ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
ชีวิตที่ไร้เน็ต ณ บ้านแม่กลางหลวง บ้านแม่กลางหลวง จ.เชียงใหม่
    • โพสต์-1
    Ajung •  สิงหาคม 08 , 2560

    คืนแรกที่ จอมทอง มุ่งหน้าสู่บ้านแม่กลางหลวง พร้อมกับซิมเน็ตที่ใช้การไม่ได้!!

    จากโปรศูนย์บาทด้วยราคาบินเพียงแค่ 190 บาท ไม่โหลดกระเป๋า ไม่เอาประกันชีวิต จึงเป็นเหตุผลในการมาเชียงใหม่ในครั้งนี้ ด้วยเวลาเพียงแค่สองคืน จึงเลือกพักคืนแรกที่จอมทองซึ่งไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ส่วนคืนที่สองเลือกพักในเมืองเพื่อง่ายต่อการเดินทางกลับ

    ทำไมจึงเลือกเที่ยวหน้าฝน คือจริงแล้วเที่ยวได้ทุกฤดู ขอแค่มีเงิน และครั้งนี้ไปช่วงต้นเดือนสิงหา นาข้าวกำลังตั้งตัวเป็นตอ น้ำกำลังขังด้วย เวลาแสงแดดส่องกระทบน้ำ มันคงจะสะท้อนเป็นแสงสีทองที่สวยงามมิใช่น้อย บ้านแม่กลางหลวงจึงเป็นเป้าหมายสำหรับคืนแรก

    ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามในการมาเที่ยวคนเดียว ด้วยความเตรียมพร้อมจึงไม่กลัวอะไร เริ่มจากโบกรถแดงที่สนามบินไปลงประตูเมืองเชียงใหม่ ในราคา 40 บาท 

    จากนั้นต่อรถเหลืองจอมทองไปลงพระธาตุศรีจอมทองในราคา 35 บาท

    รถจอดตรงข้างวัดใต้ต้นมะขาม รอจนคนเต็มรถจึงออกรถ การเดินทางครั้งนี้มีอุปสรรครบกวนอยู่นิดหน่อย คือโชคร้ายที่ช่องอ่านซิมมือถือเกิดขัดข้องกะทันหัน เลยต้องทำการซ่อมที่ร้านที่อยู่แถววัดพอดี เสียค่าซ่อมไป 650 มือถืออันนี้บรรจุได้สองซิม คือซิมเน็ต กับซิมไม่เน็ต และในระหว่างการซ่อม ซิมเน็ตเกิดเสียหาย แต่ซิมไม่เน็ตนั้นปลอดภัยดี เอิ่ม.. ความรู้สึกตอนนั้นมัน ใจแทบสลายเชียวค่ะ

    รออยู่ชั่วโมงกว่า เพราะรถออกบ่ายโมงครึ่งและคนก็เต็มรถพอดี นั่งรถแม่แจ่มมาลงที่ กม. 26 ตรงนัั้นมีศาลารอรถพอดี มีทางเดินลงไปเข้าสู่หมู่บ้าน เป็นทางลาดชันมากๆ แต่พอเดินได้ ด่านแรกที่เจอเป็นศูนย์บริการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

    ติดต่อห้องพักได้ตรงจุดนี้

    ตรงนี้เป็นร้านกาแฟอิ่มใจด้วย วันที่มาเขากำลังขยายต่อเติมร้านกาแฟ และตรงนี้เป็นที่ที่มีประโยชน์มาก เพราะเราต้องมาอาศัย wifi ตรงจุดนี้ เรียกว่านั่งแช่ตรงนี้อยู่เป็นนาน ไม่ยอมไปนั่งอยู่ในห้องพักเลย 5555 มาถึงแม่กลางหลวงเราก็ได้เจอกับสาวน้อยคนหนึ่งที่มีชื่อว่า "ดีทู" เป็นคนที่คอยดูแลต้อนรับเราเป็นอย่างดี และยังชงกาแฟให้กินอีกด้วย

    มาดูห้องพักกัน หลังที่จองไว้คือบ้านริมนา 3 อยู่ติดนาจริงๆ

    หลังนี้มีสองห้องติดกัน พักได้ 8 คน ราคาช่วงที่มาราคา 1500 แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวราคาจะถีบตัวสูงถึงเกือบสามพัน

    ห้องนึงนอนได้ 4 คน ไม่มีทีวี ตู้เย็น ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม ห้องน้ำในตัว ที่นี่อากาศเย็น พอดึกๆ เริ่มหนาว แอร์จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับที่นี่

    หลังจากนั่งพักที่บ้านได้สักพัก เวลาเย็นก็เริ่มสำรวจพื้นที่ จุดแรกที่แวะคือ ร้านกาแฟ "สมศักดิ์" กาแฟที่ร้านนี้ คั่วและบดใหม่ๆ จากเครื่องบดโบราณ สามารถชิมได้ฟรีไม่เสียตังค์ ชาวบ้านปลูกเองขายเอง ที่นี่จึงมีร้านกาแฟให้ได้ชมอยู่หลายร้าน บรรยากาศร้านนั่นแสนธรรมดา แต่อบอวลไปด้วยการนั่งสนทนาระหว่างเจ้าถิ่นกับนักท่องเที่ยว เริ่มแรกคุณสมศักดิ์ขายเมล็ดกาแฟเป็นงานหลัก ขายให้กับแบรนด์ดังจนออเดอร์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้ามีการปลูกกาแฟมากขึ้นก็ต้องบุกรุกป่ามากขึ้นด้วยเช่นกัน คุณสมศักดิ์จึงต้องเปลี่ยนงานหลัก จากปลูกกาแฟเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แทน ด้วยการสร้างโฮมเสตย์ขึ้นมา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอยู่ไม่ขาด ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย

    หลังจากจิบกาแฟเสร็จ ก็ได้เวลาลากแตะไปแชะรูปตามอำเภอใจ นี่แหละคือช่วงเวลาที่มีความสุขเป็นที่สุด ดีทูขับรถเครื่องพาเราไปปล่อยตรงจุดที่เป็นลำธารน้อยๆ ตรงนั้นเราเดินข้ามสะพานไม้ไผ่ที่โยกสั่นคลอนตามน้ำหนักของคนข้าม แต่มันก็มิได้หวาดเสียวเกินกว่าที่จะยอมหยุดยืนอยู่กลางสะพานแล้วถ่ายภาพที่อยู่เบื้องหน้า

    เราได้เผชิญหน้ากับต้นข้าวอย่างจัง ต้นข้าวที่เป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้ ที่นี่มีโฮมเสตย์มากมาย ดูแลโดยชาวบ้าน ทางการมีกฎหมายห้ามมิให้นักลงทุนเข้ามาลุกล้ำทำธุรกิจรีสอร์ทใดๆ ในพื้นที่เขตจอมทองนี้ แต่การที่ชาวบ้านจะทำโฮมเสตย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ต้องทำเรื่องต่อหน่วยงานราชการก่อนจะได้รับการอนุมัติให้ทำธุรกิจโฮมเสตย์ได้

    เดินเรื่อยเปื่อยมาจนถึงร้านกาแฟหลังหนึ่งที่มีนามว่า "อุ่มเอิบ" ซึ่งตอนนี้ปิดบริการแล้ว คิดว่าจะแวะมาชิมกาแฟที่นี่ในวันพรุ่งนี้ ก่อนที่จะกลับเข้าตัวเมืองให้จงได้

    เย็นมากแล้ว เห็นทีต้องหาอะไรเข้าท้อง มื้อเย็นมีโอกาสได้ฝากท้องไว้กับร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ใกล้ๆ กับร้านกาแฟอิ่มใจ ร้านนี้อาหารไม่แพง สั่งกะเพราหมูไข่เจียวราดข้าว ราคาแค่ 35 บาทเท่านั้น

    หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็ยังนั่งโซเชียลอยู่ตรงแถวร้านกาแฟอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งพลบค่ำจึงได้เวลาเข้าบ้านพักเสียที หลังบริเวณใกล้เคียงก็ไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงเราผู้เดียวเท่านั้นที่นอนอยู่ในบ้านริมนาหลังใหญ่ ท่ามกลางความมืดและเงียบสงัดกับค่ำคืนอันแสนยาวนาน และสิ่งที่ต้องทำคือเปิดไฟนอนจ้ะ ^_^!
    • โพสต์-2
    Ajung •  สิงหาคม 08 , 2560

    ตื่นเช้ามาพร้อมกับความสดใสของนาขั้นบันได

    เราตื่นแต่เช้ามาก็รีบคว้ากล้อง ขาตั้ง แล้วจัดการกับวิวสวยๆ ที่อยู่ตรงหน้า เรานึกองค์ประกอบได้ ณ ตอนนั้นเลยสดๆ จินตนาการมันมาเป็นฉากๆ ทำให้เราจัดฉากให้อยู่ในกรอบที่เราเป็นผู้กำหนด สวยบ้าง ไม่สวยบ้าง ก็แชะๆ ไปก่อน

    เราแบกขาตั้งไล่เดินถ่ายไปเรื่อยๆ เดินจากด้านล่างขึ้นไปจนถึงด้านบน เราหยุดจอดเป็นระยะ ในตอนนั้นแดดเริ่มแรงแล้วจึงได้แสงที่ไม่ถูกใจมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ประทับใจมากๆ เลย ถือว่าเป็นที่น่าพอใจสำหรับการวางแผนเดินทางแบบลุยเดี่ยวในครั้งนี้ ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่เราเองเป็นผู้ลิขิต มันวิเศษมาก...

    หลังจากนั้นก็ได้มีนัดกับไกด์ท้องถิ่นที่เขาจะพาเราไปเดินป่า เพื่อไปชมความงามของน้ำตกผาดอกเสี้ยว ซึ่งขาไปเป็นการนั่งปิคอัพไปลงยังจุดเริ่มต้นของการเดินป่า ตอนขาไปหนทางค่อนข้างลำบากเล็กน้อย แต่ก็ไม่เกินความพยายาม ชอบตรงที่มีการไต่ไปตามรากไม้หรือโขดหินที่ทำให้การเดิน ปราศจากการลื่นล้ม เป็นการฝึกกำลังต้นขาที่ดีเยี่ยมเลย

    กระแสน้ำแรงมาก ไกด์บอกว่ามีจุดที่ลงเล่นน้ำได้แค่เพียงจุดเดียวเท่านั้น นอกนั้นเป็นเหวดูอันตรายมากๆ 

    ไม่เจอใครเลย ไม่มีใครมาเดินป่าแต่เช้าแบบนี้ ยิ่งเป็นวันธรรมดาด้วยแล้ว ไปที่ไหนก็ปลอดคนไปเสียหมด 

    จากจุดนี้เราต้องเดินทางกลับเข้าหมู่บ้านละ ทางกลับจะเป็นอีกทางนึงซึ่งหนทางดูเดินง่ายกว่าเยอะ ระหว่างทางก็มีวิวสวยๆ ให้ได้ยลกันอย่างจุใจ เจองูเขียวบ้าง แมงมุมบ้าง สัตว์ประหลาดต่างๆ มากมาย เป็นการเดินป่าระยะพอหอมปากหอมคอ ไม่เหนื่อยเลยค่ะ

    ไกด์เดินมาส่งถึงร้านกาแฟสมศักดิ์ แล้วจ่ายค่าไกด์ไป 400 บาท จากนั้นเราก็เดินลงเนินไปเพื่อไปหามื้อเช้ากินที่ร้านตามสั่งร้านเดิม หลังจากอิ่มแล้วเราก็เข้าไปบ้านพัก อาบน้ำแต่งตัวเก็บเป๋า เตรียมตัวเช็คเอาท์ก่อนที่จะกลับเข้าไปหาที่นอนในตัวเมือง ซึ่งยังไม่ได้มีการจองไว้ที่ไหนทั้งนั้น คิดว่าวอคอินเข้าไปคงไม่มีปัญหา สำหรับวันธรรมดาแบบนี้ แต่ก่อนจะจากบ้านแม่กลางหลวงนี้ไป ขอแวะจิบกาแฟที่ร้านอุ่มเอิบก่อน เพื่อเป็นการปิดจ๊อบแดนดินถิ่นนาขั้นบันไดแห่งนี้อย่างสมบูรณ์

    • โพสต์-3
    Ajung •  สิงหาคม 08 , 2560

    เช็คอินที่รังหมาป่า เหมาคนเดียวทั้งตึกเลย

    และแล้วก็มาถึงตัวเมือง ก่อนอื่นต้องแวะเซ็นทรัลก่อน เพื่อนำซิมเก่าที่เสียชีวิตไปมาแลกซิมใหม่ที่ศูนย์ อันนี้ถือว่าอยู่นอกแผน ก็ใครจะไปคิดว่าต้องมามาเดินห้างเนาะ ปัญหายังไม่หมดซะทีเดียว งบประมาณในการเที่ยวไม่เพียงพอเพราะหมดไปกับการซ่อมมือถือ และเป็นคนที่ไม่มีบัตรเอทีเอ็มด้วย สิ่งที่ต้องทำคือไปเบิกเงินสดที่แบ๊งค์กสิกร ตอนแรกคิดว่าห้างเซ็นทรัลต้องมีแบ๊งค์นี้แน่ๆ แต่ผิดคาด ไม่มีน่ะสิ เลยต้องโบกรถแดงตามหากสิกรไปทั่วเมือง จนในที่สุดก็ได้เงินมาสำหรับการใช้ชีวิตในวันที่สองของทริปนี้

    ที่ซุกตัวลงนอนสำหรับคืนนี้มีไว้ในใจละ เลยลองโทรไปว่ามีห้องว่างไหม ปรากฎว่ามีว่างทุกห้องเลย เป็นวันที่ไม่มีนักท่องเที่ยวผู้ใดมาค้างที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว นอกจากข้าพเจ้าผู้หญิงตัวเล็กบอบบางคนนี้ วิธีไปก็โบกรถแดงไปลงที่วัดร่ำเปิงตรงข้ามโครงการบ้านข้างวัด

    เดินเข้าไปในซอยข้างวัดนี้เลย 

    เป็นซอยในหมู่บ้าน เดินตรงไปเรื่อยๆ เจอป้าย "รังหมาป่า" ก็ที่นี่ละที่จะได้อาศัยนอนในคืนนี้

    เดินยาวมาได้ประมาณกิโลนึงก็ถึง แลเห็นอาคาร 5 ชั้นทางด้านขวามือ

    ที่นี่คือ "Rumpai Loft Habitat" อ่านว่า "ร่ําไป ลอฟท์ ฮาบิแทท" หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในนาม "รังหมาป่า" ลักษณะเป็นอาคารห้าชั้น ออกแบบเป็นสไตล์ loft industrial ที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์โดยการนำเอาวัสดุที่เหลือใช้จากการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก อิฐ หรือไม้เก่าๆ มาดัดแปลงเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้จริง

    รังนอนแห่งนี้ แบ่งแยกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน ซีกซ้ายเป็นส่วนของคาเฟ่และห้องพักส่วนตัวของคุณจีน เจ้าของอาคารหลังนี้ โดยชั้นแรกเป็นคาเฟ่และที่ทานมื้อเช้า ชั้นสองเป็นบาร์ ชั้นสามเป็นห้องทำงานและชั้นสี่เป็นห้องนอนของคุณจีน ส่วนซีกขวาเป็นส่วนของที่พักของนักท่องเที่ยว ชั้นแรกไว้จอดรถ ตั้งแต่ชั้น 2-5 เป็นห้องพัก ชั้นนึงมี 4 ห้อง รวมทั้งหมดก็ 16 ห้องด้วยกัน สำหรับห้องที่แอดแนะนำ วิวสวยสุด ต้องเป็นห้อง 503 เพราะคุณสามารถเห็นวิวดอยสุเทพได้อย่างถนัดตาทีเดียว ในราคาเพียง 1200 ที่มาพร้อมกับห้องที่สะอาดและใส่ใจในรายละเอียดมากๆ

    คุณจะได้เห็นเนื้อเหล็ก เนื้ออิฐ เนื้อไม้ ที่นำมาตกแต่งได้อย่างชาญฉลาด ดูแล้วแข็งแรงและจริงใจ

    เปิดประตูเข้ามาคุณก็จะได้พบกับโซนนั่งเล่นซึ่งเป็น outdoor ก่อนที่จะเข้าไปในห้องนอนอีกทีนึง ซึ่งตรงนี้ดีมากๆ เพราะมันทำให้ผนังห้องแต่ละห้องไม่ติดกัน จึงเป็นส่วนตัวมากๆ สำหรับการมาพักที่นี่

    เตียงนอนขาวสะอาดมาก ทุกอย่างจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

    ผนังปูนเปลือยที่ขัดมันอย่างเงางาม ดูไม่ก้าวร้าวเกินไปด้วยรูปภาพที่ประดับลงบนผนัง

    เป็นห้องที่วิวดีสุด มองเห็นดอยสุเทพอย่างชัดเจน กว้างขวางนะ มีโซฟาสีเหลืองคอยเบรคสายตา แต่โทนสีก็ยังนำด้วยขาว ดำ และ เทา

    แล้วราตรีก็มาเยือน คืนนี้ได้ปิดไฟนอน แต่ก็เปิดทีวีไว้เป็นเพื่อนอยู่ดี ก็นะ นอนคนเดียวเลย ตึกทั้งตึก แต่ก็ไม่กลัวนะ ไม่กลัว

    เช้าแล้ว ลงไปทานมื้อเช้ากัน

    สถานที่กินมื้อเช้าเป็นส่วนของคาเฟ่ชั้นแรก ซึ่งตอนนี้กำลังปิดปรับปรุง ก็ตามเคย ไม่เจอคนเลยนอกจากรีเซฟชั่นด้านหน้าและคนรดน้ำต้นไม้

    นั่งทานตรงนี้

    มื้อเช้านี้มีข้ามต้มหมู ไข่ต้ม และขนมปังปิ้งทางเนย แยม เครื่องดื่มก็มีกาแฟ น้ำส้ม

    ระหว่างกินก็มีแมวท้องมานั่งเป็นเพื่อน ทำให้มื้อเช้านี้ดูไม่ว่างเปล่าเกินไป

    ถามว่าทำไมต้องมาคนเดียว มันมีหลายปัจจัย จริงๆ งานนี้ต้องมากับเพื่อนสองคน แต่เป็นเรื่องบังเอิญที่เพื่อนป่วย ไม่สบาย ถ้ามาด้วยก็คงไม่สนุก และดูทรงแล้วเหมือนหล่อนไม่ค่อยกะตือรือร้นกับการมาเที่ยวซักเท่าไรด้วย เรียกง่ายๆ คือไม่ใจ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะการเดินทางทุกครั้งจะเตรียมพร้อมมาก ตั้งแต่หาข้อมูลอย่างรอบคอบเพื่อเวลาเดินทางจะได้ไม่ติดขัดอะไร สามารถเดินไปตามทางที่เรากำหนดไว้ ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้น การเซฟตัวเองนั้นทำได้ เราเลือกไปในที่ที่ปลอดภัย การเดินทางได้ด้วยรถประจำทางไม่ได้สร้างความลำบากแต่อย่างใด อาจจะเป็นคนชอบนั่งรถท้องถิ่นอยู่แล้วด้วย ได้คุยกับคนแถวนั้น และส่วนใหญ่ก็จะมีมิตรภาพให้กับเราเสมอ ในฐานะคนแปลกหน้ากับการมาต่างถิ่นครั้งนี้ โดยเฉพาะที่บ้านแม่กลางหลวง เราได้รับน้ำใจจากชาวบ้านที่นั่น ซึ่งเป็นชาวเขาเผ่าปกาเกอญอ พวกเขาเล่าเรื่องราวชีวิตของพวกเขาให้เราฟัง เราได้รอยยิ้มจากคนทำอาหารตามสั่ง จากคุณแม่ลูกสองที่บอกว่ามีสองคนพอแล้ว รอยยิ้มจากสารถีที่คอยขับรถเครื่องพาไปเยี่ยมชมตามจุดต่างๆ ในหมู่บ้าน คำเชิญชวนให้นั่งรถติดเข้าไปในเมืองจากชาวบ้านที่นั่น ได้เห็นภาพวิวนาขั้นบันไดที่คนแถวนั้นเห็นเป็นของธรรมดา แต่มันคือสวรรค์ของคนเป็นนักเดินทางอย่างเรา การมาครั้งนี้ของเราถือว่าคุ้มค่ากับเวลาเพียงแค่สองคืน แต่มันมากมายด้วยเรื่องราวที่มีทั้งอุปสรรค การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และสุดท้าย จบที่ความสุขที่เกิดจากเราเป็นผู้กำหนดเส้นทางเดินของตัวเอง

    มันวิเศษมากๆ นะ แล้วเจอกันทริปหน้าค่ะ

    สนใจติดตามเพจเฟสบุคของเราได้ที่ : ลากแตะไปแชะฝัน 

    สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการเที่ยวได้ตลอด 24 ชม.

    • โพสต์-4
    Ajung •  สิงหาคม 09 , 2560

    สรุปค่าใช้จ่าย

    ค่าเครื่องบินไปกลับ เที่ยวละ 190

    ค่ารถแดงไปประตูเชียงใหม่ 40 / รถจอมทองไปลงพระธาตุศรีจอมทอง 35 / รถแม่แจ่มไปลงแม่กลางหลวง 70

    มื้อเที่ยงก่อนขึ้นรถแม่แจ่ม 85 บาท

    ค่าบ้านริมนา 1500

    ค่าไกด์ 400

    มื้อเย็นที่บ้านแม่กลางหลวง 35 / มื้อเช้า 35 

    กินกาแฟกับเค้กที่ อุ่มเอิบ 135

    นั่งรถเหลืองเข้าตัวเมือง 34 บาท

    รถแดงจากประตูเชียงใหม่ไปเซ็นทรัล 50 บาท

    รถแดงจากเซ็นทรัลไปแบ๊งค์กสิกร 30 บาท

    รถแดงจากกสิกรไปบ้านข้างวัด 50 บาท

    ค่าพักที่รังหมาป่า 1200

    มื้อเย็นแถววัดร่ำเปิง 70 บาท

    รถแดงจากแถววัดร่ำเปิงมาลงตลาดวโรรสเพื่อซื้อของฝาก 40 บาท

    รถแดงจากวโรรสไปลงสนามบิน 80 บาท

     

    ๕๕๕๕ นั่งรถแดงเป็นว่าเล่น รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 4,269 บาท 

    เที่ยวคนเดียวไม่มีคนร่วมหารก็จะเปลืองหน่อยๆ