บ้านนอกเข้ากรุงอีกแล้ว รู้สึกอยากไหว้พระแบบจริงจัง ไม่เอาแบบไหว้หลายที่ เพราะเคยทำมาแล้ว เหนื่อยมาก ไหว้แบบไม่มีสมาธิเพราะรีบ เดี๋ยวไม่ครบสูตร 9 วัด มาไหว้พระคราวนี้เลยตั้งใจมาไหว้พระศรีศากยมุนี ที่วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร ที่เดียวเลย เลยติดรถเพื่อนเข้ากรุงเทพฯ มาค้างเมืองกรุง จองที่พักแถวเสาชิงช้า แม้จะตั้งใจมาไหว้พระที่วัดสุทัศนเทพวราราม ก็ตาม แต่บริเวณนั้นก็มีสถานที่น่าสนใจหลายที่ รวมทั้งเป็นแหล่งอาหารการกินชั้นยอด เราขอเล่าเป็นที่ๆ ไปละกัน

เสาชิงช้า

          เสาชิงช้าเมืองไทยเป็นเสาชิงช้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก เสาชิงช้ามีเอาไว้โล้ชิงช้าเป็นประเพณีเก่าแก่ สืบเนื่องมาจากคติเรื่องเล่าว่าพระอิศวร กับพระอุมา ซึ่งเป็นพระชายา เล่นชิงช้ากัน โดยเอาพญานาคขึงกับต้นพุทรา 2 ต้น แล้วพระอุมาก็ท้าพระอิศวรให้ยืนอยู่บนชิงช้าด้วยขาข้างเดียว แล้วก็โล้ไปมา ปรากฏว่าพระอิศวรชนะ ในคติของศาสนาพราหมณ์ ก็เชื่อกันว่าพระอิศวรจะเสด็จมาในช่วงปลายเดือนธันวาคมต้นมกราคม เรียกว่าพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย จึงจัดพระราชพิธีโล้ชิงช้าเพื่อให้พระอิศวรพอพระราชหฤทัย โดยพระราชพิธีนี้ต้องจัดโดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสาชิงช้าเลิกการโล้ชิงช้าไปตั้งแต่ 2476 แต่ยังมีพิธีตรียัมพวาย ตรีปวายอยู่ ตอนเราไปก็มีพิธีนี้ แต่ไม่ได้โล้กับเสาใหญ่ เป็นพิธีในรูปแบบอื่นแทน เสาชิงช้ามีการบูรณะใหม่โดยเปลี่ยนเสาใหม่ในปี 2550 โดยได้ไม้สักจาก จ.แพร่ 

เสาชิงช้ายามค่ำคืน จัดไฟสวยเลยทีเดียว

รูน๊อตตรงพื้น เป็นที่ใส่น้ำยากันปลวก

ความเป็นมาของเสาชิงช้า

เสาใหญ่มาก พื้นบริเวณเสาชิงช้าขี้นกเพียบ

แหงนสุดคอพับ ถึงจะเห็นยอด สูงจริงๆ

          เทวสถานเป็นสะดือเมืองของประเทศไทย และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์ ตั้งอยู่ใกล้เสาชิงช้า วัดสุทัศนเทพวราราม สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ใช้เป็นที่ประกอบศาสนกิจของพราหมณ์ เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า เทวสถาน ช่วงที่เราไป อยู่ในช่วงพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย พอดี โชคดีของเรา ได้ดูพิธีต่างๆ ได้พอสมควร มาเทวสถานต้องมากราบไหว้ขอพร แน่นอนว่าเราก็ต้องขอบ้างเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิต

ป้ายประวัติเทวสถาน

แผนผังในเทวสถาน

กำลังมีพิธีการ

ดอกดาวเรืองถวายเป็นสักการะ

มางานบุญ ต้องมีโรงทาน

พระศิวลึงค์

สถานพระพิฆเนศวร

สถานพระนารายณ์

พิธีในสถานพระอิศวร

สักการะด้วยธูปเทียนและดอกไม้

ด้านในห้ามถ่ายรูป เลยมีการถ่ายทอดสดให้ได้ดูด้านนอก

หน้าบันของสถานพระอิศวร เป็นรูปปั้นนูน รูปพระอิศวร พระอุมา และเครื่องมงคลรูปสังข์ กลศ กุมภ์ อยู่ในวิมาน ใต้รูปวิมามีปูนปั้นเป็นรูปเมฆ และโคนนทิ

เทวาลัยพระพรหม

ด้านหน้าเทวสถาน

พระอิศวร

         เราอ่านประวัติวัดคร่าวๆ ซึ่งน่าสนใจมาก วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร เป็น 1 ใน 6 พระอารามหลวงชั้นเอก ตั้งอยู่ใจกลางเกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงดำรัสให้สร้างขึ้น ที่ตั้งของวัดที่อยู่กลางพระนครว่ากันว่าอาจทรงได้รับคติจากเมืองนครธม ประเทศกัมพูชา ซึ่งมีปราสาทบายนเป็นจุดศูนย์กลาง เพื่อป้องกันมิให้ข้าศึกมาโจมตีได้ วัดสุทัศนเทพวราราม เดิมชื่อ วัดมหาสุทธาวาส ซึ่งรัชกาลที่ 1 พระราชทาน หมายถึง สววรค์ชั้นพรหมโลกชื่อสุทธาวาส ต่อมารัชกาลที่ 3 พระราชทานเป็น วัดสุทัศนเทพธาราม และรัชกาลที่ 4 พระราชทานเป็น วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งหมายถึงสุทัสสนนครบนเขาพระสุเมรุศูนย์กลางของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ประตูทางเข้าฝั่งเสาชิงช้า ซุ้มประตูทรงยอดจุลมงกุฎหรือพระเกี้ยวแปลง

(พระเกี้ยวหรือจุลมงกุฎเป็นเครื่องหมายราชลัญจกรในรัชกาลที่ ๕)

ศาลาลอยยกพื้นสูงระดับกำแพงวัด ในอดีตเป็นที่ประทับเพื่อทอดพระเนตรพิธีโล้ชิงช้า

ศาลาลอยหน้าบันปูนปั้นลายดอกลายเถาใบไม้

ซุ้มประตูระหว่างกลางแนวพระวิหาร หน้าบันจำลักลายรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ

หน้าพระวิหาร เครื่องศิลาจีนรูปเก๋งจีน

ในวาระที่สมเด็จพระเทพฯ เจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา ได้มรการหล่อพระพุทธรูปปางนาคปรก เพราะว่าวันที่เสด็จพระราชสมภพคือวันเสาร์ พระประจำวันคือพระนาคปรก มีรูปแบบแบบศรีวิชัย โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระศรีศากยมุนี มีอักษรพระปรมาภิโธย สธ อยู่ตรงฐานพระนาคปรก

พระศรีศากยมุนี (พระโต) อัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จ.สุโขทัย เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์พระร่วง ต่อมาวิหารได้พังลงทำให้พระพุทธรูปองค์นี้ตากแดดกรำฝน ดังนั้นรัชกาลที่ 1 จึงทรงมีพระดำรัสให้อัญเชิญมา

ผ้าทิพย์เบื้องหน้าฐานชุกชีพระศรีศากยมุนี บรรจุพระราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปรเมทรมหาอนันทมหิดล รัชกาลที่ ๘

          เราเดินวนไปวนมาแถวเสาชิงช้า ได้มาวัดทั้งตอนเช้า ตอนเย็น ตอนค่ำ เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ละแวกนี้ของกินอร่อยๆ เยอะมาก ถ้าไล่กินร้านอร่อยจนหมดคงต้องใช้เวลาทั้งเดือน ที่วัดสุทัศนเทพวราราม เวลา 19.00 น. มีสวดมนต์ในพระวิหาร สวดมนต์หน้าพระศรีศากยมุนี โดยมีพระสงฆ์มานำสวด ฆราวาสอย่างเราก็เปิดหนังสือสวดมนต์ตาม ผิดบ้างถูกบ้าง ตามทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่ก็รู้สึกดี ได้คุยกับคุณลุงข้างๆ คุณลุงบอกว่ามีสวดมนต์ทุกวัน ถ้ามีโอกาสให้มา เพราะคุณลุงสวดมนต์แล้วรู้สึกชีวิตดีขึ้น เรามีโอกาสอันดีมากๆ ที่ได้มาสวดมนต์ร่วมด้วยในครั้งนี้ เป็นการไหว้พระอย่างมีคุณภาพจริงๆ สำหรับส่วนอื่นๆ ภายในวัด ก็มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย เราได้ซื้อหนังสือประวัติวัดมาด้วย เล่มละ 80 บาท สิ่งที่เราเขียนอธิบายก็ได้ข้อมูลมาจากหนังสือเป็นหลัก 

ด้านหลังพระศรีศากยมุนี

ภาพสลักสมัยทวาราวดีด้านหลังฐานชุกชี เป็นภาพสลักเรื่องพุทธประวัติ ๒ ตอน คือ ปางยมกปาฎิหาริย์ และปางเทศนาโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ด้านข้างพระศรีศากยมุนี

หลวงพี่มานำสวดมนต์

หนังสือสวดมนต์ของวัด เล่มหน้ามาก ตัวอักษรใหญ่ดี

การสวดมนต์จะมีทุกวัน เริ่ม 19.00 น.

หน้าบันหลังคาประธานพระวิหารหลวง แกะสลักไม้ปิดทองประดับกระจกสีกรอบลายกนกเครือวัลย์ ออกช่อเทพพนม กลางกรอบรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ถือเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ

หน้าบันอันรองลงมา เป็นหน้าบันหลังคามุขพระวิหารหลวง แกะสลักไม้ปิดทองประดับกระจกสีกรอบตรงกลางเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ

ด้านข้างพระวิหาร

ถะรายพระวิหาร เป็นเครื่องศิลาจีนที่เรียกว่า ถะ ตั้งอยู่บนพนักฐานพระวิหารหลวงชั้นที่ ๒ รอบพระวิหารหลวง มีทั้งหมด ๒๘ ถะ

เครื่องศิลาจีนด้านหลังพระวิหารหลวง

ประตูด้านหลังพระวิหารเป็นลายรดน้ำ ฝีมืออันแสนวิจิตร

บานหน้าต่างพระวิหารหลวงประดับกระจกสีเป็นลายแก้วชิงดวงแล้วได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมโดยปูนปั้นน้ำมันแบบโบราณเป็นรูปต้นไม้ เขามอ และรูปสัตว์เป็นลายนูนต่ำปิดทองคำเปลว

จิตรกรรมหลังบานประตูด้านหลังพระวิหารเป็นรูปดอกไม้และกิ่งพฤกษามีนกนานาพันธุ์เกาะเกี่ยว

          วัดสุทัศนเทพวรารามถือกันว่าเป็นพระอารามประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมทรมหาอนันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ เพราะทรงมีความเกี่ยวข้องกับวัด คือเมื่อคราวที่เสด็จนิวัติพระนครครั้งแรกได้เสด็จมาวัดนี้ และทรงพระราชปรารภว่าสถานที่นี้ร่มเย็นน่าอยู่ และเมื่อทรงประกอบพระราชพิธีแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นพุทธมามกะจารย์ ถวายโอวาท นอกจากนี้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้บรรจุพระราชสรีรางคารพระบรมเชษฐาธิราชเจ้าไว้ ณ ผ้าทิพย์เบื้องหน้าฐานชุกชีพระศรีศากยมุนี

          พระอุโบสถอยู่ด้านหลังพระวิหารหลวง มีขนาดใหญ่โตมาก ออกจากพระวิหารหลวงตรงประตูด้านข้างเป็นลานสัตมหาสถาน มีเครื่องศิลาจีนประกอบ มีป้ายอธิบายประกอบ เดินชมเพลินกันไประหว่างทาง

ยามเช้าของผู้คนแถวนั้น

ลานสัตมหาสถาน

เก๋งจีน สลัดเป็นรูปปราสาท ตั้งอยู่บนฐานสูงมีบันไดขึ้น รอบผนังมีปูนปั้นลายนูนต่ำรูปท้องฟ้าก้อนเมฆและเทวดา ภายในเก๋งจีนนี้ประดิษฐานพระพุทธรูปปางถวายเนตร

พระอุโบสถ

หน้าบันมุขหน้าพระอุโบสถ เป็นไม้แกะสลักลายประดับกระจกสี สลักเป็นรูปพระอาทิตย์ประทับนั่งในบุษบกบนราชรถเทียมราชสีห์

ประตูตรงกำแพงแก้วก่อนเข้าบริเวณพระอุโบสถ ซุ้มประตูทำด้วยหินอ่อนเป็นซุ้มคูหาหน้านาง ยอดทรงมงกุฎ หน้าบันเป็นปูนปั้นลายดอกไม้ปิดทองคำเปลว บานประตูไม้เป็นภาพเขียนสีน้ำมัน

ซุ้มประตูพระอุโบสถ บานประตูลายรดน้ำ กรอบซุ้มลายปูนปั้นติดกระจกสีเหมือนกับกรอบซุ้มหน้าต่าง เป็นซุ้มบันแถลงสองชั้น ยอดทรงพิชัยมหามงกุฎ

พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ พระประธานในพระอุโบสถ หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ ปางมารวิชัย เบื้องหน้าประดิษฐานพระอสีติมหาสาวก ๘๐ องค์ ที่รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าให้สร้างขึ้น สร้างด้วยปูนปั้นลงสีนั่งพนมมือเหมือนกำลังฟังพระบรมโอวาทจากพระพุทธองค์

พระอสีติมหาสาวก

ด้านหลังพระพุทธตรีโลกเชษฐ์

จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ ยิ่งใหญ่ เลอค่ามาก มาดูเองค่ะ

บานประตูด้านใน

จิตรกรรมฝาผนังที่น่าทึ่งที่สุด เขียนจรดหลังคาเลยทีเดียว

          เราเดินมาหาของกินแถวๆ ศาลเจ้าพ่อเสือ เห็นเจดีย์สีทองอยู่ เลยเดินไปหาว่าอยู่ไหน ถ้าหันหน้าเข้าศาลเจ้าพ่อเสือเลี้ยวขวาก็จะเจอวัดมหรรณพารามวรวิหาร อ่านประวัติที่มีป้ายบอกหน้าวัด วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยกรมหมื่นอุดมรัตนราษีที่มีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าอรรณพ เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 3 สถาปัตยกรรมภายในวัดเป็นผสมมีทั้งแบบไทยและแบบจีน ช่วงที่เราเข้าไปพระอุโบสถกำลังทำการซ่อมแซมอยู่ เราเลยเดินเข้าไปในพระวิหารเพื่อสักการะพระร่วงทองคำซึ่งพระประธานในพระวิหารจากประวัติ พระร่วงทองคำเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย มีพุทธลักษณะสวยงามมาก

          เราพักบ้านดินสอ 2 จองจากอโกด้า เป็นห้องเล็กๆ เตียงเดี่ยว ห้องน้ำรวม เป็นส่วนตัวดี ที่พักก็สะอาด ราคาไม่แพง มีของที่ระลึกให้ด้วย ในห้องมีน้ำให้ 1 ขวด พร้อมถุงกระดาษของที่ระลึกภายในมีขนม ที่อุดหู พวงกุญแจ หมวกอาบน้ำ ที่พักหาง่ายมากอยู่ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

          บริเวณนี้เป็นที่รู้ๆ กัน ว่าเป็นแหล่งของกินขึ้นชื่อมาก ศูนย์รวมแห่งความอร่อย จิ้มไปตรงไหนก็เจอ แข่งกันอร่อยไปซ่ะหมดทุกอย่าง เราก็เดินวนไปวนมาหาของกินแถวนั้น ขอจบทริปนี้ด้วยความอร่อย แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าค่ะ