ค้นหาและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย ลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ
 
แว๊นซ์มอ’ไซค์ ไปกินผัก.. ที่ โครงการหลวงแม่โถ เชียงใหม่ #ดีต่อใจ #ดีต่อปอด และ #ดีต่อพุง! ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ (Mae Tho Royal Project Development Center) จ.เชียงใหม่
    • โพสต์-1
    CHAILAIBACKPACKER •  ธันวาคม 26 , 2559

    โครงการหลวงแม่โถ #ดีต่อใจ #ดีต่อปอด และ #ดีต่อพุง!

    “หนาวนี้.. อยากไปนอนในโครงการหลวงฯ.."

     

    นั่นคือ.. ความคิดในหัวของผมหลังจากได้มีโอกาสเปิดอ่านเวปไซต์ของโครงการหลวง "38 เส้นทางความสุข 38 โครงการหลวง" ซึ่งเป็นเส้นทางการท่องเที่ยว 38 โครงการหลวง ที่มีความน่าสนใจมากๆ จึงเกิดความตั้งใจขึ้นมาว่า ในช่วงหนาวนี้.. จะต้องไป 1 ใน 38 โครงการหลวงนั้นให้ได้ ก็เลยพยายามหาข้อมูลการเดินทางต่างๆ ของแต่ละสถานที่เพิ่มเติม โดยในบางเส้นทางของโครงการหลวงนั้น หลายคนก็เคยได้ยินชื่อกันบ่อยๆ หรือ เคยไปมากันบ้างแล้ว อย่างเช่น สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ เป็นต้น

     

    หลังจาก.. ได้ลองศึกษาการเดินทางเส้นทางสู่โครงการหลวงตามที่ต่างๆ ประกอบกับปัจจัยอื่นๆ ก็เลยตัดสินใจเลือกไปที่ "โครงการหลวงแม่โถ" ที่ต้องเดินทางออกไปไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่พอสมควร แต่นั่นก็มีข้อดี ตรงที่.. คนไปเที่ยวน้อย และไม่วุ่นวาย บรรยากาศสงบ อากาศดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องการ และ โครงการหลวงแม่โถแห่งนี้ จะขึ้นชื่อ.. เรื่อง การปลูกผัก มีผักสด สะอาด ปลอดสารพิษ สามารถนำมาประกอบอาหารให้ทานได้เลย นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่เลือกมาที่นี่.. เพราะ อยากกินผัก ครับ!

     

    สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบท่องเที่ยวแบบประหยัด แวะมาทักทาย ติดตามกันได้นะครับ

    CHAILAIBACKPACKER : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

     

    ในการเดินทางครั้งนี้.. มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 3 คน โดยแต่ละคนเดินทางมาจากคนละที่ ก็เลยนัดหมายให้มารวมตัวกันที่ สนามบินเชียงใหม่ ตามวัน เวลา ที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งโปรแกรมของเรา จะเน้นไปเที่ยวบริเวณภายในโครงการหลวงแม่โถ กิน+นอน อยู่ที่นั่น ทั้งหมด 2 คืน ครับ.. ถ้าพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางกันเลย!

     

       
    • โพสต์-2
    CHAILAIBACKPACKER •  ธันวาคม 26 , 2559

    โครงการหลวงแม่โถ มีอะไรให้เที่ยวบ้าง?

    ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2539 ตามแนวนโยบายส่งเสริมอาชีพเกษตรกรแผนใหม่ เพื่อทดแทน การปลูกฝิ่น และการลดการใช้สารเคมีในการทำเกษตรกรรม ลักษณะพื้นที่ตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่โถ เป็นภูเขาสลับซับซ้อน บรรยากาศจึงสดชื่น เย็นสบาย และเนื่องจากการเดินทางที่ไกล ต้องใช้เวลาพอสมควร ที่นี่จึงมีความเงียบสงบ เหมาะแก่การมาพักผ่อน

    การเดินทาง – รถทุกชนิดสามารถเดินทางขึ้นมาถึงที่ โครงการหลวงแม่โถ ได้เลย จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้ เส้นทาง 108 ผ่าน อำเภอจอมทอง จนถึง อำเภอฮอด แล้วเลี้ยวขวา ผ่าน อช.ออบหลวง จนไปถึง แยกบ้านกองลอย แล้วเลี้ยวขวาขึ้นไปที่ โครงการหลวงแม่โถ ระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่รวมทั้งสิ้น ประมาณ 160 กิโลเมตร (ไม่มีรถโดยสารผ่าน สามารถเช่ารถขับ หรือเช่ามอเตอร์ไซค์ จากตัวเมืองเชียงใหม่มาได้)

    สรุปค่าใช้จ่ายภายในโครงการหลวง

    • ค่าที่พักในโครงการหลวง - บ้านพัก หัวละ 150 บาท/คืน
    • ค่าเช่าเต๊นท์ มีเต๊นท์บริการให้เช่า 150 บาท/หลัง (แผ่นรองนอน 30 บาท ถุงนอน 30 บาท)
    • ค่าอาหาร คิดเป็นหัว = เช้า 80 บาท / กลางวัน 100 บาท / เย็น 150 บาท
    • สัญญาณโทรศัพท์มีเพียงเครือข่าย AIS เท่านั้น
    • สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น บ้านเกษตรกรตัวอย่าง น้ำตกแม่แอบ ดอย360 เป็นต้น


    หากต้องการเข้าพัก และ ต้องการทานอาหารของโครงการหลวง ต้องติดต่อล่วงหน้า เพราะทางเจ้าหน้าที่จะได้มีเวลาเตรียมที่พักและอาหารไว้ให้พร้อมตามความต้องการ สามารถติดต่อได้ที่ โครงการหลวงแม่โถ(คุณกิ่ง) 088-4344902

     

     

    ไฮไลท์สำคัญของโครงการหลวงแม่โถ คือ การได้เที่ยวแปลงผักสาธิต ของโครงการหลวง และได้ทานผักสดๆ จากแปลงผักกันเลยครับ โดยค่าอาหารในโครงการหลวงก็จะคิดเป็นหัว มื้อเช้า 80 บาท / มื้อกลางวัน 100 บาท / มื้อเย็น 150 บาท (สามารถเลือกได้ว่าต้องการทานอาหารของโครงการหลวงมื้อไหนบ้าง? แต่ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า) ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า.. กับข้าวที่นี่อร่อยทุกอย่าง โดยเฉพาะผักสดๆ นี่ ทั้ง กรอบ หวาน และ #ดีต่อพุง มากๆ

    และ.. ที่อยากแนะนำ ก็คือ สถานที่เที่ยวที่เพิ่งเปิดใหม่มาไม่นาน ดอยแม่โถ 360 ที่อยู่ไม่ไกลจาก โครงการหลวงแม่โถ เป็นยอดดอยสูงที่ต้องใช้การเดินเท้าขึ้นไป และ ต้องปักหลักกางเต็นท์อยู่ข้างบน หากต้องการชมบรรยากาศสายหมอกยามเช้า หรือชมบรรยากาศยามเย็น ซึ่งวิวทิวทัศน์บนยอดดอยนั้น สวยงามมาก สามารถมองวิวได้รอบด้าน 360 องศา ลมพัดเย็นสบาย อากาศสดชื่น แถมดึกๆ สามารถมองเห็นดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าอีกด้วย!

    สรุปค่าใช้จ่ายสำหรับการขึ้นดอยแม่โถ 360

    • ค่าเช่าเต๊นท์(กรณีค้างคืน) = 150 บาท/หลัง แผ่นรองนอน 30 บาท ถุงนอน 30 บาท
    • ค่าลูกหาบ(กรณีมีสัมภาระเยอะ) = 300 บาท
    • ค่าเหมารถ 4WD จากโครงการหลวงแม่โถ ไป-กลับ = 1000 บาท
    • ค่าไกค์ชุมชน = 800 บาท/กลุ่ม


    การเดินทางจากโครงการหลวงแม่โถ ไป ยอดดอย 360 นั้น จำเป็นจะต้องใช้ ไกค์ชุมชน ในการนำทางขึ้นไป เนื่องจากยังเป็นสถานที่เปิดใหม่ และ การเดินป่าขึ้นยอดดอย ต้องมีผู้ชำนาญเส้นทางในการพาเดินขึ้นไป จึงควรมีไกค์คอยมาดูแล และคอยให้คำแนะนำต่างๆ ซึ่งสามารถติดต่อไกค์ล่วงหน้าได้ที่โครงการหลวงแม่โถ เช่นกัน

    • โพสต์-3
    CHAILAIBACKPACKER •  ธันวาคม 26 , 2559

    แว๊นซ์สองล้อ เที่ยวทั่วดอย!

    เพื่อความคล่องตัว และสะดวกในการเดินทาง ไปตามสถานที่ท่องเที่ยวตามจุดต่างๆ ในทริปนี้ จึงใช้ มอเตอร์ไซค์ เป็นหลัก โดยเช่ามอเตอร์ไซค์ คนละคัน จากตัวเมืองเชียงใหม่กันเลย ซึ่งก็ใช้บริการกับเจ้าเดิม เจ้าประจำอย่าง Bikky Chiangmai เพราะ สามารถมารับ-ส่ง รถที่ สนามบินเชียงใหม่ ได้เลย สะดวก สบาย ไม่เสียเวลา ลงเครื่องแล้วก็รับรถไปลุยต่อกันได้เลย..

    ซึ่งในตอนแรก.. ก็มีความคิดว่าจะเช่ารถยนต์ขับเหมือนกัน เพราะ ราคาเช่ารถยนต์แล้วหารค่าเช่ากัน ก็ไม่ได้ต่างกับการแยกเช่ามอเตอร์ไซค์คนละคันแบบนี้สักเท่าไหร่ แถมนั่งสบายกว่า และ ถนนหนทางไปถึงโครงการหลวงแม่โถก็ขับสบายไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย แต่.. ระหว่างทางจากโครงการหลวงไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ที่อยู่โดยรอบนั้น ถนนบางช่วงขรุขระ แคบ ชัน และอันตราย จำเป็นจะต้องใช้ รถ 4WD ในการสัญจร ซึ่งถ้าขับรถยนต์ไปก็อาจจะต้องทิ้งรถไว้ที่โครงการหลวง แล้วใช้บริการเหมารถ 4WD จากทางโครงการหลวงไปอีกที ดังนั้น จึงคิดว่าเช่ามอเตอร์ไซค์แว๊นซ์ไปยาวๆ เลยดีกว่า ลุยไปได้ทั่วดอย แถมสนุก และได้บรรยากาศการเดินทางอีกด้วย!

    • โพสต์-4
    CHAILAIBACKPACKER •  ธันวาคม 26 , 2559

    DAY #1

    ออกเดินทาง!

     

    เริ่มต้นออกเดินทาง.. ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งวันนี้รีบมาให้ถึงสนามบินเร็วกว่าปกติ เพราะใช้บริการ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ ประเด็นสำคัญที่รีบมาเร็วก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากอยู่ในเลาจน์นานๆ เท่านั้นเองครับ! มาถึงสนามบินก็เดินมาที่ เคาร์เตอร์แถว F จัดการเช็คอิน และ โหลดสัมภาระที่หนักพอสมควร เพราะว่าใส่ถุงนอน และยัดเสื้อกันหนาวมาหลายตัวเกรงว่าอากาศจะหนาว

    ได้ Boarding Pass มาเรียบร้อย ก็ตรงดิ่งไปเข้าเลาจน์ทันที มีพี่หมียืนต้อนรับผู้โดยสารอยู่ด้านหน้า ก็แสดงบัตรโดยสาร กับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าไปข้างใน และ เจ้าหน้าที่ก็จะให้รหัส wifi ไว้ใช้ด้วย

    อาหารต่างๆ ที่ให้บริการภายในเลาจน์ มีให้เลือกมากมาย สามารถเลือกทานได้ตามใจชอบ

    แต่ที่เด็ดสุด.. และคุ้นเคยกันดี ก็คือ ข้าวต้มมัด มีโอกาสใช้บริการเลาจน์ทีไร ไม่มีพลาด

    แม้ช่วงนี้.. จะเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว แต่ กทม. ยังคงมีอากาศร้อนอยู่ ยังไงก็ขอตัวลา กทม. บินไปหาความหนาวที่เชียงใหม่ สัก 2-3 วัน ก่อนนะ

    ยังรู้สึกอิ่ม.. กับอาหารในเลาจน์ อยู่เลย พอเครื่องขึ้นไปได้ไม่นาน พนักงานต้อนรับ ก็เตรียมมาเสริฟอาหาร ให้อิ่มเข้าไปอีก.. ในไฟล์ทนี้ มีผู้โดยสารเต็มลำเลย เพราะ เป็นช่วงใกล้วันหยุดยาวพอดี เมนูสำหรับไฟล์ทนี้เป็นคล้ายๆ "ข้าวไข่ตุ๋น" ตอนมาเสริฟแรกๆ เหมือนจะกินไม่ไหว เพราะอิ่มมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ไปๆมาๆ กินเพลินๆ ดูวิวไปพลางๆ หมดเกลี้ยงไปซะงั้น อร่อยดี!

     

     

    จากสนามบินเชียงใหม่ สู่ โครงการหลวงแม่โถ

     

    ใช้เวลาในการเดินทางชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึง "สนามบินเชียงใหม่" ผมมีนัดหมายกับสมาชิกอีกสองคนที่นี่ จุดนัดหมายของเราก็คือ จุดรับ-คืนรถ ของ Bikky Chiangmai ภายในบริเวณลาดจอดรถของสนามบินเชียงใหม่ เราได้ติดต่อจองรถมอเตอร์ไซค์ กับ Bikky Chiangmai เอาไว้คนละคัน ทั้งหมด 3 คัน เป็นรถมอเตอร์ไซค์ Zoomer X ในราคาเช่าต่อวัน วันละ 300 บาท(เติมน้ำมันเอง) + ค่ารับและคืนรถที่สนามบิน 100 บาท/คัน โดยจะเช่ารถทั้งหมด 2 วัน(48 ชั่วโมง) พอดี ก็รวมเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด = 700 บาท/คน/คัน(ไม่รวมน้ำมัน)

    สำหรับเส้นทางการเดินทาง จาก สนามบินเชียงใหม่ เมื่อออกจากประตูสนามบินจะเลี้ยวขวาไป ประมาณ 500 เมตร จะมีปั๊มน้ำมันอยู่ฝั่งซ้ายมือ เราแวะเติมน้ำมันให้เต็มถึงกันเสียก่อน จากนั้น.. เลี้ยวขวาเข้าสู่ เส้นทาง 108 ผ่าน อำเภอจอมทอง จนถึง อำเภอฮอด (ประมาณ 88 กิโลเมตร) แล้วเลี้ยวขวา ผ่าน อช.ออบหลวง ผ่าน สวนสนบ่อแก้ว จนไปถึง แยกบ้านกองลอย(ประมาณ 55 กิโลเมตร) แล้วเลี้ยวขวาขึ้นไปอีกราว 16 กิโลเมตร ก็จะถึง โครงการหลวงแม่โถ รวมระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 160 กิโลเมตร
    • โพสต์-5
    CHAILAIBACKPACKER •  ธันวาคม 26 , 2559

    สวนสนบ่อแก้ว

    ไม่แวะ ก็คงไม่ได้.. หลังจากขับผ่าน อช. ออบหลวง มาได้ราว 22 กิโลเมตร ภาพที่เห็นอยู่ติดริมถนนฝั่งซ้ายมือ คือ ป่าสน หรือที่รู้จักกันดีกับ สวนสนบ่อแก้ว ซึ่งบรรยากาศช่วงบ่ายแก่ๆ อย่างนี้ เชื้อเชิญให้แวะเข้าไปถ่ายรูปยิ่งนัก.. และ ไม่ต้องใช้เวลาในการคิดมาก เราต่างหันหัวแวะจอดรถโดยไม่ต้องบอกกล่าวกันเลย ช่วงเวลานี้อาจเป็นเพราะว่า เป็นช่วงเย็นมากแล้ว เลยไม่ค่อยเห็นคนมาเที่ยวสักเท่าไหร่ ตอนแรกนึกว่าคนจะเยอะกว่านี้เสียอีก..

    เมื่อเข้ามาภายในสวนสน จะเห็นต้นสนเป็นจำนวนมาก ปลูกเต็มพื้นที่ไปหมด โดยเฉพาะตรงริมถนนทางเข้านี้ ปลูกเรียงรายเป็นแถวอย่างสวยงามทั้งสองข้างทาง เป็นจุดที่หลายๆ คนชอบแวะมาถ่ายรูปกัน

    เดินเล่นชมบรรยากาศภายในบริเวณนี้กันสักหน่อย ถ้าจะให้เหมาะ ช่วงที่น่ามาเที่ยวมากที่สุด ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาเช้าๆ มีสายหมอกบางๆ พาดผ่านทิวสน น่าจะได้บรรยากาศที่ดีมาก

    จาก สวนสนบ่อแก้ว ไป โครงการหลวงแม่โถ เหลือระยะทางอีกไม่ไกลนัก ยังพอมีเวลาพักยืดเส้นยืดสายกันสักหน่อย

    สำหรับใครที่มีโอกาสไปท่องเที่ยวเชียงใหม่แล้วได้ใช้เส้นทาง ฮอด-แม่สะเรียง ก็คงจะไม่พลาดแวะ "สวนสนบ่อแก้ว" นะครับ อยู่ติดถนนเลย แวะได้ง่าย แถมบรรยากาศโดยรวมก็ดูสวยดีนะ!

     

     

    ความงดงามของสองข้างทาง


    จาก สวนสนบ่อแก้ว มาประมาณ 10 กิโลเมตร ก็มาถึง บ้านกองลอย เราจะมาแวะเติมน้ำมันกันที่นี่กันอีกครั้ง เพราะ ณ ขณะนี้ น้ำมันที่เติมเต็มถังก่อนออกเดินทาง เหลือเพียงแค่ก้นถังเท่านั้น ซึ่ง บ้านกองลอย จะมีปั๊มน้ำมันที่อยู่ติดกับสถานีตำรวจ สามารถแวะมาเติมน้ำมันก่อนจะขึ้นไปบนโครงการหลวงแม่โถ ก็ได้ และในระหว่างที่เราแวะพักเติมน้ำมันอยู่นั้นก็ได้มีโอกาสหยิบมือถือขึ้นมาดู ก็พบว่า.. มีสายโทรเข้ามาหลายสายที่ไม่ได้รับ!! เป็นสายของ คุณกิ่ง เจ้าหน้าที่โครงการหลวงแม่โถนั่นเอง ผมจึงรีบโทรกลับไป จึงได้ทราบว่า.. คุณกิ่ง จะโทรมาสอบถามว่าเดินทางถึงไหนกันแล้ว เห็นว่าค่ำมากแล้ว แต่ว่าเรายังมาไม่ถึงกันสักที ก็เลยเป็นห่วง เพราะถนนหนทางยามมืดมิด การขับขี่ค่อนข้างจะอันตราย ให้รีบมาถึงก่อนที่จะค่ำ เพราะหน้าหนาว ความมืดมิดมันมาเร็วกว่าปกติมาก ผมจึงแจ้งกับคุณกิ่งกลับไปว่า.. จะไปถึงไม่เกิน 6 โมงเย็นอย่างแน่นอน และ รบกวนคุณกิ่งให้เตรียมอาหารเย็น ไว้ให้อีกด้วย

    ตรงแยกบ้านกองลอย เราเลี้ยวขวาขึ้นไต่เนินเขาเพื่อไป โครงการหลวงแม่โถ จากจุดนี้ไปเหลือเพียงแค่ราว 16 กิโลเมตร เท่านั้น

    เป็น 16 กิโลเมตรที่ เส้นทางมีความลาดชัด และคดเคี้ยว แต่ระหว่างทาง สองข้างทาง มีบรรยากาศที่สวยงามมาก โดยเฉพาะเวลายามเย็นเช่นนี้

    เมื่อเข้ามาสู่ถนนเส้นนี้ จะพบว่า.. รถราน้อยลงถนัดตา นานๆ ทีจะสวนมาสักคันนึง บรรยากาศยามเย็นจึงชิลล์มาก ตลอดระยะทางเส้นนี้ก็เลยแวะถ่ายรูปริมทางกันมากขึ้นเช่นกัน

    พวกเราได้สัมผัสถึงอากาศที่หนาวเย็นกันอย่างเต็มตัว เพราะ ระยะทางจะเริ่มไต่ระดับขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับความมืดมิด ที่เริ่มย่างกรายเข้ามา ทำให้รู้สึกหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ

    ความหนาวเย็นเริ่มเข้ามาปกคลุม กับ ระยะทางอีกไม่ไกลก็จะถึงจุดหมาย สายตาก็สอดส่ายชมบรรยากาศยามเย็น ตามทิวเขา และ หุบเขา สองข้างทาง เป็นบรรยากาศที่ยากเกินจะบรรยาย เราจอดแวะรถกันจุดสุดท้าย เพิ่อชมพระอาทิตย์ตกลับหลังทิวเขาไป

    เป็นการชมบรรยากาศความสวยงาม ก่อนสิ้นแสงสุดท้ายของวันนี้..

    • โพสต์-6
    CHAILAIBACKPACKER •  ธันวาคม 26 , 2559

    ถึงแล้ว.. โครงการหลวงแม่โถ!

    ในที่สุด ก็..มาถึง โครงการหลวงแม่โถ จนได้! ใช้เวลาเดินทาง พร้อมแวะเที่ยวรายทาง ก็ร่วมๆ 4-5 ชั่วโมง เมื่อเดินทางมาถึงก็ จอดมอเตอร์ไซค์ตรงที่จอดให้เรียบร้อย ซึ่งในช่วงเวลานี้ก็แทบจะมองอะไรไม่ค่อยเห็นกันแล้ว มีเพียงแต่แสงไฟจากส่วนกลาง และที่พัก เท่านั้น ที่พอจะให้แสงสว่างบ้าง เราได้ทักทายกับคุณกิ่งเล็กน้อย(ขณะที่คุณกิ่งกำลังง่วนกับการทำอาหารมื้อเย็นให้เราทานอยู่) จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่โครงการหลวงมาพาพวกเราเข้าสู่ที่พัก ซึ่งที่พักของเราในคืนนี้เป็นบ้านพักหลังใหญ่ มีทั้งหมด 3 ห้อง ที่พักจะคิดเป็นคน คนละ 150 บาท/คืน เท่านั้น ราคาถูกมากๆ มีฟูก ที่นอน ผ้าห่ม ให้พร้อม! และ.. ในคืนนี้มีเพียงแค่เรา 3 คนเท่านั้น ที่เข้ามาพัก เหมือนได้ยึดบ้านทั้งหลังเลย..

    พื้นที่บริเวณส่วนกลางของบ้านพัก มี ทีวี ตู้เย็น สำหรับใช้ร่วมกัน และ จะเห็นหน้าต่างฝั่งซ้ายมือ ตรงนี้ก็สามารถชมวิวยามเช้าได้ เป็นบ้านพักที่มีวิวสวยดี มองเห็นจากบ้านพักได้เลย.. ซึ่งขณะนี้ก็มืดค่ำ มองอะไรไม่เห็นแล้ว คงต้องรอตื่นมาชมวิวในช่วงเช้า

    ได้เวลา.. อาหารเย็น!


    เก็บของเข้าที่พัก นอนแผ่หราพักร่างกายกันสักพัก.. คุณกิ่งก็มาเรียกเราให้ไปทานมื้อเย็น ซึ่งมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยพร้อมทานแล้ว เราก็ล้างไม้ล้างมือ ก่อนจะเดินออกไปยังจุดทานอาหารตรงส่วนกลาง อาหารทุกอย่างเตรียมพร้อม อยู่บนโต๊ะอาหารแล้ว! และ เราก็ทราบมาอีกว่า.. ที่คุณกิ่ง เพิ่งจะมาเตรียมอาหารก่อนที่เราจะเดินทางมาถึงไม่นาน ก็เพราะอยากให้ได้ทานอาหารกันแบบร้อนๆ จากเตา จะได้ทานอร่อยๆ ซึ่งสำหรับมื้อเย็นนี้มีอยู่ 5-6 อย่าง กับข้าวทุกอย่าง ทุกเมนู ดูน่าทานมากๆ

     

    เรานั่งล้อมวง..ทานข้าว กันจนอิ่ม ก็นั่งสนทนากันไปตามประสากันต่อ บริเวณทานข้าวตรงนี้ที่จริงบรรยากาศดีมาก แต่ช่วงเวลาค่ำมืดอย่างนี้ มองอะไรแทบไม่เห็น จะพอรับรู้และสัมผัสได้ก็คงเป็นเพียงลมหนาวที่พัดมาปะทะร่างกายเป็นระยะๆ เท่านั้น เราได้ชักชวน คุณกิ่ง มาร่วมวงสนทนาด้วย เพื่อสอบถามถึงโปรแกรมการเดินทางในวันถัดๆ ไป และ ข้อมูลต่างๆ ภายในโครงการหลวงแห่งนี้ ซึ่งคุณกิ่งก็ยินดีให้คำแนะนำเป็นอย่างดี โดยในวันรุ่งขึ้นจะมีโปรแกรม ดังนี้

     

    • เช้า – ออกไปชมวิวยามเช้าที่ จุดชมวิวบริเวณทุ่งหญ้าสะวันน่า แล้วกลับมาทานมื้อเช้าที่โครงการหลวง
    • สาย – เที่ยวชม แปลงผักสาธิต บริเวณโครงการหลวงและใกล้เคียง
    • เที่ยง – ทานอาหารมื้อเที่ยงที่โครงการหลวง
    • บ่าย – เที่ยว น้ำตกแม่แอบ
    • เย็น – เดินขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกบน ดอยแม่โถ 360 พร้อมกางเต็นท์นอนข้างบน


    เมื่อทำความเข้าใจ และ นัดหมายเวลา กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปพักผ่อน อาบน้ำ เตรียมเข้านอน ซึ่งอากาศหนาวๆ อาบน้ำมาเย็นๆ สบายตัวอย่างนี้ แล้วได้มาซุกตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ เพียงไม่นานก็เผลอ หลับไปทุกคนโดยไม่รู้ตัว..

    • โพสต์-7
    CHAILAIBACKPACKER •  ธันวาคม 26 , 2559

    DAY #2

    ตื่นเช้า... ไปแว๊นซ์ชมวิว!


    ...ตั้งนาฬิกาปลุก ไว้ที่ตี 5


    ตั้งใจว่าจะตื่นขึ้นไปชมวิวยามเช้ากันครับ ล้างหน้าล้างตากว่าจะได้ออกจากที่พักก็เกือบจะ 6 โมงเช้า เราพากันแว๊นซ์มอ'ไซค์ไปตามเส้นทางที่คุณกิ่งได้แนะนำไว้เมื่อคืนครับ จุดประสงค์ก็ไม่มีอะไรมากแค่อยากขี่มอเตอร์ไซค์ชมวิว ชมบรรยากาศยามเช้าบนดอยไปเรื่อยๆ ไหนๆ ก็มาพักผ่อนกันไกลซะขนาดนี้ ก็อยากเต็มอิ่มกับธรรมชาติบ้าง

    เส้นทางเรามากันนั้นเป็นเส้นทางเดียวกับที่จะขึ้นไป ทุ่งหญ้าสะวันนา และ ดอยแม่โถ 360 แต่เราไม่ได้ขึ้นไปถึงตรงบริเวณดังกล่าว เพราะว่ารู้สึกไกลไป และมีเส้นทางที่ค่อนข้างโหดพอตัว อีกอย่างยังไงเดี๋ยวช่วงเย็นๆ ก็ต้องไปกันที่นั่นอยู่แล้ว ก็ถือว่ามาสำรวจเส้นทาง และชมบรรยากาศแค่ตรงนี้ก็พอ

     

    ชมวิวไป.. กินไป.. กับอาหารมื้อเช้า!


    มื้อเช้านี้.. ยังคงใช้บริการอาหารเช้าจากโครงการหลวงเหมือนเดิมครับ เพราะค่อนข้างจะสะดวกกว่าออกไปหากินข้างนอก ซึ่งที่จริงภายนอกรอบโครงการหลวง หรือ ตามหมู่บ้านใกล้ๆ ก็มีร้านอาหารร้านข้าวแบบง่ายๆ อยู่เหมือนกัน แต่มาเที่ยวโครงการหลวงแบบนี้ทั้งที ขอจัดอาหารของโครงการหลวงไปทุกมื้อเลยล่ะกันครับ

    มานั่งกันที่โต๊ะตัวเดิม มุมเดิม เตรียมพร้อมทานอาหารมื้อเช้ากัน ซึ่งมื้อนี้ดูเหมือนจะเป็นอาหารเบาๆ กว่ามื้อก่อน หลักๆ ก็จะเป็น ข้าวต้มหมู มี ไข่ลวก พร้อมผัดผักจากโครงการหลวงอีก 2 อย่าง หน้าตาดูน่าทาน

     

    เที่ยวแปลงผักโครงการหลวงแม่โถ


    มา โครงการหลวงแม่โถ ถ้าไม่ได้ชมแปลงผักสาธิต ก็คงมาไม่ถึงโครงการหลวงแม่โถ การไปเที่ยวชมแปลงผักในช่วงเช้าของวันนี้ เราได้ พี่ชาติ เจ้าหน้าที่โครงการหลวงแม่โถ อาสาพาพวกเราไปชมแปลงผักของโครงการหลวงแม่โถกัน โดยจะไปกันที่แปลงผักโซน A ซึ่งต้องลุยผ่านถนนลูกรังไปสักหน่อย และ มอเตอร์ไซค์ที่เราเช่ามา ก็สามารถไปได้ ไม่ลำบากอะไรมาก เพียงแต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเท่านั้นเอง - พี่ชาติ จะขี่มอเตอร์ไซค์นำทางไป และพวกเราก็ขี่ตามกันไปเป็นขบวน

    พี่ชาติ แนะนำและให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการปลูกผักของโครงการหลวงได้ดีมากเลยครับ ได้ความรู้ใหม่ๆ เยอะเลย พี่ชาติใจดี และเป็นกันเองมากๆ อยากรู้ อยากถามอะไร พี่ชาติไขข้อข้องใจได้หมด

    จากนั้น ก็พาเราเข้าไปชมในโรงเรือนปลูกผักครับ โซนนี้มีโรงเรือนอยู่เยอะเหมือนกัน ซึ่งพี่ชาติ ก็จะเลือกเฉพาะบางโรงเรือน ที่ปลูกผักแตกต่างกัน เพราะจะได้เห็นการปลูกผักแต่ละชนิด

    การปลูกผักในโรงเรือนจะช่วยให้ควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการปลูกผักได้ เช่น แมลงศัตรูพืช ลมฟ้าอากาศ แสงแดด อุณหภูมิ เป็นต้น ผักจากที่นี่จึงมีความสวยงาม สด กรอบ หวาน และปลอดสารพิษ

    พี่ชาติเล่าให้ เราฟังว่า.. ผักเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจะถูกส่งตรงไป ยัง MK กับ Sizzler

    ระหว่างทางกลับไปในตัวโครงการหลวง พี่ชาติได้พาแวะ บ้านเกษตรกรตัวอย่าง เป็นบ้านของ คุณเม่ย(ถ้าเขียนชื่อผิดต้องขออภัยด้วยนะครับ) ที่ภายในบริเวณบ้านได้จัดสรรพื้นที่ในการทำเกษตรกรรม มีทั้งการปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์ต่างๆ มีชีวิตเรียบง่ายโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พี่ชาติขี่มอเตอร์ไซค์นำหน้าพาเข้าสู่ตัวโครงการหลวง พามาจอดรถที่หน้า โรงเรือนไม้ดอก โรงเรือนนี้ คือ โรงเรือนปลูก อัลสโตรมีเรีย ซึ่งเป็นพืชที่สามารถชักนำให้เกิดตาดอกได้ในสภาพที่อุณหภูมิของวัสดุปลูกเย็นอย่างสม่ำเสมอ จะออกดอกก็ต่อเมื่อได้รับความเย็นมากระตุ้นระยะหนึ่ง ฉะนั้นพื้นที่ที่จะปลูกอัลสโตรมีเรียได้ดี จะต้องเป็นพื้นที่ที่มีอากาศเย็น นอกจากนี้ก็ยังมีไม้ดอกชนิดอื่นๆ มากมายให้ได้ชม อวดสีสันสวยงามเต็มโรงเรือน ซึ่งดอกไม้พวกนี้จะส่งต่อไปยังตลาดที่ต้องการต่อไป  

    ได้เวลา.. อาหารเที่ยง!


    กลับเข้ามาจัดการมื้อเที่ยงกันในโครงการหลวงเช่นเคย สำหรับอาหารมื้อเที่ยงจะเมนูอยู่ 4 อย่าง เน้นผักเหมือนเดิม ทั้งนี้หากต้องการทานผักอะไร หรือ เมนูอะไรเป็นพิเศษก็สามารถแจ้งไว้ก่อนได้ แต่สำหรับเราแล้ว.. ก็แล้วแต่แม่ครัวเลย ดูลุ้นดีว่าได้จะกินอะไรบ้าง?

     

    เล่นน้ำตกแม่แอบ..แอบสมชื่อ!

    ในพื้นที่สูงเช่นนี้.. อากาศช่วงบ่ายดูอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับร้อน พี่ชาติส่งสัญญาณให้พวกเราไปลุยกันต่อ โดยในช่วงบ่ายนี้จะพาไปเที่ยว น้ำตกแม่แอบ ที่อยู่ห่างจากโครงการหลวงแห่งนี้ประมาณ 9 กิโลเมตร การเดินทางสู่น้ำตกแม่แอบยังคงค่อนข้างลำบากเหมือนเดิม เราแว๊นซ์มอเตอร์ไซค์ตามพี่ชาติ ไต่เขาลัดเลาะตามเส้นทางลูกรังเพื่อไปสู่จุดหมาย ซึ่งต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวัง

    เดินทางกันจนมาถึงปากทางเดินเท้าเข้าป่าเพื่อเดินไปสู่ตัว น้ำตกแม่แอบ ด้วยความที่ตัวน้ำตก แอบอยู่ในป่าเช่นนี้ จำเป็นที่จะต้องมีคนนำทาง หรือ ไกค์ชุมชน ที่คุ้นเคยเส้นทางเข้าไปด้วย ซึ่งถ้าหากเดินเข้าไปเองอาจจะเดินเข้าไปไม่ถูก เพราะ เส้นทางเดินจะเลียบไปกับลำธาร และมีบางช่วงที่ต้องเดินลุยน้ำข้ามลำธาร   ไม่นาน.. ก็ได้ยินเสียงน้ำตกที่ส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ในทุกขณะที่ย่างเท้าเข้าไปใกล้ๆ จนในที่สุด พอลับโค้งตรงต้นไม้ใหญ่ ก็เผยให้เห็นตัวน้ำตก ที่มีสายน้ำตกลงมาเป็นเหมือนม่านปกคลุมก้อนหินใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า ละอองน้ำที่แตกกระเซ็นพัดมาตามสายลม โชยมาปะทะกับผิวหน้า ชวนให้รู้สึกหนาวเย็นขึ้นไปอีกระดับ    
    • โพสต์-8
    CHAILAIBACKPACKER •  ธันวาคม 26 , 2559

    ดอยแม่โถ 360 องศา

     

     

    คืนนี้จะเปลี่ยนที่นอน.. จะไปกางเต็นท์นอนบนดอย 360 โดยเริ่มต้นการเดินทาง กันที่ โครงการหลวงแม่โถ เป็นจุดเริ่มต้นสู่ ดอย 360 ซึ่งสามารถมาติดต่อการขึ้นดอย 360 กันได้ที่นี่เลย เราจัดการติดต่อขอ เช่าเต๊นท์ 1 หลัง (นอนได้ 3-4 คน) ในราคา 150 บาท ต่อหลัง พร้อมกับ แผ่นรองนอน (30 บาท) และ ถุงนอน (30 บาท) และที่ขาดไม่ได้ ก็คือ เสบียงอาหาร น้ำดื่ม ที่ควรจัดให้พร้อมก่อนขึ้นดอยด้วย

    เนื่องจากระยะเวลาการเตรียมตัวที่น้อย และตะลอนเที่ยวมาเกือบตลอดทั้งวัน ทำให้มีเวลาเตรียมของ เตรียมเสบียงน้อย แต่ก็ยังดีที่มี น้องโก้ ไกค์ของเราที่จะพาเดินขึ้นดอย 360 ในช่วงเย็นนี้ คอยจัดการหาเสบียงและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ โดย น้องโก้ จะมาเป็นไกค์ ทำหน้าที่พาเราขึ้นไปกางเต็นท์นอนดอย 360 และ คอยดูแลเราตลอดระยะเวลาที่อยู่ข้างบนครับ

    เรายังคงใช้มอเตอร์ไซค์แว๊นซ์กันไปตามเคย ไปตามเส้นทางที่เราขึ้นไปชมวิวกันเมื่อตอนเช้า เส้นทางเดียวกัน เพียงแต่ว่า..ลึกกว่า และก็โหดกว่าด้วย แต่น้องโก้ ยืนยันกับพวกเราว่ามอเตอร์ไซค์ขึ้นไปได้ ถ้าพี่ชอบลุยๆ แบบนี้ก็ลองเลย!

    ระยะทางจากโครงการหลวงแม่โถไปสู่จุดกางเต็นท์ ประมาณ 9 กิโลเมตร เส้นทางจะเป็นทางลูกรัง ขรุขระ เลียบไปตามเขา จึงควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าหลุดโค้งไปก็ได้ไหลตกเขากันเลยทีเดียว

    ไกค์ของเรา แว๊นซ์มอเตอร์ไซค์นำทางลัดเลาะตามเขา เดินทางมาได้ประมาณ 4 กิโลเมตร มาถึง จุดแรก จุดนี้คือ ทุ่งหญ้าสะวันนา เป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และดอกหญ้า สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบด้าน มาหยุดพักรถ พักก้นกันที่นี่.. เพราะทางขรุขระ ระบมก้นซะเหลือเกิน..

    บรรยากาศบริเวณ ทุ่งหญ้าสะวันนา เป็นพื้นที่เปิดโล่ง มองเห็นบรรยากาศได้รอบด้าน แม้จะเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ แต่ไม่รู้สึกร้อน และสัมผัสได้ถึงอากาศสดชื่น

    เราแว๊นซ์ลุยกันต่อไป ผ่านโค้ง ผ่านเนิน ต่างๆ อีก 3.6 กิโลเมตร ก็มาถึง ลานกางเต็นท์ ซึ่งถ้าใครจะขึ้นยอดดอย 360 ก็สามารถมากางเต็นท์ได้ที่ตรงจุดนี้ แล้วเดินเท้าจากจุดกางเต็นท์นี้ขึ้นยอดดอย อีก 2.3 กิโลเมตร โดยจะเดินขึ้นตอนเช้าเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น หรือเดินขึ้นช่วงเย็นเพื่อชมพระอาทิตย์ตก ก็แล้วแต่ความสะดวก.. ซึ่งว่ากันว่าถ้าหากได้เดินขึ้นยอดดอย 360 ในช่วงเช้าก็มีโอกาสได้เจอทะเลหมอกที่สวยงามอลังการด้วย

    ถัดจากลานกางเต็นท์ไปจะเป็นเส้นทางเดินป่าแล้ว ถ้าเหมารถ 4WD จากโครงการหลวงมาจะสิ้นสุดได้แค่ตรงนี้ หรือ ถ้าหากสภาพทางไม่ดี ถนนลื่น ก็ อาจจะสิ้นสุดตั้งแต่บริเวณทุ่งหญ้าสะวันนาก็ได้ ซึ่งต่อจากนี้จะเป็นเส้นทางเดินป่าที่แคบ  เราจอดมอเตอร์ไซค์ริมทางตรงถนนเล็กๆ ด้านล่าง ดูเหมือนว่าเป็นเส้นทางที่ต้องใช้มอเตอร์ไซค์สัญจรได้เท่านั้น ซึ่งเส้นทางต่อจากนี้ไปต้องเดินเท้าขึ้นเขาเท่านั้น เวลาไม่คอยท่า.. ต้องทำเวลาพอสมควร เพราะต้องการขึ้นไปให้ทันชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตก ซึ่งระหว่างทางที่เดินไปนั้นก็ค่อนข้างชัน ต้องเตรียมร่างกายมาให้พร้อม และ อย่าลืมติดน้ำเปล่าไว้ไปดื่มระหว่างทางด้วย

    แม้จะได้เสียเหงือระหว่างทางที่เดินมาบ้าง แต่ภาพที่ได้เห็นรอบด้านก็ทำให้หายเหนื่อยได้อย่างรวดเร็ว ก่อนดวงตะวันจะลาลับไป.. ช่วงนี้ คือ ช่วงเวลาที่ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติ บรรยากาศทิวเขาสลับซับซ้อน กวาดสายตามองได้โดยรอบ ทุกอย่างบนนี้ดูเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงของลมหนาวที่พัดมาปะทะกับผิวกายเท่านั้น

     

    กางเต็นท์ ดูดาว และ ปาร์ตี้รอบกองไฟ


    ก่อนจะค่ำมืดดึกดื่นไปมากกว่านี้.. น้องโก้ ไกค์ของเรา ก็พาเดินฝ่าความมืดลงกลับจากยอดดอย ซึ่งบรรยากาศรอบด้านนั้นมืดมากๆ มองแทบไม่เห็นทาง มีเพียงไฟฉายสองกระบอกเล็กๆ ที่ส่องแสงนำทางให้เราเดินเรียงเดี่ยวลงมาเท่านั้น ตอนนี้เริ่มรับรู้ได้ว่าถ้ามากันเอง คงหาทางลงเองไม่ได้แน่ๆ เพราะป่ารอบด้านมันก็เหมือนๆ กันหมด ยิ่งมืด ยิ่งหลงทิศกว่าเดิม นี่คือ..ความจำเป็นที่จะต้องมีไกค์มาด้วยครับ ซึ่งไกค์จะชำนาญทาง และ แนะนำอะไรต่างๆ ระหว่างทางให้เราได้มากมายเลย ครับ ช่วงขาลงนี้ เราเดินกันได้เร็วมาก ทำเวลาได้ดี มีล้ม มีลื่นกันบ้าง เพราะทางชัน และมืด ต้องใช้ความระมัดระวังมากๆ ในบางจุดนี่ชันถึงขั้นตกเขาได้เลย ซึ่งพอเดินกลับมาถึงจุดกางเต็นท์ก็จัดการกางเต็นท์กันครับ

    กางเต็นท์เสร็จก็รื้อฟื้นวิชาลูกเสือกันต่อ ด้วยการก่อไฟ เตรียมประกอบอาหาร ซึ่งก็มีน้องโก้ คอยจัดการดูแลทุกอย่างให้อย่างดีเลยครับ

    ท่ามกลางบรรยากาศการกางเต็นท์ที่มีเพียงพวกเราเพียงกลุ่มเดียว รู้สึกได้ถึงความเป็นส่วนตัวมากๆ ได้ซึมซับบรรยากาศรอบด้านที่เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงลมพัดเท่านั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เต็มไปด้วยหมู่ดาวมากมายระยิบระยับเต็มฟ้า เห็นได้อย่างชัดเจน เพราะไร้แสงไฟมารบกวน

     

    นอกจากนั้น.. ก็ทำให้เรารู้สึกว่าหลุดออกมาจากโลกภายนอกมากขึ้น เพราะบริเวณที่อยู่กันนี้ไร้สัญญาณโทรศัพท์จากทุกเครือข่าย แม้จะแอบมีคลื่นเข้ามาบ้างเล็กน้อย แต่การสื่อสารต่างๆ ก็ยังคงดูติดขัดอยู่ดี และ เนื่องจากการตะลอนเที่ยวมาตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าตรู่ ทำให้แบตโทรศัพท์มือถือของพวกเรา ค่อยๆ ทยอยหมดไปทีละคน รวมไปถึงกล้อง DSLR ที่ขอชัตดาวน์ตัวเองลงไปกับเขาด้วย หมดสิทธิที่จะได้ติดต่อสื่อสาร และ เก็บภาพบรรยากาศหลังจากนี้ไป แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน.. เพราะ เมื่อไม่มีเครื่องมือสื่อสารกับโลกภายนอกแล้ว เราทั้งหมดก็พร้อมใจกันมาโฟกัสกันที่กองไฟข้างหน้า ..เหมือนว่าโลกของเรามีกันอยู่แค่นี้

    ในบรรยากาศของความหนาวเหน็บ ก็ได้ความอบอุ่นจากกองไฟให้ความหนาวคลายตัวลงไปบ้าง เราจัดการอาหารมื้อค่ำนี้กันอย่างเอร็ดอร่อย ได้มีเวลาพูดคุยกันมากขึ้น สนทนารอบกองไฟกันอย่างออกรส.. เมื่อได้เวลาอันพอสมควรก็เข้านอน เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีของการเดินทาง!

     

    ปล. สุดท้ายนี้.. การเดินทางครั้งนี้ต้อง ขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่โครงการหลวงแม่โถ พี่ชาติ น้องกิ่ง และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่คอยให้คำแนะนำในการเดินทางต่างๆ คอยดูแลเราเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโครงการหลวงแม่โถแห่งนี้ และ ขอบคุณ น้องโก้ ไกค์ของเรา ที่ได้พาไปผจญภัยนำทางพาขึ้นไปบนยอดดอย 360 องศา พร้อมทำอาหารมื้อสุดวิเศษให้ได้ลองชิมกันในครั้งนี้ครับ!

     

     

    การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

    Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

    Instagram : CHAILAIBACKPACKER

    Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9