ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
ครั้งนึงเคยฝันว่าอยากมาให้ถึงที่นี่ ภูชี้ฟ้า (Phu Chi Fah) จ.เชียงราย
    • โพสต์-1
    New •  พฤศจิกายน 26 , 2559

    วันที่แรกของทริปนี้

    เริ่มต้นด้วยครั้งที่ 2 ในรอบปีกับการมาภาคเหนือ ครั้งนี้ผมตั้งใจว่า อยากจะไปทำตามความฝันของตัวเอง เพราะเคยเห็นภาพนึงที่คนพูดถึงจังหวัดเชียงราย แล้วเราต้องไปนั่นคือ "ภูชี้ฟ้า" ผมวางแผนในครั้งนี้ด้วยการจองตั๋วเครื่องบินในราคาประหยัดจากหาดใหญ่-เชียงใหม่ก่อน ได้มาในราคา 1,000 บาทเองครั้งนี้มีสมาชิกร่วมทีม 3 คนโดยผมเดินทางไปกับรุ่นพี่จากหาดใหญ่ 2 คนและมีตามมาสมทบอีกคนจากกรุงเทพ เราถึงเชียงใหม่ในเวลา 10 โมงกว่า นัดกับทางรถเช่าให้มาส่งรถที่สนามบินในเวลา 11 โมง ครั้งนี้เราได้รถใหม่ป้ายแดงมาขับกันเลยกับ All New Vios ในราคา 1,000 บาท/วันครับ ร้านที่ผมเช่าติดต่อผ่านทางเพจในเฟสนะครับตามลิ้งเลย https://www.facebook.com/kinteawrentacar/ สามารถจองล่วงหน้ากันได้เลยนะครับ รถใหม่บริการดีครับ การเช่าก็ง่ายๆเลย เตรียมบัตรประชาชนกับใบขับขี่ประกอบการเช่ารถครับ โดยมีค่าเช่ารถรวมกับเงินประกัน 3,000 บาท ตรวจสอบรถกันเรียบร้อยน้ำมันเต็มถังก็รอสมาชิกอีกคนนึง แล้วก็เตรียมเดินทางกันได้เลยครับ

    สมาชิกอีกคนเดินทางมาถึงก็เที่ยงพอดี พวกเราเลยหาอะไรทานกันก่อนเดินทาง กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เมื่อต้นปีผมมาเชียงใหม่ครั้งนึงแล้ว แต่พลาดที่ไม่ได้ไปกินข้าวซอย เคยได้ยินหลายคนพูดถึงร้านลำดวนฟ้าฮ่ามอยู่แถววัดฟ้าฮ่าม ที่คนมาเชียงใหม่ก็มักจะรีวิวและบอกว่ามาเชียงใหม่ต้องมาทาน ซึ่งไปถึงร้านที่ร้านนอกจากข้าวซอยแล้ว ก็ยังมีขนมจีน หมูสเต็ก ลูกชิ้นด้วยนะ แต่ความตั้งใจมันเหมือนเป็นศูนย์ เพราะเราเข้าใจว่าจะได้มาทานข้าวซอยอร่อยๆ แต่ไม่อร่อยเลย ผิดกับบางร้านที่ไปทานมาในเชียงใหม่ ซึ่งทราบภายหลังแม้แต่คนเชียงใหม่แท้ๆก็ยังพูดถึง ว่าเดี๋ยวนี้ร้านนี้ไม่อร่อยซะแล้ว เราเข้าไปในร้านแล้วก็ต้องทานนะ ให้อยู่ท้องกันก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงราย

    เราเริ่มออกจากเชียงใหม่ในเวลา 13.00 น. กด GPS บอกให้วิ่งบนเส้นทาง 118 ใกล้สุดระยะทาง 186 กม.กับเวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางหลักที่จะไปเชียงราย ซึ่งจะผ่านหลายอำเภอเลยครับ ผมมีนัดกับรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกัน เป็นหนุ่มใต้แต่มาได้ภรรยาเป็นคนเหนือ เค้าอยู่อำเภอแม่สรวยซึ่งเป็นทางที่จะผ่านไปเชียงรายพอดี ก็เลยแวะไปเยี่ยมเยียนกันสักหน่อย เส้นทางนี้ต้องบอกว่าถ้าใครเคยไปอ่างขาง วิ่งไปอำเภอไชยปราการคล้ายกันครับ ไม่ยากเลยจะมีช่วงของถนน 4 เลนและ 2 เลนช่วง 2 เลนอาจจะต้องใช้ความระมัดระวังกันหน่อยนะครับ ถึงบ้านรุ่นพี่ผมก็แวะไปดื่มน้ำชมสวนลำไยกันแป็บนึง ดูที่ทางไว้มาครั้งหน้าได้ที่พักฟรีแล้วครับ มานอนบ้านรุ่นพี่ผมดีกว่า บ้านที่ใต้ถุนกางเต็นนอนได้สบายๆเลย เราเดินทางมาถึงบ้านรุ่นพี่ก็ประมาณบ่าย 2 เกือบบ่าย 3 ได้เวลาต้องเดินทางกันต่อแล้ว เพราะเดี๋ยวถึงเชียงรายค่ำแล้วจะแย่ เพราะไม่เคยไปเส้นทางนี้ แล้วก็ไม่คุ้นชินกับทาง แต่ทำเวลาได้ดีจุดแรกที่มาถึงเชียงราย จะสังเกตุเห็นศิลปะลวดลายไทยสวยๆ ตามเสาไฟบ้างป้ายเฉลิมพระเกียรติบ้าง ถึงแล้วครับเชียงราย จุดแรกที่เราแวะกันคือวัดร่องขุ่น ที่อยู่ก่อนถึงตัวเมืองเชียงราย เราถึงในเวลา 16.30 น.ได้ยินเสียงประกาศ เราจะอนุญาติให้เข้าชมวัดถึงเวลา 17.00 น.นะครับ มองดูนาฬิกาครึ่งชั่วโมง เอาไงดีพรรพวกเข้าไปก็มีเวลาถ่ายรูปกันได้แค่ครึ่งชั่วดมงไม่พอแน่ๆ บวกกับผมเพิ่งรู้ว่าจะเข้าไปชมในวัดต้องจ่ายค่าเข้าชมด้วยนะครับ คนละ 50 บาท จากหลายเสียงก็บอกว่าเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือเปล่า หรือคนไทยด้วยหลายเสียง แต่พวกเราไม่ได้เข้าไปหรอก เพราะด้วยเรื่องเวลาจึงทำให้พวกเรา ยืนซูมเอาจากด้านนอกก็ได้ภาพมารูปนึง

    เสร็จจากวัดร่องขุ่นเข้าที่พักสิครับ แต่ก่อนที่พวกเราจะเข้าไปที่พักก็ลองปรึกษารุ่นน้องที่เคยอยู่เชียงรายดูว่า มาเชียงรายต้องไปที่ไหนบ้างแล้วก็ได้คำตอบมาคือต้องไปไหว้พ่อขุนเม็งรายมหาราช เป็นบุคคลสำคัญและเป็นที่เคารพศักการะของคนเชียงรายครับ เสร็จจากไหว้พ่อขุนกันแล้ว พวกเราได้เวลาเข้าที่พักเราพักกันที่ Chezmoi handicraft & homestay อยู่ในตัวเมืองเชียงรายเลยครับ เป็นโฮมสเตย์ราคาไม่แพงคืนละ 400-600 บาท นอนได้สูงสุด 5 คนต่อห้องพัก มีทั้งห้องแอร์และห้องพัดลม ห้องน้ำรวมนะครับ มี 4 ห้องด้วยกัน ก็ถือว่าสะดวกดีอยู่ในเมืองราคาไม่แพง พวกเราไปกัน 3 คนเลือกห้องนอนได้ 3 คนห้องพัดลมราคาถูกดี ทางที่พักจะมีอาหารเช้าก็พวกขนมปังกับกาแฟโอวัลตินให้นะครับ เดินออกมาจากที่พักก็มีร้านอาหารให้ทานกันเต็มเลยครับ แต่พวกเราแพลนกันไว้ว่าเดี๋ยวจะไปหาอะไรทานที่ตลาดไนซ์พลาซ่าเชียงรายครับ

    ร้านค้าในตลาดไนซ์พลาซ่าก็จะมีหลายร้านให้ได้เลือกทานกันเลย แต่ที่ผมสังเกตุเห็นคนที่นี่นิยมทานจิ้มจุ่มกันครับ มีให้เลือกหลายร้านมาก พวกเราไม่รู้หรอกนะครับว่าร้านไหนอร่อย แต่ผมกระซิบอย่างนึงว่าอย่าหลงเชื่อภาพที่เค้าโชว์ เพราะคุณหลอกดาว ราคาก็จะอยู่ที่ 100-200 บาท มีของทอดมีอาหารทะเลด้วย ทานไปมีการแสดงของน้องนักเรียนมารำให้ดูด้วยครับก็เพลินดี หลังจากทานของคาวกันเสร็จก็ถึงเวลาของหวานแล้วสิครับ ก่อนหน้านี้มีรุ่นน้องแนะนำมาว่ามีร้านบัวลอยใกล้นาฬิกาอร่อยใครไปเชียงรายต้องไปลองชิมนะ แต่ถามว่าพวกเราไปไหมไม่ได้ไปครับ ผมไปเปิดเจอในแอป Wongnai ความพิเศษของแอปนี้ต้องบอกเลยว่า หากเราไปในจังหวัดไหนแล้วไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของอาหารเปิดเลยครับ ในแอปนี้จะแนะนำอาหารที่นิยมและร้านใกล้เคียงในพื้นที่นั้นๆให้แก่ท่านเลย ผมอยู่ตลาดไนซ์พลาซ่าไปสะดุดกับบัวลอยมือถือ เอ๊ะมันคุ้นๆเหมือนจะเคยดูรายการอะไรสักอย่าง ก็อยากไปลองชิมดูนะครับ พวกเราไม่รอช้าไปลองกันเลย ร้านบัวลอยมือถืออยู่ตรงซุ้มประตูทางเข้าตลาดเลย ราคาไม่แพงเลย 20-25 บาท มีทั้งบัวลอย สลิม และไอศกรีม ให้ได้ลองทานกันครับ ถามว่ารสชาติอร่อยไหมในส่วนตัวผมว่าใช้ได้เลยครับ หอมหวานอร่อย มีโอกาสก็แวะเวียนไปลองชิมกันนะครับ

    หลังจากอิ่มท้องกันแล้วอีกกิจกรรมที่ผมคิดสดๆเลยคือ ไปถ่ายรูปหอนาฬิกาเชียงรายดีกว่า เหมือนจะเคยเห็นหลายคนไปเชียงรายก็ไปถ่ายรูปกับที่นี่มาเหมือนกัน เราไปถึงนาฬิกาเชียงรายซึ่งอยู่ไม่ไกลกันกับตลาดไนซ์พลาซ่า เวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าเซทอุปกรณ์กันแล้วก็ถ่ายรูปกันครับ ถ่ายไปอยู่ดีๆไฟก็ดับลงอ้าวเฮ้ยไหนเป็นงี้ไปได้ ที่ไหนได้ครับหอนาฬิกาที่นี่มีเอฟเฟคแสงสีเสียงตอน 3 ทุ่มด้วยครับ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับพวกเราและนักท่องเที่ยวคนอื่นที่ไปถ่ายรูปหอนาฬิกากันครับ ใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ไฟก็กลับมาติดตามปกติถ่ายรูปกันเพลิดเพลินแล้ว ก็ถึงเวลาต้องพักผ่อนกันแล้วครับ เพราะเราเดินทางมาไกลพอสมควร และต้องเก็บแรงเพื่อจะเดินทางต่อกันในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเมื่อถึงที่พักอาบน้ำอะไรเสร็จ ผมก็มานั่งจิ้มแผนที่เพื่อดูสถานที่ต่างๆแล้ววางแผนเพื่อจะเดินทางกันต่อในวันต่อไป โดยที่ตั้งใจจะไปมี วัดพระแก้ว สิงห์พาร์ค มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ไร่ชาฉุยฟง และมุ่งหน้าเดินทางต่อไปยังภูชี้ฟ้า เราแพลนไว้ว่าคืนที่ 2 จะไปนอนกันที่นั่นครับ

    หมายเหตุ: ขออนุญาติเครดิตภาพ 2 ภาพให้ทาง Chezmoi handicraft & homestay นะครับเนื่องจากผมได้ถ่ายภาพมาจริงๆ เพราะมัวแต่คิดถึงของกินเลยพลาดไปจริงๆ

    • Junka  รอ รอ 26 พฤศจิกายน 2559 23:02:17
    • โพสต์-2
    New •  ธันวาคม 02 , 2559

    วันที่ 2 ของทริปนี้

     

    ตื่นมาเช้านี้กับอากาศกำลังเย็นสบายเลยนะครับ พวกเราอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อย อย่างที่บอกกองทัพเดินด้วยท้องครับ ที่พักอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าจะมีขนมปังและกาแฟอโอวัลตินให้ เราเลือกที่จะไปหาอะไรทานกันในตอนเช้า โดยผมจิ้มไปเจอร้านนึงชื่อว่าร้าน "กาแฟรถเหลือง" ร้านนี้อยู่แถวหอนาฬิกาเชียงรายเลยครับ หาไม่ยากเลย รถเหลืองที่เค้าว่าไหนกลายเป็นสีเขียวไปได้ มีคนสงสัยเหมือนผมถามเจ้าของร้าน ได้คำตอบมาว่ารถเหลืองเอาไปซ่อมอยู่ก็เลยเอารถเขียวมาใช้แทนก่อน ร้านนี้มีอาหารเช้า โจ๊ก ปาท่องโก๋ ให้ได้ทานกันนะครับ พวกเราเลือกสั่งอาหารเช้าเป็นชุดครับราคา 70 บาท/ชุดครับ ระหว่างนั่งทานไปผมหันไปเจอ สถานที่แนะนำที่ร้านเค้าทำไว้ 1 ในนั้นน่าสนใจพอดีเลยคือวัดพระแก้ว และที่นี่ยังมีรอยพระบาทของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้วยนะครับ ผมไม่เคยเห็นใครเขียนถึงที่นี่เลย ใจจริงๆอยากจะเข้าไปนะครับ ซึ่งอยู่นอกเหนือแผนที่วางไว้ แต่ต้องบอกก่อนว่ารอยพระบาทของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ประดิษฐานอยู่ ณ.ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย ซึ่งไม่แน่ใจว่าต้องทำเรื่องขออนุญาติก่อนเข้าไปหรือเปล่า พวกเราเลยเปลี่ยนแผนไปวัดพระแก้วกันแทน ในวันที่เราอยู่เชียงรายตรงกับวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่คนไทยทั้งประเทศหลั่งน้ำตากับการสูญเสียพ่อของแผ่นดิน มาทราบข่าวตอนแถลงการณ์ของนายกในช่วงทุ่มกว่าๆแล้ว ทำให้ผมรู้สึกเสียใจมากที่ทำไมไม่เข้าไปกราบรอยเท้าพ่อ ทำไมไม่เข้าไปเก็บภาพมานะ ไปครั้งหน้าต้องไม่พลาดแน่ๆ จะต้องขออนุญาติก็จะขอเข้าไป เพราะจะเป็นภาพที่ทรงคุณค่าต่อจิตใจของผมแน่นอน

    อิ่มท้องกันแล้วก็เดินทางไปวัดพระแก้ว วัดพระแก้วอยู่ในตัวเมืองเชียงราย ภายในวัดร่มรื่นมากเลย ภายในวัดจะมีอาคารที่เก่าแก่แสดงความเป็นมาของจังหวัดเชียงราย และประวัติความเป็นมาในยุคโบราณ และยังมีพระแก้วมรกต พระพุทธศรีเชียงราย พระเจ้าทันใจ และพระรูปของพ่อขุนเม็งรายมหาราช เรียกว่ามาที่เดียวได้ครบเครื่องกันเลยครับ

    เสร็จจากไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันแล้ว พวกเรามุ่งหน้าไปที่สิงห์พาร์คหรือไร่บุญรอด ซึ่งวิ่งไปไม่ไกลมากจากตัวเมือง เราจะมองเห็นสิงห์สีทองตั้งอยู่บนลานทางเข้าเลย ขับเข้าไปก็มีที่จอดรถให้เรียบร้อย พวกเราเข้าไปติดต่อที่กองอำนวยการจะมีรถรางให้บริการ โดยจ่ายเงินค่ารถรางเข้าชมไร่ในราคา 50 บาท ทางไร่จะมีน้ำสิงห์ให้มา 1 ขวดพร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่ของทางไร่นั้นคือซองชา มีชื่อว่า "เชคกุ" ชาจากไร่ไม่ผสมน้ำตาล ให้เราได้เชคๆกันในระหว่างรอรถรางเข้าชม รถรางจะมีรอบของการวิ่งทุกๆชั่วโมง แต่เอาจริงๆไม่ถึงครับพวกเราซื้อตั๋วรถรางกันเสร็จ ก็ไปถ่ายรูปกับสิงห์สีทองแป็บเดียว ทางกองอำนวยการประกาศเรียกให้มาขึ้นรถแล้ว เมื่อเราได้ขึ้นไปบนรถรางจะมีไกด์คอยเล่าประวัติไร่และแนะนำสถานที่ต่างๆ โดยรถรางจะจอดให้เราได้ถ่ายรูปกันใช้เวลาที่ละ 15-20 นาที โดยจุดที่จอดจะมี รถม้า ลานแสดงยีราฟ ม้าลาย วัวแดง ฮานีน่า นกแก้ว ลานกิจกรรมเอ็คตรีม Zipline และแปลงเมล่อน เกิดคำถามแล้วทำไมเราไม่ขับรถส่วนตัวเข้าไปเองเลยหล่ะ คำตอบคือขับเข้าไปได้นะครับ แต่สมารถเข้าไปได้แค่บางส่วนเท่านั้น ส่วนที่เข้าไปได้ก็จะเป็นลานกิจกรรมเอ็คตรีมและร้านอาหาร ส่วนของพื้นที่อื่นไม่สามารถเข้าไปได้ จะเข้าไปได้แค่ตอนนั่งรถรางเท่านั้นครับ การนั่งรถรางก็เหมือนกับการแนะนำสถานที่กันก่อน ให้เราได้รู้จักส่วนพื้นที่จัดแสดงต่างๆของไร่ครับ

    เราในเวลาในรอบของการนั่งรถรางประมาณ 45 นาที ชมไร่หลังจากนั้นก็เป้าหมายต่อไปของเรา คือมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ถามว่าไปทำไมมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ผมเคยได้ยินมาว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้สวยติดอันดับต้นๆของประเทศเชียว และอากาศดีมาก ก็เลยอยากไปให้เห็นกับตาก็ไปถึง สวยจริงๆครับสาวที่นี่ขาวๆทั้งนั้นเลย เฮ้ยไม่ใช่แล้ว เอาจริงๆมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงน่าอยู่นะ เรามาถึงก็ช่วงเที่ยงพอดีเลยก็หาอะไรรองท้องกันก่อนดีกว่า เลยเลือกไปที่อาคาร D1 มีร้านอาหารให้เลือกเต็มเลย แถมสาวๆเต็มด้วยที่นี่ ถ้าเทียบก็เหมือนกับศูนย์อาหารโรงช้าง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เลยครับ

    อิ่มท้องกันแล้วก็นั่งจิ้มอีกว่าในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีอะไรน่าสนใจอีกบ้างไปเจอมาที่นึงครับ นั่นคือศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร ไม่รอช้ารีบไปกันเลยครับ ที่นี่อยู่ไม่ไกลกันเลยกับอาคาร D1 ออกจากอาคารเลี้ยวขวาก็เจอทางเข้าเลยครับ ก่อนจะเข้าไปก็มีค่าบำรุงสถานที่ 10 บาท/คนครับ ที่นี่มีศาลากลางน้ำที่ออกแบบอย่างสวยงามเลยครับ แล้วยังรู้มาอีกว่าที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่องกลกิโมโนด้วยนะครับ

    ถ่ายรูปกันเมามันแล้ว ยังมีอีกสถานที่นึงที่น่าสนใจคือ วิหารพระเจ้าล้านทอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จากจุดนี้สามารถมองเห็นมหาวิทยาลัย 180 องศากันเลยครับ

    ชมวิวกันสบายใจแล้วก็ได้เวลามุ่งหน้าไปยังจุดต่อไป นั่นก็คือไร่ชาฉุยฟงซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ออกจากมหาวิทยาลัยแล้วมุ่งหน้าไปยังถนนหมายเลข 1 ขับไปประมาณ 27 กิโลเมตรก็ถึงยังไร่ชาฉุยฟงแล้วครับ จะมีป้ายบอกตลอดทางครับ ทางเดียวกันสามารถไปยังดอยแม่สลองได้ด้วยนะครับ แต่พวกเราไม่ได้เข้าไปเพราะด้วยเวลาอีกเช่นเคย เพราะต้องมุ่งหน้าไปยังภูชี้ฟ้าก่อนค่ำ เพราะด้วยเส้นทางที่ไม่คุ้นชินอาจจะทำให้เป็นอันตรายได้นะครับ แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ควรจะเดินทางไปให้ถึงก่อนเย็นจะดีที่สุด พวกเราใช้เวลาที่แม่ฟ้าหลวงเยอะไปหน่อยทำให้การเดินทางของเราพลาดไปยังดอยแม่สลอง จริงๆเป็นอีกที่นึงเลยที่น่าสนใจ แต่ไม่เป็นไรครับอย่างที่บอกถ้าไปหมดจะไปสนุกอะไรกันหล่ะครับ ต้องไปใหม่อีกครั้งนึงถึงที่แหล่ม ครั้งนี้ถือว่าไปชิมรางไปศึกษาเส้นทางสถานที่กันก่อนครับ ไปครั้งหน้าจะบริหารเวลาได้ถูกต้องและเก็บให้หมดยังจุดที่เหลือ กลับมาถึงทางเข้าไร่ชาฉุยฟงมีป้ายทางเข้าบอกอยู่นะครับ ระหว่างทางพวกเราก็สังเกตุข้างทางมาตลอดไหนไร่ชาหวาไม่เห็นสักนิดนึงเลย หรือว่าเราหลงทางไม่นะคงไม่หลงหรอกมั้ง ตอนนั้นให้กำลังใจตัวเองเพราะป้ายก็บอกให้มาทางนี้ เพราะสองข้างทางมีแต่สับปะรดเต็มเขาเลยครับ ไม่มีต้นชาสักต้นเลย ขับลัดเลาะเข้าไปอีกสักหน่อย พวกเราเห็นไร่ชาเต็มเขาเลยครับ มันน่าตื่นตาตื่นใจมาก พวกเรามาถึงแล้วครับ นี่หรือไร่ชาฉุยฟงที่เค้าพูดถึงกันมาก ที่นี่มีร้านกาแฟเบเกอรี่ให้บริการกันด้วยนะครับ มาถึงที่นี่ทั้งทีมีหรือที่จะพลาดชิมชาและเบเกอรี่ของที่นี่ ผมสั่งชาเขียวปั่นถั่วแดงกับโรลชาเขียว สองอย่างนี้ก็หมดไป 190 บาทครับ สั่งน้ำมา 3 แก้วกับขนม 2 อย่างหมดไป 450 บาท แม่จ้าวไม่อร่อยสิน่าดูพอได้ลองชิมดูก็ถึงกับต้องบอกว่าอร่อยใช้ได้เลย แต่อาจจะติดหวานไปนิดนึงแต่ก็พอไหวครับ

    ก่อนจะเดินทางไปยังที่ต่อไป นั่นก็คือภูชี้ฟ้าพวกเราขับผ่านจุดที่ต้องบอกว่าสวยอีกจุดนึงเลย เพราะจุดนี้ผมเคยเห็นเพื่อนเคยมาอบรมการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งกันที่นี่ ไร่ชาเป็นแนวสวยเชียวครับ ครั้งนี้พลาดไม่ได้เข้าไปดอยแม่สลองแต่ครั้งหน้าไม่พลาดหน้า มันด้วยเวลาที่บีบเราด้วยทำให้ไม่ได้เข้าไปครับ มองดูระยะทางที่ต้องเดินทางต่อ กับเวลาที่ต้องไปให้ถึงที่พักก่อนค่ำก็ต้องทำเวลากันยกใหญ่ครับ ระยะทางจากไร่ชาฉุยฟงถึงภูชี้ฟ้า 125 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่งครับ เป้าหมายของเราอยู่ที่ Goodview@ภูชี้ฟ้า ซึ่งที่พักห่างจากลานจอดรถขึ้นภูชี้ฟ้าเพียงแค่ 2 กิโลเมตรเท่านั้นเองครับ ซึ่งที่พักที่นี่จะมีให้เราเลือกทั้งแบบบ้านพักถ้ากรณีมาเป็นครอบครัว และแบบกางเต็นท์ก็มีนะครับ ราคาสำหรับแบบกางเต็นท์อยู่ที่ 500 บาทนอนได้ 3 คนห้องน้ำรวมครับ และแบบบ้านพัก 1,500 บาทนอนได้ 3 คนเช่นกันห้องน้ำในตัว จริงๆพวกเราจองกันมาแบบกางเต็นท์ครับ แต่ช่วงที่เราไปนั้นนักท่องเที่ยวยังไม่เยอะเท่าไร ทางที่พักก็เลยแนะนำให้เราพักแบบบ้านพักเพราะคืนนั้นเหมือนฝนกำลังจะมาด้วย พวกเราก็เลยตัดสินใจเลือกแบบบ้านพักกันครับ พวกเราเดินทางกันมาทั้งวันก็ต้องขอพักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้มีนัดกับการล่าช้างในช่วงเช้าตรู่ครับ

    • โพสต์-3
    New •  ธันวาคม 13 , 2559

    วันที่ 3 ของทริปนี้

     

    นาฬิกาปลุกดังขึ้นเวลา 03.00 น. ลมแรงมาพร้อมกับความหนาวที่เกิดขึ้น นั่งดูอุณหภูมิตอนนั้น 19 องศา กำลังสบายเลยครับ หันไปเห็นพระจันทร์วันนี้ีสีแดงเลยครับ เหมือนกำลังโศกเศร้าอยู่ ใช่ครับเราโศกเศร้ากับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศอยู่ครับ แต่การเดินทางของเราก็ยังดำเนินต่อไปครับ สำหรับเช้านี้เรามีนัดกับช้างจะไปถ่ายทางช้างเผือกกันครับ สอบถามจากที่พักบอกว่า ภูชี้ฟ้าเปิดเวลา 04.00 น. ก็กว่าพวกเราจะเตรียมตัวขับรถขึ้นไปยอดภูชี้ฟ้า ก็เวลาใกล้จะตี 4 พอดีครับ เมื่อมาถึงลานจอดรถบนภูชี้ฟ้าตอนนั้นมึดมาก มองเห็นไฟฉายที่ติดบนหัวชาวดอย ที่มาจัดเตรียมขายของที่ระลึก ขายอาหารกันเต็มไปหมดเลยครับ เด็กชาวดอยเดินเข้ามาถามพี่ต้องการเอาไกด์ไหมคะ เดี๋ยวหลงนะคะ พวกเราตอบไปว่าไม่เป็นไรครับ เดินมุ่งหน้าขึ้นไปสู่ยอดภูชี้ฟ้า มองเห็นป้ายบอกระยะทางจากจุดนี้ไปถึงยอดภู 700 เมตร พวกเราเดินส่องไฟฉายอย่างกับผู้ชำนาญทาง ซึ่งแท้จริงแล้วไม่เลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปทางไหน แค่เห็นมาเส้นทางที่คิดในใจใช่แหละ ระหว่างทางต้องบอกเลยว่าส่องไปส่องมาทีแรกก็เข้าใจว่าตัวอะไรว่ะ สีดำๆคล้ายไส้เดือนระหว่างทาง พอเข้าไปใกล้ๆเท่านั้นแหละครับ ไม่ใช่ไส้เดือนแล้วแหละ แต่เป็นทากครับ ได้ยินมาว่าทากเมื่อเจอความความจากภายนอกก็จะดีดๆ ก็เป็นจริงอย่างนั้นเลยครับ ไม่เคยเห็นในรีวิวจะบอกเลยว่ามีทาก ก็เลยไม่ได้เตรียมแป้งหมัดหมามาด้วย ช่วยได้นะครับกันทากครับ ใครมาภูชี้ฟ้าช่วงเช้าๆตรู่อากาศชื้นๆเตรียมกันมาด้วยนะครับ พวกเราเจอสภาพนี้แทนที่จะเดินแบบสโลไลฟ์ก็ต้องเขย่งเดินบ้างวิ่งบ้างอย่างไว เพราะต้องคอยระวังอย่าให้ทากมาเกาะตามตัวได้ เพราะใส่ขาสั้นไปนี่ไม่ได้ใส่ขายาวไปด้วย มาถึงจุดที่คิดว่าน่าจะมองเห็นช้างกันแล้วครับ ตรงนั้นมึดมากจนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเลย สวยมากครับบนนี้ แต่ต้องบอกก่อนว่าพวกเราไม่มีประสบการณ์ถ่ายช้างกันหรอก ถ่ายแต่สาวๆเป้นอย่างเดียว เอาไงวะมั่วเอาก็ได้ครับ แต่ก่อนจะเล็งมุมกันก่อนหน้านี้ผมโหลดแอปมาตัวนึง Star Chart ไว้เล็งว่าช้างจะอยู่ประมาณไหน ได้มุมกันแล้วก็ตั้งขาตั้งกล้องแล้วถ่ายกันเลยครับ มันไม่ง่ายเลยนะที่จะถ่ายออกมาสวยๆอย่างคนอื่นเค้า ยังต้องฝึกกันอีกเยอะ แต่อย่างน้อยก็ได้มาเห็นกลับตาตัวเองว่าสวยขนาดไหน ได้รู้มาอีกว่าจะถ่ายช้างให้สวยต้องดูเดือนมึด จะได้มองเห็นชัดกว่านี้นะครับ ไปครั้งหน้าต้องไม่พลาดครับครั้งนี้ดูภาพธรรมดาๆไปก่อนนะครับ ลงมาจากยอดภูก็มีร้านค้าขายอาหารและของที่ระลึกจากชาวดอย ให้ได้เลือกซื้อเลือกหากันได้ตามสบายเลยนะครับ

     

    ถ่ายรูปชมวิวสวยๆสูดอากาศกันเต็มปอด ก็ถึงเวลาที่เราต้องจากภูชี้ฟ้า เพื่อจะมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายต่อไปนั่นก็คือ บ้านแม่กำปองครับ คืนนี้พวกเราจะพักกันที่นั่น ใจจริงๆอยากจะไปให้ถึงแม่สายด้วยนะครับ แต่ดูจากระยะทางแล้ว ถ้าไปแม่สายด้วย พวกเราจะไปถึงบ้านแม่กำปองดึกแน่ๆ ซึ่งทางที่พักเค้าก็แนะนำมานะครับ ให้มาถึงก่อนช่วงเย็นเพราะเส้นทางมันมีโค้งหน่อย บวกกับทางลาดชัน ถ้าไม่ชำนาญเส้นทางอาจจะเป็นอันตรายได้ครับ ซึ่งก่อนจะออกมาจาก Goodview@ภูชี้ฟ้า ผมก็ลองดูว่าจะผ่านที่ไหนบ้างนะ จะได้แวะกันสักหน่อยก่อนจะถึงบ้านแม่กำปอง เพราะถ้าพวกเราไม่ได้ไปแม่สาย ก็จะยังพอมีเวลาเหลือที่จะแวะได้อีกสักที่ แต่ก่อนจะจากที่พักที่ Goodview@ภูชี้ฟ้า ไปก็ถ่ายรูปมาฝากกันสักหน่อย เผื่อคนที่สนใจจะได้ไปพักกันนะครับ มีลานกางเต็นท์ให้หรือจะแบบบ้านพักก็มีนะครับ

    สามารถติดต่อที่พักได้ที่คุณออมสิน 089-1186444 ครับ

    ผมขับรถมาเจอป้ายบอกทางเข้าไป "ไร่เชิญตะวัน" ซึ่งก่อนหน้านี้ผมคิดไว้ว่าอยากจะไปนะครับ ซึ่งขับรถมาเจอพอดีเลย ไม่รอช้าเข้าไปในไร่เลย ที่นี่กว้างพอควรเลยครับ ระหว่างที่พวกเราเข้าไปก็มีกลุ่มบุคลากรและนักเรียนมาที่นี่กันเยอะเลย แต่เสียดายที่ไม่ได้เจอท่านว.วชิรเมธี จะได้ขอคำแนะนำเรื่องคิดบวกสักหน่อย ช่วงที่พวกเราไปท่านไปกรุงเทพพอดีก็เลยไม่เจอท่านครับ ภายในไร่ร่มรื่นมาก ไร่ได้จัดโซนผู้เข้าชมหลายจุดน่าสนใจมากครับ มีจุดที่ทำพิธีการ จุดร้านอาหารร้านน้ำ จุดที่มีธรรมะสอนใจ และหอศิลป์ว.วชิรเมธี จุดนี้น่าสนใจมากครับ เพราะแสดงงานศิลป์ของเหล่าบรรดาอาจารย์ชื่อดังอย่างอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี และอีกหลายๆท่านเลยครับ ไฮไลท์จะอยู่ที่รูปวาดของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนีที่มีมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ที่จัดแสดงอยู่ภายในหอศิลป์ครับ พวกเราพลาดที่นึงที่ไม่ได้ไปนั่นคือบ้านดำ ซึ่งทีแรกอยู่ในแพลนเหมือนกัน แต่อย่างน้อยไม่ได้ไปที่นั่นก็ได้มาเห็นผลงานของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนีที่นี่ก็ดีใจแล้วครับ

     

     

    ออกจากไร่เชิญตะวันพวกเรามุ่งหน้าไปสู่บ้านแม่กำปองกันเลยครับ พวกเราถึงบ้านแม่กำปองประมาณ 16.00 น.เอากระเป๋าเข้าที่พักแล้วก็ไปถ่ายภาพกันจุดแรกเลยที่น้ำตกแม่กำปอง แหล่งต้นน้ำที่ไหลลงไปสู่หมู่บ้านครับ ถ่ายรูปน้ำตกกันเสร็จก็เริ่มจะหิวพวกเราจึงเดินหาร้านอาหารกัน ไปเจอร้าน "เฮือนกาแฟ" ร้านนี้มีคนรีวิวไว้เลยมาลองกันดู ที่สำคัญเค้าบอกว่าราคาไม่แพงครับ ไม่รอช้าจัดไปครับ

     

    ในส่วนของที่พักพวกเราพักกันที่ "บ้านพักลุงปุ๊ด฿ป้าเป็ง" บริการที่พักในราคา 650 บาท/คน จะมีคูปองให้ไปแลกข้าวต้มในตอนเช้าที่ร้านกาแฟกับวาฟเฟิลครับ แต่ไม่มีอาหารเย็นให้นะครับ อาหารเย็นสามารถเดินหาทานกันได้ มีหลายร้านที่น่าสนใจมาก แต่ร้านอาหารจะปิดเร็วหน่อยครับ เนื่องจากชาวบ้านแม่กำปองจะนอนแต่หัวค่ำ จึงมีข้อปฏิบัติงดส่งเสียงดังหลัง 21.00 น.ครับ มีอีกเรื่องนึงที่อยากจะบอกเกี่ยวกับบ้านพักและร้านกาแฟลุงปุ๊ด&ป้าเป็งนะครับ ที่พักและร้านกาแฟคนละเจ้าของกันครับ แต่ใช้ชื่อเดียวกันทีแรกผมก็วาดไว้เลยว่าสงสัยบ้านพักจะอยู่ตรงร้านกาแฟ เอาเข้าจริงพี่แม่บ้านพาไปบ้านพักคนละที่กันครับ แต่อยู่ไม่ไกลจากร้านกาแฟครับ เดินเข้าไปในซอยนิดเดียวเอง บ้านพักสบายมากครับห้องน้ำรวมนะครับ มีเสียงน้ำตกไหลบ้านด้วย ชิวๆชิคๆมากครับ อีกอย่างนึงที่ลืมไม่ได้นะครับ ทางที่พักไม่มีผ้าเช็ดตัวให้นะครับต้องเตรียมมาเองนะครับ


    สามารถติดต่อห้องพักได้ตามลิ้งนี้เลยนะครับ https://www.facebook.com/maekampong.homestay

    การเดินทางยังไม่จบนะครับ พรุ่งนี้เป้าหมายต่อไปที่เราจะไปนั่นก็คือร้านกาแฟบนต้นไม้ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ The Giant Chiangmai ครับและมุ่งหน้าต่อไปยังป่าบงเปียง ที่นี่มีอะไรโปรดติดตามตอนต่อไปในการเดินทางวันที่ 4 ครับ
    • โพสต์-4
    New •  ธันวาคม 28 , 2559

    วันที่ 4 ของทริปนี้

     

    เช้านี้ตื่นมาพร้อมกับอากาศกำลังดี กับหมอกจางๆในหมู่บ้านแม่กำปอง เช้านี้พวกเราจะไปยังจุดแรกคือหน้าร้านกาแฟลุงปุ๊ด&ป้าเป็งครับ เพราะจุดนี้จะว่าไปเหมือนเป็นไฮไลท์ของการมาที่นี่เลยก็ว่าได้ เพราะหลายคนที่เคยมาที่นี่ก็จะมาถ่ายรูปยังจุดนี้ ซึ่งถ้าสายๆหน่อยคนต้องเยอะแน่นอน แต่ก่อนจะออกจากที่พักไปก็ถือโอกาสถ่ายรูปรีวิวที่พักให้ที่นี่สักหน่อยครับ เผื่อเพื่อนๆสนใจก็สามารถติดต่อจองที่พักกันได้ครับ

    เดินทางออกจากที่พักพวกเราก็มุ่งหน้าไปถ่ายรูปกันหน้าร้านกาแฟลุงปุ๊ด&ป้าเป็งกันก่อนที่จะไปยังอีกจุดที่ใครมาถึงที่นี่ก็ไม่ควรพลาดกับร้านชมนกชมไม้ ตอนพวกเราไปร้านยังไม่เปิดเลยครับ ร้านจะเปิดในเวลา 08.00 น.นะครับ นั่งรอกันสักพักมีน้องที่ดูแลร้านเดินออกมา พวกเราไม่รอช้าถามว่าเข้าไปถ่ายรูปได้ไหม น้องเค้าก็บอกว่าได้เลยค่ะพี่ วิวจุดนี้สวยมากนะครับ สามารถมองลงไปเห็นหมู่บ้านแม่กำปองด้วย จิบกาแฟเบาๆฟังเสียงนกนั่งชมวิวมันสโลไลท์มากครับ เหมือนที่หลายๆคนบอกว่าที่นี่เมืองแห่งสโลไลท์ชิคๆ

    นั่งชิวกันพอหอมปากหอมคอแล้วเริ่มรู้สึกหิวครับ จำได้ว่าที่พักให้คูปองมาแลกโจ๊กหมูกับวาฟเฟิลที่ร้านกาแฟลุงปุ๊ด&ป้าเป็ง พวกเราก็ไปนั่งทานอาหารเช้ากันก่อนที่จะไปต่อยังจุดต่อไปครับ ถึงร้านคนเยอะมากครับก็อย่างที่คาดไว้เลยว่าถ้าไม่ออกมาเช้าไม่ได้ถ่ายแน่ๆหน้าร้าน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ

    เสร็จจากร้านกาแฟได้ยินมาว่าที่นี่มีวัดที่มีโบสถ์กลางน้ำด้วย ตั้งอยู่ที่วัดคันธาพฤกษาครับ พวกเราก็เลยไปดูกันสักหน่อยครับ โบสถ์กลางน้ำสวยดีครับร่มรื่นมาก เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางน้ำตกที่ไหลผ่านโบสถ์พอดีเลย ในสภาพภูมิอากาศที่เย็น และมีความชื้นตลอดทั้งปี ทำให้บนหลังคาอุโบสถหลังเก่า ของวัดคันธาพฤกษามีทั้ง ตะไคร่น้ำมอสและเฟิร์น ชึ้นปกขึ้นอยู่เต็มไปทั่วบริเวณ ทั้งทางเดิน ตาม ที่ต่างๆทั่ววัด และทั้งหมู่บ้าน แม่กำปอง มองทางไหนก็เห็นเป็นสีเขียวสบายตา เป็น Unseen อีกแห่งหนึ่ง ไม่ควรพลาด โบสถ์แม้เก่าและอาจทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่ยังคงความสวยงาม และมีมนต์ขลัง

    วัดคันธาพฤกษายังมีมีวิหารที่ทำด้วยไม้สักทอง แกะสลักลวดลายวิจิตรงดงาม เป็นงานสถาปัตยกรรมที่สำคัญของชุมชนเป็นโบสถ์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรม ทางศาสนา โดยปลูกไว้กลางน้ำและมีน้ำเป็นใบเสมา ในภาคเหนือเหลือเพียง 2 แห่ง คือ ที่ อำเภอแม่แจ่ม และ ที่วัดคันธาพฤกษา ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโบสถ์กลางน้ำที่มีความสวยงามและสงบ

    หลังจากที่พวกเราได้แวะถ่ายรูปกันที่วัดแล้ว ก็หิวกันแล้วก็เลยไปยังร้านลุงปุ๊ด&ป้าเป็ง ซึ่งที่นี่เหมือนเป็นจุดเช็คอินของบ้านปม่กำปองเลยก็ว่าได้นะครับ เพราะจำได้ว่าผมเห็นรีวิวครั้งแรกก็เห็นภาพที่นี่แหละ ซึ่งมันดูชิคๆคลาสสิคดีนะจุดนี้ ที่ร้านก็มีทั้งกาแฟ ขนมและอาหารเช้าบริการให้ด้วยนะครับ

    หลังจากอิ่มท้องกันแล้วคนเริ่มเยอะก็เลย ออกมาเดินชิวๆชิคๆเก็บภาพกันอีกสักหน่อย วิถีแบบชาวบ้านๆกับอากาศกำลังเย็นสบาย ทำให้ได้คำตอบว่าทำไมต้องมาที่นี่"บ้านแม่กำปอง"

     

    ถึงเวลาโบกมือลาบ้านแม่กำปอง แล้วมุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป นั่นก็คือนาขั้นบันไดป่าบงเปียง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถ้าคำนวณเส้นทางแล้วก็ระยะทาง 170 กว่ากิโล แต่ตรงนี้ต้องระวังในการกด GPS กันหน่อยนะครับ เพราะถ้าเซิร์ตหามันจะขึ้นว่า บ้านระเบียงนา ป่าบงเปียง ซึ่งต้องบอกว่าผมหลงไปกันมาแล้ว มีครับนาขั้นบันได แต่มันไม่ใช่ไงครับ เพราะที่นี่คือโฮมสเตย์วิวนาขั้นบันได้ เรามายังจุดนี้ใช้เวลาพอสมควร กับเส้นทางที่โหดเอาการ สำหรับคนที่ชำนาญทางหรือมีทักษะการขับรถไม่ดีพอ บอกได้เลยตกเขาไปหลายคันแล้วนะครับ

    พวกเราเลยตัดสินใจขึ้นไปยังดอยอินทนนท์กันก่อน เพราะถ้านับจากจุดตรวจที่ 2 ก็ห่างกันไม่กี่กิโล เราจะมาถึงจุดสูงสุดของประเทศไทยกันแล้ว ส่วนตัวผมมาหลายครั้งแล้วกับที่นี่ แต่ทีมงานยังไม่ได้มากันเลยต้องพาไปกันสักหน่อย ช่วงเวลาที่พวกเราไปกัน ก่อนที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานจะเปิด ทำให้เราพลาดโอกาสที่จะได้ไปถ่ายรูปวิวสวยๆตรงที่หลายๆคนเคยไปถ่ายรูปกันมาแล้ว กิ่วแม่ปานจะเปิดในวันที่ 1 พฤศจิกายนของทุกปีนะครับ ใครจะไปก็ศึกษากันให้ดีๆนะครับ จะได้ไม่พลาดโอกาสไปชมวิวสวยๆกันครับ

    ภายหลังจากที่ได้พาทีมงานขึ้นไปยังจุดสูงสุดของประเทศไทยกันแล้ว จากจุดตรวจที่ 2 มายังจุดนี่ห่างไม่กี่กิโล แต่เชื่อไหมว่าอุณหภูมิช่างต่างอะไรขนาดนั้น วันนั้นเวลาประมาณบ่าย 3 แต่อุณหภูมิบนยอดดอยอยู่ที่ 14 องศาจ้า บอกตรงๆไม่ได้เตรียมเสื้อหนาวอะไรมาเลย ใส่เสื้อยืดเพรียวๆไปถ่ายรูปกันเลยจ้า แต่ด้วยความที่มีไขมันส่วนตัวเยอะก็ยังเอาอยู่ อากาศกำลังดีครับ มันเหมือนเป็นความโชคดีที่ได้เจอกับรุ่นพี่สมัยเรียนครับ โดยไม่ได้นัดหมายด้วย เค้าบอกว่าจะไปป่าบงเปียงด้วยพอดี เค้าก็เลยแนะนำเส้นทางมาให้พวกเราได้เดินทางไปกัน

    พี่เค้าบอกมาว่าจากจุดตรวจที่ 2 นับไปประมาณ 8-9 กิโลจะถึงทางเข้าน้ำตกแม่ปาน ให้เลี้ยวขวาเข้าไปได้เลย จะถึงที่ทำการน้ำตกแม่ปาน จากจุดนี้พวกเราต้องจอดรถไว้ที่นี่ แล้วต้องเข้าไปด้วยรถออฟโรส ซึ่งจะมีพี่คนในหมู่บ้านให้บริการอยู่นะครับ ราคาก็จะอยู่ที่ไปกลับ 700 บาท ด้วยระยะทาง 2 กิโลเมตรกับถนนลูกรังบอกเลยว่าไม่แพงเลยครับ ช่วงที่พวกผมไปกัน บังเอิญเจอน้องหมอชายหนุ่มที่มาเที่ยวเพียงคนเดียว ขอมาแชร์ค่ารถกับพวกเราด้วย พวกเราก็ประหยัดไปนิดนึง

    เมื่อมาถึงป่าบงเปียงบอกได้เลยว่าแม่จ้าวเว้ย นี่ไงใช่เลยป่าบงเปียงที่เคยเห็นในภาพถ่าย ที่เหล่าบรรดานักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือน เป็นต้องบอกว่าสวยจริงๆครับ ไม่เสียแรงที่เดินทางกันมาไกลเพื่อที่นี่

    ผมได้มีโอกาสคุยกับพี่ชัย-ปน เค้าบอกให้ผมเรียกว่าอย่างนั้น หากถ้าได้มีโอกาสกลับมาครั้งหน้าก็สามารถติดต่อเค้ามาได้เลย เค้ายินดีจะมาเป็นไกด์ให้ จากที่ได้คุยกันเค้ามีโครงการจะทำโฮมสเตย์ที่ป่าบงเปียงด้วย ในราคาไม่แพงรวมอาหาร 2 มื้อคือมื้อเย็นและมื้อเช้า ในราคา 500-1000 บาท ก็น่าสนใจอยู่นะครับใครมีโอกาสไปป่าบงเปียงก็ลองติดต่อพี่ชัยไปได้นะครับที่เบอร์ 093-2744692 ผมทำตามสัญญาแล้วนะครับพี่ชัย-ชน ที่บอกว่าจะช่วยโปรโมทให้พี่แล้วหาลูกค้าให้พี่ครับ

    เสร็จจากป่าบงเปียงพวกเรามีนัดกับงานมงคลสมรสของรุ่นพี่หนุ่มใต้กับสาวเหนือ ในตัวเมืองเชียงใหม่ตอนนั้นเวลา 6 โมงเย็นแล้วจะไปทันไหม ระยะทางก็ไม่ได้ใกล้กันเลยจากจุดนี้ เร่งทำเวลาไปให้ถึงงานโดยไวครับ แพลนวันรุ่งขึ้นก่อนจะกลับกะว่าจะไปสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เพราะได้ยินมาว่าที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างเลย และที่สำคัญผมไปเชียงใหม่มาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เคยเข้าไปที่นี่เลย ผ่านตลอดเพราะเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปม่อนแจ่มครับ ม่อนแจ่มเคยเขียนรีวิวไปแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ครั้งนี้เลยขอรีวิวที่นี่แทนนะครับ

    • โพสต์-5
    New •  สิงหาคม 26 , 2560

    วันสุดท้ายของทริปนี้

     

    เริ่มต้นมื้อเช้ากับร้านที่หนึ่งในทีมงานหาข้อมูลมาจากเว็บไซต์แนะนำมา ก็เลยลองไปกันดูกับร้านที่มีชื่อว่า Rustic&Blueครับ

    ตั้งอยู่ที่: ถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 7 (เข้ามาประมาณ 100 เมตร ร้านอยู่ขวามือ) ต.สุเทพ , อ.เมืองเชียงใหม่

    วันและเวลาเปิด-ปิดให้บริการ :  อังคาร – ศุกร์ 08:30 – 17:00 น. , เสาร์-อาทิตย์ 08:30 – 22:00 น.

    ร้าน Rustic & Blue - Handgrown Produce & Artisan Food  เป็นคาเฟ่อาหารโฮมเมดสไตล์ฝรั่ง อาหารเพื่อสุขภาพ และ จิบชาหอมกรุ่นจากทั่วทุกมุมโลก  ในบรรยากาศร้านแบบฮิปสเตอร์ เก๋ๆ ใจกลางถนนนิมมานเหมินทร์ เมนูฝรั่งเหมาะกับคนรักสุขภาพครับ แต่ราคาอาจจะแพงไปหน่อยครับ ครั้งนี้ผมยังพลาดที่จะได้ชิมชาอร่อยๆจากที่นี่ แต่ได้ชิมเมนูอาหารนะครับก็อร่อยดี แต่ครั้งหน้าไม่ ก็จะได้มาแนะนำเพิ่มเติมในครั้งต่อๆไปนะครับ ตอนนี้ก็ชี้จุดให้คนที่สนใจไปลองกันก่อนครับ

    ที่ตั้งตามลิ้งเลยนะครับ: https://www.google.com/maps/@18.798222,98.967472,17z?hl=en-US

    จุดต่อไปที่เราจะไปกันในวันนี้ก็คือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ผ่านมาหลายครั้งแต่ยังไม่เคยเข้าไปสักครั้งนึงเลยกับที่นี่ ซึ่งครั้งนี้ก็ตั้งใจไว้ว่าจะไปรีวิวที่นี่สักหน่อย เพราะได้ข่าวมาว่าที่นี่มีโซนพืชกินแมลง โซนป่าดิบชื้น โซนพืชทนแล้ง โซนพืชสมุนไพร โซนบัว โซนไม้น้ำ โซนสับปะรดสี โซนกล้วยไม้ และสวนกุหลาบที่เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบต้นไม้ดอกไม้ ให้ได้ไปศึกษาและถ่ายภาพกันครับ ในพื้นที่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ยังมีจุดที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลย นั่นคือทางเดินเหนือเรือนยอดไม้ ซึ่งในวันที่พวกเราไปฝนตก ที่นี่ปิดครับเนื่องจากตัวทางเดินทำด้วยเหล็ก อาจจะเสี่ยงต่อฟ้าผ่าได้ครับ พวกเราจึงพลาดได้รีวิวจุดนี้ไป ก็อยากจะแนะนำว่าถ้าจะไปที่นี่ให้ดูสภาพอากาศดีๆนะครับ จะได้ไม่พลาดโอกาสดีๆครับ 

    อัตราค่าเข้าชมนะครับ ผู้ใหญ่ 40 บาท, เด็ก 10 บาท, รถยนต์ 100 บาท, รถบัส 200 บาท

    ซึ่งจุดที่ดูเหมือนจะเป็นไฮไลท์ของที่นี่นี่น่าจะเป็นเรือนพืชทนแล้ง ที่ไม่ว่าใครต่อใครเห็นก็ดึงดูดใจให้เข้าไปถ่ายรูปกันครับ

    นอกจากโซนที่เป็นพืชทนแล้งแล้วยังมีโซนอื่นที่น่าสนใจอีกที่นั่นคือ โซนป่าดิบชื้น จุดนี้จะมีทางเดินขึ้นไปทำให้มองเห็นวิวมุมสูงของทุกโซนครับ

    ถัดจากโซนนี้ก็ยังมีโซนพืชกินแมลงที่น่าสนใจอีกนะครับ แต่ในช่วงที่ผมไปโซนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้การดูแลเท่าที่ควร เพราะต้นไม้ที่ไปชมดูไม่ค่อยสมบูรณ์ ถ้ามีโอกาสก็จะจะแนะนำไปยังสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ให้มาดูแลตรงส่วนนี้ด้วย จะได้มีมุมสวนๆไว้ให้ท่องเที่ยวได้ชมนะครับ

    อีกโซนที่แนะนำครับนอกเหนือจากโซนที่นำเสนอไปนั่นคือ โซนของการนำเสนอชนเผ่าต่างๆที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ และยังนำเสนอในเรื่องของวิถีความเป็นอยู่ การแต่งกาย อาหารการกินของชนเผ่าต่างๆ เช่น ชนเผ่าลัวะ ชนเผ่าม้ง ชนเผ่ากระเหรี่ยง เป็นต้น

    ถัดจากโซนนี้เป็นโซนของบัว ที่คนรักบัวไม่ควรพลาดเลยนะครับ เพราะบัวที่นี่มีให้ได้ศึกษาและได้ถ่ายภาพกันเต็มเลยนะครับ ซึ่งที่นี่บัวสวยจริงๆครับ มีหลากหลายชนิดที่เคยเห็นแต่ในหนังสือ แต่มาเห็นของจริงแล้วต้องร้องโอ้ววววมันยอดมากจริงๆครับ เหมือนจะเป็นของปลอมเลย แต่ต้องบอกว่าของจริงล้วนๆเลย มีโอกาสมากันนะครับกับที่นี่โซนบัวครับ

    การเดินทาง ก็ตั้งอยู่บนนถนนสาย 1096  แม่ริม - สะเมิง  ทางเดียวกับที่ไปม่อนแจ่มเลยครับ แต่สวนพฤกษศาสตร์สิริกิติ์จะถึงก่อนนะครับ ซึ่งห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 43 กิโลเมตรเท่านั้นเองครับ จากมาด้วยรถส่วนตัวหรือจะมากับรถแดงก็ได้นะครับ

    จบจากที่นี่ผมขอแยกกับทีมงานไปก่อน เนื่องจากนัดกับเพื่อนที่อยู่เชียงใหม่ไว้ จะขอแวะไปหาคั่วไก่นิมมาน Iberry ชีวิตชีวา กันก่อนกลับอีกสักหน่อยครับ ส่วนของรีวิวสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ คงเหลือเส้นทางเดินเหนือเรือนยอดไม้ที่ยังไม่ได้ไป คงต้องเก็บเอาไว้รีวิวในครั้งหน้านะครับ

    มาถึงร้านคั่วไก่นิมมานที่บ่นอยากกินมาหลายครั้งแล้ว ครั้งได้กินสมใจสักทีต้องขอบคุณเพื่อนโยด้วยจริงๆ ที่พาผมมากินสักที ได้ลองคั่วไก่ร้านนี้ต้องบอกเลยว่าสุดยอดจริงๆ สมกับที่ใครต่อใครบอกว่าบอกเชียงใหม่อย่าลืมมากินคั่วไก่นิมมานนะ เสร็จจากคั่วไก่นิมมานติดกันเลยก็เป็นร้าน Iberry ที่ไปมาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่ไม่เคยได้เจอพี่โน็ตสักครั้งนึงเลย มาจัดไอศกรีมกันสักหน่อยครับ เดินเข้าไปภายในร้านนึกว่าอยู่เมืองจีน คนจีนเต็มร้านเลยจ้าจะเยอะอะไรกันแบบนั้น ยังนึกถึงเดี่ยวที่พี่โน็ตพูดถึงร้านอยู่เลยฮาเหมือนกัน

    จบจากร้าน Iberry เพื่อนบอกอยากกินบิงซู ชวนผมบอกไปกินไหม ร้านอยู่ไม่ไกลจากสนามบินเลยแหละ อยู่แถวสีแยกแอร์พอร์ตสนใจไหม ผมก็เลยตอบกลับไปว่าได้หมด แล้วแต่คนพาไปเลยเพื่อนก็เลยพาไปกินบิงซูต่อกันอีกที่ร้าน ชีวิตชีวา ร้านนี้คนเยอะมากเพื่อนบอกจะกินบิงซูต้องร้านนี้เลยนะอร่อยมาก ผมก็ไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไรหรอก แต่พอได้ชิมแล้ว ก็เป็นอย่างที่เพื่อนว่าจริงๆอร่อยอ่ะ จึงต้องมารีวิวบอกต่อสำหรับคนที่มีโอกาสไปเชียงใหม่แล้วมองหาบิงซูอร่อยๆไปเลยครับร้านนี้แนะนำครับ

    จบทริปเชียงใหม่-เชียงรายกันสักทีนะครับ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มีเวลาเขียนให้จบสักที จนวันนี้เขียนจบแล้วนะครับ รวมการเดินทาง 4 คืน 5 วัน กับค่าใช้จ่ายตลอดทริป 5,100 บาท เกินงบที่ตั้งไว้ไป 100 บาท จากมื้อเช้าของวันก่อนกลับรวมๆถือว่าคุ้มสุดคุ้มเลยครับ มีโอกาสคงจะมารีวิวให้กับทุกคนที่ติดตามกันมาให้ได้อ่านอีกนะครับ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ