มุ่งสู่เส้นทางสายประวัติศาสตร์

รถไฟเป็นขบวนเที่ยว ขบวนพิเศษสายกรุงเทพ - น้ำตกไทรโยคน้อย ค่ารถไฟคนละ 120 บาท(ไป-กลับ) เป็นรถไฟขบวนเที่ยวโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีทุกวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เริ่มออกเดินทางเวลา 6.30 น. เป๊ะ! ออกเดินทางกันเลย

หลังจากนั่งรถไฟกันมาได้สักพัก 8 โมงกว่าๆ เราก็มาถึงพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม รถไฟจะจอดให้เรา 45 นาที ดูเหมือนจะนาน แต่จริงๆไม่นานเลยนะเออ

ก่อนจะเข้าไปถึงพระปฐมเจดีย์ ทางเข้า 2 ข้างทางจะรายล้อมไปด้วยของกินน่ารับประทานกันเลยทีเดียว ขอแนะนำเมนูข้าวเหนียวห่อใบตองค่ะ อร่อยและราคาถูกเพียง 15 บาทเท่านั้น รองท้องได้สบายเลย

        "จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า เมืองนครปฐมแต่เดิมนั้นตั้งอยู่ริมทะเล มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ และเป็นราชธานีสำคัญในสมัยทวารวดี เป็นแหล่งเผยแพร่อารยธรรมจากประเทศอินเดีย และพระพุทธศาสนา มีชนชาติต่างๆ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นจำนวนมาก ต่อมาเกิดความแห้งแล้งขึ้น เพราะกระแสน้ำที่ไหลผ่านตัวเมืองเปลี่ยนเส้นทาง ประชาชนจึงอพยพไปตั้งหลักแหล่งอยู่ริมน้ำ และสร้างเมืองใหม่ขึ้นชื่อ “เมืองนครไชยศรี” หรือ “ศรีวิชัย” นครปฐมจึงกลายเป็นเมืองร้างมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ทรงยังผนวชได้ธุดงค์ไปพบพระปฐมเจดีย์ และทรงเห็นว่าเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ไม่มีที่ใดเทียบเท่า ครั้นเมื่อได้ครองราชย์ จึงโปรดฯ ให้ก่อเจดีย์แบบลังกาครอบองค์เดิมไว้ โดยให้ชื่อว่า “พระปฐมเจดีย์”* 

 

จากนั้นเราก็นั่งรถไฟกันต่อย้าววววว ระหว่างนั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่รถไฟพ่วงตำแหน่งไกด์พาเที่ยวเป็นคนบรรยายว่าเราจะไปที่ไหนกันต่อ และจะมีคนจดออเดอร์ของกินของฝาก ว่าเราต้องการซื้ออะไรบ้างมั้ย มีทั้งของคาว ของหวาน ของขึ้นชื่อของจังหวัด แต่ที่ได้ชิมมาทั้งหลายแหล่ยังไม่ค่อยถูกลิ้นเรา แต่เกี๋ยวเตี๋ยวลูกชิ้นปลาขายดีมาก ซื้อมารองท้องตอนขากลับก็พอไหว เพราะของที่เราซื้อเค้าจะนำมาให้เราตอนรถไฟเที่ยวขากลับ ประมาณ 5-6 โมงเย็น

 

ประมาณ 11 โมงเราก็ถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว คนเยอะมากๆ ทุกคนมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ค่อนข้างวุ่นวายจอแจทีเดียว โดยรถไฟจะจอดให้เราถ่ายรูปได้ 15 นาที

สถานีต่อไปของเราคือ "ถ้ำกระแซ" จุดชมวิว เส้นทางรถไฟสายมรณะ ที่แสดงให้เห็นถึงความสวยงามในปัจจุบัน และหวนนึกถึงความโหดร้ายในสงครามโลกครั้งที่ 2 ความอดอยาก และความทุกข์ตรม รวมทั้งเทคโนโลยีการสร้างเส้นทางรถไฟในสมัยนั้นที่นับว่าน่าทึ่ง มีเชลยศึกมากมายที่ต้องจบชีวิตลงจากการสร้างทางรถไฟสายนี้ 

         'ทางรถไฟสายนี้เริ่มต้นจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ผ่านจังหวัดกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ โดยสะพานข้ามแม่น้ำแคว ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงปลายทางที่เมืองทันบูซายัด ประเทศพม่า'**

ภายในถ้ำกระแซ พี่เจ้าหน้าที่เล่าว่าจะเป็นหินงอกหินย้อยสวยงาม น่าเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปชมด้วยตา

วิวอีกฝั่งของรถไฟ มองเห็นแม่น้ำแควชัด สวยมากๆ

จากนั้นเราก็มุ่งหน้ากันต่อ สถานีสุดท้ายปลายทาง "สถานีน้ำตก" พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าจะพาเราไปส่งถึงที่ แบบพอไปถึง แค่ก้าวเท้าลงจากรถไฟก็เท้าจุ่มน้ำจ๋อมๆ แล้ว เรามาถึงประมาณเที่ยงกว่าๆ

แม้ก้าวลงรถไฟเท้าไม่ได้จุ่มน้ำจ๋อมขนาดที่ว่า แต่ก็ส่งถึงที่เลย เดินไปหน่อยก็ถึงน้ำตกไทรโยกน้อย แต่ช่วงที่เราไปน้ำค่อนข้างน้อยแล้ว  

อยู่ที่นี่มีร้านอาหารให้เลือกรับประทานกันได้ ทั้งแบบนั่งร้าน หรือปู่เสื่อนั่งกับธรรมชาติ ไม่ต้องกลัวอดอากาศค่อนข้างร้อน แต่นั่งไปสักพักก็เย็นขึ้น มีคนเคยบอกว่า อากาศร้อน คนร้อน ก็ยิ่งร้อน เป็นจริงเสมอ

เมื่อเราใส่ใจกับธรรมชาติ ดื่มด่ำกับความสุข สดชื่นกับบรรยากาศสีเขียวที่ได้รับ ความร้อนก็คลายลงได้ไม่ยาก

 

บ่ายสองครึ่งถึงเวลาต้องเดินทางกลับ

รถไฟพาเราเดินทางผ่านเส้นทางแห่งความทรงจำมาเรื่อยๆ จนมาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ

 

นับว่าเป็นการเดินทางที่เหนื่อย แต่คุ้มค่ามาก คำกล่าวที่ว่า "จุดหมายปลายทางไม่สําคัญเท่าระหว่างทาง" ยังใช้ได้เสมอ เพื่อนร่วมทางดีๆก็เช่นกัน 

 

_________________________

*http://www.nakhonpathom.go.th/

https://th.wikipedia.org/wiki/ทางรถไฟสายมรณะ