแก๊งฯ ใจอยากไปตามหาต้นชมพูภูคา พันธุ์ไม้ที่ได้ชื่อว่าหายากที่สุดในโลกเพราะหลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในโลกคือที่ดอยภูคานี้เท่านั้น เสียดายอุตส่าห์มาเยือนถึงถิ่นรอบนี้ ก็ยังไม่ได้ยลโฉม เพราะชมพูภูคาจะออกดอกสีชมพูเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี และปีละครั้งเท่านั้น

    ออกเดินทางไปตามถนนสายอำเภอปัว-น่าน ทางหลวงหมายเลข 1256 ประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึง เส้นทางมีคดเคี้ยวบ้างเล็กน้อยให้พอกระตุ้นหัวใจและเรียกเสียง หึ๊ยยย!!! อ๊ากก!! ขอบอกแก๊งนี้ไม่มีอ่ะที่จะมากรี๊ดดด ยิ่งน้องคนเล็กเสียงเธอห้าวมาก 555

    ยังคงเหมือนเดิมที่เดอะแก๊งฯ ไม่เคยมีอาการรีบเร่ง แม้จะตื่นเต้นกลัวหลงทางก็ตาม ก็ยังอุตส่าห์แวะโน้นแวะนี่ เก็บภาพระหว่างทางเป็นระยะๆ 

    เราเดินทางมาถึงท้องฟ้ายังไม่มืด จึงมีเวลาเลือกพื้นที่ปักเต้นท์ ที่อุทยานฯ จะมีห้องน้ำค่อนข้างสะอาดและพอเพียงสำหรับนักท่องเที่ยวสบายใจกันเลยงานนี้ การกางเต้นท์ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเดอะแก๊งฯ เพราะเราแบ่งหน้าที่กันทำ คือทำกัน 2 คน ส่วนที่เหลือยืนเป็นกำลังใจ ฮ่าฮ่าฮ่า 

    ที่นี้มีบ้านพักให้จองนอนด้วยนะ แต่เดอะแก๊งฯ อุตส่าห์เตรียมเต้นท์และอุปกรณ์มาเต็มที่ มีหรือจะนอนที่นอนสบายอุ่นๆ แม้สายตาจะส่งประกายเสียดายก็ตามที 555

    ระหว่างทางเดินกลับเต้นท์จากการอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว สายตาพลันไปเห็นแสงสีขาวพาดกลางท้องฟ้า รีบเลยค่ะ คว้ากล้องมาถ่ายทันที แรกนึกไปว่าคงเป็นไอพ่นของเครื่องบินโครงการฝนหลวงออกปฏิบัติการ จนนักท่องเที่ยวคนหนึ่งดูข่าวจากอินเตอร์เน็ตมาบอกว่ามันคือ "เศษซากขยะอวกาศของจรวดรัสเซีย" ฟังแล้วก็ งง งง แต่ก็เอาเถอะไม่ได้มีผลต่อมนุษยชาติก็พอแหละ แหม!! เป็นนางงามขึ้นมาเชียว 555

    ช่วงค่ำคืนบนดอยภูคามันช่างมึดสนิท แต่ก็ยังพอมีแสงไฟจากอุทยานฯ บ้าง เดอะแก๊งฯ นำอาหารที่ซื้อเตรียมไว้มาแบ่งปันกินกันท่ามกลางแสงตะเกียงและแสงดาว 

    เวลา 2 ทุ่ม บนดอยภูคาช่างเงียบสงบ เราเลือกปิดแสงตะเกียงเพื่อรับแสงดาวที่แย่งกันส่องประกายมายังเต้นท์ ยิ่งดึกดวงดาวยิ่งระยิบระยับ สาวเทห์ผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องดวงดาวมากสุดในแก๊งเริ่มอธิบาย ชี้โบ้ชี้เบ้ นั้นดาวลูกไก่ โน้นดาวคันไถ นี้ดาวพระศุกร์ ชาวแก๊งร่วมชื่นชมอารมณ์ฟิน จนเสียงเล็กๆ สอดแทรกถามกลางวง "เทอเทอ แล้วดาวน์น้อยผ่อนนานอยู่ตรงไหน" เงียบ... ทุกคนกะลังอึ้ง อารมณ์ฟินต้องชะงัก ก่อนหันมามองตามเสียง แล้วเธอก็ตอบว่า "ดาวน์น้อยผ่อนนานอยู่ที่โตโยต้า แต่ถ้าดาวน์ฟรี ผ่อนฟรีฉานก็กำลังหาอยู่" สิ้นเสียงทุกคน หัวเราะก๊ากกกลั่นป่า ยางยังไม่หมด ยังมีถามต่อ "แล้วดาวน์ซินโดรมอ่ะอยู่ไหน" คราวนี้หันขวับมาตอบทันควัน "ก็อยู่บนหน้าเธอไง" เอาแล้ว>>>แก๊งปากหมาฯ เริ่มปฏิบัติการกัดกันเองซะแร้ว เดี๋ยวได้เกิดสงครามนางงามกันหละที่นี้ 55555 แต่เราไม่เคยโกรธกันแม้จะปากหมาใส่กันก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์เท่านั้น 5555

    อาหารว่างของเราคือ มะม่วงน้ำปลาหวาน ที่ตระเตรียมจากกรุงเทพ กินกันอย่างไม่กลัวอุจจาระแตกอุจจาระแตนกันเลย

    เช้ามืดของอีกวันช่างหนาวเย็น อากาศน้องๆ ช่วงฤดูหนาวเลยทีเดียว สาวสวยประจำแก๊งตื่นมาเห็นอาการนอนคุดคู้ของเพื่อน ผ้าห่มรวมอยู่กะคนๆเดียว อีกคนนอนแทรกหาไออุ่น ได้ยินเสียงกรนเหมือนเรือไฟดังทั้งภายในเต้นท์และนอกเต้นท์ กะลุกขึ้นเพื่อล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวไปชมทะเลหมอก แต่ด้วยความมืดหาตะเกียงไม่เจอ โอ๊ยยยย!!! เสียงร้องดังลั่น เหยียบเข้าให้แล้ว 555 เหมือนเป็นเสียงนาฬิกาปลุก ทุกคนตื่นมางัวเงีย เพื่อนที่โดนเหยียบสะดุ้งพรวดลุกขึ้นด้วยอาการเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน นั่งมองหน้ากันว่าเกิดไรขึ้น จึงแก้เขินด้วยบอกว่า "ไม่มีไร...เค้าเอง++ ก็มันมองไม่เห็นอ่ะ เหยียบซะเต็มแรงเลย.. แหะแหะ ตื่นไปดูทะเลหมอกกันเถอะ อิอิ" สาวเท่ห์งัวเงียก่อนตอบตอนนี้ยังไม่เห็นอะไรหรอก โน้นค่อยไปสัก 7 หรือ 8 โมง พูดจบก็นอนต่อ อ้าว...หรา... กลายเป็นเราที่หงอย+++ ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำแก้เก้อแล้วกลับมานอนต่อดีกว่า 555

    ใช่ว่าเดอะแก๊งฯ จะเป็นสาวตื่นสายนะ แม้จะบ่อยก็ตาม 555 เราตื่นมาล้างหน้าล้างตาตระเตรียมต้มน้ำ ดื่มกาแฟและกินอาหารที่เตรียมไว้ พี่ใหญ่เป็นแม่ครัวประจำแก๊ง ขอบอกฝีมือการทำอาหารเหมือนยกเชฟมาเลย ยกมาจากไหนคิดเอาเอง เอ๊ะ++ หรือยกไปทิ้งนะ 555

    หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัว เดอะแก๊งฯ ออกเดินทางไปจุดชมทะเลหมอกซึ่งห่างจากที่พักประมาณ 10 กิโล เลือกเปิดกระจกเพื่อสูดรับโอโซน ระหว่างทางสีสันของธรรมชาติชวนหลอกล่อให้เราต้องแวะเป็นระยะเพื่อการนี้...

    เย้เย้... ถึงจุดชมวิวแล้ว หมอกลงเยอะท้องฟ้าครึ้มแต่ฝนไม่ยักตก สบายใจโล่งโปร่ง งานนี้ขอจัดเต็ม...ให้เข้าใจว่ามาตะลุยหน้าหนาวละกัน ขณะนี้อารมณ์ฟิน 5555

    แดดเริ่มแรง เดอะแก๊งฯ ขอกลับไปยังฐานทัพ เฮ๊ย!! ที่พัก เก็บสัมภาระเด้นท์และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อไปต่อ ระหว่างเก็บข้าวของ สาวน้อยเสียงห้าวชาวเหนือส่งเสียงบ่นเล็กๆ "เมื่อคืนนู๋นอนไม่ค่อยหลับเลย" อีกสาวสมทบ "เหมือนกันเลย ได้ยินแต่เสียงเรือกลผสมเรือหางยาวคลองแสนแสบวิ่งแข่งกัน"  "ช่าย เมื่อคืนนึกว่านอนอยู่ท่ามกลางอู่เรือ" สาวเท่ห์เริ่มเออเออ "ทีแรกนึกว่าเสียงเรือของเราซะอีก ที่ไหนได้ข้างเต้นท์เสียงชนะเลิศกว่า มีช่วงเบิ้ลเครื่องด้วยนะ" 555 เสียงหัวเราะเมาท์มอยสนั่น ลืมมองไปว่ามีลุงเดินมาข้างหลังก่อนส่งเสียงทักทาย "เป็นไงสาวๆ หลับสบายไหมเมื่อคืน" ทุกคนหันมาตามเสียงส่งสายตาและรอยยิ้มอันหวานจ๋อย (กลายเป็นพวกเราสินะที่จ๋อย) ก่อนตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน "สบายมากค่ะ" ฮึฮึ หัวเราะในลำคอ 

    เดอะแก๊งฯ เก็บสัมภาระใส่รถเสร็จรีบเคลื่อนย้ายออกจากจุดนั้นทันที ขืนอยู่ต่อมีหวังคุณลุงเอาไม้ไล่ตีแน่ เพราะเล่นนินทาระยะเผาขนแถมนินทาแบบเสียงดังไม่มีการเกรงอกเกรงใจอีกต่างหาก เชื่อว่าคุณลุงคงได้ยินแต่ดีนะที่ยังไม่เอ๋ยชื่อ เกือบไปแล้วเดอะแก๊งปากหมาเอ๋ย 555

    ระหว่างทางขากลับขอชื่นชมกับพันธฺ์ไม้ต่างๆ ภายในอุทยานฯ เสียดายที่ดอกไม้ไม่ค่อยออกมาให้ชมชื่นเท่าไร แต่ก็เอาเถอะ สบายใจไปนิดหนึ่งหละ

    เราต้องไปต่อ ขอโบกมือลาต้นเมเปิลสีแดงสด เพราะจุดหมายของเรายังต้องเดินทางไปโอบละอองหมอกและสูดดมกลิ่นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เป้าหมายต่อไปของเดอะแก๊งฯ คือ ดอยเสมอดาว...

    แต่ก่อนเราจะไปเสมอดาว ขอแวะชิมเกลือกันที่บ่อเกลือนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกล ไปตามเส้นทางถนนหมายเลข 1256 ประมาณ 20 กิโลเมตรก็ถึงบ่อเกลือสินเธาว์ อำเภอบ่อเกลือ เส้นทางที่จะไปบ่อเกลือสามารถไปได้ 2 ทางคือย้อนกลับไปตามเส้นทางจุดชมวิวมุ่งหน้าต่อไปไม่กี่กิโลก็ถึง แต่จะมีทางขึ้นเขาลงเขาตลอดเส้นทาง พี่ใหญ่ขาลุยมองเกจ์น้ำมันแล้วตัดสินใจไปอีกทาง คือ ลงไปทางหมู่บ้านหาปั๊มเติมพลังให้รถคู่ใจก่อน แม้เส้นทางที่ไปไกลกว่าแต่เพื่อความสบายใจ มีเสียงข่มขู่จากพี่ใหญ่บอกถ้าใครไม่เห็นด้วยลงเดินไปก่อนเลย 555 เอากะพี่แกสิ ยอมสิค่ะ ไม่ใช่พี่ใหญ่ขาลุยอย่างเดียวแหละ แต่เป็นพี่ใหญ่ขาโหดด้วย บรึ้ยยยยย

    ไม่นานก็ถึงจุดหมายบ่อเกลือเป็นชุมชนหนึ่งในอำเภอนี้ มีจุดสังเกตง่ายๆ ว่าถึงแล้วคือรถนักท่องเที่ยวที่จอดเรียงรายยังกะมีงานวัดแจกข้าวฟรี กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็เลยไปเกือบกิโลต้องเดินย้อนตามเส้นทางถนนคอนกรีตจะเจอจุดที่เป็นซิกเนเจอร์ 

    วันนี้นักท่องเที่ยวมีแต่ไม่มากนัก เดอะแก๊งฯเลยเดินชิมโน้นชิมนี่ ขอชิมจริงๆไม่ซื้อ 555 แต่มีบ้างที่อุดหนุนแม่ค้าท้องถิ่นไปหลายร้านด้วยความเกรงใจ ด้วยความปากดีชมแม่ค้าตลอด ขอชิมไปซะ 60 ขอซื้อ 40 แม่ค้าก็ใจดี๊ใจดีบ้าจี้ให้ตามที่ขอด้วย 555 ชอบตรงนี้ แดดค่อนข้างร้อนเดอะแก๊งฯ จึงเดินเล่นได้ไม่นานก็ต้องเดินทางต่อ

    สาวๆ เดอะแก๊งฯ ไม่ค่อยอยากเดินเฉียดหม้อต้มเกลือเลยจิงจิ๊ง เพราะกลัวเกลือของตัวเองจะละลายผสมกะเกลือสินเธาว์ เดี๋ยวจะเค็มกว่าปกติ 555ว่าแล้วก็อดใจไม่ไหว ลองชิมเกลือดู อืม>>>หวานดีนะ จ๊ากกกก!!! คนอะไรกินเกลือแล้วบอกหวาน 555

    ระหว่างข้ามสะพาน เรียกว่า "สะพานน้ำเต้า - สะพานฮ่วมใจ๋ ไออุ่นลำมาง" เห็นเด็กๆ ให้อาหารปลากัน เจ้าแม่เกลือเรียกพี่ไม่รอช้า "หนูจ๋า เรามาให้อาหารปลาด้วยกันนะ แบ่งกันนะ หนูจะได้สวยเหมือนพี่" โธ่!!! แม่คุณ มั่นหน้าเหลือเกิน สงสารเด็กที่โดนหลอกเด็กคงกำลังมึน เอ๊ะ!!! แต่มันเกี่ยวกันหรา แบ่งอาหารปลาแล้วจะสวยเหมือนพี่ 5555 

    ทีแรกเห็นแล้วยัง งง งง นี้มันน้ำเต้าอะไรกัน มีเขียนชื่อและเขียนข้อความไว้ ได้ยินแว่วๆ เขาบอกให้เขียนชื่อคนรักแล้วแขวนไว้ เพราะถือได้ว่าเป็นสะพานแห่งความรัก  เฮ้อออ+++ แล้วหมู่เฮาจะเขียนชื่อผู้ใด๋อ่ะ งานเศร้าเลยทีนี้ รีบไปต่อดีกว่า อือ อือ ฉะเฉือนใจ๋ Y-Y หน้าตาขนมท้องถิ่นเรียกอะไรไม่รู้ 555 ถามแม่ค้าแล้วแต่จำไม่ได้ ^^
    เดอะแก๊งฯ ต้องไปต่อ จุดหมายต่อไปของเราคือ ดอยเสมอดาวววววว....             
    • โพสต์-3
    Taya@ •  มิถุนายน 17 , 2559

    อกหักที่ดอยเสมอดาว>>>พบรักใหม่ที่..ผาชู้

    ออกจากบ่อเกลือ เราให้พี่กูเกิ้ลนำทาง ระยะทางประมาณ 170 กิโลเมตร ตามเส้นทาง บ่อเกลือ-นาน้อย ถนนหมายเลข 1081 แรงยังมีเต็มร้อย กินกันไปเมาท์กันไป มีบางครั้งทะเลาะกับพี่กูเกิ้ลตอนไม่มีสัญญาณตรงทางแยก เอาละซิ!! จะซ้ายจะขวาหว่า การหลงทางกลายเป็นเพื่อนร่วมทางของเดอะแก๊งฯ พี่ใหญ่ขาลุยสอดส่ายหาผู้สอบถามทาง เพราะไม่รอหวังพึ่งพี่กูเกิ้ลอีกแล้ว 

    นั้นไง>>> เหยื่อของเรา ฮ่าฮ่าฮ่า เสียงหัวเราะเหมือนเป็นผู้กำชัยชนะ ด้านหน้าคือมอเตอร์ไซด์ฮ่างของพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่ง พี่ใหญ่ขาลุยเหยียบจนมิด พุ่งเข้าหาเหมือนเจอสามีพาเมียน้อยแอบมากกกันในป่า จนพี่ที่ขับมอเตอร์ไซด์ตกใจรีบขับหนี นึกว่าสารวัตรตำรวจไล่จับ พี่ใหญ่ขาลุยไม่ลดละทั้งบีบแตร ไล่บี้ เพราะแถวนั้นไม่มีเหยื่อรายอื่นให้ถาม จนพี่มอเตอร์ไซด์ยอมมอบตัว เฮ๊ย!! ยอมจอดข้างทาง ถามไถ่จนได้ความว่าเรายังไม่หลงแต่ต้องขับไปอีกไกล สองสาวซาตานในคราบนางฟ้าหันไปเห็นเด็กน้อยนั่งตัวเกร็งอยู่หน้ามอเตอร์ไซด์จึงปลอบด้วยการส่งขนมให้เป็นของขวัญ เด็กน้อยหันมามองหน้าไม่ยื่นมือรับคงนึกในใจ จะใส่ยาอะไรให้เรากินป่าว สองสาวเห็นอาการจึงแปลงร่างเป็นนางงามรักเด็กยัดขนมใส่มือ พร้อมยิ้มมุมปากบอก เอาเถอะค่ะไม่ต้องเขินพี่ แหม+++ เด็กคงกลัวมากกว่าเขินนะ 5555

    ขับไปอีกพักใหญ่ พี่ใหญ่ขาลุยเริ่มบ่น เอ๊ย!!! มันไกลไปป่ะขับมาตั้งนานแล้วนะ น่านนนนเจอแยกอีกแล้วเอาไงดี จอดสิคะ จอดมันตรงกลางแยกนี้แหละ เสี่ยงดวงเอา โอ๊ะโอ๊ะ เห็นป้อมตำรวจอยู่ถัดเลยแยกไป ไปเลยพี่เข้าไปถามคงได้คำตอบ 

    อารามดีใจ พอรถจอดปุ๊บรีบสอบถามเสียงหวานเลย "โทษนะค่ะ พวกหนูจะไปดาวเสมอดอยนี้ไปทางไหนค่ะ" ตำรวจยืนเกาหัวแกร๊กแกร๊กก่อนถาม "ที่ไหนนะครับ" "ดาวเสมอดอยค่ะ" ตอบเสียงดังฟังชัด น่าน+++เจ้าหล่อนยังไม่รู้ตัว จนเสียงฮาดังขึ้น สาวเท่ห์อดรนทนไม่ไหว "ไปดอยเสมอดาวค่ะ พอดีเพื่อนยังไม่ได้ถูกจูนสมอง" เท่านั้นฮากระจายทั้งตำรวจทั้งคนถามทาง เพิ่งถึงบางอ้อ อ้าวววว ตรูเอาอีกแล้ว ตั้งชื่อดอยเกิดใหม่ที่ยังไม่มีในประเทศไทยอีกแล้ว 5555

    รถวิ่งตามเส้นทางที่พี่ตำรวจบอก จนมาถึงจุดหมายของเรา "ดอยเสมอดาว" อยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อำเภอนาน้อย แต่เข้าไปก็ผิดหวังเพราะเจ้าหน้าที่บอกที่ลานกางเต้นท์มีนักท่องเที่ยวเต็มพื้นที่แล้ว ถ้าไงลองกางตรงหน้าอุทยานนะครับ เอาไงหละถ้ากางเต้นท์ตรงหน้าอุทยานฯก็ไม่เห็นอะไรสวยๆ นะสิ ไม่เป็นไรขอขึ้นไปดูพื้นที่ก่อนดีกว่าถ้าไม่มีค่อยลงนอนที่นี้ละกัน

    เราขึ้นไปคนแน่นจริงๆ แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นป้าย ทางไปผาชู้ เอ๊ะ!! ผานี้มีแต่ชู้หรือเปล่าน่าสนใจหละสิ 

    ไปถึงรีบไปอ้อนเจ้าหน้าที่เลย ทีแรกพี่เจ้าหน้าที่บอกที่เกือบเต็มแล้วนะ แต่ถ้าจะนอนจริงๆ ลองไปดูพื้นที่ก่อนว่าจะนอนตรงไหนได้บ้าง รีบเลยค่ะ สาวเท่ห์เดินนำเป็นคนแรกหาทำเลปักสมอบก และแล้วก็เจอพื้นที่สำหรับเรา ช่างดูดีอะไรเช่นนี้ เพราะอยู่หน้าเสาธงบนเนินซึ่งเป็นที่สูงกว่าของชาวบ้าน 

    ด้วยความชำนาญในการกางเต้นท์ คราวนี้เราใช้เวลาน้อยกว่าที่ดอยภูคา ผู้ที่กางเต้นท์ยังคงทำหน้าที่ส่วนผู้ที่เป็นกำลังใจก็ยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิม ^^

    วันนี้กว่าเราจะถึงและหาทำเลที่พักเสร็จก็เย็นย่ำ เดอะแก๊งฯ หิวโหยไปตามๆ กัน ดีนะที่ช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดยาว นักท่องเที่ยวเยอะ ทางเจ้าหน้าที่จึงเปิดครัวอาหารตามสั่ง และหมูกะทะบริการ จัดเลยสิค่ะ เดินมุ่งพุ่งประเด็นไปที่หมูกะทะ แต่เจ้าหน้าที่บอกครัวจะปิดแล้ว มีแต่ข้าวผัดกับกะเพราเท่านั้น เราเลยสั่งตามใจแม่ครัว แต่ก็ยังไม่วายไปขอเพิ่มเติมเมนูผัดผักรวมมิตรอีกจาน ทีแรกแม่ครัวบอกไม่มีผัก แต่ขอโทษนะค่ะสายตาเหยี่ยวอย่างเรามองทะลุไปถึงก้นครัวแล้วเลยบอกว่า "นั้นไงค่ะผักกาดกับกะหล่ำ ทำให้หนูเถอะค่ะ หนูไม่เอาเยอะเอาผัก 2 อย่างนี้ก็ได้ เออพี่ค่ะ หนูเห็นถั่วฝักยาว ถ้าไงขออีกนิดหนึ่งนะคะ" พร้อมส่งสายตาเว้าวอนจนได้สิน่า แม่ครัวคงรำคาญ 5555

    คืนนี้หลังจากอาบน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วกะนอนเลยเพราะยังเพลียกับการเดินทาง แต่เวลาขณะนี้ปาเข้าไปจะ 5 ทุ่มแล้ว เสียงเต้นท์ข้างๆ ยังจั่วไพ่ เต้นท์ถัดไปร้องคาราโอเกะ โอ๊ย!!! อุตส่าห์หนีมานอนกลางป่ากลางดอยแล้ว คนบ้านเดียวกันของไผ่ พงศธร ยังตามมาหลอกหลอน แล้วเราจาข่มตานอนกันได้อย่างไร 

    เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่มารู้สึกตัวอีกทีเกือบตี 5 เพราะปวดฉี่ คราวนี้ไฟฉายอยู่ใกล้ๆ อากาศหนาวกว่าดอยภูคา เดอะแก๊งฯ จึงตื่นพร้อมๆ กัน พร้อมพยักหน้าแบบรู้ใจ ไปเราไปปลดทุกข์ร่วมกัน ด้วยความกลัวความมืดเพราะห้องน้ำไกลจากเต้นท์พอสมควรขากลับจากห้องน้ำตะลึงกะม่านฟ้าที่อยู่ตรงหน้า อยากตะโกนให้ลั่นป่า ธรรมชาติสรรค์สร้างจริงๆ

    ตะลึงกับความสวยของท้องฟ้า จนไม่ง่วง ล้างหน้าล้างตามานั่งมองความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ จนหมอกมาเยือนถึงเต้นท์ จะให้นอนอยู่ไงไหว ลุกสิคะลุ๊ก..... หมอกเริ่มขยับเข้ามาทักทาย

    แค่นี้ก็ฟินแล้ว ทะเลหมอกมาเยือนถึงหน้าเต้นท์ อะไรจะสุขเท่า...^-^

    แม้พวกเราจะอกหักจากดอยเสมอดาว แต่โชคดีที่มาเจอผาชู้ ณ ที่แห่งนี้มีเรื่องราวและตำนานของชื่อผา น่าสงสารผู้หญิงที่บูชาความรัก โศกนาฏกรรมรักอีกบทของเมืองล้านนา คำว่า “ ชู้ ” ไม่ได้หมายถึงชู้สาว แต่หมายถึงคนรัก การเฝ้ารอเพื่อพบและการจากไปของผู้ที่รักช่างเจ็บปวดและทรมาน และนั้นคือจุดเริ่มต้นของการค้นพบความงามแม้จะปนด้วยความเศร้า ที่แห่งนี้ยังมีความเป็นที่สุด คือ สายธงชาติที่ยาวที่สุดในประเทศไทยอีกนะ เมืองน่านยังมีมนต์เสน่ห์ให้มาเยือน เดอะแก๊งฯ รู้ว่าเมืองแห่งนี้ยังคงมีแหล่งท่องเที่ยวให้มาชื่นชมอีกมากมาย หากมีโอกาสและจังหวะ เดอะแก๊งฯต้องกลับมาเยือนอีกครั้งเป้นแน่ เพราะเรายังไม่ลืม "ร้านสวนอาหารสะเนียน" แววตาชั่วร้ายเริ่มปรากฎอีกแล้ว หึหึหึ^^