ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
"1 ภู 1 ดอย 1 เขา 3 สถานที่..ถ้าเท้ายังก้าวไหว ไม่ควรพลาด" ดอยหลวงเชียงดาว (Doi Luang Chiang Dao) จ.เชียงใหม่
    • โพสต์-1
    Nattapon •  กุมภาพันธ์ 14 , 2558

    l 1 ภู 1 ดอย 1 เขา l 3 สถานที่..ถ้าเท้ายังก้าวไหว ไม่ควรพลาด

    "               แค่อยากรู้ว่า ...                "

    ในตอนที่เท้ายังพอมีแรง ยังสามารถก้าวไหว

    เท้าคู่นี้จะพาเราไปถึงไหนกัน?

    และทุกวันนี้ผมก็ยังคงหาคำตอบอยู่

    ณัฐพล

     

    ผมเป็นนักเดินทางธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแค่มีวันสำหรับพักผ่อน 2-3 วัน ก็สามารถสะพายเป้และกระเป๋ากล้องเดินทางออกจากเมืองกรุงที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องไปโอบกอดธรรมชาติที่สวยงามในสถานที่ต่างๆทั่วไทยได้

    ในการเดินทางในแต่ละครั้งผมได้ทำการบ้านโดยการศึกษาข้อมูลสถานที่นั้นๆก่อนที่จะออกเดินทาง เพื่อที่จะได้เก็บเกี่ยวความประทับใจและประสบการณ์ให้มากที่สุด และสถานที่หนึ่งที่ผมอยากจะไปพิชิตมากที่สุดคือ "โมโกจู ภูเขาป่าฝนแห่งผืนป่าตะวันตก อุทยานแห่งชาติแม่วงก์" ผมได้ศึกษารีวิวต่างๆจนมาถึงรีวิวอันนึงที่มีการแนะนำว่า ...

    "ถ้าคุณจะไปพิชิตโมโกจู คุณควรจะผ่านสถานที่ต่างๆเหล่านี้มาก่อน ซึ่งประกอบไปด้วย อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย เขาช้างเผือก-สันคมมีด อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ม่อนทูเล จ.ตาก และ ดอยหลวงเชียงดาว-เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จ.เชียงใหม่"

    และในวันนี้ 3 ใน 4 สถานที่ดังกล่าวผมได้พิชิตมาแล้ว จึงอยากขอพื้นที่ the TripPacker นี้เพื่อแชร์ถึง 3 สถานที่รวมถึงคำแนะนำจากประสบการณ์โดยตรง

    ____________________________________________________________________________________

    สถานที่แรกผมขอพูดถึง "อุทยานแห่งชาติภูกระดึง"

    อุทยานแห่งชาติภูกระดึงตั้งอยู่ในอำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นสถานที่ที่ใครๆก็สามารถพิชิตได้ง่ายและผมว่าง่ายที่สุด เพียงแค่มีเวลา 3 วัน 2 คืน และมีใจที่พร้อมจะเดินเท้าระยะรวมมากกว่า 50 กิโลเมตร ก็สามารถเดินไปทั่วภูเขารูปหัวใจแห่งนี้

    สำหรับการเดินทางถ้าเป็นรถโดยสารสามารถลงรถได้ที่จุดจอดรถผานกเค้า แล้วเหมารถสองแถวไปถึงตีนอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ชำระค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานและค่าเช่าสถานที่กางเต้นท์ที่ทำการอุทยานเสร็จ คุณก็สามารถเดินขึ้นไปได้แล้ว สำหรับเงินที่พกติดตัวประมาณ 2,000 บาท ก็ถือว่าใช้ชีวิตบนภูได้อย่างสบายแล้วครับ บนยอดภูกระดึงมีร้านค้าร้านอาหารคอยอำนวยความสะดวกหลายร้าน อาหารก็จานละ 50 บาทขึ้นไป เนื่องจากร้านค้าต้องจ้างลูกหาบแบกสินค้าขึ้นมาเหมือนกัน บนภูมีบริการห้องน้ำหลายจุด ถือว่าสะดวกสบายที่สุดถ้าเทียบกับอีก 2 สถานที่ที่จะพูดต่อไป

    การเดินขึ้นพิชิตยอดภูกระดึง จริงๆควรพูดว่าพิชิตผาหล่มสักมากกว่า เพราะถ้าไปไม่ถึงผาหล่มสักก็เหมือนมาไม่ถึงภูกระดึง หลักๆเราจะเหนื่อยตอนเดินขึ้นมากกว่า เเต่ก็มีลูกหาบคอยให้บริการหาบสัมภาระกิโลละ 30 บาท หาบไปถึงจุดกางเต้นท์วังกวางเลยทีเดียว เดินขึ้นเพียง 5.5 กิโลเมตรเองครับ เเต่จะเหนื่อยที่สุดคือซำเเรก หรือ "ซำแฮก" จากตีนภูมาแค่กิโลเดียว ถ้าเห็นป้ายซำแฮกก็สบายแล้วครับ

    เดินขึ้นภูกระดึงจะผ่านจุดพักหรือซำหลายจุดครับ เเต่ละจุดมีร้านค้าคอยให้บริการ และอีกจุดที่จะทำให้เราเหนื่อยคือจุดสุดท้ายหรือ "ซำแคร่" จากจุดนี้ไปยังด้านบนถือว่าชันมาก (แต่ถ้าเทียบกับสันคมมีดของเขาช้างเผือกถือว่าเด็กๆครับ) ปีนบันไดขึ้นมาเรื่อยๆเดี๋ยวก็ถึงด้านบนหลังแปเองครับ บนยอดภูกระดึงหรือหลังแปเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มองจากที่สูงจะเป็นยอดภูกระดึงเป็นรูปหัวใจ หลายคนพาคนที่รักที่ชอบมาบอกรักที่นี่ด้วยแหละ ผมเองก็เคยเห็นคนมาขอแต่งงานกันด้วย ^^
    จากบันไดก้าวสุดท้ายขึ้นมาสู่หลังแปเราจะเห็นป้ายๆนึงที่มีข้อความว่า "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" เป็นไฮไลท์ของนักท่องเที่ยวทุกคนที่จะบันทึกภาพกับป้ายๆนี้

    เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ ที่คุณพิชิตมาแล้ว 5.5 กิโลเมตร แต่คุณต้องเดินต่ออีกกว่า 3.5 กิโลเมตรเพื่อไปถึงจุดกางเต้นท์วังกวาง จากนั้นคุยเรื่องเต้นท์กับเจ้าหน้าที่และรับสัมภาระลูกหาบ โยนเข้าเต้นท์เเล้วไปกันต่อเลยครับ วันแรกของการขึ้นถึงยอดภูกระดึงแนะนำให้ไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกหรือผานาน้อยครับ เพราะเก็บแรงไว้เดินวันที่สองดีกว่า ^^

    วันที่สองเราต้องตื่นมาแต่เช้าเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นไปกลับประมาณ 3 กิโลเมตร แล้วค่อยเดินไปที่ผาหล่มสักไปกลับก็ 20 กิโลเมตรเอง ถ้าเดินแวะน้ำตกก็รวมราวๆ 30 กิโลได้ ไหนๆมาแล้วก็เที่ยวให้ครบเลยครับ แนะนำว่าตอนเดินไปผาหล่มสักให้เดินเส้นน้ำตกครับและขากลับให้เดินทางเส้นเรียบหน้าผาจนถึงผานาน้อยก่อนเดินตัดมายังจุดกางเต้นท์ แล้ววันที่สามตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกลับมาเก็บสัมภาระแล้วค่อยลงครับ

    บนภูกระดึงมีจักรยานให้เช่าเป็นวันๆครับ ราคาก็ค่อนข้างสูง แต่ผมเองไม่เคยใช้บริการครับ เพราะการปั่นจักรยานบนทรายบางทีอาจจะทำให้เราเหนื่อยกว่าเดินเท้าครับ หลายครั้งเห็นนักท่องเที่ยวเดินเข็นจักรยานด้วย อีกอย่างที่ผมไม่ใช้บริการเพราะการเดินเท้าถึงแม้จะถึงช้า เเต่เราจะได้สัมผัสธรรมชาติตลอดทางครับ
    " บางทีรางวัลของนักเดินทางอาจจะไม่ใช่การได้ไปถึงจุดหมาย แค่ดอกหญ้าสวยๆข้างทางก็เป็นรางวัลที่มีค่าแล้ว ^^ "

    บนภูกระดึงมีธรรมชาติที่สวยงาม คุณสามารถขึ้นชมได้ 3 ฤดูโดยที่ความสวยงามของที่นี่ไม่เคยซ้ำกันเลยครับ เริ่มต้นด้วยหน้าหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงกุมภาพันธ์ คุณไปได้พับกบ แฮ่ พบกับใบเมเปิลเปลี่ยนสีและทะเลหมอกที่เป็นไฮไลท์

    เมเปิลหรือก่วมภูกระดึงจะเปลี่ยนสีใบจากสีเขียวเป็นสีแดงครับ เป็นตัวที่บอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

    ตื่นมาเช้าๆไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ถือว่าเดินฝ่าผ่านม่านหมอกเลยทีเดียว ยิ่งถ้าแสงแดดสีทองยามเช้าตัดกับหมอกนี่ สวยเกินคำบรรยายจริงๆ

    เดินเช้าๆอากาศเย็นๆครับ ไม่เหนื่อยมาก แถมธรรมชาติสวยงามอีกด้วย เดินเรื่อยๆครับ ไม่ต้องรีบ มีดอกไม้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนตลอดทาง ภาพบนหญ้ากระดุมเงินครับ ส่วนภาพล่างดอกหรีดภูกระดึง

    สำหรับยอดภูกระดึงพระอาทิตย์ตกที่ไหนก็สวยหมดครับ ไม่ต้องถึงจุดหมายแค่ระหว่างทางก็มีอะไรให้น่าจดจำมากมาย

    รางวัลที่มีค่าของนักเดินทางไม่จำเป็นต้องมีอะไรมาก เพียงแต่เห็นภาพธรรมชาติที่สวยงามก็ยิ้มได้ทั้งวันแล้ว 
    ผาหล่มสักตอนตะวันจะลาลับของฟ้า

    สำหรับฤดูร้อน ช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม เป็นช่วงที่คนหลายๆคนไม่อยากจะขึ้นภูกระดึงเพราะคิดว่าร้อน ก็จริงครับ ร้อนจริงๆ แต่กลางคืนนี่เย็นสบายเลยครับไม่หนาวแบบหน้าหนาว หน้าร้อนเป็นช่วงที่ดอกกล้วยไม้บานสะพรั่งทั่วภูกระดึงเลยครับและหนึ่งในนั้นคือ เอื้องแซะภูกระดึง กล้วยไม้ที่เป็นไฮไลท์ของภูกระดึงครับ

    สิงโตงามมมม กอใหญ่ดอกมากมาย ^^

    และสิ่งที่ที่บานสะพรั่งทั่วพื้นดิน ว่านมหาเมฆ ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมว่านมหาเมฆจะเริ่มออกดอกให้เห็นกันครับ

    ดอกหญ้ากระดุมเงินยามต้องแสงในฤดูร้อน ก็พอที่จะเป็นรางวัลให้เเก่นักเดินทางที่กำลังเหน็ดเหนื่อยได้เลยทีเดียว

    สำหรับฤดูฝน เราไม่สามารถขึ้นได้โดยตรงเนื่องจากเป็นช่วงที่ปิดอุทยานเพื่อให้ธรรมชาติฟื้นตัวสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวต่อไป แต่เราก็สามารถขึ้นไปสัมผัสฝนได้ 2 ช่วงคือ ปลายร้อนต้นฝนเดือนพฤษภาคม และปลายฝนต้นหนาวเดือนตุลาคมครับ สองช่วงนี้จะมีน้ำตกที่สวยงามผิดกับตอนหน้าแล้ง และถ้าฝนตกมากๆเดินไปตรงหน้าผาเราจะเห็นทะเลเมฆที่ต่ำกว่าจุดที่เรายืนครับ แต่ถ้ามาเที่ยวหน้าฝนจะมีทากที่คอยจะดูดเลือดเราตลอดเวลาครับ เตรียมทุกกันทากกับเสื้อฝนไปด้วยไม่เสียหาย ^^

    แนะนำอาหารหน้าฝน ถ้าเป็นช่วงต้นฝน นี่เลยครับเห็ดตามฤดูกาลธรรมชาติสุดๆ :DD

    สำหรับอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ถ้าจะพิชิตง่ายนิดเดียวครับ ขอแค่เตรียมใจที่คุณจะต้องเดินเท้าขึ้นมายังยอดภูเขารูปหัวใจแห่งนี้ และเดินไปให้ถึงผาหล่มสัก รับรองไม่ผิดหวังครับ ผมเองขึ้นภูกระดึงมาแล้ว 3 ครั้ง เเต่มีหลายคนที่ขึ้นเป็นสิบๆครั้งครับ


    หลายคนถามผมว่าขึ้นไปทำไมหลายๆครั้ง เพียงเพราะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น/ตกเนี่ยน่ะ?
    ใช่ครับ ผมขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก เพราะพระอาทิตย์ขึ้น/ตกที่ภูกระดึงสวยไม่เหมือนกันสักวันเลยครับ มันสวยจนถ้าผมมีเวลาว่างจะเป็นสถานที่แรกที่นึกถึง ....

     

    • โพสต์-2
    Nattapon •  กุมภาพันธ์ 14 , 2558

    เขาช้างเผือก อช.ทองผาภูมิ

    สำหรับสถานที่ที่สองที่จะพูดถึงคือ เขาช้างเผือก

    เขาช้างเผือกตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี  สถานที่นี้ผมเคยรีวิวไปครั้งหนึ่งแล้วใน  www.thetrippacker.com/th/review/เขาช้างเผือก/7211 ครั้งนี้จะขอแนะนำแบบรวบรัดแล้วกันครับ

    สำหรับเขาช้างเผือกทางอุทยานอนุญาตให้ขึ้น 4 เดือน คือช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ครับ ที่ปิดเร็วเนื่องจากช่วงเดือนมีนาคมจะมีไฟป่าครับ หลังจากนั้นก็มีฝนเเล้วครับคงไม่ง่ายดายถ้าเราปีนเขาแล้วฝนตกไปด้วยครับ

    สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงคือเรื่องการจองขึ้นเขาช้างเผือกครับ เป็นอะไรที่จองยากเย็นมากๆ เพราะต้องโทรแย่งกัน วันนึงจะรับนักท่องเที่ยวเพียงแค่ 60 คนเท่านั้นครับ ต้องโทรจองล่วงหน้า 7 วันครับโทรก่อน 7 วันไม่ได้ด้วยน่ะ ใครดวงดีโทรติดก็ได้ไปครับ 

    สำหรับการเดินเราต้องเดินทางไปล่วงหน้า 1 คืนครับ เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะให้เราเดินขึ้นก่อนเที่ยงส่วนมากก็ประมาณ 9.00 น.-10.00 น. ก็เริ่มเดินขึ้นกันแล้ว ซึ่งการเดินทางจากกรุงเทพมาอาจใช้เวลาถึง 4-5 ชั่วโมงกว่าจะถึงหมู่บ้านอีต่องครับ แต่ถ้าเหมารถตู้ไปออกเช้ามืดมากๆตีสองก็ทันครับ ถ้าไม่ได้มีรถไปเองต้องหาทางไปลงที่ตลาดทองผาภูมิให้ได้ครับ แนะนำว่าถ้ามาจากกรุงเทพสามารถนั่งรถตู้มาลงเมืองกาญจน์แล้วต่อรถตู้สังขละบุรีมาลงที่ตลาดทองผาภูมิได้เลยครับราคารวมๆก็ประมาณ 200 บาท หรือถ้ามารถโดยสารประจำทางก็นั่ง บขส สังขละบุรี (180บาท)มาลงที่ตลาดทองผาภูมิได้เลยครับ จากนั้นก็นั่งรถสองแถวสีเหลืองที่ด้านข้างตัวรถเขียนว่า "อุทยาน บ้านอีต่อง" จากตลาดทองผาภูมิไปยังหมู่บ้านอีต่องราคาต่อคนอยู่ที่ 70 บาท หมู่บ้านอีต่องจุดที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินขึ้นพิชิตยอดเขาช้างเผือกครับ ระหว่างทางเราจะต้องแวะที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิเพื่อแจ้งจำนวนคน เต้นท์ เเละเครื่องนอนต่างๆครับ

    มีลูกหาบแบบเหมาครับสำหรับแบกสัมภาระขึ้นไป เราก็สามารถเดินตัวเปล่าได้อย่างสะดวกสบาย ระยะทางตามป้ายระบุไว้ว่า 8 กิโลเมตร แต่เจ้าหน้าที่บอกจริงๆประมาณ 12 กิโลเมตรครับ ทางเดินก็เป็นทางเดินขึ้นเขา มีขึ้นบ้างลงบ้าง พูดง่ายๆเราเดินข้ามเขากันเลยครับเเละที่สำคัญเดินตัดยอดด้วย แดดค่อนข้างแรงยิ่งออกสายๆนี่ร้อนแน่นอนครับ ส่วนมากเป็นทุ่งหญ้า

    จุดที่ค่อนข้างชันก็จะมีเชือกทำเป็นราว คอยอำนวยความสะดวกให้จับตลอดเส้นทาง
    เดินไปเรื่อยๆก็ถึงจุดกางเต้นท์ละครับ มาถึงลูกหาบก็จัดการกางเต้นท์ให้เราทันที จุดนี้ลมเย็นและแรงมากๆ ได้นอนพักกันยาวๆเลย

    หลังจากที่พักผ่อนตามอัธยาศัยแล้ว ช่วงประมาณ 4 โมงเย็นเจ้าหน้าที่จะเริ่มเรียกรวมเพื่อเดินทางไปยังยอดต่อครับ
    และจุดที่สำคัญคือทางขึ้นไปยังสันคมมีดครับ จากจุดนี้มองย้อนลงมาเห็นจุดกางเต้นท์อยู่ไกลๆ

    จุดปีนขึ้นสันคมมีด เป็นจุดที่อันตรายที่สุด 2 ข้างเป็นที่ลาดและชันถ้าตกไปอาจจะได้เกิดใหม่เลยทีเดียวครับ แต่มีเจ้าหน้าที่ 2 คนคอยดูเเลอย่างใกล้ชิดเลยครับ แนะนำให้ว่าต้องก้าวขาข้างไหนก่อน ก้าววางตรงไหน บางทีจับขาวางให้เลยครับ ถ้าผ่านจุดสันคมมีดมาได้ก็สบายแล้วครับ กว่าจะผ่านมาได้ต้องคลาน ขานี่สั่นระริกๆกันเลยทีเดียวครับ เดินข้ามอีกลูกก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว บนยอดจะพบกับป้ายที่มีข้อความกำกับว่า "ยอดเขาช้างเผือก ความสูงระดับน้ำทะเล 1,249 เมตร อช.ทองผาภูมิ" 
    ถึงจุดนี้แสดงว่าคุณมาถึงยอดเขาช้างเผือกแล้วครับ มีเวลาให้ถ่ายรูปนานๆเลย บนนี้ลมดีมากเลยครับ ทัศนียภาพบนยอดเขาช้างเผือก สามารถชมได้ 360 องศาเลยครับ สวยงามมากจริงๆถ้าจะถ่ายพระอาทิตย์ตกบนเขาช้างเผือก ต้องลงมาจากสันคมมีดก่อน เพราะถ้าพระอาทิตย์ตกก่อนมันจะมืดมากครับและจะอันตรายมากๆ จากมุมนี้ก็สามารถมองเห็นจุดกางเต้นท์ครับ

    หลังจากกลับจากดูพระอาทิตย์ตกก็กลับมายังจุดกางเต้นท์ครับ สำหรับคืนนั้นอุณหภูมิอยู่ที่สิบกว่าองศาเซลเซียสประกอบกับลมแรง สำหรับภาพนี้พระอาทิตย์ขึ้นบ้าง แต่สายแล้วเพราะหนาวมากนอนขดอยู่ในถุงนอน

    ทริปนี้ผมใช้เวลาอยู่บนเขาช้างเผือก 2 วัน 1 คืน ถ้ารวมที่บ้านอีต่องด้วยก็ 3 วัน 2 คืนครับ
    บนเขาช้างเผือกไม่มีร้านขายอาหาร อาหาร เสบียงและน้ำทุกอย่างต้องเตรียมไปเองครับ ลูกหาบจะต้มน้ำ หุงข้าว อุ่นอาหารให้เราครับสามารถใช้บริการลูกหาบได้เต็มที่เป็นกันเองมากๆเลยครับ ส่วนห้องน้ำก็มีอยู่ 3 ห้องครับ เเต่มีห้องนึงประตูใช้งานไม่ได้ครับและห้องน้ำไม่มีน้ำนะครับ ด้านบนไม่มีไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์เครือค่าย AIS พอมีบ้างครับ

    พูดถึงความเหนื่อย รวมระยะทางไม่น่าจะเกิน 24 กิโลเมตร ถ้าเทียบกับภูกระดึงแล้วยังไงก็เบากว่าภูกระดึงครับ แต่ความเสียวนี่สิ เสียวกว่ามากโดยเฉพาะจุดที่เป็นสันคมมีด ซ้ายขวาไม่มีอะไรเลยครับ ตกไปมีหวังได้เกิดใหม่เเน่นอนครับ

    ค่าใช้จ่ายตลอดทริปก็ประมาณ 2500-3500 บาทต่อคนครับ ถ้าไปกันมากก็ช่วยเเชร์กันได้ครับ

    • โพสต์-3
    Nattapon •  กุมภาพันธ์ 14 , 2558

    ดอยหลวงเชียงดาว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว

    สำหรับสถานที่ที่สุดท้ายคือ "ดอยหลวงเชียงดาว”

    ดอยหลวงเชียงดาว อยู่ภายใต้การดูแลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องด้วยสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่อุทยานแห่งชาติเพราะฉะนั้นการจะเข้าพื้นที่ต้องทำเรื่อง โดยการทำเรื่องต้องทำล่วงหน้าอย่างต่ำ 15 วันก่อนการเดินทาง การทำเรื่องประกอบด้วยการแจ้งจำนวนผู้ร่วมทริปพร้อมสำเนาบัตรประชาชนหรือบัตรนักศึกษา จำนวนลูกหาบ จำนวนเจ้าหน้าที่นำทาง และเรื่องการมัดจำขยะ  
    สำหรับการเดินทางสามารถนั่งรถโดยสารประจำทางไปลงจุดจอดรถเชียงดาว และเหมารถ(ที่ติดต่อล่วงหน้า)จากจุดจอดรถประจำทางหน้าโรงแรมเชียงดาวอินท์ไปยังจุดเริ่มต้นการเดินเท้าขึ้นพิชิตยอดดอยหลวงเชียงดาว (ค่าเหมารถประมาณ 2000 บาทครับ โดยรถจะไปส่งตามที่ตกลง ส่วนมากไปส่งเด่นหญ้าขัดและมารับที่ปางวัวครับ) 

    สำหรับอาหารการกินบนดอยหลวงเชียงดาว นักท่องเที่ยวต้องเตรียมไปเองครับ บนยอดดอยหลวงนั้นไม่มีร้านสะดวกซื้อ ไฟฟ้ายังไม่มีเลยครับ เพราะฉะนั้นอาหารและน้ำเป็นอะไรที่ควรพกไป บนยอดไม่อนุญาตให้ก่อกองไฟเพื่อประกอบอาหาร การพกเตาสนามและเเก๊สกระป๋องจะทำให้เราให้มีของกินครับ อย่างน้อยก็โจ๊กร้อนๆ มาม่า หรือกาเเฟอุ่นๆตอนชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่ถ้าไม่ได้เตรียม หม้อเตาสนามไปลูกหาบมีบริกาารครับราคาก็เเล้วเเต่จะตกลงกันอีกที

    สำหรับระยะเวลาผมขอแนะนำ 3 วัน 2 คืน เพราะไม่เหนื่อยมาก มีเวลาพักผ่อนเยอะดีครับ แต่ค่าลูกหาบก็เหมาเป็นวันๆน่ะครับ ทริปนี้จะเเพงที่ค่าเหมารถกับค่าลูกหาบเนี่ยแหละครับ ถ้าไป 2 คนอาจจะต้องใช้เงิน 3500 - 4500 บาท ถ้าไปกันหลายๆคนก็ช่วยกันแชร์ค่าใช้จ่ายส่วนกลางได้ครับ

    จุดเริ่มต้นการเดินเท้ามี 2 จุดคือ จุดปางวัว (6.5 กิโลเมตร) และ จุดเด่นหญ้าขัด (8.5 กิโลเมตร)

    แนะนำให้เดินขึ้นทางเด่นหญ้าขัดเพราะทางจะชันน้อยกว่าทางปางวัวและไม่ลื่นระยะทางก็ประมาณ 8.5 กิโลเมตรซึ่งไกลกว่าทางขึ้นปางวัว ตอนที่ผมไป (22-24 มกราคม 58) ถือว่าโชคดีมากที่ได้สัมผัสกับดอกของพญาเสือโคร่งบานสะพรั่ง (ไม่อยู่ในแผนการเที่ยว)ผมก็เสียเวลากับตรงนี้ก็ครึ่งชั่วโมงสำหรับการถ่ายต้นและดอกพญาเสือโคร่ง และรอลูกหาบแพคกระเป๋าสัมภาระแล้วเราก็เริ่มเดินขึ้นกันเลยครับ ตอนขาขึ้นเราได้สัมผัสกับป่าที่หลากประเภทมาก ทั่งป่ายาง ป่าสน ทุ่งหญ้า และเขาหินปูนครับ ต้นไม้ส่วนใหญ่ที่พบที่ดอยเชียงดาวหลายชนิดเป็นพืชเฉพาะถิ่น หนึ่งในนั้นคือต้นค้อเชียงดาว ที่ตั้งตระหง่านตามสันของยอดเขาหินปูนรวมถึงไหล่เขา หน้าตาคล้ายๆต้นหมากผสมมะพร้าวครับ เดินขึ้นเรื่อยๆไม่ต้องรีบ ถ้าเหนื่อยก็หยุดพัก รู้ตัวอีกทีก็ถึงจุดกางเต้นท์ ลูกหาบก็จัดการกางเต้นท์ให้เสร็จสรรพ พักผ่อนสักนิดก่อนพิชิตยอดดอยหลวงกันครับประมาณสี่โมงเย็น บนยอดเราก็จะเห็นป้าย “จุดสูงสุด ยอดดอยหลวงเชียงดาว 2,225 เมตร จากระดับน้ำทะเล” และที่สำคัญบนยอดนี้มี 3G ครับ สำหรับอัพภาพและ check in อวดชาวบ้านกันครับจุดนี้เป็นจุดที่เราชมพระอาทิตย์ตกกันครับ จากยอดดอยหลวงเราจะมองเห็นดอยสามพี่น้องเป็นภูเขา 3 ยอดเรียงกัน และยอดพีระมิด ภูเขาทรงพีระมิด
    นักท่องเที่ยวส่วนมากปีนขึ้นมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกที่จุดนี้ พอพระอาทิตย์ตกก็เริ่มแยกย้ายลงจากยอดไปยังจุดกางเต้นท์ แต่ผมเลือกที่จะอยู่ต่อเพื่อถ่ายดาวครับ และไม่ผิดหวังจริงๆครับ จากจุดนั้นสามารถชมดาวได้ 360 องศาเลยทีเดียว

    อันนี้ไม่แน่ใจว่าใช่ทางช้างเผือกรึป่าว แต่สวยดีครับ สวยมากๆเลยแหละ ^_______^
    การได้ยืนมองดูหมู่ดาวจุดนี้ เหมือนเราได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลเลยครับ

    ถ่ายดาวเสร็จก็กลับลงมาพักผ่อนที่เต้นท์ ค่ำคืนนั้นหนาวมากครับ -3 องศา (ย้ำ ลบสามองศาเซลเซียส) เองครับ
    ตอนตีสามย่างเข้าตีสี่ได้ยินเสียงสัตว์ร้อง ก็เลยเปิดประตูเต้นท์ออกมาส่องไฟฉายไปพบเห็นกวางผายืนอยู่ไหล่เขา เลยเก็บภาพมาเป็นหลักฐานครับหนาวมากๆครับ นอนต่อพรุ่งนี้เช้ามีภารกิจไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยกิ่วลม

    ถ้ามาถูกช่วง ถูกเวลาทะเลหมอกก็มีให้เห็นครับ ถ้ามีฝนหมอกก็จะเยอะครับ เเต่ถ้าหนาวมากๆหมอกจะเบาบาง

    บนยอดมีดอกไม้เฉพาะถิ่นสวยงามหลายชนิดครับ ต้นนี้ชื่อว่าฟ้าครามพยับหมอก ตันนี้จำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร แต่สวยมากครับ ถึงขั้นต้องปีนหินขึ้นไปถ่ายเลยทีเดียว

    ถ้าขึ้นปลายฝนต้นหนาวจะพบดอกไม้สวยงามมากกว่านี้ครับ ผมเองก็ขึ้นมกราคมเกือบๆปลายเดือนซะแล้ว

    การมาชมพระอาทิตย์ขึ้นเราต้องเริ่มเดินจากจุดกางเต้นท์ตีห้า ตีห้าครึ่งครับ ซึ่งตอนนั้นมืดสนิทและมองไม่เห็นอะไร หลังจากกลับจากชมพระอาทิตย์ขึ้นมายังเต้นท์ภาพที่เห็นคือแม่คะนิ้งเกาะตามลานหญ้าทั่วจุดกางเต้นท์เลยครับ มาโครใกล้ๆครับ เหมือนเอาเกลือไปโรยตามขอบใบไม้

    สำหรับขาลงผมเลือกที่จะลงทางปางวัว (6.5 กิโลเมตร)ครับ ปางวัวเป็นทางที่ชันกว่าทางเด่นหญ้าขัดมากๆครับ ยิ่งถ้ามีฝนตกทางนี้ถือว่าอันตรายเลยทีเดียว เพราะทางเป็นขั้นบันไดดินเหนียวขนาดฝนไม่ตกยังลื่นไปหลายที รองเท้าก็ควรเลือกให้ดีครับช่วยเยอะมากๆ

    สำหรับช่วงเวลาผมเเนะนำ 2 ช่วงคือช่วงปลายฝนต้นหนาว คุณจะได้พบกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งเต็มยอดภูเขาหินปูน ทั้งพืชกลุ่มเทียน โดยเฉพาะเทียนนกแก้ว ชมพูเชียงดาว ... และอีกช่วงคือช่วงปลายเดือนมกราคมจนถึงกุมภาพันธ์จะได้พบกับดอกพญาเสือโคร่งและดอกกุหลายพันปี ส่วนเรื่องของแม่คะนิ้งขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศครับ ผมยืนยันครับมาเที่ยวแล้วไม่ผิดหวังแน่นอนครับ ^^

    ถ้าเทียบกับภูกระดึง เดินเหนื่อยพอๆกับภูกระดึงเลยครับ เเต่บนยอดหลวงเชียงดาวไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ ไม่มีไฟฟ้า  ร้านอาหารไม่มีเเน่นอนครับ ยกเว้นลูกหาบจะมาขายของครับ คลื่นมือถือมี 3G บริเวณยอดดอยหลวงเชียงดาวและดอยกิ่วลมครับ ส่วนห้องน้ำเป็นซาแลนกั้นห้องเป็นสี่เหลี่ยมหลังคาเป็นท้องฟ้าครับ ช่วงเทศกาลนักท่องเที่ยวเยอะอาจจะมีกลิ่นค่อนข้างแรงครับ

    จบการรีวิวทั้งสามสถานที่แล้วครับ ถ้าให้แนะนำว่าควรไปอันไหนก่อนหลัง
    แนะนำให้ไปภูกระดึงก่อนครับ ทางเดินสะดวกแค่เหนื่อยครับ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย การเดินทางง่ายที่สุด
    อีกสองสถานที่แล้วแต่ความอยากเลยครับ ถ้าเป็นเขาช้างเผือก อช.ทองผาภูมิ เดินไม่เหนื่อยมาก เเต่ทางค่อนข้างเสียวครับ ไม่มีอาหารและน้ำด้านบน ส่วนดอยหลวงเชียงดาวเดินเหนื่อย ทางไม่ลำบากเท่าเขาช้างเผือก ไม่มีอาหารและน้ำจำหน่ายด้านบนครับ


    ครั้งหน้าพบกับการรีวิว ม่อนทูเล จ.ตาก และปิดท้ายด้วย โมโกจู เหมือนฝนจะตก อช.เเม่วงก์ ครับ

    ขอให้มีความสุขการกับเดินทางครับ ^^

    • Chai-nun  เคยไปเมื่อ15 ปีก่อน คนนำทางไม่ได้พาลงทางปางวัวค่ะ แต่พาลงตรงดอยกิ่วลมเลย 06 พฤศจิกายน 2558 19:45:18
    • Bassy  อ่านแล้วอยากแบกเป้ รีบตามไปเลยค่ะ ^_^ 16 กุมภาพันธ์ 2558 09:57:52
    • โพสต์-4
    Wannapha •  กุมภาพันธ์ 17, 2558
    • จุดเด่น:
    • จุดด้อย:
    • ข้อสรุป:
    คะแนน
    • Ekkapoom  ไปมาแล้ว ครบทั้ง 3 ที่ เรียงตามลำดับ ประทับใจมิรู้ลืม 17 กุมภาพันธ์ 2558 16:55:39