ตะลุยเที่ยวย่านอาร์ต + คาเฟ่ ใน ‘สิงคโปร์’ : 3วัน 3คืน งบนิดเดียว !

 

 

ขอขยายความคำว่า ‘งบนิดเดียว’ ก่อนเลยแล้วกัน

ทริปนี้เราเสียค่ากิน ค่าเที่ยว ไปทั้งหมด 3,500 บ. ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน + ค่าที่พัก

ซึ่งขึ้นอยู่กับความพอใจและชะตากรรมของแต่ละคน

(เราพัก RELC international Hotel เดินจากสถานี Ochard ประมาณ 15 นาที แต่ราคาค่อนข้างสูงสำหรับสายแบ๊คแพคเกอร์ + ห้องน้ำไม่มีสายฉีดก้น เลยไม่แนะนำ)

เอาเป็นว่า 3,500บ. เนี่ยเอาอยู่ ไปเดินถ่ายรูปสถานที่ฮิปๆได้ทั่วเมือง ไปกินกาแฟตามคาเฟ่สวยๆได้จนตาค้าง

ขอเป็นอีกเสียงที่ยืนยันค่ะว่า ‘สิงคโปร์เที่ยวง่าย เที่ยวเองได้ งบน้อย’ ถ้าเตรียมตัวให้พร้อม ตามนี้…

 

**Tips for Singapore Trip**


1. ซื้อ SIM Card ที่สนามบิน ออกมาจากที่รับกระเป๋าแล้วมองหาประชาสัมพันธ์/Information เข้าไว้ ธนาคาร 2 อันข้างๆ กับเคาน์เตอร์เยื้องประชาสัมพันธ์เนี่ยแหละขาย SIM แบบใช้ internet ไม่อั้น 5 วัน ในราคา 15-18 SGD (1 SGD = 25.60 บ.) ถ้าแบบโทรกลับไทยได้ด้วย 32 SGD ค่ะ นี่หน้าตาประชาสัมพันธ์ๆ…

 

 

2. ใช้ Singapore Tourist Pass แบบ 3 วัน ราคา 30 SGD (1วัน 20 SGD 2วัน 26 SGD + ถ้าเอาบัตรไปคืน ได้คืน 10 SGD) ขึ้นขนส่งมวลชนในสิงคโปร์ได้ทุกแบบ ไม่จำกัดรอบ ซื้อที่สถานี Changi Airport

 

 

3. เซฟรูปแผนที่รถไฟไว้ในมือถือ / พกแผนที่ที่แจกตามสถานีรถไฟหรือสนามบิน ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ อ่ะนี่…

 

 

4. ของอร่อยและถูกหาได้ตาม food court / food center ตามย่านต่างๆ เช่น chinatown, lttle india

5. อย่าลืมเอา adaptor + ปลั๊ก 3 ตาไปด้วยเด้อ สำคัญมาก

6. แว่น หมวก ครีมกันแดด เตรียมให้พร้อม สิงคโปร์นี่ความร้อนสูสีกับบ้านเราเลยค่ะ

 

ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยยยยยยยย !

จาก Changi Airport เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานี Tiong Bahru ค่ะ เป้าหมายแรกของเราคือการทัวร์ย่าน Tiong Bahru / ย่านคาเฟ่ (อารมณ์อารีย์ / เอกมัย)ให้ฟินที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

จากสถานี Tiong Bahru เดินตาม Google Map มาประมาณ 10 นาทีก็เจอร้านแรกแล้ว

อาคารสีขาว ร้านเป็นแบบ open air เห็นแต่ไกล ‘Tiong Bahru Club’ นั่นเองงงงงงงง

 

 

อ่ะไหนสำรวจรอบๆหน่อยซิ

 

 

ร้านนี้ตกแต่งสไตล์จีน แขก และ ฝรั่งผสมกันค่ะ

กลางวันเปิดเป็นคาเฟ่ กลางคืนเป็นบาร์

มีขายทั้งเครื่องดื่ม ของว่าง อาหาร รับรองไม่ผิดหวัง

ว่าแต่พี่คนนี้ ล่อเบียร์แต่หัววันเลยหรอพี่… ?

 

 

ด้วยความที่มาถึงสนามบินเที่ยง มาถึงร้านนี้บ่ายกว่า

ตอนนี้คือหิวมาก ขอสั่งอาหารจริงจังแล้วกัน

เห็นเมนูนึงเขียนซีฟู้ดๆตามด้วยภาษาแขกเลยสั่งมา

ปรากฎว่ามันคือ ห่อหมก…

 

 

เซ็ตห่อหมกนี่ราคารวม VAT แล้ว 15 SGD ค่ะ

รสชาติเหมือนทอดมันปลากรายแต่ไม่เค็มเท่า ข้างๆเหมือนจะเป็นส้มตำแต่ไม่ใช่

มันคือมะม่วงเปรี้ยว + แครอทสับๆแล้วเอามาวาง

แต่หลายคนบอกชาร้านนี้อร่อย ไว้คราวหน้าจะกลับมาแก้ตัวนะ

ใครสนใจก็มาได้ค่ะ ร้านเขาเปิดตลอดเวลา  อันนี้เบอร์ +65 6438 0168 อันนี้เพจ https://www.facebook.com/thesingapuraclub/

 

ร้านต่อไปคือ ‘Tiong Bahru Bakery’ เดินมาจากร้านเมื่อกี๊แค่แป๊ปปปปปปเดียวเท่านั้น

 

 

ร้านนี้ไม่ใหญ่มากค่ะ แต่จัดสรรพื้นที่ได้ดี จุคนได้เยอะ

ขายเบเกอรี่ + ขนมหวานเป็นหลัก เครื่องดื่มมีบ้างนิดหน่อย

 

 

เราสั่ง Lemon Tart ทีเด็ดที่สุดของร้านในราคา 6.50 SGD

ไม่เคยกิน Lemon Tart ที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน ข้างล่างเป็นเหมือนเนื้อคุ้กกี้บดละเอียด ข้างบนนิ่มเหมือนพุดดิ้งแต่ก็ยังคงความเป็น Tart ขออณุญาตติด Hashtag #ที่ดี #ควรมาโดน

 

 

ร้านเปิด 8.00-20.00 น. วันอาทิตย์-พฤหัส และ 8.00-22.00 น. วันศุกร์,เสาร์
ติดต่อที่เบอร์ +65 6220 3430 หรือ https://www.facebook.com/tiongbahrubakery/ ถ้าไม่สะดวกมาสาขานี้จะไปสาขาอื่นก็ได้นะ ดูได้ในเว็บเขาเลย http://www.tiongbahrubakery.com/

 

ของคาวไปแล้ว ของหวานไปแล้ว ต่อไปก็ต้องเป็นกาแฟ…

เราตัดสินใจซื้อกาแฟที่ร้าน ‘PS. Café’ ค่ะ

ร้านดีงามมากกกกกกกกกกก ผนังร้านเป็นกระเบื้องสีดำ ตกแต่งด้วยขวดเบีบร์ ขวดไวน์ทั่วร้าน

แต่เขาไม่ให้ถ่ายรูปค่ะคุณ ถ่ายได้แค่ข้างหน้า

นี่ถ่ายไปรูปนึงตอนรอคิว พอเขาบอกก็ต้องหยุดค่ะ55555

ใครอยากรู้ว่าร้านสวยขนาดไหนต้องมาดูกันเอง อิ_อิ

 

 

เราสั่งมอคค่าเย็น ราคา 6 SGD ก็อร่อยดีนะ ได้มาตราฐานมอคค่าสากล

 

 

PS. Café เปิดทุกวัน 11.00-23.00 น. ไปไม่ถูกโทร +65 9226 708 ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/ps.petit/ ,http://www.pscafe.com/pscafe-petit-at-tiong-bahru/

 

ยัง… ยังไม่หมดแค่นั้น

Tiong Bahru ยังมีอะไรให้เราอมยิ้มอีกเยอะ

ไม่ว่าจะเป็น…

 

 

หรือจะเป็น…

 

 

แล้วเราก็มาถึงร้านสุดท้ายในย่านนี้… ‘Book Actually’ ค่ะ

เป็นร้านหนังสือน่ารักๆ ขายหนังสือฝรั่งและหนังสือจากสำนักพิมพ์ Local ในสิงคโปร์

ร้านเปิด 10.00-18.00 น. นี่เบอร์ติดต่อ +65 6222 9195 นี่เพจกับเว็บไซต์ https://www.facebook.com/BooksActually/ , http://www.booksactuallyshop.com/

 

 

ออกจาก Tiong Bahru เราก็นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Tanjong Pagar

ที่นี่เราจะมาถ่ายรูปอาคารสีสันสดใสๆ ได้ฟีลภูเก็ต old town แบบบ้านเรา

จากสถานีรถไฟ ให้ออกทางออก B แล้วเดินผ่านตึกแดงๆ / Red Dot Museum มา

จากนั้นข้ามถนนจะเจอศูนย์อาหารราคาเบาๆอย่าง ‘Maxwell Food Center’ ค่ะ

 

 

(ตึกสวยง่ะ เสียดายมาคนเดียว ไม่มีคนถ่ายรูปให้ T_T)

 

 

ไหนก็คนไม่เยอะละ ขอเข้าไปลองข้าวมันไก่ร้านดังอย่าง Tian Tian Hainanese ซะหน่อย

เราสั่งข้าวมันไก่ไม่เอาหนัง size S ราคา 3.5 SGD ถือเป็นราคาข้าวที่หาได้ยากมากนะ55555

อร่อยใช้ได้เลย ข้าวมันเขาไม่เหมือนบ้านเรา บอกไม่ถูกว่ายังไง ไก่ก็นุ่ม น้ำจิ้มที่ราดมาก็เค็มๆเหนียวๆกำลังดี

 

 

กินแค่พอรู้รสชาติค่ะ ต้องรีบไปถ่ายรูปตึก555555 ทำเวลาๆๆๆ เดี๋ยวจะไม่ทันไฮไลท์คืนนี้ (อุบไว้ก่อน ฮ่าๆ)

 

 

มาต่อกันที่ ‘Marina Bay Sands’… นั่ง MRT มาลงสถานี Bayfront ออกทางออก B แล้วเดินตามป้ายบอกทางมาได้เลยยยยย นอกจากเราจะมาเดินเล่นถ่ายรูปในห้างสวยๆ เก็บบรรยากาศชิลๆยามเย็นที่นี่แล้ว คืนนี้ยังมีโชว์น้ำพุรอพวกเราอยู๋ด้วย โชว์เริ่มประมาณ 1 ทุ่มค่ะ งั้นตอนนี้เราก็ไปหาไรกินกันก่อนดีกว่า(อีกแล้ว?)

 

 

มันคือเกี๊ยวน้ำมหัศจรรย์ราคา 6.5 SGD คิดเป็นเงินไทยประมาณ 168 บ.

 

 

อ้าวๆๆๆๆ ยังงายยยยยยยยยยยยย โชว์จะเริ่มแล้ว หาที่นั่งให้ไวเลยยยยยยยยย

 

 

มันสวยงามและอลังการพอตัวเลยแหละ

แต่ถ่ายรูปมาเท่านี้ ถ้าอยากดูเป็นวิดีโอก็ https://www.facebook.com/BlissOutThere/ นะ

ตอนดูทำเป็น Live ไว้

 

 

ยังไม่กลับนะจ๊า ไปต่อกันที่ Gardens by The Bay โซน The Super trees เดินไปเนี่ยแหละ มันเชื่อมกับห้าง

มีป้ายบอกทางอยู่ค่ะ หรือจะถามพนักงานก็ได้

 

 

โชว์มีตอน 19.45-20.45 น. ค่ะ

มันคือต้นไม้เหล็กใหญ่ๆที่ตอนกลางวันคนเขาชอบมาถ่ายรูปฮิปสเตอร์กันเนี่ยแหละ

ตอนกลางคืนเขาจะเปิดเป็นไฟกระพิบๆเข้ากับเพลง เหมือนมันมีชีวิตเลย

ชอบที่ทุกคนลงไปนอนกับพื้นเพื่อดูไฟเต้นระบำ เป็นภาพที่ชิลมาก

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.gardensbythebay.com.sg/en.html เล้ย

 

 

วันแรกพอเท่านี้ก่อน เดี๋ยวร่างจะพังเอา

กลับที่พักไปนอนชาร์จพลัง แล้วพรุ่งนี้เรามาต่อกันนะ : )

.

.

.

 

วันที่สอง กินอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จ เราก็ออกตั้งแต่ 9 โมงครึ่ง เพราะตารางวันนี้แน่นจริงๆ

แน่นกว่ากระโปรงที่เราใส่อีก (ไม่ใช่)

 

ที่แรกของวันนี้คือย่าน Little India ค่ะ

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่านอกจากขายผักผลไม้ เสื้อผ้า ของใช้ราคาถูกแล้ว

ย่านนี้เขาก็มีตึก อาคารสีสันสดใสแสบตาเหมือนกัน

ตากล้องทั้งหลายมีกดชัตเตอร์จนมือเปื่อยอ่ะงานนี้

ถนนที่อาคารสีสวยๆมี 2 เส้นหลักๆค่ะ คือ ‘Buffalo Street และ Dunlop Street’ เอ้า ลุย !

 

 

ข้ามถนนมาแล้วววววววววววววว

 

 

เพลินสุดไรสุด

 

 

 

ย่านแขกแล้ว ต่อไปคือย่านจีน… China Town ไงจะใครล่ะ

จากสถานี China Town ให้ออกทางออก A ขึ้นมาก็จะเจอถนนช้อปปิ้งเลย

ขายของใช้ ของที่ระลึกราคาถู๊กถูกกก ใครมาสายช้อปก็ช้อปไป ใครมาสายสำรวจตามเรามา

 

 

ที่แรกในย่านนี้คือ ‘วัดศรีมาริอัมมันต์ / Sri Mariamman Temple’ ค่ะ ห้ามถ่ายรูปอีกเช่นเคย มีแต่รูปข้างนอกนะๆ

 

 

อันนี้ ‘Smith Street’ ค่ะ นักท่องเที่ยวชอบมากินมาดื่มที่นี่ มีร้านอาหารหลากลายดี

 

 

ก่อนจะไปตะลุยที่ฮิปๆกันต่อ แวะไหว้พระที่ ‘วัดพระเขี้ยวแก้ว / Tooth Relic Buddha Temple’ กัน วัดพระเขี้ยวแก้วเป็นวัดจีนขนาดใหญ่ มีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับพุทธศาสนาขนาดย่อม ให้ผู้มาสักการะเยี่ยมชมด้วย ภายในสวยงามมากๆ ใครมาเที่ยวสิงคโปร์อย่าพลาดนะ  

 

เดินเยอะเริ่มเหนื่อย ขอเติมพลังด้วยนักเก็ตกุ้ง ราคา 1.70 SGD นี่แหนะ…

 

 

จาก China Town เรานั่ง MRT ไปลงสถานี Bugis ค่ะ ทีเด็ดของ Bugis อยู่ที่ย่าน ‘Haji lane’ ที่มีทั้งคาเฟ่สวยๆ และ Street Art เจ๋งๆ แต่เนื่องจากตอนเราไปถึงฝนตก เลยหาอะไรทำฆ่าเวลาไปก่อน ฝนซาค่อยเดินไป สิ่งที่เราทำรอฝนหยุดคือไปถ่ายรูปบันไดวนหลากสีที่ ‘Bugis Village’ เป็นตรอกเล็กๆที่น่ารักไม่น้อยเลยยย

 

 

อ่ะ ฝนหยุดและ สานต่อความฝันได้ 555555 จากสถานีเดินมาที่ ‘Haji Lane’ ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีก็ถึงแล้ว

 

 

ร้านนี้เจ้าของเดียวกับร้าน Tiong Bahru Club ที่เราไปเมื่อวานค่ะ สวยไม่แพ้กันเลยยยยย

 

 

กำลังเดินถ่ายรูปเพลินๆก็ถึงร้านที่เราตั้งใจจะมาแล้ว (เกือบเลยแหนะ) ‘The Pantry in Shop Wonderland’ เป็นคาเฟ่ที่เราชอบที่สุดในทริปนี้

ร้านตกแต่งด้วยโทนสีเหลือง ครีม ชมพูเป็นหลัก มีเศษผ้าลายคิ้วท์ๆห้อยบนเพดาน รับรองถูกใจสาวๆแน่นอน

 

 

ความมุ้งมิ้งยังไม่หมดแค่นั้น เพราะชั้นสองเขาเป็นที่ work shop จัดดอกไม้ด้วย เห้ออออออ ฟิน

 

 

ถ่ายทุกซอกทุกมุมของร้านแล้วก็ได้เวลาสั่งเครื่องดื่มค่ะ ให้เกียรติบาริสต้าที่ยืนมองอยู่นานด้วย55555

เราสั่ง Lychee & Grape Mint Fizz 8.50 SGD หอม อร่อย สดชื่น แพงแต่ก็คุ้มกับบรรยากาศแหละ

 

 

The Pantry เปิดทุกวัน 10.00-18.00 น. แปะเบอร์ติดต่อ เพจ และ เว็บไซต์ไว้ให้นะ +65 6299 5848, https://www.facebook.com/wonderlandfordetailedplanners , http://www.shop-wonderland.com/pages/the-pantry

 

ติดอยู่ในร้านนี้เป็นชั่วโมง สุดท้ายเราก็เอาตัวเองออกมาได้ค่ะ5555

ที่ต่อไปคือ ‘The Helix Bridge’ เป็นสะพานอยู่ใน Marina Bay เนี่ยแหละ

เพราะฉะนั้นนั่ง MRT ไปลงสถานี Bayfront เหมือนเดิมจ้า

 

 

สะพานนี้ออกแบบตามแนวคิดเรื่อง DNA ของมนุษย์

ตอนกลางวันมันก็จะคดเคี้ยวคูลๆแบบนี้ แต่ตอนกลางคืนมันจะมีไฟปรากฎเป็นรูปตัวอักษร C, G, A, T

ซึ่งเป็นตัวย่อของส่วนประกอบใน DNA ของพวกเรา

 

 

ที่สุดท้ายของวันนี้คือ ‘Marina Barrage’ สวนลอยฟ้าที่มีวิวเป็นเมืองสิงคโปร์ชิคชิคคคคค

แต่ก่อนจะไปที่สวน แวะกินข้าวที่ศูนย์อาหารระหว่างทางหน่อยค่ะ อยู่ใน Gardens by The Bay เนี่ยแหละ ราคาย่อมเยาว์ และ ให้เยอะ จานละ 5-10 SGD

 

จาก Marina Bay Sands จะเดินหรือนั่งรถเมล์ไปก็ได้

ถ้าเดินประมาณ 20 นาที เรียบทางเดินริมอ่าวไปเลย ถ้านั่งรถเมล์ต้องไปรอที่ป้าย B03 อยู่ริมถนนก่อนถึง Marina Bay Sands ค่ะ ขึ้นสาย 400 ใช้บัตร Singapore Tourist Pass ได้เลย

 

 

5 โมงแล้วแดดยังจ้าอยู่เลยยยยยย

นั่งรอข้างล่างไปก่อนเด้อ ขึ้นไปมีหวังผิวไหม้…

 

 

ร่มแล้ว ขึ้นได้

ว้าววววววววววววววววววววว

 

 

มุมนี้ห้ามพลาด สันเขื่อนกั้นระหว่างด้านขวาเป็นน้ำทะเล และ ด้านซ้ายเป็นน้ำจืด

 

 

ชิลไปอีกกกกกก นั่งลมเย็นๆ ดูคนมาปิกนิก ถ่ายรูปชุดครุย เล่นว่าว

เป็นการปิดท้ายวันที่สองที่ดีเลยแหละ : )

 

 

เนื่องจากใช้ร่างกายไปหนักหน่วงเหลือเกินสองวันแรก

วันสุดท้ายเราเลยขอตื่นสาย ออกสาย ใช้ชีวิตสโลไลฟ์ไปตามเส้นทางของคนรักคาเฟ่ค่ะ

ร้านแรกที่เราไปวันนี้ชื่อ ‘Ah Teng’s Bakery’ อยู่ใน Raffles Hotel ห่างจาก สถานี City Hall แค่ 5 นาทีเท่าน้านนนนนน

 

 

 

ร้านตกแต่งแบบจีนผสมฝรั่งค่ะ รับรองว่าถูกใจทั้งแหม่ม ทั้งอาตี๋และอาหมวย

จุดเด่นอยู่ที่เบอเกอรี่สดใหม่ทุกวัน ที่สำคัญหอม น่าตาน่ากินทุกอันเลือกไม่ถูก

 

 

เราสั่ง Breakfast Set ราคา 12 SGD ค่ะ เขาจะให้เลือกระหว่าง มัฟฟิน / ครัวซอง / Danish + ชา / กาแฟ ทานคู่กับน้ำผลไม้ เราเลือกมัฟฟินบลูเบอรี่กับกาแฟ หน้าตาตามในรูปเลย มัฟฟินเนื้อดีที่สุด นุ่ม ไม่แตกเกินไป บลูเบอรี่ลูกใหญ่ ไม่งก ส่วนกาแฟสูตรเฉพาะของร้านถือว่าโอเค กินแล้วตื่น55555 แต่ถ้าคนกินหวานอาจจะไม่ชอบ เพราะมันไม่หวานเลย

 

 

สำหรับคนที่สนใจ ร้านเปิดทุกวัน 7.30-19.00 น. โทรติดต่อได้ที่ +65 6412 1816
และข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/pages/Ah-Tengs-Bakery-Raffles-Hotel/450454421639296 , http://www.raffles.com/singapore/dining/ah-tengs-bakery/

 

ร้านต่อไปอยู่ค่อนข้างไกลค่ะ นั่ง MRT ไป 6 สถานี ลงที่ Toa Payoh แล้วเดินต่ออีก 15-20 นาที

ถึงจะเดินวนรอบสนามกีฬา หลงอยู่นาน เพราะเชื่อ Google Map (มันบอกว่าทะลุสนามกีฬาได้ แต่จริงๆทางทะลุเขาปิดไปแล้ว) แต่สุดท้ายเราก็มาถึง ‘Wheeler’s Yard’

 

จุดเด่นของ Wheeler’s Yard คือเป็นโกดังขายอุปกรณ์เกี่ยวกับจักรยานด้วย และ เป็นคาเฟ่ด้วย โซนคาเฟ่เป็นเหมือนบ้านกระจก มีจักรยาน หมวก และ อุปกรณ์ต่างๆของนักปั่นตกแต่งอยู่ทั่วร้าน บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆในบ้านเรา เพราะฉะนั้น ไปค่ะ !

 

 

เครื่องดื่มที่เราสั่งคือ Honey Melon Soda ราคา 7.90 SGD มันก็หอมเมล่อนดี มีวุ้นเป็นเม็ดกลมๆมาให้เคี้ยวเล่น แต่ไม่ค่อยรู้สึกถึงรสหรือกลิ่นน้ำผึ้งเท่าไหร่

 

 

ในเมื่อลำบากมากกว่าจะมาถึงร้าน มาถึงแล้วก็ต้องนั่งนานนานนนนนนนนไปเลย

เอาให้หายเหนื่อย… เราสั่งของทานเล่นอีกอย่าง คือ เห็ดรวมอบเนย อร่อยดี กินเพลิน แต่กินมากไม่ไหวค่ะ มันเยอะ55555 เห็นถ้วยเล็กๆแบบนี้ให้เยอะอยู่นะ ราคา 6.90 SGD ค่ะ

 

 

ถึงจะเดินไกล แต่คุ้มจริงร้านนี้ แนะนำให้มาๆๆๆ

ร้านปิดวันจันทร์ เปิด 10.30-22.00 น. วันพุธ พฤหัส อาทิตย์ และ ปิด 5 ทุ่ม วันอังคาร ศุกร์ เสาร์  นี่เบอร์ +65 6254 9128 นี่เพจ https://www.facebook.com/wheelersyard นี่เว็บ http://www.wheelersyard.com/

 

จาก Toa Payoh เราก็นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Dhoby Ghaut แล้วเดินต่ออีก 6-8 นาที

คาเฟ่สุดท้าย (อันที่ 7) ของทริปนี้รออยู่แล้วจ้า

 

 

‘Curious Palette’ เป็นคาเฟ่เล็กๆ คุมโทนสีขาว น้ำตาล และ เขียว

มีไม้ประดับตกแต่งทั่วร้าน ทำให้ร้านมีชีวิตชีวาค่ะ เราไปวันเสาร์ คนเยอะเอาเรื่องเลย

 

 

ชอบที่วางกระจกแบบนี้ทำให้ร้านดูมีพื้นที่มากขึ้น

 

 

เราสั่งกรีนทีลาเต้ร้านนี้รสนมจะเข้มข้นหน่อย ไม่ค่อยหวาน
แต่หอมชาเขียวสุดสุดค่ะ <3 ราคา 7.50 SGD

 

 

ร้านสุดท้ายและ จัดไปสองเมนูเลยแล้วกัน

อีกแก้วคือ Chai tea เป็นชานมใส่เครื่องเทศและชินนามอน
ไม่เคยกินเมนูนี้มาก่อนเลย กินแล้วติดใจรสชาติของมันมากกกกกกกก กลิ่นชินนามอนตั้งแต่กรึ๊บแรกจนถึงหยดสุดท้าย55555555 ฟินได้ในราคา 6.50 SGD

 

 

ร้านนี้ปิดวันอังคาร เปิด 9.00-22.00 น. แต่วันศุกร์ เสาร์ปิดเที่ยงคืนค่ะ 
แปะเบอร์ +65 6238 1068 แปะลิงก์ https://www.facebook.com/curiouspalette

 

ภารกิจสุดท้ายของทริปนี้ คือการกินข้าวเย็นที่ Food Republic ในห้าง Wisma และเดินเล่นบนถนน Orchard

 

 

ไม่อยากเชื่อเลยเผลอแป๊ปเดียวผ่านไป 3 วันแล้ว

จากที่เคยไปสิงคโปร์กับครอบครัวมา 2 ครั้งแล้วคิดว่าประเทศนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากสถานที่แลนมาร์ค

ก็ต้องเปลี่ยนความคิด แล้วหาเวลากลับมาอีกให้ได้

เพราะยังมีสถานที่น่าสนใจอีกเยอะ คาเฟ่เจ๋งๆอีกแยะ

 

หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ให้หลายๆคนที่กำลังหาข้อมูลไปเที่ยวสิงคโปร์

ชอบก็ติดตามกันได้ที่ https://www.facebook.com/BlissOutThere และ http://www.blissoutthere.com/

สำหรับวันนี้ สวัสดีค่า <3