ฤดูฝน สำหรับคนเมืองกรุงฯ แล้ว คงเป็นฤดูที่เราอยากให้ผ่านไปให้เร็วที่สุด เพราะนอกจากท้องฟ้าจะไม่สดใสแล้ว จะเดินทางไปไหนก็ติดขัด และลำบากไปเสียหมด แต่ครั้งนี้เราจะหนีฝนในเมืองกรุงฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อออกไปสัมผัสหน้าฝนในรูปแบบที่เราโหยหา บรรยากาศที่เต็มไปด้วยสีเขียวชะอุ่มของป่าเขา กลิ่นหอมจากไอดิน กลุ่มหมอกสีขาวที่ลอยต่ำจนแทบจะเอามือไปจับได้ บวกกับอากาศที่เย็นสบาย โดยทริปนี้เราเน้นเที่ยวหน้าฝนแบบหลากหลายอารมณ์ เอาใจทั้งสายบุกน้ำ ลุยป่า หรือจะชิลในคาเฟ่ก็มีครบ ว่าแล้วก็คว้าร่ม และเตรียมเสื้อกันฝน ตามผมมาเชียงใหม่ด้วยกันเลยครับ

“ดอยอินทนนท์” เดิมใช้ชื่อว่า “ดอยหลวง” หรือ “ดอยอ่างกา” ทั้งสองชื่อนี้มีความหมายเดียวกันว่า “ดอยที่มีความใหญ่” เนื่องจากขนาดอันใหญ่โตของดอยอินทนนท์นั้นเอง ซึ่งคำว่า “หลวง” ในภาษาเหนือนั้นแปลว่า “ใหญ่” ส่วนคำว่า “อ่างกา” นั้นเป็นภาษาปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) แปลว่า “ใหญ่” เหมือนกันนั่นเอง ดอยอินทนนท์อยู่ในเขตความดูแลของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงลดหลั่นกัน และด้วยความสูงถึง 2,565 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง จึงทำให้สภาพภูมิประเทศบริเวณนี้มีอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี และมีสภาพป่าที่หลากหลายประกอบกับมีพืชพรรณนานาชนิด ดังนั้นดอยอินทนนท์จึงมีเสน่ห์อันน่าอัศจรรย์ที่ดึงดูดให้เหล่านักท่อง เที่ยวเดินทางมาเยี่ยมเยือนกันอย่างไม่ขาดสาย

เราเริ่มต้นกันที่บริเวณ “ยอดดอยอินทนนท์” กับอุณหภูมิ 14 องศา ในเดือนกรกฎาคม โดยบริเวณนี้นอกจากจะเป็นที่ตั้งของสถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศไทยแล้ว ยังเป็นที่ประดิษฐาน “สถูปเจ้าอินทวิชยานนท์” เจ้าผู้ครองนคร เชียงใหม่องค์สุดท้ายอีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครที่มีโอกาสขึ้นมาถึงบนยอดดอยอินทนนท์แล้วก็แนะนำว่าควรมาสักการะที่สถูปแห่งนี้ซักครั้ง

ไม่ห่างจากบริเวณทางเดินขึ้นไปยังสถูปเจ้าอินทวิชยานนท์มากนัก เราจะเห็นทางเข้า “เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอ่างกา” เส้นทางนี้เป็นสะพานไม้มีความยาวประมาณ 360 เมตร ซึ่งจะใช้เวลาเดินทั้งหมดไม่เกิน 30 นาที ความมหัศจรรย์ของสภาพป่าบริเวณนี้มีความน่าสนใจมาก โดยเฉพาะบางจุดที่มีลักษณะเป็นป่าดิบเขตอบอุ่น บางแห่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำและป่าพรุ มีพรรณไม้หายากหลายชนิด ที่สำคัญยังมีทัศนียภาพที่สวยแปลกตาจนสามารถกล่าวได้ว่าป่าแห่งนี้เป็นป่า ที่มีความงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เพียงแค่เดินลงมาจากทางเดินที่เชื่อมต่อกับถนนใหญ่เพียงเล็กน้อยเราก็จะเริ่มเข้าสู่เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ

ซึ่งความมหัศจรรย์ของภาพที่เห็นทำให้เราตกตะลึงไปกับผืนป่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยมอสอย่างหนาแน่น ราวกับได้หลงเข้าไปอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์เลยทีเดียว ยิ่งตลอดทางเดินเราจะพบเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีอายุนับร้อยปียืนต้นอยู่ท่าม กลางเศษซากไม้ที่ค่อยสลายตัวทับถมกันอยู่บนดิน แม้จะเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเพียงระยะทางสั้น ๆ แต่ทุกย่างก้าวเราก็ได้รับรู้ถึงความอัศจรรย์ของธรรมชาติได้เต็มเปี่ยม

บ้านแม่กลางหลวงในช่วงหน้าฝนนั้น นอกจากจะเป็นจุดชมวิวนาขั้นบันไดที่สวยงามติดอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยแล้ว ที่นี่ยังมีน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีความสวยงาม มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนที่ไหน และที่นี่ยังเป็นโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ไทยจนกลายมาเป็นชื่อเล่นของน้ำตกว่า น้ำตกรักจัง ซึ่งก็คือ  “น้ำตกผาดอกเสี้ยว” นั่นเอง

น้ำตกผาดอกเสี้ยวเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีจำนวนชั้นทั้งหมด 10 ชั้น ซึ่งปกติแล้วน้ำตกอื่น ๆ จะใช้วิธีการเดินจากชั้นล่างขึ้นไปด้านบน แต่ที่นี่เราจะใช้วิธีเดินจากด้านบนลงไปยังด้านล่าง และการจะเดินทางไปยังน้ำตกจะต้องมีไกด์ท้องถิ่นนำทางเข้าไปเท่านั้น เนื่องจากเป็นเส้นทางเข้าป่าที่ทั้งลาดชัน และเต็มไปด้วยโขดหินลื่น จำเป็นต้องมีผู้ชำนาญทางพาเข้าไป ถึงจะมีจำนวนชั้นถึง 10 ชั้น แต่เราสามารถเข้าชมได้แค่ชั้น 10 ถึง ชั้น 6 เท่านั้น โดยไฮไลต์จะอยู่ที่ชั้น 7 ซึ่งเป็นเป็นจุดที่น้ำไหลลงมาจากชั้นด้านบนสูงหลายเมตร ลงมาสู่แอ่งน้ำด้านล่าง เกิดเป็นละอองน้ำสีขาวลอยฟุ้งเหมือนม่านหมอก ประกอบกับด้านล่างมีสะพานไม้ข้ามลำธารอยู่ใกล้ ๆ จึงกลายเป็นภาพที่สวยงามจนเป็นเอกลักษณ์ของน้ำตกแห่งนี้

นอกจากจากการมาเที่ยวชมความงามของตัวน้ำตกแล้ว ระหว่างทางเรายังได้สัมผัสกับความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า และวิถีชีวิตที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติของชาวบ้านแม่กลางหลวง นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่เราสามารถสัมผัสกับความสุขแบบเรียบง่ายได้ตลอดเส้นทาง

เราลองเปลี่ยนบรรยากาศท่องเที่ยวหน้าฝน เดินชมผืนป่า ชมดอกไม้ใบหญ้า และทุ่งนา มาเพิ่มความตื่นเต้นท้าทายท่ามกลางสายฝนกันดูบ้าง กับกิจกรรม ล่องแพไม้ไผ่ลำน้ำแม่วาง แพไม้ไผ่ขนาดเล็ก นั่งได้ไม่เกิน 3 คน และมีคนพาย 1 คน ล่องไปตามลำน้ำแม่วาง โดยเราเริ่มต้นจากบริเวณปางช้าง ใช้ระยะเวลาประมาณ 30 - 40 นาทีต่อรอบ

ตลอดเส้นทางเราจะได้ชมธรรมชาติ ไปพร้อม ๆ กับความสนุก ตื่นเต้น และท้าทายของการล่องแพหลบโขดหินน้อยใหญ่ตลอดระยะทาง บางช่วงน้ำนิ่งก็ชมวิวชิล ๆ กันไป แต่บางช่วงเจอกระแสน้ำแรงก็ต้องหาที่จับที่ยึดกับหน่อย ณ จุดนี้ ความหวังเดียวของเรา คือ ความชำนาญของคนพายแพเท่านั้น

ชุ่มฉ่ำเปียกปอนกันมาทั้งทริป มาปิดท้ายฤดูฝนที่เชียงใหม่กันที่ คาเฟ่โรงบ่ม ร้านกาแฟสุดชิคที่ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของเก๊าไม้ล้านนา รีสอร์ท ตั้งแต่ทางเข้าเราจะพบกับความสวยงามแปลกตา ของอาคารทรงสูงสร้างจากอิฐมอญที่ต่อยอดไอเดียมาจากโรงบ่มยาสูบที่ดัดแปลงมาเป็นอาคารนิทรรศการ ให้ความรู้เกี่ยวกับการบ่มยาสูบ อีกทั้งระหว่างทางเดินก็ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และผืนหญ้าสีเขียว

ด้านในเป็นที่ตั้งของโรงบ่มคาเฟ่ที่ออกแบบคล้ายกับเรือนกระจกสองชั้น ทำให้แสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องลอดต้นไม้ใหญ่สามารถสาดส่องเข้ามาสร้างบรรยากาศแสนผ่อนคลายด้านในได้ ในขณะเดียวกันเมื่อเรานั่งอยู่ด้านนั่งก็เพลิดเพลินกับสีเขียว ๆ ด้านนอกของต้นไม้น้อยใหญ่ได้เช่นเดียวกัน หากใครกำลังมองหาคาเฟ่สำหรับนั่งผ่อนคลายกับเครื่องดื่มแก้วโปรด หรือใครเป็นสายถ่ายรูปลงโซเชียลก็ต้องบอกเลยว่าไม่ควรพลาด