ทริปแห่งความทรงจำ

นั่งค้นรูป เจอรูปเก่าๆ สมัยยังละอ่อน ย้อนกลับไปเกือบ 6 ปี จำได้ว่าปีนั้นประเทศไทยหนาวถึงหนาวที่สุด ได้สัมผัสถึงความหนาวเย็นแบบไม่ต้องไปอยู่บนดอย เสื้อผ้ากันหนาวหลากสีเตรียมพร้อมต้อนรับอากาศที่หนาวเย็น ได้สวมใส่อย่างสมใจ 1 สัปดาห์เต็ม

เดอะแก๊งปากหมาฯ เตรียมการไปเดินป่า หลอกล่อน้องอั้น ชายเดียวในกลุ่มที่หลงคารมและเสน่ห์ของสาวๆ รุ่นพี่ ตามไปเดินป่าและเคาท์ดาวน์วันปีใหม่กันที่ตัวเมืองเชียงใหม่ บอกน้องแค่ว่าเตรียมเสื้อกันหนาวไปตัวเดียวพอ เดินทางสบายๆ ไปนอนเต็นท์ ตื่นมาชมหมอก สบายๆ ไม่ลำบาก ไปกับพวกพี่ ไม่มี๊ ไม่มี ลำบาก 55555

เราตั้งเป้าไปพิชิตดอยหลวงเชียงดาว เพียงเพราะ สมาชิกในแก๊งฯ ได้ไปบนบานครั้งทำกระเป๋าตังค์หายกับเจ้าป่าเจ้าเขาแห่งดอยหลวงเชียงดาวว่า หากเจอกระเป๋าตังค์จะกลับมาอีกครั้งเพื่อแก้บน และแก้ล่าง ^^ 

เดือดร้อนถึงสมาชิกคนอื่นๆ 555 ต้องฟิตซ้อมร่างกาย ในระยะเวลาไม่ถึงเดือน งานยุ่งบวกขี้เกียจออกกำลังกาย พร้อมแค่ไหน ก็เอาแค่นั้น สู้โว๊ยยยย ^-^

รีวิวนี้ ตั้งใจเขียนเพราะจะได้เป็นบันทึกความทรงจำที่เดอะแก๊งฯ จะเข้ามาอ่านให้หายคิดถึง และหวังเพียงเป็นประโยชน์ กระตุ้นต่อมของเพื่อนๆ สายเดินป่าที่ชอบบุกตะลุย ให้มีอีกสถานที่ ที่จะนึกถึง 

รอบนี้จึงมีภาพประกอบน้อย เพราะรูปเก่าๆ หายไปกับ Facebook อันเก่า จึงขอระดมจากสมาชิกที่ไปด้วย ขออนุญาตไว้ตรงนี้เลยน้าาาา

ตกลงใจ สรุปวันและรวบรวมสมาชิกได้ 8 คน ทั้งที่สมัครใจและกึ่งบังคับ 555 จึงลงมือจัดเตรียมอุปกรณ์ประจำตัวที่จำเป็น ขอเน้นย้ำ!!! เอาที่จำเป็น เพราะเราจ้างลูกหาบแบกขึ้นไป ในราคากิโลกรัมละ 50 บาท บวกเงินรางวัลพิเศษให้ลูกหาบ 2 คนๆ ละ 500 บาท เราจึงแบ่งเป็นอุปกรณ์เต็นท์ น้ำ เสบียง และอุปกรณ์ปรุงอาหารรวมทั้งของใช้ส่วนรวมให้ลูกหาบแบกขึ้นไป ส่วนของใช้ส่วนตัวและเสื้อผ้าของแต่ละคนแบกกันเอง

เราเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางกรุงเทพ - เชียงใหม่ ไปลงที่ขนส่งอาเขตเชียงใหม่ ถึงเวลาประมาณ 7 โมงเช้า เพื่อขึ้นรถโฟวิล (4 WD ขับเคลื่อนสี่ล้อ) ที่สาวเท่ห์ฯ ประสานงานไว้กับเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว เพื่อเหมารถรับ - ส่ง (จำราคาไม่ได้แล้ว แต่คุ้นๆ ว่าเที่ยวละ 800 บาท หากจำผิดก็ขออภัยนะคะ เพราะปัจจุบันน้ำมันขึ้นราคา) เมื่อถึงสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว เราจึงมีเวลาแยกกระเป๋า จัดเสื้อผ้าใหม่เอาไปเฉพาะผ้าห่ม ชุดชั้นใน และของใช้ส่วนตัวเพราะเราจะไม่อาบน้ำ 5555 กับเวลา 2 คืน 3 วัน เสื้อผ้าที่เหลือรวบรวมเก็บอีกกระเป๋าฝากเจ้าหน้าที่ไว้ 

ดอยหลวงเชียงดาวสามารถขึ้นลงได้ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางเด่นหญ้าขัด เป็นเส้นทางเดินเท้าที่ไม่ชันมากนัก ระยะทาง 8.5 กิโลเมตร และ เส้นทางปางวัว ที่ค่อนข้างมีความชันและโหดกว่ากับระยะทาง 6.5 กิโลเมตร  เราจึงตัดสินใจเลือกขาไปใช้เส้นทางเด่นหญ้าขัด และขากลับใช้เส้นทางปางวัว

หลังจากชำระค่าธรรมเนียมเข้าเขต คนละ 20 บาท ค่าเต็นท์หลังละ 30 บาทต่อวัน และค่ามัดจำขยะคณะละ 600 บาท ซึ่งจะได้รับเงินค่ามัดจำขยะคืนหลังจากเราหอบหิ้วขยะที่ลงทะเบียนไว้มาทิ้งด้านล่าง

หลอกล่อ "ชายเดียว" ให้ทำหน้าที่ผู้คุมท้ายและช่วยแบกถุงนอน ขนมนมเนย 555 ติดกับดักของเดอะแก๊งฯ มาแล้วก็รับน้องซะเลย 

เริ่มออกเดินเท้ากันประมาณบ่ายโมง แรกๆ ก็เดินชิว ๆ ร้องเพลงฮึมฮัม เพี้ยนบ้าง หลงคีย์บ้างตามสไตล์เดอะแก๊งฯ แต่พอผ่านไป 2 ชั่วโมง จากที่เดินกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เริ่มแวะพักรบเป็นระยะๆ ถี่ขึ้น จากเดิน 1 กิโลพัก เริ่มเป็น  800 เมตรพัก 500 เมตรพัก 200 เมตรพัก และ 100 เมตรก็พัก 55555

กลุ่มอื่นเดินนำหน้าเราหายลับไปกับตา แต่เดอะแก๊งฯ ไม่คิดจะแย่งใคร เชิญตามสบายคร้า ล่วงหน้าไปก่อนเลย ยิ่งเดินผ่านช่วงขาขึ้นมีความชันเล็กๆ ก็หอบลิ้นจุกปากกันแล้ว รับรู้ถึงความกดอากาศที่ต่ำลง ยิ่งสูงยิ่งหนาวจริงๆ แต่ละคนสภาพไม่ค่อยต่างกัน จากแรกๆ คุยกันเจี้ยวจ้าว ผ่านไป 3 ชั่วโมง ทักทายไปก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ มีแต่เสียงหอบเหมือนเสียงลูกวัว แถมหยิ่งไม่ยิ้มไม่แย้มด้วย 5555555

ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกสัมภาระที่แบกมาหนักขึ้นเป็นเท่าตัว อากาศเย็นๆ ไม่ร้อน เหงื่อออกแต่ไม่มีเหนียวตัวไม่มีใครปวดฉี่ เพราะได้ระบายและแห้งไปกับทุกรูขุมขน 5555 

ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมมา สาวสวยเรื่องเยอะ เริ่มไม่ไหวมีอาการวิ๊งๆ ในหู ตาลายบวกกับเพิ่งฟื้นไข้  ตะโกนบอกเพื่อนๆ "กะถิ่มเฮาไว้ตรงนี้ล่ะ ถิ่มเฮาสาบ่เป็นหยังอยู่ได้ ให้เจ้าไปกับคนที่เขาพาเจ้าไปได้ต่อ" 55555555

ช่วงขึ้นทางชันสุดท้ายประมาณ 500 เมตร ความกดอากาศยิ่งต่ำลง สมาชิกคนอื่นถึงจุดหมาย เหลือ สาวสวยเรื่องเยอะกับ สาวคิกขุโกอินเตอร์ นั่งพักอยู่บนโขดหิน ท้องฟ้าเริ่มมืดกับเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม อากาศที่เย็นอยู่แล้วยิ่งหนาวเย็นขึ้นกว่าเดิม น้องอั้นวิ่งมารับสัมภาระของสองสาว สักพักลูกหาบวิ่งลงมาตามเพราะเส้นทางเริ่มมืดสนิทกลัวสมาชิกจะหลงทาง 

ลูกหาบ >> "ไหวไหมคับ"

สาวสวยฯ >> "แป๊ปนะ ขอพักแป๊ป" พร้อมเสียงหอบ

ลูกหาบ >> "ขึ้นหลังผมเลย"

สาวสวยฯ >> "เฮ้ย!!! ไม่เป็นไร ยังไหว ยางหวายยยยย" 

สาวคิกขุฯ >> "ขี้นเหอะแก เดี๋ยวมืดไปกว่านี้ อากาศก็เย็นขึ้นจะแย่กว่านี้นะ"

เอ้า!! ขึ้นก็ขึ้น ตัดฉากมาที่พระเอกเกาหลีกำลังแบกนางเอกบนหลังแล้วเดินขึ้นเขากระหนุงกระหนิงโดยมีเพื่อนนางเอกถือรองเท้าเดินตามหลัง บรรยากาศช่างโรแมนติก 55555 แต่ในความจริง สาวสวยฯ บอกเสียวชิบ ไม่มีอารมณ์มาโรแมนติกด้วย เพราะเล่นแบกขึ้นหลังแล้วเดินขึ้นเนินโดยมีหญ้าปิดหัวสองข้างทางมองไปก็ไม่เห็นอะไรเลยเพราะมืดไปหมดจึงต้องใช้ไฟฉายส่องสว่างนำทาง

เพิ่งมาเห็นเส้นทางตอนฟ้าสว่าง เห้ย!! ที่เดินผ่านมาเมื่อคืนสองข้างทางคือเนินที่มีหน้าผาย่อมๆ เลย เอาชีวิตรอดมาได้ก็บุญแล้ว ดีที่ไม่เดินตกเขา 555555

บนจุดพักกางเต็นท์มีนักท่องเที่ยวไม่เยอะ ประมาณ 30 คน เดอะแก๊งฯ เป็นกลุ่มสุดท้ายที่เดินไปถึง และคนสุดท้ายคือใครคงไม่ต้องบอก ฮิฮิ พอถึงเต็นท์ ลูกหาบกางเต็นท์แถมก่อไฟให้เรียบร้อย แม่ครัวประจำแก๊งฯ เริ่มปฏิบัติหน้าที่ คือ ต้มน้ำปรุงบะหมี่สำเร็จรูป ขอบอกเลยว่าอาหร่อยสุดใจ เพราะเรารวมทุกยี่ห้อไว้ในหม้อเดียวกัน เหนื่อยบวกหิว พอเส้นสุกปุ๊ปหมดปั๊ป ปลากระป๋อง หอยลาย ปลาเส้น สารพัดจะขุดมากินเสมือนวันพรุ่งนี้จะไม่มีได้กินอีก 5555

คืนนั้นเรารีบนอนเพราะความเพลีย ไม่มีอารมณ์มาดูทางช้างเผือกหรือดาวอะไร ทุกคนรีบซุกในเต็นท์เพราะอากาศหนาวเย็น ยิ่งดึกยิ่งหนาว ตื่นมาดูเทอร์โมมิเตอร์ ช่วงเช้าติดลบ 2 องศา บ๊ะเจ้า!!!! สงสารก็แต่ชายเดียวของเรา เสื้อกันหนาวก็บ๊างบาง ผ้าห่มก็ไม่มี นอนคุดคู้อยู่ในเต็นท์ต้องดึงเอาผ้าเต็นท์ห่มนอนปะทังความหนาว สาวเท่ห์ฯ สงสารเลยหาผ้าห่มมาให้เอาไว้ซุก ส่วนสาวสวยเรื่องเยอะ อ้วกแตกในเต็นท์ 555 คนที่รับกรรมคือ สาวใหญ่ขาลุย สาวคิกขุฯ และสาวเท่ห์ฯ ต้องนอนดมกลิ่นอ้วกทั้งคืน ไม่มีใครกล้าลุกไปห้องน้ำ ที่สร้างแบบชั่วคราวเชิงป่า เพราะกลิ่นค่อนข้างรุนแรง กลั้นได้ก็กลั้นกัน แต่คนที่หูรูดไม่ดีก็ยอมนั่งอุดจมูกตลอดเวลาจนเสร็จกิจ 5555555

คืนนั้นถามว่าหลับกันไหม หลับแต่ไม่สนิท เพราะลูกหาบมาส่งเสียงบอกมีหมาป่าลงมาสำรวจนะ อย่าออกนอกเต็นท์ ก็ยังนึกอยู่ในใจ ว่าทำไมมาอยู่ไกลขนาดนี้ยังได้ยินเสียงหมาหอน 555 

พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า ลูกหาบมาร้องเรียกบอกจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไหม แต่แหม+++ จังหวะนั้นกะอากาศที่พูดแล้วมีควันออกจากปาก ครายมันจะลุกไหว แต่ลูกหาบยังไม่ลดละ ยังคงมากระทุ้งปลุกที่เต็นท์ บอกว่า ไปดูหมอกไหมคับ สวยน้าาาาา อึมมม!!! เชิญชวนขนาดนั้น และเวลาก็ปาเข้าไปจะ 8 โมงเช้าแล้ว สาวเท่ห์ฯ งัวเงียตื่น พอลูกหาบหลอกล่อด้วยคำว่าหมอกสวย รีบคว้ากล้องเลยคร้า ขี้ตงขี้ตาจะเกรอะกรังแค่ไหนก็โน-สน โน-แคร์ 5555 ขอเวลาเพียง 3 นาที สำหรับสะบัดน้ำพรมใส่หน้าให้ขนลุกไปกับความเย็นก็พอ 

สอบถามทุกคน ได้ความว่า ขอนอนต่อนะคร้า ไม่ไหวเพราะเพิ่งจะได้หลับตอนใกล้รุ่งบวกขี้เกียจเพราะยังรู้สึกเหนื่อยล้ากับการเดินเท้าเมื่อวาน จึงส่งตัวแทนไปเก็บภาพเพื่อให้คนที่ไม่ไปชื่นชมแทน จังหวะนี้ สงสารก็แต่ชายเดียว เพราะเหมือนจะมีอาการไข้เล็กๆ ต้องแบ่งกำลังดูแลน้องชายก่อน อิอิ

ขนาดแดดแรงแต่อากาศยังหนาว บรรดาลูกหาบของแต่ละคณะมานั่งรวมตัวเพื่ออาบแดดให้ร่างกายอบอุ่น แต่ยอมรับจริงๆ เขาทนได้อย่างไรกับอากาศที่แดดแรงแต่อุณหภูมิเพียงแค่ 10 -12 องศาเท่านั้น 

สาวใหญ่ขาลุย ลุกมาทำหน้าที่แม่ครัวเพื่อรอรับสมาชิกที่กลับมาจากชมหมอก 

หม้อวิเศษของเราที่เป็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น กาต้มน้ำ กะทะทอดไข่ เตาอบ และหม้อหุงข้าว 555 ลูกหาบของเราก็ใจดี๋ใจดี ไปหาแก๊สปิคนิคมา คงเพราะขี้เกียจก่อไฟให้ 5555

โฉมหน้าพระเอกเกาหลีประจำทริป 5555 เป็นทั้งลูกหาบ พระเอกเกาหลี ไกด์นำทาง และพ่อครัวจำเป็น 5555

ถือว่าโชคดีที่เราไปช่วงหมอกหนา สวยงามตามท้องเรื่องจริ๊ง จริง ^-^ 

 

หลังจากตื่นมาอย่างเต็มตา เพราะกลิ่นอาหารโชยมากระทบจมูก จัดแจงทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย หันไปดูคณะอื่น เขาไปเดินท่องเที่ยวตามเขาต่างๆ เงียบเชียบกัน แต่เดอะแก๊งฯ ยังหนุกหนานไม่ยอมห่างเต็นท์ แม้แดดจะแรง 555  

สาวเท่ห์ฯ บอกเราไปชมพระอาทิตย์ตกกันเถอะ จนโดนแซวว่า แหมไปไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น ขอไปดูพระอาทิตย์ตกเลยนะ 555

ว่าแล้วก็ตั้งหน้าเดินเรียงหนึ่งขึ้นไปบนเขา จุดสูงสุดของดอยหลวงเชียงดาว ตอนเดินขึ้นยังชิวๆ แต่พอหันมาถ่ายรูป เห้ย!!! มันชันมาก เหมือนเราเดินตั้งฉากไปกับแกนโลก  แต่สาวเปรี้ยวแห่งเมืองสุ1,000 ไม่หวั่น ใจยังสู้ พยายามโพสท่าเด็ด แต่ ขาสั่น ใจสั่น ตะโกนบอก หนูขอคลานขึ้นไปได้ไหม 555555 เอ้า !! ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีถอย  ^^

อย่าถามว่าใช้เวลาเท่าไร รู้เพียงว่าเราเริ่มเดินกันตอน 4 โมงเย็น ขึ้นไปนั่งพักระหว่างทาง แป๊ปเดียวท้องฟ้าก็เริ่มมืด อืมมม!!! สวยม๊ากกกก อเมซิ่งไทยแลนด์มากกก  

ถึงเวลากลับ เพราะเรามีกำหนดการไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่กันในเมืองเชียงใหม่ และนัดหมายรถให้มารอรับด้านล่างของเส้นทางปางวัว ตื่นเช้าเพื่อเก็บเต็นท์และขยะไม่ให้หลงเหลือ เพื่อรักษาความสะอาดให้กลุ่มนักท่องเที่ยวคณะต่อไปมาสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติที่ไม่มีขยะมาให้รำคาญใจ ^^

อากาศอุณหภูมิประมาณ 2 - 4 องศา เห็นแม่คะนิ้งบนยอดหญ้า ตื่นเต้นคร้า!!! สนุกสนานไปกับการถ่ายรูป แต่ต้องทำเวลา สภาพอากาศที่หนาวเย็นมีแม่คะนิ้งบวกกับช่วงเวลาที่เดอะแก๊งเดินลงเริ่มมีแดด แม่คะนิ้งเริ่มละลายทำให้สภาพเส้นทางมีความลื่น สมาชิกเดอะแก๊งฯ ถลาไหลไปตามทางเป็นรอยสไลด์เดอร์ นำทีมการลื่นโดยสาวเปรี้ยวฯ สาวใหญ่ฯ สาวห้าวฯ สาวหวานฯ และชายเดียว ตามลำดับ 555 ส่วนสาวสวยฯ สาวคิกขุฯ สาวเท่ห์ฯ เห็นเพื่อนๆ ถลากันไปทีละคนสองคน ก็ระมัดระวังมีเฉพาะอาการเห้ยยยยย แต่คว้าต้นหญ้าและกิ่งไม้สองข้างทางไว้ได้ทำให้รอดพ้นจากก้นจูบดิน 5555

เส้นทางปางวัว ระยะทางใกล้กว่าก็จริงแต่เพราะความโชคดีของเดอะแก๊งฯ ที่หมดแรงไปกับการจิกหัวแม่เท้าเพื่อไม่ให้ลื่นไถลไปมากกว่าเดิม สภาพจึงเป็นอย่างที่เห็น เราเดินสวนทางกับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มีเพียงไม้เท้าค้ำกับรองเท้าเดินป่าของแท้ที่ไม่มีอาการลื่นให้เห็น แวะทักทายกันในจังหวะที่พักเหนื่อย แบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนใหญ่จะตะโกนบอกผู้ที่สวนทางมาให้ หลบหน่อย เบรคไม่อยู่!!!! แล้วก็จะถลาลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก ผู้สวนทางต้องคอยหามุมหลบกันเอาเอง ไม่เช่นนั้นมีสิทธิ์อาจคว้าถลาไปพร้อมๆ กันเป็นแน่ 5555 

ถึงจุดบอกเส้นทาง นั้นคือใกล้ทางออกแล้ว เราทำเวลาได้ดีมาก ยิ้มออกกันทีเดียว 

สุดท้ายก็ถึงจุดนัดหมาย สภาพหิวโซ บวกเพลียร่าง มาถึงรีบคว้าเป๊ปซี่เย็นๆ และข้าวกล่องที่พี่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ น่าร๊ากกกมาก ลงมาถึงสำนักงานเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าฯ ต่างคนต่างรีบจับจองห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดทำสภาพให้ดูดีเพราะจะเข้าเมืองแล้ว แต่ความทรหดที่คณะอื่นอาจมองว่า สบายๆ ชิวๆ แต่สำหรับเดอะแก๊งฯ ถือได้ว่าเป็นทริปแรกๆ ที่เราเรียกได้ว่าโหดมากสำหรับเรา อิอิ 

และเราสาบานร่วมกันแล้วว่า หากใครลืมกระเป๋าตังค์อีก จะบนบานศาลกล่าวว่าจะมาอีกรอบนั้น ขอบอกไว่ตรงนี้ว่า เชิญมาคนเดียวเลยนะคร้า อิอิ เรารักกันนะ 55555

แต่ปัจจุบัน สาวห้าวฯ ได้กลับมาเป็นรอบที่สามแล้ว ยอมใจน้อง อึด - ถึก - ทน ไม่แพ้ผู้ใดในโลกจริงๆ   ^-^