ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
    • โพสต์-1
    Bell •  กุมภาพันธ์ 05 , 2559

    "One's destination is never a place,but a new way of seeing things"

    Henry Miller

    เฮนรี่ มิลเลอร์ นักเขียนชาวอเมริกัน ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกไว้ว่า "จุดหมายปลายทางนั้นไม่ใช่สถานที่ใดที่หนึ่ง หากแต่เป็นแง่มุมใหม่ในการมองสิ่งรอบตัวต่างหาก"  

    ผมว่าประโยคข้างต้นจริงแท้แน่นอนเพราะการเดินทางคือการพาเอาตัวเองออกจากพื้นที่เดิมของตัวเองเพื่อไปสู่โลกใบใหม่ โลกที่เราไม่คุ้นชิน เอาตัวเองออกไปเรียนรู้ สัมผัสผู้คน วิถีชีวิตและวัฒนธรรม การเดินทางสอนให้เรามองสิ่งต่างๆรอบตัวในแง่มุมใหม่ เมื่อเดินทางมากขึ้น พบเจอสิ่งต่างๆรอบตัวมากยิ่งขึ้น ทัศนคติของเราก็เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัวและมองทุกอย่างเปลี่ยนไป

    โลกนี้ช่างกว้างเหลือเกิน ถึงแม้เราจะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อออกเดินทางเพื่อค้นหา เรียนรู้ เข้าใจ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่เราจะพาเอาตัวเองไปได้ในทุกสถานที่ อย่าว่าแต่โลกเลย ในสเกลที่เล็กลงกว่านั้น ในประเทศเราเอง ในระดับภูมิภาคเราเอง ในจังหวัดที่เราอาศัยอยู่ เราไม่สามารถที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมดเพราะโลกช่างมีความหลาก หลายมากมายนัก  

    สิ่งที่เราทำได้คือเดินทางไปเยือนสถานที่ ต่างๆให้ได้มากที่สุดและนั่นคงเป็นความฝันของใครหลายๆคน ผมเป็นหนึ่งคนในนั้นที่มีความฝันและยังคงเดินทางไปในที่ต่างๆที่มีแรงไปไหว และเวลาพอจะเอื้ออำนวยให้และทริปนี้เราจะไปพิชิตความฝันกันที่ดอยภูแวครับ    

       
    • โพสต์-2
    Bell •  กุมภาพันธ์ 05 , 2559

    ข้อมูลเกี่ยวกับดอยภูแว

    ถ้าพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ขึ้นชื่อของจังหวัดน่าน ก็คงหนีไม่พ้นดอยเสมอดาว อุทยานแห่งชาติขุนสถาน อุทยานแห่งชาติดอยภูคา สถานที่มีชื่อเหล่านี้นักท่องเที่ยวจำนวนมากคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ส่วนดอยภูแวนั้นก็มีนักเดินทางสายลุย สายผจญภัยจำนวนไม่น้อยที่เดินทางไปเยี่ยมเยือนชมความงามของดินแดนแห่งขุนเขา และสายหมอกแห่งนี้  

    ดอยภูแวเป็นยอดดอยสูงชันตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นยอดเขาทุ่งหญ้า ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มียอดเขาหลายลูกเรียงตัวกันเป็นสันเขาทอดตัวยาว ยอดสูงสุดสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,837 เมตร  

    • โพสต์-3
    Bell •  กุมภาพันธ์ 05 , 2559

    การเดินทาง  

    ทริปนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 3 คน โดยเราเริ่มต้นเดินทางจากตัวเมืองน่านมุ่งหน้าสู่อำเภอปัวระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร
    ถึงที่อำเภอปัวแล้วเราแวะทานอาหารเช้ากันที่นี่ เสร็จเรียบร้อยเราเดินทางกันต่อไปที่อำเภอบ่อเกลือ ระยะทางช่วงนี้ประมาณ 45 กิโลเมตร ระหว่างทางเราแวะเข้าไปติดต่อที่ทำการอุทยานดอยภูคา เพื่อขออนุญาตขึ้นดอยและติดต่อกับเจ้าหน้าที่นำทาง
    พอถึงอำเภอบ่อเกลือเราเดินทางจากจุดนี้ไปต่อยังหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ดอยภูคาที่ 9 (บ้านด่าน) ระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร จึงถึงจุดเริ่มเดินของเราในทริปนี้  

    การขึ้นไปเยี่ยมชมความสวยงามบนยอดดอยภูแวต้องใช้วิธีเดินเท้าขึ้นไประยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร
    ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 5 ชั่วโมง (อันนี้ก็แล้วแต่ละคนอีกที่ว่าเดินช้าเดินเร็วกันแค่ไหนครับ)  

    เนินแรกเล่นเอาซ่ะเหนื่อยเลย  

    • โพสต์-4
    Bell •  กุมภาพันธ์ 05 , 2559

    มาต่อกันนะครับ
    พอพ้นเนินแรกมาได้เส้นทางของเรามาตัดกับถนนดินแดงที่เข้าสู่หมู่บ้าน เราเดินตามทางนี้ไปอีกสักระยะหนึ่งก็ถึงหมู่บ้าน
    (ระยะนี้เดินค่อนข้างง่ายครับเพราะไม่มีเนินสูงๆเลย)

     

    วิวระหว่างทางช่วงนี้ครับ

    จากนั้นเราก็มาถึงหมู่บ้านกันจนได้
    แวะพักเหนื่อยกันสักหน่อย พูดคุยกับผู้คน ถ่ายรูปวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนจะธรรมดาและเรียบง่าย

    เราเจอคุณตาอยู่ในบ้านเลยเข้าไปทักทาย
    คุณตาถามพวกเราว่า "ขึ้นภูแวกันเหรอ" เราจึงตอบกลับไปว่าครับ "ครับ ข้างบนสวยมั้ยตา"
    พูดคุยกับคุณตาเล็กน้อยแล้วเราเดินจากคุณตาออกมา มีเสียงพูดไล่หลังเรามาว่า
    "โชคดีนะ"

    ไปที่ไหนเราก็เจอ พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงเสด็จไปทุกๆที่จริงๆ

     

     

     

     

     

     

     

    • โพสต์-5
    Bell •  กุมภาพันธ์ 05 , 2559

    สิ้นสุดทางเดินบนถนน
    เราแวะพักกันอีกครั้งเพื่อเติมน้ำมันแล้วไปต่อเพราะหลังจากนี้ของจริงแล้ว
    ทางจะชันขึ้นอย่างเดียวไปจนถึงยอดสูงสุด
    พักกันหายเหนื่อยเตรียมตัวเตรียมใจ ขึ้นเป้ ป่ะ ลุยกัน

    ยิ่งเราโตขึ้น เงื่อนไขในชีวิตก็มากขึ้นนะ
    นึกถึงการผจญภัยที่เราเคยเล่นตอนเป็นเด็ก

     

    • โพสต์-6
    Bell •  กุมภาพันธ์ 05 , 2559

    หลังจากนี้ทางมีแต่ขึ้นอย่างเดียว เขาลูกแล้วลูกเล่าเรียงตัวกันสันเขาสุดลูกหูลูกตา
    เส้นทางผ่านไร่ข้าวโพดของชาวบ้าน ข้าวดอยที่กำลังเก็บเกี่ยว คน 4 คนเดินกันอยู่กลางสันเขา
    มองไกลๆเห็นคนตัวเล็กนิดเดียว จริงๆแล้วเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติเองนะ ว่ามั้ย

    วิวสองข้างทางกลางภูเขา

    ระหว่างทางเราเจอกับยายคนหนึ่ง เราถามยายได้ความว่า
    ยายไปเก็บดอกหญ้าเพื่อจะเอาไปทำไม้กวาด ไม่ได้เอาไปทำขายแต่ทำใช้เอง
    คุณยายเดินข้ามเขาไปหลายลูกมากเมื่อคะเนจากอายุดูแล้วผมว่าน่าจะมีถึง 70 80 ปี
    แววตาคุณยายบ่งบอกถึงชีวิตที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี กรำงานหนักทั้งชีวิต ผิวหนังดำคล้ำที่เกิดจากแสงแดดแผดเผา
    เห็นคุณยายแล้วก็ชวนให้คิดถึงชีวิตที่ผ่านมา เป้าหมายในชีวิตคืออะไร อะไรคือคือความสุขที่แท้จริง
    แล้วทำไมคุณยายถึงเดินไปเดินมาเส้นทางนี้ทุกวันไม่รู้เบื่อ
    นี่สินะความสุขตามอัตภาพ

    "ทางเดินสุดไกลแค่ไหนก็ไป ยังมีอีกไกลให้เราชื่นชม"
    ระหว่างทางก็ฮัมเพลงไปด้วย ฟินดี

    • โพสต์-7
    Bell •  กุมภาพันธ์ 05 , 2559

    และแล้วเราก็พาเอาตัวเองมาถึงจนได้ในสภาพที่ยังไม่เละเทะมากนัก
    ปลดเป้ลงหลัง ขอสูดอากาศบริสุทธิ์ยาวๆ เต็มๆปอดสักหน่อย อากาศดีมาก วิวสวย
    พวกเราหายเหนื่อเป็นปลิดทิ้ง

    ดื่มบรรยากาศได้สักพักเราจึงช่วยกันกางเต้น เคลียร์ข้าวของเพราะเดี๋ยวเราต้องเดินขึ้นยอดสูงสุดกัน เดี๋ยวจะมืดซ่ะก่อน

    ได้เวลาพิชิตยอดแล้ว กล้องพร้อม น้ำพร้อม ไฟฉายพร้อม
    ใจ พร้อมอยู่แล้ว ไปกัน

    ลุงปั๋น คนนำทางของเรา ผู้ดูแลเราตลอดการเดินทาง เท่สุด

    อีกนิดเดียว

    ในที่สุดเราก็มาถึงจนได้ ยอดสูงสุดดอยภูแว
    ข้างบนช่างสวยงามสมความตั้งใจที่เราเดินทางมา แม้จะยากลำบากไปบ้าง แต่ทุกคนก็หายเหนื่อยเมื่อได้เห็นวิวงามๆที่อยู่ตรงหน้า

    ทริปนี้ถ่ายรูปกันหนักมาก 555

    ดื่มด่ำกับบรรยากาศกันจนพระอาทิตย์ตกดิน
    มีคนบอกผมว่า "พระอาทิตย์ตกที่ไหนก็เหมือนกัน"
    ก็อาจใช่พระอาทิตย์ตกที่ไหนก็เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ความรู้สึก

    • โพสต์-8
    Bell •  กุมภาพันธ์ 05 , 2559

    รุ่งเช้าเราตื่นกันสายมาก ด้วยความอ่อนล้าจากการใช้แรงเยอะบวกกับตอนกลางคืนที่มีลมแรง ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนก็มีทีท่าว่าจะตก เราจึงเป็นกังวลกัน นอนหลับๆตื่นๆ สุดท้ายฝนก็ตกลงมานิดเดียว เราเลยรอดตัวมาได้
    ธรรมชาติช่างยากที่จะคาดเดาซ่ะจริง  

    8 โมงแล้วท้องฟ้ายังไม่เปิด เราเลยเดินขึ้นไปยอดสูงสุดกันอีกครั้งเพื่อไปรอดูทะเลหมอก
    จนกระทั่ง 9 โมงผ่านไป 9.30 ผ่านไป ท้องฟ้าก็ยังไม่เปิด มีแต่หมอกหนาๆ ลมแรงเอามากๆ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งหนาว พวกเราเลยตัดสินใจลงจากยอด ผิดหวังจากทะเลหมอกลงมาเก็บข้าวของเพื่อเดินลงในวันนี้
    การเดินทางมักเป็นแบบนี้แหละ เราไปคาดหวังให้มันได้ดั่งใจเราทุกเรื่องไม่ได้
    มันต้องมีผิดหวังบ้าง สมหวังบ้าง คละเคล้ากันไป คล้ายกับชีวิตคนเราที่ต้องเจอกับเรื่องแย่ๆ เจอกับเรื่องที่ดี คละเคล้ากันไปเช่นกัน ไม่มีใครที่พบจะพบเจอแต่เรื่องที่แย่ๆไปตลอดและกลับกันก็ไม่มีใครพบเจอกับ เรื่องดีๆไปตลอด ตอนนี้เป็นทุกข์อีกเดี๋ยวก็พบเจอความสุข ตอนที่มีความสุขอีกเดี๋ยวความทุกข์มาแน่ๆ แค่เราเข้าใจมัน   นั่นคือสิ่งที่การเดินทางสอนเรา