เที่ยวเนิบ เนิบ...นครพนม

"พระธาตุพนมค่าล้ำ วัฒนธรรมหลากหลาย เรณูผู้ไท เรือไฟโสภา งามตาฝั่งโขง"

 

นครพรมเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนลาว คนญวน หรือคนจีน สถานที่ท่องเที่ยวของนครพนมจึงมีความหลากหลายเช่นกัน ไปดูกันว่าที่นครพนมมีอะไรให้ชมให้ชิมกันบ้างครับ

ขอเริ่มที่ "พระธาตุพนม" เป็นจุดแรก ผมเชื่อว่าพระธาตุแห่งนี้มีความสำคัญต่อจังหวัดนครพนมเป็นอย่างมาก เพราะดูจากตราประจำจังหวัดนครพนม ยังเป็นรูปองค์พระธาตุพนมเลยครับ

พระธาตุพนมประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร องค์พระธาตุที่เห็นอยู่ ณ ปัจจุบันเป็นองค์พระธาตุที่สร้างขึ้นมาแทนพระธาตุองค์เดิม จากผลการขุดค้นทางโบราณคดีลงความเห็นว่าพระธาตุองค์เดิมสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ.1200-1400 โดยพระมหากัสสปะ พระอรหันต์ 500 องค์ และท้าวพระยาเมืองต่างๆ จนมากระทั่งปี 2518 เกิดพายุพัดแรงติดต่อกันมาหลายวัน ประกอบกับความเก่าแก่ขององค์พระธาตุ จึงได้เกิดการพังทลายลงมา ต่อมาญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาทั่วทั้งประเทศได้ร่วมกันบริจาคทุนทรัพย์เพื่อก่อสร้างองค์พระธาตุขึ้นมาใหม่ตามแบบเดิม และแล้วเสร็จเมื่อปี 2522 ภายในองค์พระธาตุบรรจุพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ รวมถึงของมีค่ามากมายนับหมื่นๆ ชิ้นเลยทีเดียว

พระธาตุพนมเป็นพระธาตุปีเกิดของคนเกิดปีวอกและเป็นพระธาตุประจำวันเกิดของผู้เกิดวันอาทิตย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยทั้งประเทศรวมถึงชาวลาวด้วย เชื่อกันว่าผู้ใดได้มานมัสการ จะได้รับอานิสงส์มีผู้คนให้ความเคารพนับถือ

จากพระธาตุพนม ผมมุ่งหน้าสู่ อ.เรณูนคร เพื่อสักการะ "พระธาตุเรณูนคร" ครับ

เมื่อรถเลี้ยวเข้ามายังบริเวณวัดพระธาตุเรณู ผมต้องสะดุดตากับพระธาตุองค์สีชมพูขนาดใหญ่ตั้งเคียงคู่กับโบสถ์สีเหลืองทอง เสียงมัคนายกดังแว่วผ่านลำโพง เชื้อเชิญให้คณะของผมมาร่วมทำบุญกับทางวัด ผมเองปลีกตัวมาเยี่ยมชมภายในพระอุโบสถเป็นสิ่งแรก ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานพระองค์แสน พระพุทธรูปทองคำศิลปะแบบลาว ปางสมาธิ สร้างก่อนที่จะสร้างพระธาตุเรณูในปี พ.ศ.2460  แผ่นทองที่นำมาหลอมเป็นองค์พระได้จากการบอกบุญขอบริจาคจากญาติโยมทั่วเรณูนคร จึงถือว่าพระองค์แสนเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองเรณูนครก็คงไม่ผิดครับ

หลังจากกราบพระองค์แสนเพื่อเป็นสิริมงคลแล้ว ก็มากราบองค์พระธาตุเรณูนครกันต่อ องค์พระธาตุเรณูนครจำลองมาจากองค์พระธาตุพนมองค์เดิม คือองค์ก่อนที่จะล้มในปี พ.ศ.2518 แต่พระธาตุเรณูนครมีขนาดเล็กกว่า จากข้อมูลที่ผมหามา บอกว่าภายในองค์เจดีย์เป็นที่บรรจุคัมภีร์พระธรรม พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน เพชรนิลจินดา รวมถึงของมีค่าที่เจ้าเมืองเรณูนครและประชาชนร่วมกันบริจาค และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันต์ธาตุไว้ด้วย พระธาตุเรณูนครเป็นพระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันจันทร์ แต่ถ้าผมไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน ผมคงคิดว่าเป็นพระธาตุของผู้เกิดวันอังคารซะอีก เพราะองค์เจดีย์เป็นสีชมพูครับ เชื่อกันว่าใครที่มาสักการะองค์พระธาตุจะได้รับอานิสงค์ส่งผลให้มีวรรณะงดงามผุดผ่องดังแสงจันทร์ครับ

จุดหมายต่อไปอยู่ที่ "บ้านลุงโฮจิมิน" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินครับ

บ้านไม้หลังเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางความร่มรื่นของพันธุ์ไม้นานาพรรณหลังนี้ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ระหว่างปี พ.ศ.2467-2474 อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นายโฮจิมินห์ได้เคยเข้ามาอาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อกอบกู้เอกราชของเวียดนามในช่วงระหว่างการทำสงครามเพื่อเตรียมการปฏิวัติสู้กับประเทศฝรั่งเศส

ลุงโฮได้ย้ายมาอยู่ที่นครพนมโดยมาอาศัยอยู่กับเพื่อนสนิทที่มาจากเวียดนามที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ช่วงที่หนีออกจากเวียดนาม ทั้งลุงโฮและเพื่อนสนิทคนนี้ต่างหลบหนีไปอยู่คนละที่ ลุงโฮได้เปลี่ยนชื่อเรียกและย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ต้องการให้ใครจำลุงโฮได้ ส่วนเพื่อนสนิทของลุงโฮได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองไทยและมีครอบครัวที่เมืองไทย

จะมีเจ้าหน้าที่มาบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์รวมถึงเรื่องราวการใช้ชีวิตของลุงโฮเมื่อครั้งที่ลุงโฮมาอาศัยอยู่ในประเทศไทย

ภายในบ้านจะแบ่งออกเป็นสามห้อง ประกอบด้วยสองห้องนอนและหนึ่งห้องโถง มีโต๊ะทำงาน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่ลุงโฮใช้เมื่อครั้งที่มาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้

ห้องครัวแยกออกมาจากตัวบ้าน ภายในจัดแสดงอุปกรณ์เครื่องครัวครับ

เครื่องตำข้าวที่ลุงโฮใช้ในการตำข้าวด้วยตัวเองครับ

ต้นมะเฟืองต้นนี้ปลูกโดยลุงโฮ ปัจจุบันแผ่กิ่งก้านสาขาใหญ่โต ให้ลูกให้ผลอยู่ข้างๆ บ้านนั่นเอง

ดอกซากุระจากเวียดนาม ตอนแรกคิดว่าดอกปลอม พอเข้าไปมองใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าดอกจริงครับ

ต้องยอมรับว่าที่นี่ร่มรื่นจริงๆ มีทั้งไม้สวนอย่างต้นมะพร้าว หมาก พลู น้ำเต้า กล้วย หรือจะเป็นไม้ดอกงามๆ อย่างกล้วยไม้ มะลิซ้อน ที่แข่งกันส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ

บ้านหลังนี้เป็นบ้านของเพื่อนลุงโฮ ปัจจุบันเป็นที่อยู่อาศัยของลูกหลาน และที่ใต้ถุนบ้านหลังนี้เปิดเป็นร้านขายของที่ระลึกเล็กๆ

สำหรับการเข้าชมบ้านลุงโฮนั้น เข้าชมฟรีนะครับ แต่ถ้าเราอยากจะให้ที่นี่เปิดให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวไปนานๆ เราอาจจะช่วยค่าน้ำค่าไฟได้ โดยจะมีตู้รับบริจาค หรือไม่ก็ช่วยกันอุดหนุนสินค้ากันสักชิ้นสองชิ้นก็ยังดีครับ

ใกล้ๆ กับบ้านลุงโฮ เป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ภายในจัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ การต่อสู้กอบกู้เอกราชของลุงโฮ มีการสร้างหุ่นขี้ผึ้ง และมีการจำลองบ้านลุงโฮด้วย ผมว่าไหนๆ ก็มาถึงถิ่นแล้ว ไปดูบ้านลุงโฮของแท้ได้อารมณ์กว่าเยอะครับ

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย แต่ต้องอดใจเก็บท้องไว้ทานข้าวเกรียบปากหม้อ ซึ่งเป็นร้านอาหารขึ้นชื่อของนครพนม ที่ "ร้านข้าวเกรียบปากหม้อศรีเทพ" ครับ

ร้านข้าวเกรียบปากหม้อศรีเทพอยู่ในตัวเมืองบนถนนศรีเทพ ตรงข้ามโรงแรมศรีเทพ แม่ค้าจะมาทำข้าวเกรียบปากหม้อกันให้เห็นด้านหน้าร้าน หม้อใบใหญ่มากๆ ปกติที่ผมเคยทานจะเป็นข้าวเกรียบปากหม้อตัวเล็กๆ ไส้ผัดด้วยหมูสับ ถั่วลิสงและไชโป๊สับแต่ข้าวเกรียบปากหม้อที่นี่ตัวใหญ่เลยทีเดียว ไส้เป็นไส้หมูผัดกับต้นหอม ทานคู่กับน้ำจิ้มหวานๆ ใส่พริกสดตำครับ

ความแตกต่างแต่ละเมนูของข้าวเกรียบปากหม้อศรีเทพจะอยู่ที่ตัวแป้งและการห่อ แต่ไส้จะเหมือนกันทุกเมนู จะแตกต่างกันอย่างไร ไปดูกันเลยครับ

"ปากหม้อ" แป้งเป็นแป้งธรรมดา ห่อด้วยไส้ปกติ เมนูนี้ถือเป็นเมนูพื้นๆ ครับ

"ปากหม้อใส่ไข่" เป็นการผสมไข่ลงในตัวแป้ง ห่อเป็นทรงกระบอกคล้ายก๋วยเตี๋ยวหลอดครับ

"ปากหม้อห่อไข่" เป็นการผสมไข่ลงในตัวแป้งเหมือนกัน แต่ลักษณะการห่อคล้ายไข่ยัดไส้ครับ

"ปากหม้อไข่ดาว" จานนี้จะไม่ยีไข่ลงในแป้งเหมือนปากหม้อห่อไข่ แต่จะใส่ไข่เป็นฟองลงไปเลย จานนี้ไข่แดงจะไม่สุก เวลาทานจะคล้ายกับลาวาไหลออกมาครับ

ทั้งสี่เมนู แป้งจะนุ่มและนิ่ม อร่อยดีทีเดียวครับ

สำหรับใครที่ชอบความแหวกแนว ต้องจานนี้เลยครับ "ข้าวเกรียบปากหม้อ" เพิ่มความกรอบด้วยข้าวเกรียบที่จะนำมาห่อไว้บนตัวแป้งอีกที ทำให้เมื่อเคี้ยวไปจะมีทั้งความกรอบของข้าวเกรียบและความหนึบนุ่มของตัวแป้ง มันแตกต่างแต่ลงตัวมากๆ ถูกใจเมนูนี้ครับ

นอกจากนี้ยังมีของให้ทานแกล้มด้วย ไม่ว่าจะเป็นผักดองหรือหมูยอ สนนราคาข้าวเกรียบปากหม้อแต่จะเมนูก็ไม่แพงครับ เมนูละประมาณ 30-35 บาทเท่านั้นเอง หากมากันหลายคน แนะนำว่าให้สั่งหลายๆ เมนูมาทานร่วมกันเหมือนกับที่ผมสั่งมาทานก็ได้นะครับ จะได้กินหลายๆ รสชาติ เป็นอีกหนึ่งร้านที่ไม่ควรพลาดหากมาเที่ยวที่นครพนมครับ

อิ่มท้องแล้ว เราไปเที่ยวกันต่อที่จุดต่อไป คือ "พญาศรีสัตตนาคราช" แลนด์มาร์คอันศักดิ์สิทธิ์แห่งใหม่ของนครพนม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านข้าวเกรียบปากหม้อครับ

ด้วยความเชื่อเรื่อง "พญานาค" ที่มีต่อคนไทยมานานแสนนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอีสานนั้นมีความเชื่อและศรัทธาต่อพญานาคเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่าช่วงออกพรรษาจะมีปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ที่จะมีดวงไฟลึกลับผลุดขึ้นกลางลำน้ำโขงตลอดแนวทางภาคอีสาน เพิ่มการตอกย้ำความเชื่อและศรัทธาของชาวไทยรวมถึงชาวลาวเรื่องพญานาคไม่ให้จางหายไป

แม้แต่ประเพณีไหลเรือไฟ ซึ่งเป็นงานประเพณีที่ขึ้นชื่อของจังหวัดนครพนมเอง ก็มีความเชื่อมโยงกับพญานาค หากสืบสาวราวเรื่องถึงประวัติประเพณีไหลเรือไฟกันให้ลึกแล้วจะรู้ว่า ประเพณีไหลเรือไฟจัดเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที อันเป็นที่อยู่ของพญานาค พระพุทธเจ้าเสด็จไปฝั่งแม่น้ำนัมทามหานทีเพื่อแสดงธรรมเทศนาโปรดพญานาคที่เมืองบาดาล และพญานาคได้ทูลขอพระพุทธองค์ประทับรอยพระบาทไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที ต่อมาบรรดาเทวดา มนุษย์ ตลอดจนสัตว์ทั้งหลายได้มาสักการบูชารอยพระพุทธบาท เลยสืบต่อเป็นประเพณีที่ดีงามต่อๆ กันมานั่นเอง

องค์พญาศรีสัตตนาคราช หล่อด้วยทองเหลือง มีน้ำหนักรวม 9,000 กก. เป็นรูปพญานาคขดหาง 7 เศียร ประดิษฐานบนแท่นฐานแปดเหลี่ยม กว้าง 6 เมตร ความสูงทั้งหมดรวมฐาน 15 เมตร ตั้งโดดเด่นพ่นน้ำอยู่ริมน้ำโขง นักท่องเที่ยวและชาวนครพนมนิยมมากราบไหว้ขอพรกันไม่ขาดสายเลยครับ

ไม่ไกลจากองค์พญาศรีสัตตนาคราช เป็นที่ตั้งของ "วัดโพธิ์ศรี" วัดที่ประดิษฐานพระทอง พระพุทธรูปทองสำริดปางมารวิชัย พระคู่บ้านคู่เมืองนครพนม

องค์พระทอง ประดิษฐานอยู่ในหอพระทองแห่งนี้ องค์พระทองเป็นพระพุทธรูปโบราณ สร้างโดยสกุลช่างล้านช้าง ตรงกับสมัยอยุธยาตอนต้น เดิมพระทองประดิษฐาน ณ วัดบ้านห้อม ต.อาจสามารถ ต่อมาเจ้าเมืองนครพนมเห็นว่าไม่ปลอดภัย ยากต่อการดูแลรักษา จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่ ณ วัดโพธิ์ศรี มาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง จึงมีการป้องกันการโจรกรรมอย่างแน่นหนา โดยการสร้างกรงครอบ ปิดด้วยกระจก และปิดล๊อกกุญแจไว้ 3 ชั้น

ด้านข้างของหอพระทองคือ สิม (พระอุโบสถ) ด้านในประดิษฐานพระประธานครับ

ถัดจากวัดโพธิ์ศรีไปนิดหน่อย เป็นที่ตั้งของ "วัดมหาธาตุ" อีกหนึ่งวัดสำคัญของนครพนมครับ

วัดมหาธาตุเป็นที่ประดิษฐานของพระธาตุนคร พระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันเสาร์ เป็นพระธาตุทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ 4.85 เมตร สูงประมาณ 24 เมตร มีลักษณะตามแบบพระธาตุพนมองค์เดิม เป็นพระธาตุที่ขุดเอาพระอรหันตธาตุ จากพระธาตุองค์เดิมมาสร้างเป็นองค์นี้ เชื่อกันว่าผู้ที่ได้มานมัสการพระธาตุนคร จะได้รับอานิสงส์มีความสุขสวัสดี มีความมั่งคั่งร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง เสริมบารมี อำนาจวาสนา เป็นเจ้าคนนายคนครับ

จากวัดมหาธาตุ ผมไปต่อที่ "วัดโอกาสศรีบัวบาน" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดมหาธาตุมากนักครับ

วัดโอกาสศรีบัวบานเป็นวัดที่เก่าแก่อีกแห่งของนครพนม สร้างในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูร บริเวณกลางวัดจะมีหอประดิษฐานพระติ้วกับพระเทียมครับ

พระติ้ว เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทำด้วยไม้ติ้วบุทองคำ สูงประมาณสองไม้บรรทัด มีอายุกว่า 1,300 ปี สร้างโดยเจ้าผู้ครองนครศรีโคตรบูร พ.ศ. 1328 ภายหลังเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าองค์พระติ้วถูกเพลิงไหม้ จึงมีการสร้างพระติ้วองค์จำลองขึ้นมา (พระเทียมไม่ได้บุทองคำแต่ลงรักปิดทองเปลว) ภายหลังกลับพบพระติ้วลอยขึ้นมาจากแม่น้ำโขง จึงกลายเป็นพระพุทธรูปคู่แฝด คือ พระติ้ว (องค์ขวามือ) และ พระเทียม (องค์ซ้ายมือ) เดิมทั้งพระติ้วและพระเทียมประดิษฐานอยู่ที่วัดธาตุ แต่ภายหลังได้ย้ายมาประดิษฐานที่วัดโอกาสศรีบัวบานแห่งนี้เมื่อกว่า 250 ปีที่แล้ว

จากวัดโอกาสศรีบัวบาน ผมมุ่งหน้าสู่ "หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์" เป็นหอนาฬิกาที่ชาวเวียดนามได้สร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวนครพนม เมื่อคราวย้ายกลับบ้านเกิดที่ประเทศเวียดนาม เป็นเหมือนการขอบคุณคนไทยของชาวเวียดนามครับ

จุดหมายต่อไปคือแวะถ่ายภาพเก๋ๆ ที่ "หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ" หอสมุดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ลักษณะอาคารเป็นแบบเรอเนสซอง ดูคลาสิคมากๆ อาคารแห่งนี้ใช้แรงงานนักโทษในการก่อสร้าง เดิมใช้เป็นศาลากลางจังหวัดนครพนมครับ

จากหอสมุดแห่งชาตินั่งรถต่อกันอีกนิด เรียกได้ว่าแอร์ยังไม่ทันเย็นก็มาถึงจุดหมายถัดไปของผม นั่นก็คือ "วัดนักบุญอันนา-หนองแสง" ครับ

วัดนักบุญอันนา-หนองแสง หากฟังชื่อแล้วอย่าเพิ่งนึกสงสัยว่าทำไมชื่อวัดดูแปลกๆ แท้จริงแล้ววัดนักบุญอันนา-หนองแสงเป็นโบสถ์คริสต์ที่มีความเก่าแก่และสวยงามแห่งหนึ่งของนครพนมเลยครับ ก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ.1926 เดิมตัวโบสถ์ถูกทำลายจากการถูกฝรั่งเศสทิ้งระเบิดถล่มเมืองนครพนมในสมัยกรณีพิพาทอินโดจีน ซึ่งทำให้โบสถ์พังเสียหายยับเยิน ต่อมาจึงมีการสร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีทางศาสนาของชาวคริสต์สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนวันคริสต์มาส ชาวคริสต์แต่ละชุมชนในนครพนมจะประดิษฐ์ดาวรูปแบบต่างๆ แล้วแห่มารวมกันไว้ที่โบสถ์แห่งนี้ นึกภาพตามแล้วคงสวยงามมากๆ ในวันที่ผมไปโบสถ์ไม่เปิด เลยไม่ได้เก็บบรรยากาศภายในมาให้ชมกันครับ

ติดกับโบสถ์ยังมีอาคารที่ทำการศาสนกิจของบาทหลวงนิกายคาทอลิก สร้างขึ้นราวปี ค.ศ.1952 โดยบาทหลวงเอดัวร์นำลาภ ภายหลังจัดตั้งเป็นมูลนิธิบาทหลวงเอดัวร์นำลาภ ตัวอาคารถูกสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบโคโรเนียลก่อด้วยอิฐถือปูน ภายนอกทาด้วยสีเหลืองสวยงาม การก่อสร้างใช้วัสดุก่อสร้างบางอย่างนำเข้ามาจากเมืองไซ่ง่อน ประเทศเวียดนามครับ

จากวัดนักบุญอันนา-หนองแสง เราตีรถกันยาวสักนิด พอได้งีบสัก 15 นาที ก็มาถึงจุดหมายต่อไป คือ "สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3" ครับ

สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 นี้ เป็นสะพานที่เชื่อมต่อกับประเทศลาว ฝั่งเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ใช้งบประมาณในการก่อสร้างจากรัฐบาลไทยและลาว ทั้งสิ้น 1,723 ล้านบาท สะพานมีความยาว 780 เมตร ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จทรงเป็นประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการร่วมกับรองประธานประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในวันที่ 11 พฤศจิกายน ปี 2011 เวลา 11.11 น. ถือเป็นเลขสวย 11-11-11 และเป็นตัวเลขแห่งความทรงจำครับ สะพานแห่งนี้เป็นเส้นทางการคมนาคมขนส่งด้านการค้า การท่องเที่ยว เชื่อมโยงจากประเทศไทย ประเทศลาว สู่ประเทศเวียดนาม และภาคใต้ของประเทศจีน

ผมไม่มีเวลาพอที่จะข้ามไปเที่ยวในฝั่งลาว คงทำได้แค่เพียงขออนุญาตเจ้าหน้าที่เพื่อเดินไปถ่ายภาพของสะพานแห่งนี้ที่บริเวณตีนสะพานครับ

โปรแกรมต่อไปของผมคือการล่องเรือชมทัศนียภาพสองฝั่งโขง ไทย-ลาว โดยท่าเรือจะอยู่บริเวณลานคนเมือง ใกล้ๆ กับวัดโอกาสศรีบัวบานนั่นเอง เรือจะออกจากท่าเวลา 17.00 น.ครับ

ผมตั้งใจเผื่อเวลาให้มาถึงที่ท่าเรือประมาณ 16.00 น. เพื่อจะได้เตรียมจองที่นั่งบนเรือ ระหว่างที่รอเรือออกเลยขอชอปปิ้งสินค้าที่ "ตลาดอินโดจีน" พอหอมปากหอมคอสักนิดหน่อยครับ

ตลาดอินโดจีนอยู่ติดกับวัดโอกาสศรีบัวบาน และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับท่าเรือนั่นเอง ถึงแม้สินค้าอาจจะไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ก็เดินชมพอฆ่าเวลาไปได้ครับ

บริเวณท่าเรือ เรือที่เห็นนั่นคือเรือที่จะพานักท่องเที่ยวชมทิวทัศน์สองฝั่งโขง เป็นเรือสองชั้น ขนาดค่อนข้างใหญ่ บนเรือมีของว่างจำพวกลูกชิ้นและเครื่องดื่มจำหน่ายด้วย

แนะนำให้ขึ้นมาบนชั้นสองนะครับ วิวเปิดโล่งกว่าเยอะ อากาศปลอดโปร่ง ไม่อึดอัดเหมือนชั้นล่าง ช่วงแรกๆ อาจจะต้องทนตากแดดนิดหน่อย แต่นั่งไปได้สักระยะ แสงแดดจะค่อยๆ หายไปครับ

มองเห็นหอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ด้วย

ช่วงที่ผมไป ฟ้าไม่ค่อยเปิดสักเท่าไร แต่ก็เป็นผลดีเหมือนกัน ทำให้ระหว่างที่ล่องเรือ แดดไม่แรงจนเกินไป ระหว่างเส้นทางมีชาวบ้านออกมาหาปลากันด้วยครับ

เรือมากลับลำบริเวณวัดนักบุญอันนา-หนองแสง และพาข้ามร่องน้ำโขงไปใกล้ฝั่งลาว เมื่อเรือเข้าใกล้ฝั่งลาว ผมรับรู้ได้ถึงความเย็นที่มาปะทะกับผิวกายจากฝั่งลาวเลย อาจเป็นเพราะฝั่งลาวมีต้นไม้เยอะ จนเกิดความชุ่มชื้นก็เป็นได้ครับ

มาดูวิถีชีวิตทางฝั่งลาวกันบ้าง มีการเลี้ยงปลาในกระชังด้วยครับ

ท่าเรือแขวงคำม่วน ด่านท่าแขกครับ

วกกลับมาที่ฝั่งไทยอีกครั้ง ต้องบอกเลยว่าบรรยากาศดีมากๆ ครับ

พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว แสงอุ่นๆ เริ่มกลายเป็นสีทอง

ตลอดระยะทางไป-กลับราว 8 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวจะได้รับทั้งความรู้และความบันเทิงในการบรรยายของเจ้าหน้าที่ รวมระยะเวลาในการล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมง สำหรับค่าบริการล่องเรือ คนละ 50 บาทครับ แต่ถ้าหากว่าใครมาเป็นหมู่คณะใหญ่ และต้องการล่องเรือชมวิถีชีวิตไทยลาวก่อนเวลา 17.00 น. ก็สามารถนะครับ โดยเหมาเรือลำนี้ได้ในราคาชั่วโมงละ 1,000 บาท มา 2 คน ก็จ่าย 1,000 บาท มา 40 คน ก็จ่าย 1,000 บาทครับ

เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว คงต้องเข้าที่พักกันเสียที คืนนี้ผมพักที่ "The River" ครับ

เมื่อขับรถเข้าไป ด้านซ้ายมือจะเป็นห้องอาหาร ขับรถผ่านห้องอาหารไปจะเป็นที่ตั้งของห้องพัก ด้านหน้ามีลานจอดรถให้เยอะพอควรครับ

ห้องทุกห้องจะมองเห็นแม่น้ำโขงครับ

บริเวณ Lobby ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น มีที่นั่งให้แขกได้นั่งพักผ่อนระหว่างรอการ check in - check outด้วย

ห้องพักขนาดกำลังพอดี ไม่คับแคบหรือกว้างจนเกินไป ตกแต่งได้น่ารักดี สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มีตามมาตรฐานของโรงแรมทั่วไป เช่น ตู้เซฟ ตู้เย็น เครื่องต้มน้ำพร้อมชากาแฟ ทีวี LCD ไดร์เป่าผม รวมถึง Free wifi

ห้องน้ำเป็นแบบซีทรู แยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยผนังกระจก หัวฝักบัวแบบ Rain Shower ที่โถสุขภัณฑ์มีสายฉีดชำระให้พร้อมครับ

ไปดูบรรยากาศรอบๆ โรงแรมกันบ้างดีกว่า หน้าโรงแรมมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ รอให้แขกได้มาแอ๊คท่าถ่ายภาพด้วย กับป้ายไม้ที่ดึงจุดขายของนครพนมออกมา "นครพนม เมืองที่มีความสุขที่สุด ๒๕๕๗"

ด้านหลังโรงแรม มีตู้ไปรษณีย์สีแดง เขียนป้าย นครพนม เก๋ไก๋ไม่เบา

ฝั่งตรงข้าม Lobbyเป็นร้านกาแฟเล็กๆ "River Coffee"

บรรยากาศยามค่ำครับ

หลังจากพักผ่อน ล้างหน้าล้างตากันได้ที่แล้ว ก็ถึงเวลาไปทานมื้อค่ำกันครับ

ค่ำนี้ผมไปฝากท้องกันที่ "ร้านสบายดี" ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับหอนาฬิกาครับ

ระหว่างรออาหาร ผมเลยเดินถ่ายรูปเล่นเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ถนนสายนี้เป็นถนนคนเดินเรียบแม่น้ำโขง จะมีของมาขายช่วงค่ำๆ วันศุกร์และเสาร์ครับ เสียดายวันที่ผมไปไม่ใช่วันที่มีการขายของกัน แต่ถึงไม่ใช่วันศุกร์และเสาร์ นักท่องเที่ยวก็สามารถมานั่งทานข้าว ฟังเพลงเบาๆ เสพบรรยากาศของถนนสายนี้ได้เช่นกัน เพราะมีร้านเก๋ๆ ให้เลือกนั่งเยอะเลยครับ

จากร้านสบายดี เดินไปไม่ถึง 200 เมตร ก็ถึงหอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์แล้วครับ บรรยากาศช่วงค่ำก็สวยงามไปอีกแบบ มีการเล่นไฟสาดส่องมาที่หอนาฬิกา ทำให้หอนาฬิกาเปลี่ยนสีได้ด้วยนะเออ

ถ่ายรูปพอเป็นกระษัย คงต้องรีบเดินกลับไปที่ร้านแล้ว เพราะกลัวทานอาหารไม่ทันคนอื่นครับ อิอิ

เริ่มด้วย "กุ้งอบวุ้นเส้น" กุ้งตัวโตๆ รสชาติกำลังดี สนนราคา 150 บาทครับ

"ยำหอยแครง" หอยแครงทั้งเยอะทั้งใหญ่ ลวกแบบสุกๆ อัดแน่นด้วยสมุนไพร จานนี้ผมทานคนเดียวเกือบครึ่งจานเลย สนนราคา 120 บาทครับ

"เมี่ยงปลาทอด" นี่ก็รสชาติดี เนื้อปลาหั่นมาแบบหนานุ่ม น้ำเมี่ยงอร่อยแต่อุปกรณ์ที่กินแนมน้อยไปสักนิดครับ สนนราคา 150 บาท

"ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม" ขนาดปลาไม่ใหญ่มาก ทอดออกมากำลังดี ทำให้กรอบ ทานได้ทั้งหัวเลยครับ สนนราคา 200 บาท

"เนื้อโคขุนแช่วาซาบิ" เนื้อจะติดเหนียวไปสักนิด กลิ่นวาซาบิยังไม่ค่อยออกสักเท่าไร สนนราคา 150 บาท

"ต้มส้มปลาเผาะ" จริงๆ เนื้อปลามีให้เลือกหลายชนิด แต่ผมอยากลองชิมปลาต่างถิ่นดูบ้าง เลยเลือกปลาเผาะดูครับ ปลาเผาะเป็นปลาที่มีหนังหนา เวลาเคี้ยวจะกรุบๆ อารมณ์เหมือนเคี้ยวหนังหมู ใครอยากลองของแปลกๆ ลองสั่งชิมดูได้ครับ น้ำต้มส้มกำลังดี สนนราคา 250 บาทครับ

ปิดท้ายด้วย "ข้าวเหนียวมะม่วง" ข้าวเหนียวมูลอัดมาเป็นรูปหัวใจ สนนราคา 80 บาทครับ

สำหรับร้านสบายดี ทั้งราคาและรสชาติถือว่ารับได้ อาหารแต่ละอย่างราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับปริมาณและคุณภาพของอาหาร มื้อนี้สมาชิกร่วมทริปให้ผ่านครับ หลังมื้อค่ำคงต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว เพราะวันนี้เหนื่อยกันมาทั้งวันครับ

แสงสีทองยามเช้า เริ่มสาดส่องเข้ามาในห้องพัก ผมไม่รอช้ารีบตื่นขึ้นมาชมบรรยากาศที่ระเบียงห้องโดยทันทีครับ

นี่คือเหตุผลหลักที่ผมเลือกเข้าพักที่ The River คือการยืนชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ระเบียงห้องของตัวเอง หรือถ้าใครขี้เกียจขนาดหนักก็สามารถนอนชมแสงแรกของวันอยู่บนเตียงได้เลยเช่นกันครับ ชาวบ้านออกมาหาปลากันตั้งแต่เช้า แสงสีทองค่อยๆ โผล่ส่องผ่านทิวไม้น้อยใหญ่ของฝั่งลาว ถึงแม้ฟ้าจะไม่เปิดมากนัก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความสวยงามของแสงแรกครับ

หลังจากซึมซับกับบรรยากาศจนได้ที่แล้ว เห็นทีต้องรีบลงไปทานอาหารเช้าแล้ว

อาหารเช้า ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ที่ River Bar ซึ่งอยู่ส่วนหน้าของโรงแรม ตัวอาคาร River Bar แยกออกมาเป็นเอกเทศกับตัวโรงแรมครับ ภายในตกแต่งออกแนวดิบๆ กึ่งปูนเปลือย ดูเก๋ดี ไลน์อาหารมีให้เลือกกันพอสมควร

เช้านี้ผมไม่ได้ไปข้องแวะกับไลน์ Buffet เลย แต่ไปใช้บริการของสถานีไข่กระทะ และก๋วยจั๊บญวน ซึ่ง Chef จะทำตาม order ของลูกค้า ดังนั้นจึงได้ทานของร้อนๆ จากเตากันเลยทีเดียว

จริงๆ แล้วที่พักถูกๆ ที่นครพนม ราคาประมาณ 500-600 บาท ก็มีเยอะนะครับ แต่ผมมาคำนวณแล้ว ยอมเพิ่มอีกคนละ 200 (ในกรณีเข้าพัก 2 คน) สิ่งที่จะได้เพิ่มเติมคือ คุณภาพของอาหารเช้า และที่สำคัญเลยคือ วิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขง ซึ่งผมและสมาชิกในทริปพอใจเป็นอย่างมาก จากการเข้าพักที่นี่ ต้องบอกเลยว่าคุณภาพคุ้มราคา ห้องพักใหม่ สะอาด วิวงาม อาหารเช้าดี คุ้มค่า 990 บาท ที่จ่ายไปครับ ลืมบอกไปว่าโรงแรมนี้มี 5 ชั้น ราคาห้องชั้นล่างอยู่ที่ 790 บาท ส่วนชั้น 2-5 ราคาอยู่ที่ 990 บาท (เฉพาะห้อง type ปกติ)

จริงๆ แล้วนครพนมยังมีสถานที่ที่สำคัญอีกหลายแห่งมาก แต่เนื่องจากผมมีเวลาในนครพนมรวมๆ แล้วเพียง 1 วัน 1 คืน ก็คงเก็บสถานที่ท่องเที่ยวได้เพียงเท่านี้ หวังไว้ลึกๆ ว่าคงจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง โดยครั้งหน้าวางแผนว่าจะมาตะเวนไหว้พระธาตุประจำวันเกิดให้ครบทุกพระธาตุเลยครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ