ทริปนี้เป็นการตามความฝัน ที่เคยสัญญากับตัวเองไว้ว่า สักวันจะต้องไปเยือนสามพันโบกให้ได้ ช่วงเวลานี้ก็ช่างประจวบเหมาะเหลือเกิน เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูแล้งอย่างเป็นทางการแล้ว ผมจึงวางแผนใช้วันหยุดยาว ในห้วง 20 – 22 ก.พ.59 เดินทางไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในจังหวัดอุบลราชธานี 

     จากการศึกษาข้อมูลคร่าวๆ โซนที่ผมจะไปมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่น่าสนใจจึงได้ปักหมุดเป้าหมายในการเดินทางคร่าวๆ ดังนี้

          สามพันโบก – ผาแต้ม – โขงเจียม – วัดภูพร้าว (วัดเรืองแสง)

    จริงๆ แล้ว ผมอยากไปผาชะนะได ด้วย แต่ก็ขัดข้องด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องเวลา และความยากลำบากในการเดินทาง เนื่องจากผมใช้รถเก๋ง ไอ้ครั้นจะไปจ้างรถเจ้าถิ่นในพื้นที่ให้พาขึ้นไปก็ไม่คุ้ม เพราะมากันแค่สองคน เลยจำใจต้องงดจุดนี้ไป

         การเดินทาง โดยรถยนต์ส่วนตัว จาก กทม. ถึงจุดหมาย ณ สามพันโบก ผมใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมงครึ่ง ขับไป พักไป เป็นระยะๆ (ออกจาก กทม. ตอนเที่ยงคืน)

          ขอข้ามเรื่องการเดินทางไปเลยนะครับ เราเดินทางมาถึงจุดหมายประมาณ 10 โมงครึ่ง จุดที่ผมไปจอดรถ คือ ครัวสามพันโบกครับ สถานที่มันอยู่ติดกับสามพันโบกเลย เค้าจะเก็บค่าจอดรถ และค่าบริการ ห้องน้ำ/ห้องส้วม จำนวน ๒๐ บาท หลังจากสอบถามข้อมูลต่างๆ ทราบว่า ที่นี่มีบริการบ้านพักให้ด้วย ในราคา 500 บาท แต่เป็นห้องพัดลมนะครับ (ไม่มี Wifi) แต่หากจะกางเต้นท์ ก็มีพื้นที่ให้ หลังจากพิจารณาแล้ว เราจึงเลือกที่จะกางเต้นท์ โดยเสียค่าบำรุงสถานที่
คนละ 40 บาท ครับ โชคดีที่อากาศเป็นใจ วันที่เราไปอากาศเย็นสบายมีลมพัดตลอดทั้งวันไม่ร้อนเลย

          อาหารที่ครัวสามพันโบก รสชาติใช้ได้ ราคาไม่แพงครับ มาถึงที่ แนะนำให้ทานเมนูปลาแม่น้ำโขงนะครับ  

   ตอนบ่ายๆ หลังจากใช้เวลากางเต้นท์เตรียมที่นอนเรียบร้อย เราก็เริ่มออกเดินไปสำรวจพื้นที่ เห็นว่าใกล้ๆ แต่ที่จริงก็เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน เดินยังไงก็ไม่ทั่ว ถือซะว่าลงมาดูพื้นที่ก่อน กะว่าตอนเช้าจะมาดูพระทิตย์ขึ้น ค่อยมาเก็บภาพเพิ่มอีกครั้งหนึ่ง

    ที่จริงมีบริการเรือนำเที่ยวด้วยนะครับ เค้าจะพาไปจุดสวยๆ ที่เดินเท้าไปไม่ได้ แต่ว่าเราไปกันแค่สองคน รู้สึกว่ายังไม่คุ้ม ราคายังแพงไป (ค่าจ้างเรือนำเที่ยว 500  - 1,000 บาท แล้วแต่ระยะทาง/โปรแกรมที่เค้าจัด)

     เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ลงไปชมพระอาทิตย์ขึ้น และเก็บภาพเพิ่มเติมบางจุด

    เราไม่ได้จ้างไกด์ท้องถิ่น อาศัยแอบฟังเวลาเค้าแนะนำนักท่องเที่ยว มีบางจุดที่เมื่อวานเรามาแต่ไม่รู้ เช่น โบกที่ 3,000 หินรองเท้าบู๊ต ฯลฯ

      ส่วนใหญ่จะมีแต่ภาพแฟนผมนะครับ กว่าจะหาจุดถ่ายภาพได้ก็ต้องปีนป่ายหิน อยากได้ภาพต้องขยันครับ แฟนผมนี่บ่นอุบเลย พาเดินจนขาตึงหมดแล้ว ดีนะที่อากาศไม่ร้อน

     หินหัวสุนัข นี่เป็นแลนมาร์คเลยครับ มีคนต่อคิวรอถ่ายรูปกันเยอะเหมือนกัน ส่วนเราไม่รีบรอให้นักท่องเที่ยวซาลง จึงค่อยไปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก เลยได้บรรยากาศทั้ง 2 วัน ตอนเย็น กับ ตอนเช้า

     หลักจากถ่ายรูปจนหนำใจ ก็กลับมาเก็บเต้นท์ อาบน้ำ แต่งตัว อาสัมภาระขึ้นรถ และหาข้าวเช้าทานกันโดยฝากท้องกับครัวสามพันโบก

     เราออกจากสามพันโบก ตอนประมาณ 11 โมง มุ่งหน้าไปโขงเจียม ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก ซึ่งเราผ่านเสาเฉลียงยักษ์ จึงขับรถเข้าไปแวะถ่ายรูปกับเสาเฉลียงเป็นที่ระลึก

 

     ออกจากเสาเฉลียงยักษ์ เรามุ่งหน้าเข้า อ.โขงเจียม ไปหาที่พัก เราได้ที่พักใกล้กับตลาด ราคา 350 บาท  มีแอร์ wifi พร้อม หลังจากเสร็จธุระเรื่องที่พัก เราก็เดินทางต่อไปยังผาแต้ม ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่พักมากนัก เพื่อไปชมภาพเขียนโบราณกับพระอาทิตย์ตกดินที่นั่นครับ ทางขึ้นผาแต้มก็มีเสาเฉลียงด้วยนะครับ 

     ตอนกลางคืนเราวางแผนจะไปวัดภูพร้าว หรือ วัดเรืองแสง เพื่อไหว้พระและชมความงามโบสถ์เรื่องแสง แต่ว่าวันที่เราไปพระจันทร์ขึ้นเต็มดวง แสงจ้าไปนิด แต่ก็ยังพอมองเห็นต้นไม้เรืองแสงบนผนังโบสถ์

เช้าวันสุดท้าย เราตื่นแต่เช้าเพื่อไปสูดอากาศบริสุทธิ์ และชมพระอาทิตย์ขึ้นที่วัดโขงเจียม 

   และกลับมาทานอาหารเช้าที่ตลาด ไข่กระทะ กับ ก๋วยจั๊บญวณ (ข้าวเปียก) 

     หลังจากมื้อเช้าเรียบร้อย เราก็มาเก็บสัมภาระ เตรียมเดินทางกลับ กทม.  

     ทริปนี้ผมประทับใจ และยังคงอยู่ในความทรงจำ คาดว่ามีโอกาสเราจะกลับมาเยือนอุบลฯ อีก เพราะยังมีอีกหลายที่ ที่เรายังไม่ได้ไป เช่น ผาชะนะได ช่องเม็กและข้ามไปฝั่งลาว ซึ่งเราอยากไปมาก แต่ด้วยเวลาที่จำกัด คงต้องหาโอกาสมาใหม่ครั้งหน้า   

     จบการแชร์ประสบการณ์ครับ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน