ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
    • โพสต์-1
    Suttirat •  พฤศจิกายน 20 , 2558

    วันแรก 11.11.58 ระหว่างทาง ถึง ดอยหลวงเชียงดาว

    สวัสดี. . . นี่ไม่ใช่กระทู้รีวิว แต่เป็นกระทู้ที่แบ่งปันความคิดถึงผ่านภาพถ่าย

    ความจริงเราอยากออกเดินทางเพื่อตามหาดอกไม้ เมฆ หมอกและภูเขา
    จากคำบอกเล่าคนที่เคยไปมา จากหน้านิตยสารท่องเที่ยว จากภาพสวยๆในอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย
    เค้าว่ากันว่า. . .บนดอยนั้นมีดอกไม้เยอะเลย มีเมฆเต็มฟ้า มีหมอกยามเช้า
    เราเลยวางแผนเดินทางไปที่นั่น. . .
    ภูเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับ3ของประเทศ และได้ชื่อว่าเป็นภูเขาหินปูนที่สูงที่สุดในไทย

    ทุกคนเรียกที่นั่นว่า ด อ ย ห ล ว ง เ ชี ย ง ด า ว

    ค ว า ม คิ ด ถึ ง ที่ว่า. . .ที่เราเอามาแบ่งปัน เอามาแบ่งความสวย ความรู้สึกดีๆที่เราไปเจอมา
    ให้กับเพื่อนๆหลายคนที่เราไม่มีโอกาสได้พาไปด้วย ให้กับคนไกลที่ไม่มีโอกาสได้มาชื่นชมตรงนี้
    แบ่งความคิดถึงให้กับเพื่อนๆในโลกออนไลน์ ที่เราไม่เคยรู้จักกัน แต่เราชอบการเดินทางผ่านภาพถ่ายเหมือนกัน

    เ ร า เ อ า ความคิดถึง ม า ฝ า ก.

    เราแบกเป้ เต็นท์ กล้อง ไดอารี่ โดยที่ไม่ลืมพกความคิดถึงไปด้วย
    เช้าวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน เราถึงที่อำเภอเชียงดาว เวลา6.30น. โดยประมาณ 

    พวกเรามีสมาชิกในทีมไปด้วยกัน4คน และมีพี่สิงห์คำ(ไกด์นำทาง)  รวมแล้วเราไปกัน5คน
    เราเริ่มต้นเดินทางจากทางขึ้นปางวัว เวลา8.30น.

    ก่อนเดินทางขึ้นพี่สิงห์คำบอกว่า เมื่อคืนฝนตกหนัก ทางเดินอาจจะเละบ้าง
    ซึ่งเราก็เลยทำใจ จะไม่ถ่ายภาพมุมเละเทะของทางเดิน 
    แต่เราจะเก็บภาพความสวยงามระหว่างทางมาแทน

    ไอ้ที่ฟุ้งๆเนี่ย หมอกนะ ไม่ใช่ควัน

    ถ้าเอาแต่ก้มหน้าเดิน ก็คงไม่เห็นว่าต้นไม้ใบหญ้ามันทำให้เรามีความสุขระหว่างทางมากแค่ไหน
    ดอกสีเหลืองยิ้มแฉ่ง อันนี้ชื่อดอกบัวตอง . . .อันนี้หลายคนคงรู้จัก
    แต่หลังจากนี้เราจะจำชื่อดอกไม้ไม่ได้แล้วหล่ะ คือมันเยอะเราจำไม่หมด
    คนนี้คือพี่สิงห์คำ คนที่เป็นคนพาเราเดินทางทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นที่เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว
    พี่สิงห์คำเป็นคนนำทางมาประมาณ40ปีแล้ว จากที่พี่แกเล่าให้ฟัง
    ระหว่างทาง มีทั้งเรื่องดอกไม้ ใบหญ้า สมุนไพร สัตว์ป่า และไร่ฝิ่นทั้งภูเขาก่อนที่จะมาเป็นภูเขาสวยๆให้เราเห็นอย่างทุกวันนี้

    สายๆ เดินไปเรื่อยๆ หมอกเริ่มจาง ฟ้าเริ่มใส

    แต่ก็ยังมีละอองความชื้น ละอองไอน้ำ เกาะอยู่ที่ก้านต้นหญ้าอยู่เลย

    เอาเข้าจริงมาตามหาดอกไม้ แต่จำชื่อดอกไม้ต้นไม้ไม่ได้เลยนี่สิ

    นี่ๆ....ไฮต์ไลท์ของการมาที่นี่  ดอกไม้ที่เราตามหา ด อ ก เ ที ย น น ก แ ก้ ว

    แต่ว่า...ความกากของฝีมือเรานี่สิ ทำให้นกแก้วน้อยๆของเราเบลอมาก ตอนที่ล้างฟิล์มออกมานี่น้ำตาจะไหล
    คือบอกกับตัวเองว่า ยังไงก็ต้องกลับมาซ่อม ต้องกลับมาถ่ายภาพดอกเทียนนกแก้วกลับไปแบบสวยๆให้ได้

    หลังจากผ่านจุดที่เราปลื้มปริ่มกับดอกเทียนนกแก้วมาแล้ว เราก็เดินทางมาเรื่อยๆ

    จนถึงจุดนี้ เราตั้งชื่อเรียกเองว่าทุ่งหินเพราะว่ามองขึ้นไปมันมีหินเต็มไปหมด  คือจริงๆมันก็มีชื่อนะ แต่ว่าเราจำชื่อเรียกไม่ได้

    หลายคนบอกกล่าวกันว่า บริเวณดอยหลวงเชียงดาวแห่งนี้ น่าจะเคยเป็นทะเลมาก่อน
    อีกสิ่งหนึ่งที่เราอยากมาดูเพื่อเป็นการยืนยันคำบอกกล่าว นั่นคือ พวกเรามาดูหอย

    หลังจากผ่านทุ่งหินและดูหอยไปแล้ว จากนี้เราเดินขึ้นไปยาวๆ จนถึงจุดกางเต็นท์
    เรามาถึงจุดกางเต็นท์ประมาณ เกือบ4โมงเย็น 
    คือเอาง่ายๆมัวแต่ดื่มด่ำกับธรรมชาติ และมัวแต่ลื่นโคลนระหว่างทางกันจนใช้เลาในการเดินเยอะไปหน่อย

    หลังจากกางเต็นท์ นั่งพักทานโค้กกระป๋องละ40บาทกันแล้ว (คือพี่ๆลูกหาบเค้าแบกมาขายกันบนเขากันกระป๋องละ40บาท)
    พวกเรา3คน เตรียมไฟฉาย กล้องถ่ายรูปของแต่ละคน เพื่อไปถ่ายวิวบนจุดสูงสุดของดอยหลวงเชียงดาว...
    อ่านไม่ผิดหรอก 3คนเนี่ยหล่ะ(อีกคนเดี้ยงไปละ) ส่วนพี่สิงห์คำไม่ได้ไปด้วย เนื่องจากว่าฝากพวกเรา3คนไปกับพี่คนนำทางอีกคนนึง

    ทางเดินขึ้น ชันแบบที่เห็นนี่หล่ะ ระหว่างทางที่ขึ้นไปก็จะมีหมอกไหลผ่านตัวเราไปด้วย
    มองข้างทาง ก็จะมีดอกไม้เล็กขึ้นตามซอกหิน และก็มีแบบที่เป็นต้น 
    อันนี้เป็นดอกสีขาว สวยดี คงอึดหน้าดูมาอยู่บนเขาสูงขนาดนี้ได้

    พี่คนนำทางเค้าบอกว่า อันนี้คือต้นเหยื่อจง

    เวลาเดินต้องระวังดีๆ คือหินเยอะมาก ค่อยๆเดิน ค่อยๆขึ้น แหงนหน้ามองฟ้าชมวิว
    มองขึ้นไปเห็นเป็นเงาแสงพระอาทิตย์ตัดหมอก สวยดี สวยแบบพึลึก

    ผู้บ่าวใส่หมวกคนนี้ มีชื่อว่าลุงจรูญ เป็นอีกคนที่เป็นคนนำทางที่ประสบการณ์แก่กล้ามาก
    คุณลุงยืนอยู่บนยอดสูงสุด  ในขณะที่เรากำลังไต่ๆขึ้นไป อยากถ่ายภาพคุณลุงเก็บไว้
    เลยตะโกนบอกไปว่า "ขอถ่ายภาพคุณลุงหน่อยนะคะ"

    ภาพนี้เป็นภาพแรกที่เราเห็น ตอนที่ขึ้นมายืนข้างบนสุด

    และหลังจากนั้น ทั้งเมฆทั้งหมอกพัก หมอกมาเพียบ ความรู้สึกโคตรต่างจากเมื่อกี้แบบทันทีทันใดเลย
    พี่ๆที่มารอถ่ายภาพก่อนหน้านี้นี่ ถอนหายใจกันยาวเลย

    เราทำได้แค่รอ และหวังว่าเมฆก้อนใหญ่และหมอกจะพัดผ่านไปให้เราเห็นวิวตรงหน้า
    ก็นั่งรอตรงโขดหิน นั่งตากลมทำตากลมไปอย่างนั้น
    จนฟ้าเปิดให้เราเห็นยอดของดอยสามพี่น้อง

    เรานั่งมองเมฆพัดไป หมอกพัดผ่านตรงหน้าและทำได้แค่ยิ้ม
    คือมันอิ่มใจนะ ที่เรามาเห็นภาพที่เราอยากเห็น ภาพสวยๆที่ธรรมชาติมันสร้างสรรค์ออกมาให้แต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน


    สุดท้ายของวันนี้เราก็ได้ภาพที่เราอยากได้. . .
    ภาพป้ายจุดสูงสุด เมฆและยอดดอยสามพี่น้อง

    หลังจากนั้นเราก็นั่งตรงนั้นซักพัก และค่อยๆเดินลงจากยอดเขากลับมาที่จุดกางเต็นท์
    พี่สิงห์คำเตรียมไข่เจียวและผัดผักไว้ให้พวกเรา ในขณะที่พวกเราก็มีแกงมัสมันมาด้วย
    เป็นอันว่าข้าวกระป๋องที่เราเตรียมมาไม่ได้ใช้ เพราะพี่เค้าหุงข้าวไว้ให้
    แถมแกงถุงโรซ่าทั้งหลายแหล่ที่เราเตรียมมา สู้ไข่เจียวและผัดผักของพี่สิงห์คำไม่ได้เลย
    มื้อนี้อร่อย แถมอิ่มใจ นั่งล้อมวงททานข้าวกัน5คน ทานไปแหงนมองดาวบนฟ้าไป
    โคตรสุขใจเลย  (':

    ไว้พรุ่งนี้เราจะตื่นแต่เช้า ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดกิ่วลมกัน
    (อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะ. . .เดี๋ยวเรามาเล่าต่อ)

    • Suttirat  เอ้ยยยยยย ดีใจจัง ได้เจอผู้ร่วมเหตุการณ์ ((: 21 พฤศจิกายน 2558 01:14:46
    • Kanokporn  พี่คือกลุ่มที่เดินขึ้นพร้อมกันละ ที่น้องๆชี้ให้ดูฟอสซิลหอย และที่กางเต้นท์ข้างๆจ้า
      รูปสวยมากคะ
      20 พฤศจิกายน 2558 22:46:45
    • Suttirat  @Kanokporn ใช่ค่ะ ผู้ชาย2ผู้หญิง2คน ขึ้นวันอังคารที่10ตอนเย็นที่หมอชิตค่ะ 20 พฤศจิกายน 2558 21:46:42
    • Mondop  ชอบภาพทะเลหมอกที่นู๋ถ่ายม๊วกกกก 5555+ 20 พฤศจิกายน 2558 19:25:10
    • Kanokporn  น้องคือกลุ่มที่ขึ้นรถ กทม-ท่าตอน ใช่ไหมคะ 20 พฤศจิกายน 2558 18:23:58
    • โพสต์-2
    Suttirat •  พฤศจิกายน 20 , 2558

    วันที่สอง 12.11.58 ทะเลหมอก พระอาทิตย์และกาแฟ

    เมื่อคืนลมแรงมากๆ คือได้ยินเสียงลมทีไรตื่นทุกที ไม่ได้ตื่นเพราะเสียงลมนะ...
    แต่เต็นท์ของเรากางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลมพัดทีนึง ผลเล็กๆของต้นไม้ร่วงใส่เต็นท์กันระนาว
    เมื่อคืนไม่หนาวนะ สำหรับคนที่ไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวมา แต่สามารถนอนได้สบาย นี่ถือว่ายังไม่หนาวเท่าไหร่

    เวลา4.30น. ได้ยินเสียงพี่สิงห์คำ เดินมาพูดข้างเต็นท์ว่าตื่นได้แล้ว 
    เต็นท์ข้างๆ ยังเงียบอยู่เลย เรานอนกลิ้งไปกลิ้งมา ปลุกเพื่อนคนข้างๆ แล้วมุดออกมาปลุกเพื่อนอีกเต็นท์นึง

    ตอนนี้คงประมาณตี5 แล้วหล่ะ พี่สิงห์คำบอกว่าเอากาแฟไปด้วย จะได้จิบกาแฟแล้วดูพระอาทิตย์ขึ้น แค่คิดก็ฟินแล้ว (:
    เรานี่รีบควานหากาแฟซองเล็กๆที่ได้จากรถทัวร์มายัดใส่กระเป๋า พร้อมกับแก้วกระดาษ คว้าไฟฉาย คว้ากล้อง แล้วออกเดิน

    เช้านี้ วันที่ 12 พฤศจิกายน หลายคนออกจากเต็นท์เพื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ยอดกิ่วลม
    ใช้เวลาเดินประมาณเกือบ1ชั่วโมง  เพราะว่าทางชันและเละมากเพราะดินมันยังไม่แห้งเท่าไหร่
    เดินไป มือนึงถือไฟฉาย อีกมือต้องหาที่จับ พอเดินขึ้นแล้วลื่น จังหวะนั้นคว้าอะไรได้ก็คว้าแล้วหล่ะ

    ตรงก่อนขึ้นสู่ยอดกิ่วลมมันจะมีทางแยกระหว่างยอดสองเขา เราเลี้ยวไปทางขวา
    เดินไปซักพักเพื่อนตะโกนเรียกบอกว่ามาทางนี้ดีกว่า
    เราก็งง ว่าทางนั้นมันมีที่ให้ดูด้วยหรอ? คนที่มาก่อนหน้าเราเยอะแยะเค้าก็ไปทางนี้หมด
    แต่ไม่เป็นไร เราก็ตามๆพี่สิงห์คำไป คือเชื่อพี่สิงห์คำหมดทุกข้อที่แกเสนอมา

    ตอนที่เดินไปถึงยอดอีกฝั่งของยอดกิ่วลม สรุปว่า ตรงนั้นมีเราอยู่กันแค่5คน 
    พี่สิงห์คำบอกว่า...ทางนั้นคนเยอะแล้ว ไปก็ไม่มีที่อยู่หรอก  มามุมนี้ดีกว่า 
    ไม่ค่อยมีคนแถมน่าจะเห็นวิวที่สวยกว่า เพราะพระอาทิตย์ขึ้นตรงกลางนี้เลย ไม่มีอะไรมาบัง
    มุมนั้นเป็นโขดหินสูงๆ หลายๆอัน แถวนั้นมีต้นหญ้าและดอกไม้เล็กๆเยอะแยะเต็มไปหมด

    พวกเรานั่งรอจนฟ้าค่อยๆสาง แล้วก็ได้เห็นภาพแรกของวันนี้

    แสงของพระอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆขึ้นมากทักทายเรามากขึ้น . . .มากขึ้น

    เพื่อนร่วมทางบอกว่า. . .การเดินทางก็คล้ายๆการเสี่ยงโชค
    เราเดินทางทรมานตัวเอง พาตัวเองมาลำบาก เพื่อมาอยู่บนที่สูงๆ
    ซึ่งไม่รู้ว่าเราจะโชคดีเห็นภาพสวยๆ แบบที่เราตั้งใจไว้รึป่าว?
    แต่วันนี้ เราโชคดีหว่ะ (:

    เราทำได้แค่ถ่ายภาพไม่กี่ภาพของทะเลหมอกเช้านี้ และนั่งยิ้มไปกันมัน
    สำหรับเราแล้วคือไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด พูดออกไปได้แค่ว่า เหมือนฝันแต่สวยหว่ะ


    หลังจากนั้นพี่สิงห์คำก็ถามว่าจะกินกาแฟเลยมั้ย? 
    เหมือนจะเพิ่งนึกกันขึ้นได้ว่าลืมเอาน้ำมา นั่นไง นั่นไง แล้วจะกินกาแฟยังไง
    แหม่จังหวะนั้นพี่สิงห์คำ เหมือนพระมาโปรด ควักขวดน้ำออกมาจากกระเป๋าย่ามและเทลงกาน้ำ จุดแก็ส
    รอซักครู่น้ำเดือด เท่านั้นหล่ะ  ได้เวลาชงกาแฟ
    กาแฟที่เราทานกัน ก็กาแฟซองละ10บาท ธรรมดาที่ฉีกซองและเทน้ำใส่แก้วแค่นั้น
    แต่ไอ้การที่ดื่มกาแฟ แก้วธรรมดากับวิวที่แสนพิเศษ นี่โคตรเจ๋งเลย

    เราจิบกาแฟ นั่งขีดเขียนเรื่องราวลงในไดอารี่
    หลายคนที่เราคิดถึง แต่ไม่มีโอกาสได้มาดูความสวยงามแบบนี้ด้วยกัน
    มีคนเคยบอกว่า...
    ยิ่งเราไปอยู่บนที่สูง บนที่สวย แล้วคนที่เราคิดถึง เค้าไม่ได้มาด้วย
    ความคิดถึงมันจะเพิ่มเป็นทวีคูณ เราพิสูจน์แล้วว่ามันโคตรจะจริงเลย

    พอหันไปมองรอบๆแสงที่มันกำลังชัดมากขึ้น ทำให้เราเห็นว่าวิวตรงนั้นมันดีมาก
    นั่งตรงนั้นเห็นดอกไม้สวยๆ แต่มัวแต่นั่งมองไปมองมา เก็บภาพมาได้ไม่กี่อย่าง

    อันนี้จำได้ชัดเจนเลย ต้นกุหลาบหินพันปีสีขาว 
    เราบอกพี่สิงห์คำว่าเราเคยเห็นแบบนี้ที่กิ่วแม่ปานเมื่อตอนต้นปี
    พี่สิงห์คำบอกเราว่า...ใช่ที่กิ่วแม่ปานก็มี ที่นั่นมีแต่สีแดงและสีชมพู 
    แต่ว่าที่ดอยหลวงเชียงดาวที่นี่ เป็นที่เดียวที่มีดอกกุหลายพันปีสีขาว...แปลกที่ปีนี้บานไวจัง ปกติมันจะบานตอนเดือนมกราคม
    พอพี่สิงห์คำพูดมาแบบนั้น เรารู้สึกว่าการเดินทางมาดอยหลวงเชียงดาวครั้งนี้ มันพิเศษมากเลย

    เราจิบกาแฟไป มองวิวไป คุยกับพี่สิงห์คำไปเรื่อยเปื่อย
    หันหลังจากทะเลหมอกตรงหน้า เราจะเห็นร่องของกิ่วลม
    พี่สิงห์คำเล่าว่า เมื่อก่อนที่นี่มีผีเสื้อ8หางด้วยนะ เค้าเรียกกันว่าผีเสื้อสมิงเชียงดาว ตัวใหญ่มาก
    มันกินน้ำหวานจากดอกฝิ่น เมื่อก่อนตรงนั้นเป็นไร่ฝิ่นยาเลยแทบทั้งแถบภูเขา
    หลังจากที่เค้าเลิกปลูกฝิ่นกัน และด้วยที่ผีเสื้อโดนจับไปขายด้วย เลยทำให้มันสูญพันธุ์ไปแล้วจากประเทศไทย
    น่าเสียดายจังนะ ที่เราไม่มีโอกาสได้เห็นผีเสื้อตัวใหญ่บินไปมา
    แต่อย่างน้อยเราก็ได้ฟังจากคำบอกเล่า ว่ามันเคยมีอะไรสวยงามแบบนี้อยู่

    จากคำบอกเล่าของพี่สิงห์คำ...
    "เจ้าหน้าที่ที่นี่มีไม่เยอะหรอก เมื่อเทียบกับป่ากว้างขนาดนี้ ก็มีชาวบ้าน มีคนนำทางเนี่ยหล่ะที่ช่วยกันดูแล
    ก่อนเปิดฤดูกาลให้ขึ้นดอยหลวงเชียงดาว เค้าก็จะมีการอบรมคนนำทางด้วยนะ"
    บนดอยหลวงเชียงดาวแห่งนี้ มีสมุนไพรเยอะแยะมากมาย ที่บางทีก็จะมีพวกที่ลังลอบแอบเอาไปขาย
    ที่นี่มีดอกไม้หายากเยอะไปหมด เมื่อก่อนมีประมาณ200ชนิด แต่ปัจจุบันป่าเริ่มอุดมสมบูรณ์มาขึ้น
    ตอนนี้มีกว่า2000ชนิดแล้ว เป็นอะไรที่ฟังแล้วน่าดีใจนะ 

    มัวแต่ดีใจกับการเดินทางมาที่รู้สึกว่ามันแสนพิเศษ 
    จนรู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็เริ่มพ้นเมฆและลอยสูงขึ้น
    ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายก่อนที่เราจะลงจากยอดกิ่วลม

    ภาพ พระอาทิตย์ ทะเลหมอก และทิวเขาตรงหน้า

    หลังจากนั้นเราเดินกลับมาที่เต็นท์ ทานข้าวเช้ากันให้เรียบร้อย
    มื้อเช้านี้เป็นข้าวจากเต็นท์ข้างๆที่ลุงจรูญเอามาให้ มีหมูหยองที่เพื่อนเอามาและอาหารถุงโรซ่าที่เรามี
    มีเมนูไข่พะโล้นกกระทา แกงมัสมั่นและไก่กระเทียม
    สรุปว่าข้าวกระป๋องที่เราเตรียมไป และแกงถุงโรซ่าของพวกเรายังมีอีกเพียบ
    พวกเราเลยให้พี่สิงห์คำเก็บไว้ยามฉุกเฉิน แทนคำขอบคุณที่เค้าดูแลพวกเราอย่างดี
    หลังจากทานอาหารเสร็จพวกเราเก็บเต็นท์  เก็บสัมภาระ และที่สำคัญเราต้องเก็บขยะทุกอย่างที่พวกเราสร้างขึ้นลงมาด้วย
    เพราะที่นี่คือป่า เป็นที่ของสัตว์ป่า เราไม่ควรทิ้งอะไรไว้นอกจากรอยเท้า
    เรามาที่นี่เพื่อเรียนรู้ความสวยงามของธรรมชาติ เพราะฉนั้นอะไรที่เป็นขยะควรเก็บลงไปทิ้งข้างล่างให้หมด
    แม้กระทั่งเศษลูกอม เศษพลาสติกเล็กๆ เราขอให้ทุกคนเก็บลงมาด้วยนะ
    เพราะถ้าสัตว์ป่ามันกลืนเข้าไป มันย่อยไม่ได้ นั่นหมายถึงเรากำลังฆ่ามันทางอ้อม

    9.30น. คือเวลาที่เราเริ่มเดินลงจากดอยหลวงเชียงดาว
    ระหว่างทางของเรา...เราก็เหมือนเดิม 
    ทำได้แค่เดินลงไปเรื่อยๆ แล้วหันหลังกลับไปมองยอดดอยนั้น
    บอกกับตัวเองว่า. . .เราจะกลับมาอีกนะ คราวหน้าเราจะพาคนที่เราคิดถึงมาที่นี่ด้วย

    เรื่อยเปื่อยกับข้างทาง ฟังเสียงนก เสียงลม มองฟ้า ชมดอกไม้ ต้นไม้ ใบหญ้า

    ระหว่างทางที่เราเดินลง พวกเราเจอฝนตกสองรอบ คือลื่นลงมากันสนุกสนานมาก
    ความรู้สึกเวลาเดินบนพื้น เหมือนเดินบนสังขยา หนึดๆ ลื่นๆ
    Rain cover ของเป้ นี่ต้องเอามาปิดไว้ และหลังจากนี้ก็ไม่มีภาพถ่ายระหว่างทางอีกเลย

    ระหว่างทางเราคุยกันว่าจะเอายังไงต่อหลังจากที่ลงจากเขาแล้ว
    แพลนที่พวกเราเคยวางกันไว้คือ คืนนี้อาจจะเข้าเมืองเชียงใหม่หาที่พัก 
    และพรุ่งนี้เช่ามอไซต์ สวมวิญญาณเด็กแว๊นซ์ ไป แกรนด์แคนยอนที่หางดงกัน
    แต่คิดไปคิดมา สุดท้ายเราแยกทีมกัน เพราะเราเป็นห่วงเพื่อนที่เดี้ยงมาก รู้สึกผิดที่เอาเพื่อนมาทรมานกลางป่ากลางเขา

    พวกเราลงมาถึงปางวัว(จุดที่เราเริ่มขึ้นเมื่อวานตอนเช้า) ประมาณบ่าย3โมง
    เราให้พี่ที่ขับรถมารับพวกเราขึ้นไปส่งเราและเพื่อนที่บ้านวิวดอยหลวง
    และส่วนเพื่อนอีกสองคนกลับลงไปที่เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว 
    พวกเราแยกทีมกันตรงนี้. . .


    ตอนนี้เหลือสองคนแล้วหล่ะ ที่ต้องอยู่ที่นี่ โชคดีที่ห้องพักว่างห้องสุดท้ายพอดี
    บ้านวิวดอยหลวง คิดค่าเข้าพักคนละ400บาท รวมอาหาร2มื้อ มื้อเย็นของวันนี้และมื้อเช้าของวันพรุ่งนี้
    เราขนของเข้าที่พัก และริบจัดแจงของไปอาบน้ำ คือสภาพร่างกายยับเยิน ขามีแต่โคลน ร่างกายโหยหาการอาบน้ำมาก
    หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกมานั่งตรงระเบียงใหญ่ที่ไว้เป็นจุดนั่งเล่นและทานข้าว

    ที่นี่ไฟฟ้าที่บ้านพักเปิดเวลา2ทุ่ม เนื่องจากว่าที่นี่ใช้ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ เราต้องช่วยกันประหยัดไป
    แต่ถ้าอยากชาร์ตมือถือ สามารถฝากชาร์ตไว้ที่ส่วนกลางได้
    ส่วนสัญญาณมือถือและอินเตอร์เน็ตบนมือถือไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เรียกได้ว่าแทบจะไม่มี
    จะมีก็จุดบริเวณที่นั่งเล่นทานข้าวก็แค่นั้น 
    สำหรับเราแล้ว เราถือว่าเป็นการดีนะ ไม่ต้องจิ้มมือถืออะไรมากมาย นั่งมองฟ้า มองอากาศ เล่นกับลูกหมาที่อยู่ที่นั่นก็โอเคละ

    เกือบหกโมง เราจะทานอาหารเย็นกันแล้ว 
    เย็นนี้มีเมนูแกงจืดไก่ใส่ฟัก ไข่เจียว ผัดฟักแม้ว และน้ำพริกลีซอ
    เป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ไม่อิ่มสามารถขอเพิ่มได้ พี่เจ้าของที่พักใจดีมาก มื้อนี้เป็นกับข้าวธรรมดาที่แสนอร่อย 
    เราทานข้าวกับเพื่อนไป คุยกันไปเรื่อบเปื่อย ทานข้าวเสร็จ เราอยากกินหนม 
    พี่เค้ามีขนมขายด้วยนะ ราคาไม่แพงเลยคือบวกจากราคาปกติ1-2บาท  
    แต่ถ้าเป็นเบียร์ช้างกระป๋องละ40บาท เบียร์ลีโอกระป๋องละ45บาท
    คือเราอยากกินเบียร์ไง แต่เพื่อนเราไม่กิน  สรุปว่าจิบเบียร์คนเดียวจ้า
    จิบเบียร์ กินหนม นั่งมองฝนพร่ำตอนค่ำไปพลางๆ  แค่นี้ก็สุขละ
    หลังจากนั้นประมาณ3ทุ่ม เราก็เข้านอนกันแล้วหล่ะ เพราะที่นี่เงียบชวนง่วงมาก
    นอนไวก็ดี พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้ามาดูวิวสวยๆของมุมบ้านพักบ้าง

    • Mondop  รีวิวได้ดีจร้าาาา... :D 20 พฤศจิกายน 2558 19:23:41
    • Chumphol  สักวันผมจะตามเป็นเก็บความรู้สึกดีๆอย่างนี้นะครับ...รีวิวตื่นเต้นดี 20 พฤศจิกายน 2558 14:24:35