[รีวิว] ปางอุ๋งหน้าฝน...กับคนล่าเขียด

"จากคำบอกเล่าเรื่องเขียดในตำนาน สู่การออกเดินทางตามล่าหาเขียด" 

 

เห็นคนอื่นรีวิวอ่างเก็บน้ำที่ปางอุ๋งกันเยอะแล้ว เพื่อไม่ให้ซ้ำกับใคร จะขอรีวิวการเดินทางสำรวจเส้นทางธรรมชาติ (ใช้คำหรูเชียว) ของโครงการพระราชดำริปางตอง 2 ( ปางอุ๋ง) แทนแล้วกัน ลุย!!!

 

 

24 กันยายน 59
เราออกเดินทางกันตั้งแต่คืนวันที่ 23 เวลา 22.00 น. ค่ะ กว่าจะถึงเชียงใหม่ก็ใช้เวลา 14 ชั่วโมง ใครไม่ชอบเดินเราชอบนะ นั่งมองวิวตั้งแต่หัวลำโพง กำหนดเวลาจนถึงเชียงใหม่ 12.00 น. ตานี่คงคล้ำเป็นหมีแพนด้าแน่ๆ เลยล่ะ

 

 

ระหว่างทางมีฝนตกบ้าง แดดออกบ้างสลับกันไป อากาศชวนให้ป่วยสุดๆ เลย

 

อุโมงค์ขุนตาน เป็นอุโมงค์ทางรถไฟลอดผ่านที่ยาวที่สุด ยาวถึง 1,352.15 เมตร ใครไม่รู้หลอกให้เรากลั้นหายใจแล้วขอพร นี่เกือบตายเลยค่ะ มันยาวมาก

 

 

ใกล้ถึงสถานีปลายทางสถานีเชียงใหม่แล้ว เตรียมตัวหยิบกระเป๋า ลืมบอก...ไม่ได้เปรี้ยวมาเที่ยวคนเดียวนะจ๊ะ มีเพื่อนมาด้วย แต่เธอเป็นหวัด เลยหลับตั้งแต่สามเสนจนถึงเชียงใหม่เลย

 

 

ถึงแล้วจ้า สถานีเชียงใหม่ เวลาตอนนั้นก็เที่ยงนิดๆ ต้องรีบเอาของไปเก็บที่พักและหาของกินด่วน หิวมาก

 

 

เราสองคนเหมาตุ๊กๆ ในราคา 150 บาทเพื่อให้มาส่งยังที่พักค่ะ ขอแนะนำที่นี่เลย Plern Plern Bed and Bike พี่เจ้าของน่ารักมาก แนะนำร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงติดต่อรถตู้ไปแม่ฮ่องสอนให้ด้วย รถมารับถึงที่เลยนะ สะดวกดี

ข้อมูล : www.plernplernbedandbike.com

 

 

มื้อแรกที่เชียงใหม่ของเราค่ะ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ร้านก๋วยเตี๋ยวเก๊าสะเดา อยู่แถวห้าแยกสันติธรรม ร้านอยู่ข้างเซเว่นนะคะ ชิมก่อนปรุงนะ อาจจะไม่ต้องปรุงเลยก็ได้ อร่อยพร้อมทาน เครื่องเยอะดี ชอบๆ คร่า

 

 

หลังอิ่มมื้อกลางวัน เราก็พักเอาแรงก่อนจะมาเดินเล่นที่ถนนคนเดินวัวลายค่ะ (เปิดวันเสาร์) แต่ทีนี้ เพื่อนอยากไปถนนคนเดินที่ใหญ่กว่านี้ เราก็เดินหากันเลยจ้า แถ่นแท๊นนนน ประตูท่าแพ มีถนน แต่ไหนล่ะ คนเดิน สรุปว่ามาผิดวัน แล้วที่สำคัญคือมันโคตรจะไกลเลย ใครเค้าเดินกัน ท่าแพเค้าเปิดวันอาทิตย์ค่ะ ก็ทำไรไม่ได้นอกจากยืนบ่นและโยนความผิดให้กัน โทษฐานไม่ศึกษาข้อมูลให้ดี เหอะๆ 

 

 

25 กันยายน 59
เราออกเดินทางไปแม่ฮ่องสอนด้วยรถตู้ จาก บ. เปรมประชา มีเจ้านี้เจ้าเดียวค่ะ ควรโทรจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันนะคะ แล้วเค้าก็บอกเวลารับตั๋ว ก็ก่อนเดินทาง 1-2 ชั่วโมงค่ะ เราขึ้นรถที่อาเขตนะคะ ถ้ามารถประจำทางหรือสองแถวต้องบอกว่า "ไปอาเขตจ้าาาา" 

การเดินทาง : รถตู้ของ บ. เปรมประชา
ราคา : 250 บาท (ขึ้นที่อาเขต) / 300 บาท (รับจากที่พัก)

ข้อมูล : www.premprachatransports.com/destination-th/

เชียงใหม่ - แม่ฮ่องสอน 
082-3900189 , 090-5141111

แม่ฮ่องสอน - เชียงใหม่
053-684100

 

 

6 ชั่วโมงผ่านไป กับอ้วกอีก 2 ถุงของเพื่อนเรา ก็ต้องมาเติมสารอาหารให้ร่างกายด้วยตำถาด ที่ร้านแซ่บเวอร์ อยู่ที่กาดติ๊ด ตลาดนัดวันอาทิตย์ค่ะ ร้านนี้พี่ที่รู้จักเป็นคนพามาค่ะ และเป็นผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจในการตามหาเขียด ก็พี่เค้าบอกว่าตัวมันใหญ่เท่าลูกผุตลอบเลยนี่ นี่ก็เชื่อเลย

 

ก่อนที่เราจะขึ้นไปปางอุ๋ง ขอแวะมาสักการะพระธาตุดอยกองมูก่อนค่ะ วิวจากตรงนี้เราจะมองเห็นเมืองแม่ฮ่องสอนที่โอบล้อมด้วยภูเขา สมแล้วที่เขาเรียกเมืองนี้กันว่า "เมืองสามหมอก" ที่หมายถึงหมอกสามฤดู

การเดินทาง : เหมาพี่วินมอไซค์จากกาดติ๊ด และรอรับไปตลาดสายหยุด 
ราคา : 100 บาท

 

อิ่มตา อิ่มท้องแล้ว เราก็ลุยแล้วกันค่ะ อีกแค่ไม่กี่โค้งก็จะไปถึงปางอุ่งแล้ว จากตลาดสายหยุด เราโดยสารรถสองแถวเหลือง ของลุงเทียมเพื่อขึ้นไปปางอุ๋ง คุณลุงกับคุณป้าใจดีมาก

การเดินทาง : รถสองแถวเหลือง ขึ้นที่ตลาดสายหยุด
ราคา : 90 บาท
ติดต่อ : 081-2880841 , 087-1767892 , 
082-3819206
รอบรถ : ไปตลาดสายหยุด 05.30 และ 11.00 น.
            ไปปางอุ๋ง 9.00 และ 15.30 น.

 

ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ เราก็มาถึงที่หมาย จากที่เพลียๆ พอเห็นสีเขียวสดๆ ของต้นไม้ใบหญ้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย กลิ่นดินหลังฝนตกใหม่ๆ นี่ก็หอมดีนะ ดีกว่ากลิ่นขี้หมาเปียกที่ กทม. แบบเทียบไม่ติด

 

สิ่งหนึ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ที่บ้านรวมไทย ปางอุ๋ง คือหน้าโฮมสเตย์ทุกหลัง จะมีพระบรมฉายาลักษณ์หรือ พระบรมสาทิศลักษณ์แขวนไว้ที่หน้าบ้าน เพลงรูปที่มีทุกบ้าน ของพี่เบิร์ดก็ดังก้องอยู่ในหัวขึ้นมาทันที ทั้งสองพระองค์พลิกฟื้นพื้นที่ปลูกพืชยาเสพติดมาปลูกป่า สร้างอ่างเก็บน้ำ จนเป็นปางอุ๋ง สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยอย่าง
ทุกวันนี้

 

ทริปนี้เราพักกันที่บ้านนี้ค่ะ ซึ่งหลังนี้จะใกล้อ่างเก็บน้ำมากที่สุดเลย มีร้านข้าว ร้านขายของด้วยนะ โฮมสเตย์ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรนะคะ เราจะได้สัมผัสกับธรรมชาติล้วนๆ มีแค่น้ำกับไฟ กลางคืนนอนเล่นกับตัวคุ่น เข้าตื่นมาทักทายกิ้งกือบนหัวนอนได้เลย ยากันยุง ยาหม่อง แซมบัค แก้แพ้ แก้คัน เตรียมกันมาให้ดี

ข้อมูลที่พัก : www.chillpainai.com/scoop/6405/

 

เก็บของเสร็จเรียบร้อย ก็พร้อมออกไปชมวิวยามเย็นที่ริมอ่างเก็บน้ำ ได้เดินเล่นหลังฝนตกใหม่ๆ มองฟ้าสีคราม มองน้ำสีเขียวนี่มีความสุขดีจัง

 

เวลาค่ำนิดๆ หลังมื้อเย็นก็กลับเข้าบ้านค่ะ ที่ปางอุ๋งตอนกลางคืนมืดจัง ข้างทางไม่มีไฟทางเลยค่ะ มืดจนเดินชนลำไม้ไผ่ที่เค้าทำหลังคาบ้านหล่นลงมาเลย หัวเกือบแตก 

และนี่ ขอแนะนำให้รู้จักตัวนี้ชื่อ "น้องปลวก" ขอตั้งชื่อให้เลย เพราะว่ามันมาแทะเสาบ้านค่ะ แต่ก็นอนเฝ้าหน้าบ้านเราทั้งคืน อุ่นใจนะ อย่างน้อยก็มีน้องหมาอยู่ด้วยอีกตัว

 

26 กันยายน 59

และแล้วคืนแรกที่ฝนพรำทั้งคืนก็ผ่านไป หกโมงนิดๆ ได้เวลาออกไปดูหมอกตามอย่างที่เค้ารีวิวกันไว้แล้ว 

พอสายๆ ท้องก็เริ่มร้องค่ะ มื้อเช้าของเราของฝากท้องไว้ที่ ร้านปาละ รอฟฟี่ ร้านนี้มีทั้งอาหารและกาแฟเลยค่ะ ซดข้าวต้มหมูร้อนๆ พร้อมกับฝนตกในยามสายนี่ก็เข้ากันดี 

 

ฝนหยุดแล้ว ออกเดินทางกันต่อเลยแล้วกันจ้า ตรงนี้เป็นป้ายทางเข้าโครงการในพระราชดำริ จากการสอบถามที่ร้านกาแฟของลุงปาละ คุณลุงยืนยันว่ามีการเพราะเลี้ยงเขียดแลว หรือ กบภูเขา นอกจากนี้ยังมีกล้วยไม้ต่างๆ อีกด้วย เอาล่ะ...เราไปตามหาเขียดกันเถอะ 

 

โชคดีมากที่เราได้เห็นหงส์พระราชทานจากสมเด็จพระราชินี จริงๆ มีหงส์ดำและหงส์ขาวอย่างละ 1 คู่ วันนี้เห็นแต่สีดำนะคะ สีขาวอยู่ไหนไม่รู้ เรียกแล้ว แต่หงส์ไม่มา 

 

 

เราเดินกันไปเรื่อยๆ ก็จะเจอเส้นทางศึกษาธรรมชาติ แต่โชคไม่ค่อยดีเจอป้ายนี้ อดได้ลงไปเดินเลย ไม่เป็นไร ข้างหน้ายังมีเขียดตัวเท่าลูปฟุตบอลรอเราอยู่

 

ขอแนะนำ "พี่เน่า" จะมาเป็นไกด์ในการตามล่าหาเขียดให้เราสองคน เพื่อนเราตั้งชื่อให้ว่าพี่เน่า จำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม 

 

ระหว่างทาง เจอดอกไม้ ใบไม้ ผีเสื้อ ให้ได้หยุดแวะถ่ายรูปตลอด เราก็เพลินเลย แต่เพื่อนที่ไม่สบายนี่ลมแทบจับ เพราะแดดค่อนข้างแรง ส่วนเราถึกค่ะ เราสบายมาก

 

ระหว่างทาง เจอดอกไม้ ใบไม้ ผีเสื้อ ให้ได้หยุดแวะถ่ายรูปตลอด เราก็เพลินเลย แต่เพื่อนที่ไม่สบายนี่ลมแทบจับ เพราะแดดค่อนข้างแรง ส่วนเราถึกค่ะ เราสบายมาก

 

ไม่นานนักเราก็มาถึงด้านหลังอ่างเก็บน้ำ ตรงมุมนี้ก็สวยไปอีกแบบ ไม่รู้ว่ามีคนมาโซนนี้บ่อยไหม เพราะระหว่างทางมันมีแต่พงหญ้า กับนาแบบขั้นบันไดค่ะ บางคนอนอาจไม่ได้สนใจเท่าไหร่

 

จุดแวะพักของเราตามที่ไกด์สี่ขาพามา คือ เส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยลาน เป็นสะพานไม้ทอดไปยังอีกฝั่งที่เป็นป่ารกๆ หน่อย ยิ่งหลังฝนตกยิ่งรกมาก ใบไม้นี่ร่วงเต็มสะพานเลย แต่ก็สวยพิศวงไปอีกแบบนะคะ

 

"รกมากแค่ไหน ถามใจพี่เน่าดู" ขนาดพี่เน่ายังหันหลังกลับ เราอยากไปต่อนะ แต่ก็เกรงใจเพื่อน แค่สองวันมานี้ก็พาเดินมาหลายกิโลแล้ว 

 

หลังจากเดินออกมาจากสะพานไม้นั้น เราก็มาเจอศาลาอะไรไม่แน่ใจค่ะ มองป้ายไม่เห็นเลย คาดว่าไม่มีใครมานั่งนานแล้ว เห็นแล้วก็รีบจ้ำอ้าวก้าวเดินต่อไป เพราะนุ้งเขียดรอเราอยู่

 

เดินผ่านป้ายแล้ว ป้ายเล่า กับเส้นทางที่มีแต่รอยรถวิ่งผ่าน เราก็มาถึงบ่อเพาะเลี้ยงแล้วล่ะ 

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์เกี่ยวกับการอนุรักษ์เขียดแลว กับคณะทำงานโครงการธนาคารอาหารชุมชน ตามพระราชดำริ ความว่า “ให้กรมประมง กรมชลประทาน และกรมป่าไม้ ร่วมกันดำเนินการเพาะและขยายพันธุ์เขียดแลว แล้วปล่อยคืนสู่ป่าให้มาก ซึ่งเขียดแลวนั้นสามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้ดีในสภาพธรรมชาติที่มีน้ำไหล จึงต้องอาศัยการบูรณาการของหน่วยงานทั้งสาม” กรมประมง จึงได้ดำเนินการตามพระราชเสาวนีย์ ร่วมกับกรมชลประทาน และกรมป่าไม้ จัดทำโครงการหุบเขาเขียดแลว ขึ้นที่ บ้านรวมไทย หมู่ที่ ๕ ตำบลนาป่าแปก อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจะขยายผลสู่พื้นที่อื่น ๆ ต่อไป

ที่มา : กรมประมง

 

อันนี้ไม่ใช่น้ำตกนะคะ เป็นเหมือนคูน้ำตรงสำนักงานที่เค้าทำไว้ เป็นธารเล็กๆ น่ารัก

 

บ่อพ่อแม่พันธุ์อยู่ตรงหน้า ไหนๆ ขอไปดูหน่อย หืมมมม มีสะพานแสดงว่าเข้าไปดูได้ แต่...ประตูล็อคจ้า ไม่เป็นไร เกาะลูกกรงเอา แล้วไหนล่ะ น้องเขียดอยู่ไหน มองหาไม่เห็นเจอเลย เอาหน้าแนบตาข่ายจนหน้าเป็นรอยตารางหมดแล้ว

 

หลังจากนก = ผิดหวังจากบ่อใหญ่ เรามาดูบ่อเล็กกันบ้าง เป็นบ่ออนุบาลลูกเขียดแลว ก็มองไม่เห็นอะไรอีกเหมือนเดิม มีแต่บ่อซีเมนต์ที่มีหินกองๆ อยู่ ไม่เป็นไร เผื่อเค้าย้ายบ่อ เดี๋ยวไปดูลูกเขียดแทนก็ได้เนอะ *ปลอบใจตัวเอง*

 

 

โอโหวววว เพิ่งเห็น!!! ลงบ่อตั้งแต่ปี 58 ป่านนี้ลูกเขียดโตเป็นพ่อแม่เขียดแล้ว นก = ผิดหวังอีกแล้ว

 

ไม่เป็นไร บ่อฟักไข่ยังมี พอชะโงกหน้าลงไปที น้ำตาแทบไหลปรี่ลงมา มีแต่บ่อแห้งๆ ไม่มีน้ำเลย เศษต้นไม้ใบไม้เต็มบ่อไปหมด หมดบ่อนี้ก็ไม่รู้จะไปไหนแล้วนะ เรายังอยากไปต่อ แต่เพื่อนบอก "มึงพอเถอะ อีกนิดจะถึงพม่าแล้ว"

 

ที่โครงการเพราะเลี้ยงนั้นไม่ค่อยมีคนมาดูเขียดเลยหรอ ที่นั่งที่เป็นเก้าอี้ไม้ถึงได้มีเห็ดขึ้นเยอะขนาดนี้ ใหญ่ด้วย 

 

ตัวเขียดอยู่ไหน เดินไปเจอแต่ป้าย ขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อยก็ยังดี อย่างน้อยก็ไม่เสียแรงเปล่า ป่าเขาบ้านเราอุดมขนาดนี้ อยากให้ป่าอยู่กับเราไปนานๆ 

"ป่าอยู่ชีพยัง ป่าพังชีพวาย"

 

 

เมื่อเราเห็นทางข้างหน้า
เรา : นายไหวมั้ย
เพื่อน : ไหวๆ
เรา : ไหวแน่นะ
เพื่อน : ถึงตอบว่าไม่ไหว มึงก็ลากกูไปอยู่ดี (ขึ้นเสียงเล็กน้อย)

เพื่อสวัสดิภาพของเราทั้งสอง เราขอถอยทัพจะดีกว่า อีกอย่าง...เที่ยงกว่าแล้ว ท้องร้องดังมาก

 

เส้นทางศึกษาธรรมชาติ 500 เมตร เราเดินไปไกลกว่านั้น เดินคุ้มเลย อีกนิดจะไปพม่าแล้วจร้า

 

 

เจอแล้ววววว....เจอป้ายแล้ว เจอแต่ป้าย ไม่วายยังนกอยู่ สรุปทริปล่าเขียดนี้ไม่เจอเขียดนะคะ เจอแต่นก นกแล้วนกเล่า เฝ้าแต่นก 

เขียดแลว = เข็ดแลววววว

 

ระหว่างทาง เจอผีเสื้ออีกแล้ว ผีเสื้อตัวนี้อยู่นิ่งให้เราได้ถ่ายรูปสมใจเลยนะ

 

แล้วเราก็เดินกลับบ้านผ่านสะพานพังๆ เดินผ่านสะพานนะคะ ไม่ได้เดินไปตามสะพาน ด้วยใจอันห่อเหี่ยว อยากกินข้าวเหนียวหมูปิ้ง

 

ตอนไปเดินนานมาก เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับดงหญ้าข้างทาง ขากลับนี่เร็วเชียว จะนก จะผีเสื้อ หรืออะไรก็ไม่สนใจแล้ว หิว!!!

 

ตอนไปเดินนานมาก เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับดงหญ้าข้างทาง ขากลับนี่เร็วเชียว จะนก จะผีเสื้อ หรืออะไรก็ไม่สนใจแล้ว หิว!!!

 

สุดท้ายนี้ ขอฝากไว้เรื่องนึง อย่าเอาขยะเข้าไปทิ้งในโครงการเลยนะคะ ใครหอบหิ้วลูกหลานไปก็ฝากดูแลหน่อย ดูจากซากแล้วคาดว่าน่าจะเป็นเด็ก และถ้าเห็นก็ฝากหยิบออกมาทิ้งข้างนอกหน่อย อย่าทำให้ผืนป่าที่ทั้งสองพระองค์ทรงฟื้นฟูต้องกลับมาเสื่อมโทรมเพราะพวกเรา

- ขอบคุณที่ร่วมเดินทางตามหาเขียดไปด้วยกันค่ะ