เที่ยวลังกาวี

เที่ยวลังกาวี เมืองแห่งคำสาป จากพระนางมัสสุหรี การเดินทางจากกรุงเทพ สามารถบินตรงเพื่อลงลังกาวี หรือจากกรุงเทพไป กัวลาลัมเปอร์ แล้วต่อเครื่องไปลังกาวี หรืออีกเส้นทางคือนั่งรถบัสจากหาดใหญ่มาลังกาวี 

เราเดินทางกันด้วยสายการบิน มาเลเซีย แอร์ไลน์  คนไม่เยอะมาก ที่นั่งเหลือเฟือ 

มาเลเซียแอร์ไลน์ เป็นเครื่องบินลำขนาดกลาง ที่นั่งสบาย มีจอทีวี และอาหารเสริฟบนเครื่องด้วย เราเดินทางจากสุวรรณภูมิ ไปกัลลาลัมเปอร์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม. แต่รอต่อเครื่องอีกประมาณ 2 ชั่วโมง และเดินทางกับมาเลเซียแแอร์ไลน์อีกครั้งเพื่อไปลงลังกาวี ใช้เวลาแค่ประมาณ 30 นาที ก็ถึงลังกาวี

มีรถจากโรงแรมมารับที่สนามบิน ที่พักค่อนข้างไกลจากตัวเมือง นั่งรถประมาณ​40 นาที เราพักกันที่ โรงแรมอันดามัน

โรงแรมขนาดใหญ่ ด้านหน้าติดกับทะเล ด้านหลังเป็นภูเขา เงียบสงบ คนไม่เยอะมาก ราคาเริ่มต้นที่ 4,500 บาท หากมีรถส่วนตัวจะสะดวกกว่ามาก เพราะที่พักไม่มีรถโดยสารประจำทาง ต้องเช่ารถอย่างเดียว 

ห้องพักสะอาด กว้างขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สามารถมองเห็นวิวทะเลชัดเจน แต่ข้อเสียคือที่พักมีลิงเยอะมาก ห้ามเปิดประตู หรือวางของมีค่าไว้ด้านนอก เพราะลิงเข้ามาถึงหน้าห้องพักเลย

หลังจากนอนหลับพักผ่อนพรุ่งนี้เราเริ่มสำรวจลังกาวีกันค่ะ

Oriental Village ที่นี้เป็นแหล่งรวมรวมสิ่งบันเทิง มีทั้ง Cable Car, Sky Bridge, ภาพวาด 3D ไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู แต่หากจะเข้าชมส่วนไหน ก็เสียค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วน 

ซื้อตั๋ว Cable Car และ Sky Bridge จริงๆจ่ายค่าตั๋วแค่ในส่วนของ Cable Car ส่วน Sky Bridge สามารถเดินเข้าไปได้เลย

ราคาจะมีหลายแบบแล้วแต่เราจะเลือก จะซื้อแบบครบทุกอย่างก็จะราคาถูกกว่าซื้อแยกแต่ละรายการ. Cable Car จะมีหลายแบบให้เลือก แบบธรรมดา แบบซีทรู หรือแบบ VIP 1 กระเช้าจะนั่งได้ประมาณ 4-5 คน แต่ถ้าเป็น VIP จะนั่งแค่ 2 คน

เราเลือกแบบซีทรูเพื่อจะได้ดูวิวด้านล่าง แต่หากใครกลัวความสูงแนะนำให้นั่งแบบธรรมดา เพราะจะมองไม่เห็นด้านล่างเพื่อลดความเสียว นั่งประมาณ 20 นาทีก็จะถึงยอดวิว 

Cable Car จะแวะ 2 จุด แต่หากจะไป Sky Bridge ต้องลงที่จุดที่ 2 เพื่อเดินไป Sky Bridge ใช้เวลาในการเดินแค่ 5 นาทีก็จะถึง sky bridge เดินเข้าไปได้เลยไม่ต้องซื้อตั๋ว

บนสะพานจะมีบางช่วงที่จะทำพื้นเป็นกระจก สามารถมองเห็นด้านล่างได้ แต่แค่มองวิวโดยรอบก็สวยมากแล้ว ถ้าอากาศดีๆสามารถมองเห็นเกาะน้อยใหญ่ของฝั่งไทยได้เลย

ที่ต่อไปคือ 3D Art Museum ราคาบัตร สำหรับผู้ใหญ่ 38 RM เด็ก 28 RM เปิดบริการ 9.00 - 18.00 น. ทุกวัน

หากใครเคยไป 3D Art Museum ที่กรุงเทพ หรือ พัทยา จะเป็นแบบเดียวกัน เพราะทีมงานเป็นทีมเดียวกัยที่วาดที่ไทย 

ด้านในแบ่งเป็นหลายโซน หลายรูป ให้เลือกถ่ายรูปได้ตามสะดวก หากถ่ายทุกรูปน่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 

จัตุรัสนกอินทรี หรือ ดาตารันลัง (Dataran Lang) นกอินทรีคือสัญลักษณ์ของลังกาวี 

หลังจากถ่ายรูปสัญลักษณ์เสร็จก็เดินเล่นในตัวเมือง ย่านการค้าตลาดกั๊วห์ เป็นย่านขายของฝาก ส่วนใหญ่จะเป็นช็อคโกแลต ขนม เค้าบอกว่าที่นี้จะถูกมาก เพราะลังกาวีเป็นเมืองปลอดภาษี

การมาเที่ยวลังกาวีส่วนใหญ่ก็ต้องคิดถึงทะเล และกิจกรรมทางทะเลต่างๆ วันนี้เราจะไปนั่งเจ็ทสกีกันค่ะ ขับไม่เป็น ขอเป็นผู้นั่งแล้วกัน 

เราเลือกไปกับ Magawatersports เค้าจะมีวันละ 2 รอบ คือ รอบเช้า 9.00 - 1.00 น. และรอบบ่าย 2.00 - 6.00 น. ในแต่ละครั้งจะมีประมาณ 10 คน หรือ เจ็ทสกี 5 ลำ กับไกด์ 1 คน ราคา 800 RM. (2 คน )  หากคนเดียวราคา 600 RM ราคารวมประกันแล้ว

ไกด์ดูแลดีมาก คอยเช็ค คอยดูตลอดว่ามีใครหลง หรือตามไม่ทันรึป่าว แต่ไกด์จะมีแวะพักเพื่อว่ายน้ำ และชมเกาะต่างๆ 

Dayang Bunting หรือ pregnant maiden island คนที่นี้เชื่อว่าหากผู้หญิงมาดื่มน้ำที่นี้จะตั้งครรภ์ เราเลยพบเห็นคนในพื้นที่มาเยี่ยมชมมากมาย 

 

Gua Kelawar เป็นที่ที่เราจะนั่งเรือหางยาวเที่ยวชมป่าชายเลน และเกาะต่างๆ ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชม. หากไม่แวะทานข้าว

วันเสาร์ อาทิตย์ คนจะเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนมาเลเซียที่มาเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มากนัก

นั่งเรือไปยังใส่เสื้อชูชีพยังไม่เสร็จก็แวะที่แรกแล้ว เป็นถ้ำคางคาว ไกด์จะให้ไฟฉายมาคนละอันเพื่อส่องดูค้างคาวในถ้ำ สามารถถ่ายรูปได้แต่ห้ามใช้แฟลช ภายในถ้ำกลิ่นแรงมาก กลิ่มอับบวกกับกลิ่นค้างคาว 

หลังจากชมถ้ำค้างค้าวเสร็จก็นั่งเรือชมเกาะต่างๆ และไกด์พามานั่งจอดเรือดูปลาโลมา แต่ไม่เห็นเลยซักตัว สงสัยเพราะฝนตก

จุดสุดท้ายคือจุดให้อาหารนกอินทรีย์ นกที่นี้ตัวใหญ่มาก แต่ไกด์บอกว่านกพวกนี้หาอาหารเองไม่เป็นแล้ว เพราะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาให้อาหารหลายลำ ทำให้ไม่ต้องออกไปหาอาหารเอง

 Parasailing เป็นการนั่งบนชูชีพกลางอากาศ โดยใช้เรือลาก ราคาคนละ 245RM, 2 คน 358 RM, 3 คน 537 RM เราไปกัน 3 คน ราคาหารต่อคนก็จะถูกกว่า ใช้เวลาประมาณ 30 นาที 

เราเลือกไปกับ Naam เค้าบอกว่าเป็นมืออาชีพ เราจะลอยอยู่บนความสูงที่ 200 เมตร ประมาณ 10 นาที แต่เรารู้สึกเหมือนนานมาก น่ากลัวมาก หากใครกลัวความสูงแนะนำให้ข้ามไป

สิ่งที่ห้ามพลาดในการเยี่ยมชม คือ ที่ฝังศพพระนางมัสสูหรี KOTA MAHSURI เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวมประวัติ และสิ่งของเครื่องใช้ของพระนางมัสสูหรี

ที่นี้จะเป็นประวัติของพระนางมัสสูหรี พร้อมเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายของพระนางไว้ให้เข้าชม 

ในพิพิธภัณฑ์จะมีการแสดงของใช้ เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงภาพวาดของพระนางตามคำบอกเล่าของคนสมัยก่อน ด้านนอกจะมีอาหาร และขนมพื้นเมืองขายด้วย

บ้านหลังนี้ไกด์บอกว่าเป็นบ้านของพระนางมัสสุหรี ที่มีการปรับปรุงใหม่ 

ใช้เวลากันไม่นานมากในการเยี่ยมชม ประมาณ 45 นาที ก็เดินหมด เพราะไม่ใหญ่มากนัก

สวนผลไม้ ผลไม้ที่ลังกาวีจะเหมือนกับที่ภาคใต้ของไทยเรา ราคาเข้าคนละ 25 RM จะมีรถนำเราไปแต่ละจุด

 

ช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีผลไม้เท่าไหร่นัก จะมีแค่ขนุน ชมพู ทุเรียน เงาะ ซึ่งรสชาติก็เหมือนกับบ้านเรา

จำปาดะ ผลไม้ที่หาทานยากมาก มีเฉพาะภาพใต้ จะออกมาแค่ประมาณ 2-3 เดือนเท่านั้น หน้าตาคล้ายๆขนุน แต่ลูกจะยาวรีกว่า กลิ่นแรงกว่า และหวานกว่า เสียดายยังไม่สุกเลยไม่ได้กิน

อันนี้คือขนุน แต่จุดนี้จะเป็นจุดถ่ายรูป เราก็ไม่พลาด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กินทั้งขนุนและจำปาดะ


รถนั่งชมสวนจะพามาที่จุดทานผลไม้ แต่เนื่องจากผลไม้ไม่เยอะมาก เลยมีให้ทานไม่หลากหลายนัก 

Dinner Cruise เราไป Naam อีกครั้ง เพราะประทับใจกับ Parasailing เลยเลือก Dinner Cruise ราคาคนละ 285 RM ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง

เป็นเรือยอร์ชขนาดกลาง สามารถจุคนได้ประมาณ 15-20 คน ภายในเรือมีห้องน้ำสะอาดไว้ให้บริการด้วย

หากใครกังวลว่าจะมีที่นั่งพอสำหรับคน 20 คนรึป่าว ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เพราะมีที่นั่งชิลเยอะมาก ทั้งด้านบน และด้านล่าง อยากได้มุมไหนเลือกปักหลักได้เลย 

อาหารไม่ค่อยอร่อยนัก รสจืด เน้นวิวไม่เน้นอร่อย

ทั้งหมดคือทริปที่เราไปลังกาวีกัน 7 วัน ช่วงเดือนมิถุนายนอากาศร้อนอบอ้าวมาก แนะนำให้ใส่เสื้อผ้าเบาสบาย แต่ไม่โป๊เพราะเป็นประเทศมุสลิมค่ะ

ขอฝากเพจด้วยนะคะ

https://www.facebook.com/travelbyying

http://www.travelbyying.com