DAY 1 :: จ่วนเฮี้ยง - ย่านเมืองเก่า - Torry’s Ice Cream - Andakira Hotel
ใครว่าซัมเมอร์กำลังหมดไป มองออกไปนอกหน้าต่างอากาศก็ยังร้อนระอุเหมือนโลกโคจรใกล้ดวงอาทิตย์เข้าไปทุกทีเลย จะให้อยู่กรุงเทพเฉย ๆ ปล่อยเหงื่อหยดเล่นก็ไม่ใช่เราสิครับ เราเลยแพลนทริปไปท้าร้อนที่ภูเก็ตกัน ทริปนี้เป็นทริป 3 วัน 2 คืน เน้นกินเต็มอิ่มทุกมื้อ หลับสบาย เที่ยวหาดดัง เดินย่านเมืองเก่า และไฮไลต์คือ ไปเที่ยว "เกาะรอก" ที่ใคร ๆ ต่างก็ยกนิ้วให้เรื่องความมหัศจรรย์ใต้ท้องทะเล จนถูกขนานนามว่า เป็นราชินีแห่งอันดามัน โดยครั้งนี้เราได้เดินทางไปกับ LOVE ANDAMAN เจ้าประจำที่เราจะคิดถึงเมื่ออยากจะติดเกาะ การเดินทางเริ่มจากท่าอากาศยานดอนเมืองเหมือนทุกครั้ง รอบนี้ตั้งใจบินเช้าหน่อยเพื่อจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นพอดี จะได้ดูแสงเช้าจากริมหน้าต่างเครื่องบินไปด้วย ใช้เวลาไม่นานหลับยังไม่ทันเต็มอิ่มก็ถึงภูเก็ตกันแล้ว
ข้อแนะนำ : เมื่อถึงสนามบิน สำหรับคนที่ขับรถได้ให้เช่ารถส่วนตัวดีกว่า เพราะค่าแท็กซี่ที่ภูเก็ตราคาค่อนข้างสูง
ลงเครื่องปุ๊บ ร่างกายก็ประท้วงหาของลงท้องปั๊บ มื้อเช้านี้เราตั้งใจไปทานติ่มซำ อาหารเช้ายอดฮิตของคนภูเก็ต ซึ่งที่นี่ก็มีให้ลองทานหลายร้าน แต่ร้านที่มีชื่อเสียง และเก่าแก่เปิดมานานนับ 100 ปี ที่เราจะพาไปกินนี้ คือ ร้านจ่วนเฮี้ยง ติ่มซำ ร้านนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นสูตรจีนกวางตุ้งที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นทวดจนถึงปัจจุบัน นับเป็นรุ่นที่ 4 แล้ว โดยเริ่มแรกร้านตั้งอยู่ที่วงเวียนสุริยะเดช (วงเวียนน้ำพุ) และได้ย้ายร้านมา ณ จุดที่ตั้งปัจจุบัน อยู่บนถนนชนะเจริญ ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมือง ตรงข้ามกับห้างโอเซี่ยน ช้อปปิ้ง มอลล์ ไปไม่ยากสามารถค้นหาชื่อร้านจาก Google Map ได้เลย เมนูแนะนำที่ห้ามพลาดเลยก็คือ ขนมจีบสูตรต้นตำรับ ที่ขอบอกว่าต้องลองนะครับ นอกจากขนมจีบก็มีหมูห่อก้ามปู ลูกชิ้นปลาห่อกะหล่ำปลี ฮะเก๋า รวมถึงของทอดร้อน ๆ สดใหม่อย่าง เต้าหู้ทอด และหอยจ้อ ส่วนใครอยากลองเมนูหมี่ซั่วกระดูกหมูใส่ไข่ที่นี่ก็อร่อยเหมือนกัน ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 6.00-11.00 น. ใครตื่นสายก็อดกินกันไปนะ 


ด้วยความที่ร้านติ่มซำที่เรากินมื้อเช้านั้นอยู่ในโซนย่านเมืองเก่าภูเก็ตทำให้เราสามารถเดินเที่ยวย่านนี้ต่อได้เลย ต้องเล่าก่อนว่า เมืองภูเก็ต เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ และความรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตึกแถบนี้จะเป็นตึกเก่าแบบชิโน-โปรตุกีส มีประตูหน้าต่างโค้งทรงโคโลเนียล สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2446 จากการทำเหมืองแร่ทำให้ชาวจีน และชาวตะวันตก ต่างย้านถิ่นฐานเข้ามาที่เมืองภูเก็ตเป็นจำนวนมาก เอกลักษณ์ของเมืองนี้นอกจากทะเลแล้วก็มีตึกเก่านี่แหละที่ใครไปใครมาก็ต้องแวะเข้ามาชม และถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกกัน ปัจจุบันมีงานศิลปะกราฟิตี้จากเหล่าบรรดาศิลปินมาวาดตามผนังไว้อย่างสวยงามในหลายจุดกระจายทั่วเมือง จึงกลายเป็นอีกมุมยอดฮิตของการเช็คอินถ่ายรูปเมื่อเดินทางมาเที่ยวภูเก็ต ถ้าเราเดินเล่นจากถนนถลางเราจะผ่านซอยรมณีย์ที่แต่เดิมเป็นย่านสถานเริงรมย์เก่า ซึ่งปัจจุบันแทบจะทุกตึกในซอยนี้ทาสีใหม่สวยงามแต่ยังคงรูปแบบตึกเก่าเอาไว้ บางตึกก็ทำเป็นโฮสเทลเล็ก ๆ น่ารัก รวมถึงมีร้านอาหาร ร้านตัดผมเก่า ๆ ซ่อนอยู่ด้วย 



หากเดินเข้ามาเกือบสุดซอยจะเจอร้าน Torry's Ice cream เป็นร้านไอศกรีมโฮมเมดที่พิถีพิถันใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต มีเมนูเก๋ ๆ ที่เอาขนมพื้นเมืองภูเก็ตอย่างอาโป๊ง โอ๋เอ๋ว เข้ามาผสมลงตัวกับไอศกรีมสมัยใหม่ ที่สำคัญร้านติดแอร์ไม่ต้องกินไปเหงื่อตกไปด้วยนะ ตั้งแต่ก้าวเข้าไปในร้านเราก็จะพบกับการตกแต่งที่รักษารูปแบบของสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสเอาไว้อย่างดี ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ กระเบื้องปูพื้น ของประดับร้านต่าง ๆ ไปจนถึงภาชนะที่เลือกใช้ ล้วนมีกลิ่นอายวัฒนธรรมตะวันออกที่ดูอบอุ่นแต่มีความหรูหราซ่อนอยู่ ทำให้เราตกหลุมรักร้านนี้ตั้งแต่แรกเห็นเลยทีเดียว ส่วนรสชาติของไอศกรีมนั้นก็มีให้เลือกหลากหลายรสชาติ แต่ที่แนะนำก็จะเป็นไอศกรีมที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน เช่น ไอศกรีมอาโป๊ง ซึ่งนำขนมอาโป๊งมาผสมในเนื้อไอศกรีมกะทิรสเนียนนุ่ม หรือ ไอศกรีมกะทิอัญชันเสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวดำราดน้ำกะทิ ที่คนพื้นเมืองเรียกว่า ขนมบีโกหมอยนั่นเอง ร้านเปิดบริการทุกวันยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่ 11.00 – 21.30 น. เดินถ่ายรูปด้านนอกร้อน ๆ เข้ามาหลบแดดได้กำลังดีเลยล่ะ 



ถึงเวลาเช็คอินเข้าที่พักกันแล้ว ทริปนี้เราเลือกพักที่ โรงแรมอันดาคีรา (Andakira Hotel) หาดป่าตอง เหตุผลแรกที่เลือกก็คงเพราะโรงแรมตั้งอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวของหาดป่าตอง ใกล้กับชายหาด และแหล่งช็อปปิ้ง มีที่จอดรถพร้อม สามารถเดินจากโรงแรมไปศูนย์การค้าจังซีลอน ลิขิตพลาซ่าได้เลย การต้อนรับของโรงแรมนี้จะมี Welcome Drink เป็นน้ำผลไม้เย็นชื่นใจ จิบทีคลายร้อนได้เลย ส่วนบริเวณล็อบบี้ออกแบบมาได้โปร่งโล่งสบายมาก ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด มีลมพัดตลอด สำหรับห้องพักของเราในทริปนี้เป็นแบบ Deluxe Pool Access มีอาหารเช้าพร้อม จุดเด่นของห้องพักแบบนี้คือ เปิดประตูปุ้บ...ก็กระโดดลงสระน้ำได้เลย หรือจะสั่งค็อกเทลมานั่งจิบริมสระหน้าห้องก็ได้ เรื่องอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในห้องพักค่อนข้างครบ เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก หรือคู่รักที่ต้องการพักผ่อนแบบเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก เราได้มีโอกาสชมห้องแบบอื่น ๆ ที่ทางโรงแรมมี อย่างห้อง Standard แม้ขนาดพื้นที่จะเล็กกว่า แต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีครบไม่แพ้ห้องใหญ่เลย ว่าแล้วก็ของีบเอาแรงบนเตียงนุ่ม ๆ ก่อน เย็นนี้จะลองเดินไปเที่ยวห้างดังของป่าตองดูว่าจะน่าสนใจแค่ไหน ก่อนที่จะกลับมานอนพักเอาแรงเตรียมออกทริปเกาะรอก กับ LOVE ANDAMAN กันต่อพรุ่งนี้ 







จริง ๆ แล้ว เกาะรอก อยู่ในน่านน้ำทะเลกระบี่ที่เชื่อมต่อทะเลตรัง ได้รับการประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา ประกอบด้วย “เกาะรอกใน” และ “เกาะรอกนอก” หรือบางคนจะเรียกว่า “เกาะรอกใหญ่” กับ “เกาะรอกน้อย” ด้านที่หันหน้าเข้าหากันเป็นหาดทรายคล้าย ๆ ทะเลแหวก คั่นด้วยร่องน้ำทะเลตื้น ๆ ระยะห่างของ เกาะประมาณ 250 เมตร ใครชอบเดินเล่นชิลล์ ๆ หรืออยากหามุมถ่ายรูปแปลกใหม่ไม่เหมือนใครเราก็ขอแนะนำจุดนี้ เนื่องจากเกาะนี้อยู่ห่างจากฝั่งค่อนข้างมาก ทำให้บริษัททัวร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจัดทริปเพราะต้องเสี่ยงกับภาวะคลื่นลม และค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แน่นอนว่า พอไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมา ท้องทะเลก็จะสดใหม่ อุดมสมบูรณ์ และบริสุทธิ์อย่างมาก วันที่เรามา อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส ทำให้ภาพที่ได้มาเหมือนอยู่เกาะสวรรค์จริง ๆ 







หลังจากขึ้นเกาะพักผ่อนคลายความเมื่อยจากการนั่งเรือมาซักพัก ก็ถึงเวลาดำดิ่งสู่โลกใต้ทะเลกันแแล้ว จุดดำน้ำจุดแรกคือบริเวณเกาะรอกน้อย ก่อนลงเรือไกด์จะอธิบายวิธีการใช้อุปกรณ์ ข้อห้าม และข้อควรปฎิบัติต่าง ๆ ในการดำน้ำ ใครว่ายน้ำไม่เป็นไม่ต้องกังวลไปนะครับ ที่นี่มีคนช่วยพาดำ และดูแลอย่างใกล้ชิด จุดนี้ใช้เวลาในการดำประมาณ 40 นาที แนวปะการังที่นี่เยอะ และสวยงามมาก ไหนจะดาวทะเล ดอกไม้ทะเล เจ้าปลาการ์ตูน และฝูงปลาก็มีให้เห็นมากมายหลากหลายชนิด เรียกได้ว่าดำเพลินจนไม่อยากขึ้นเลยทีเดียว หลังจากขึ้นจากจุดดำน้ำก็ได้เวลาทานมื้อกลางแบบบุฟเฟ่ต์บนเกาะรอก มีบาร์น้ำ ขนมหวาน เครื่องดื่มโซดาแสนชื่นใจของ Love Andaman ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว





จุดดำน้ำจุดที่สองของเราคือ เกาะห้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีจากเกาะรอก ไกด์แนะนำว่าจุดนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะเป็นจุดที่ปะการังยังสมบูรณ์จนได้รับการขนานนามว่าสวยที่สุดในฝั่งอันดามันเลยทีเดียว ในบางวันที่อากาศดีเราอาจได้เจอเต่าทะเลมาว่ายเล่นเป็นเพื่อนอีกด้วย วันนี้ที่เรามากระแสน้ำในบริเวณนี้ค่อนข้างนิ่ง และใสมาก สามารถมองเห็นปะการังได้ชัดเจนแม้ยังอยู่บนเรือแน่นอนว่าเราก็ไม่รอช้ารีบโดดลงน้ำไปสัมผัสความงามกันทันที ได้เห็นกับตาก็เชื่อแล้วว่าอุดมสมบูรณ์จริงอย่างที่ไกด์บอก ได้เจอปลาไหลมอเรย์ด้วยแต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนัก และเราก็ไม่แนะนำให้เข้าไปใกล้ด้วยนะครับ นอกจากนี้จุดดำน้ำรอบ ๆ บริเวณหมู่เกาะยังมีความหลากหลายของปะการังหลากชนิด หลากสีสัน ฝูงปลาน้อยใหญ่ อย่างปลากระเบนราหู และฉลามวาฬก็มี สุดท้ายก่อนกลับก็ขอฝากไว้ซักนิด อย่าลืมว่าการมาเที่ยวธรรมชาติแบบนี้ เราไม่ควรทำลาย หรือสร้างความเสียหายแก่ธรรมชาติ โดยเฉพาะปะการัง เพื่อว่าความสวยงามนี้จะได้อยู่คู่กับประเทศไทยไว้ให้รุ่นลูกรุุ่นหลานเราได้ชื่นชมกันต่อไปในอนาคต เอาล่ะ...ถึงเวลาโบกมืออำลาเกาะรอก เกาะห้า กันแล้ว แน่นอนว่าหากได้เดินทางมาใต้ครั้งหน้าก็จะมากับ LOVE ANDAMAN อีกแน่นอน






หลังจากเช็คเอาท์จากโรงแรมเราก็ขับรถมาเรื่อย ๆ ขึ้นเขา ลงเขา จนมาเจอกับหาดที่เงียบสงบที่ชื่อว่า "Paradise Beach" หาดนี้เป็นหาดส่วนตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ห่างไกลจากหน้าหาดป่าตองมากนัก แต่ที่นี่มีเวลาเปิดปิดนะครับ โดยจะเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.30 น. ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าเที่ยวหาด แต่ไม่อนุญาติให้นำน้ำ หรือเครื่องดื่มเข้าไปนะครับ ก็ไปอุดหนุนได้ที่บาร์ด้านใน บริเวณหาดนี้จะค่อนข้างเงียบสงบมาก ทรายขาวละเอียด มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย ใครเน้นชิลล์ ๆ จะมานอนอาบแดดบนเก้าอี้ชายหาดก็ได้ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาหาดนี้จะเป็นชาวต่างชาติ แทบไม่มีคนไทยเลยนอกจากเรา การเดินทางมาที่นี่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด มีบริการรถรับ-ส่งจากชายหาดป่าตองตามรอบเวลา (มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม) หรือหากใครขับรถส่วนตัวมาจากถนนหน้าหาดป่าตองตรงไปจนสุดทางจะผ่านสะพานทวิวงศ์ ขับไปเรื่อย ๆ จะพบกับหาดไตรตรัง สังเกตถนนลาดซีเมนต์เล็ก ๆ ขับลัดเลาะตามป่าธรรมชาติไปอีกประมาณ 3-4 นาที ก็จะพบกับทางเข้าหาดพาราไดซ์แล้วครับ




มื้อกลางวันเราแพลนไว้ว่าจะไปทานร้าน ร่มไทรนาคาเล ที่หาข้อมูลมาแล้วว่าเป็นร้านอาหารราคาหลักร้อยแต่วิวหลักล้าน ร้านนี้ตั้งอยู่ไหล่ทางบนเขาระหว่างทางจากหาดป่าตองไปแหลมสิงห์ มีที่จอดรถไม่มาก ด้านบนจะดูเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ธรรมดา แต่พอลงเดินไปด้านล่างจะพบวิวทะเลที่สามารถมองเห็นเกาะเล็กเกาะน้อยที่รายล้อมรอบภูเก็ต อาหารที่นี่ส่วนมากจะเน้นไปทางอาหารอีสาน เราก็เลยจัดส้มตำ น้ำตก มาลองทาน รสชาติถือว่าโอเคอาจจะออกเค็มไปบ้าง ราคากลาง ๆ ค่อนข้างรับได้ครับ สำหรับฝั่งป่าตอง หากใครมาทานช่วงเย็นจะได้ภาพพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าพอดี บรรยากาศน่าจะโรแมนติคสวยงามทีเดียว


หลังมื้อเที่ยงเราตัดสินใจกันว่าจะไปเที่ยวหาดกมลา อีกหนึ่งชายหาดที่มีความเงียบสงบ มีแนวหาดทรายยาวประมาณ 2 กิโลเมตร และที่หาดกมลาแห่งนี้ยังมีอนุสรณ์สถานสึนามิ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อสะท้อนถึงภัยพิบัติคลื่นยักษ์ที่เคยเกิดขึ้นที่ชาดหาดแห่งนี้ เป็นประติมากรรมชื่อว่า จิตจักรวาล บริเวณเหนือหาดยังมีที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย จุดเด่นของหาดนี้คือนักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นมากนัก เหมาะสำหรับการพักผ่อนกับครอบครัว และที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมประเภทการแสดงโชว์อย่างภูเก็ตแฟนตาซีอยู่ในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย


ก่อนจะต้องลาภูเก็ตอย่างเป็นทางการ เราต้องขอลองชิมอาหารใต้แท้ ๆ สักมื้อ ร้านวันจันทร์ เป็นหนึ่งในร้านอาหารแนะนำที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างติดอกติดใจกับเมนูอาหารพื้นเมืองของที่นี่ อาจจะหาที่จอดรถยากหน่อยเพราะร้านอยู่ติดริมถนนถลางใจกลางเมือง ร้านนี้โดดเด่นทั้งการตกแต่งภายนอกร้าน ภายในร้าน รวมไปถึงเมนูของทางร้านก็แตกต่างจากร้านทั่วไป เมนูแนะนำของร้านจะเป็นพวกอาหารพื้นเมือง เช่นแกงปูใบชะพลู, แกงส้มกุ้ง, กุ้งผัดมะขาม, หมูฮ้อง, คอหมูย่างคั่วพริกเกลือ, ซึ่โครงหมูตุ๋นจิ้มแจ่ว, ผัดผักเหมียงผัดไข่กุ้งเสียบ, น้ำพริกกุ้งเสียบ, สะตอผัดกะปิ ราคาค่อนข้างสูงอยู่แต่ถ้าเทียบกับรสชาติที่ได้แล้วถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ ครับ ร้านเปิดทุกวัน เวลา 10.00 -22.00 น.



สุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องจะมีหาดใกล้สนามบินอยู่จุดหนึ่งที่สามารถมองเห็นเครื่องบิน Landing ระยะประชิดได้ ถือเป็น UNSEEN PHUKET เลยในตอนนี้ หาดนี้มีชื่อว่า "หาดไม้ขาว" หาดไม้ขาวเป็นชายหาดที่มีบรรยากาศเงียบสงบ ยังคงความอุดมสมบูรณ์เป็นธรรมชาติ ชายหาดทอดยาวประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นชายหาดที่ยาวที่สุดบนเกาะภูเก็ต พื้นที่ส่วนใหญ่ของชายหาดตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ เป็นอีกจุดที่สามารถมาดูพระอาทิตย์ตกได้ซึ่งสวยงามมาก ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เครื่องบินจะ Landing ฝั่งเดียวกับหาดไม้ขาวพอดี ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติมาเฝ้ารอเพื่อได้จังหวะถ่ายภาพกับเครื่องบินกันทั้งนั้น สำหรับทริปนี้คุ้มค่าเต็มอิ่มทุกมื้อ และได้เปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวที่หลากหลายมาก ก็อย่างว่านะครับมีวันหยุดทั้งทีก็ต้องใช้ให้คุ้มหน่อย ว่าแล้วก็ขอลาไปเพียงเท่านี้ เจอกันใหม่ในทริปหน้านะครับ









































































