แอ่วสิงคโปร์ เมืองสิงโตพ่นน้ำ

ทริปนี้ตกลงกันที่ฮาโลวีน ยูนิเวอร์แซลเหตุผลสั้นคือเพื่อนไปฮาลาวินยูนิเวอร์แซลที่อเมริกามา แล้วคิดถึงเพื่อนที่ไทยอยากให้ไปบ้าง แต่เพื่อนๆต่างยากจน นางจึงแนะนำให้ไปสิงคโปร์ที่ไม่ต้องทำวีซ่าและใช้งบไม่เยอะ เราเลยตกลงกันว่าอีก3ปีเราจะไปออกทริปสิงคโปร์

แต่แล้วเพื่อนร่วมทริปอีกคนดันไปเจอตั๋วเครื่องบินถูก จาก 3 ปีก็กลายเป็น 2 ปีซะงั้น จากนั้นทุกคนก็เริ่มหาข้อมูลการใช้ชีวิตที่นั้น เริ่มจากที่พัก เราได้ที่พักแถวอินเดียทาวน์ราคา 3 คืน 1,896 บาท และต่อด้วยเป้าหมายหลัก ตั๋วยูนิเวอร์แซลเสียไปคนละ 1,330 บาท

หลังจากผ่านการรอคอยมาหลายเดือนวันนี้ก็มาถึง ก่อนเดินทางก็ไปแลกเหรียญตรงแอพอร์ตลิงค์ก่อนเข้าสนามบินกันเลย คนละเท่าไหร่ก็ตามสะดวก

เผื่อค่าของฝากของกินกันไป ขึ้นเครื่องกันเลยเหอะ Go go go!!!

แล้วเขาก็แจกไอ้นี่ให้เราเหมือนไปประเทศอื่น ก็เขียนๆไป

ถึงแล้วก็ไปหาตม. อันนี้โคตรเกรง เห็นรีวิวหลายอันบอกว่าตม.โหดเข้ายากโดยเฉพาะผญ.

เพราะกลัวมาขายตัว แต่นั้นก็แค่ความกลัวที่เราสร้างขึ้นมา เมื่อเราสบตากับเขาเราก็ผ่านเขามาโดยไร้คำพูดและรอยยิ้มใดๆ (นิเรากลัวทำไมวะ)

หลังจากผ่ายตม.มาได้ก็เดินหา mrt แล้วก็เจอปัญหากับการซื้อบัตรเพราะมี 2 แบบให้เลือก นั้นคือ Singapore Tourist Pass

สำหรับนักท่องเที่ยวใช้ได้ 3 วัน แต่เรามาตั้ง 4 วัน กับอีกอันคือ EZ-link เป็นแบบเติมเงิน เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในสิงคโปร์ ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าแต่ละสถานนีมันราคาเท่าไหร่เพราะเราไปยืนดูราคาจากสถานนีโน้นไปสถานนีนี้แพงอยู่ถ้าเราไปหลายที่มันอาจจะแพงกว่า เลยเลือกซื้อแบบทัวร์ริส พลัส 30 เหรียญ (เมื่อเลิกใช้บัตรแล้วนำบัตรไปคืน จะได้เงินคืน 10 เหรียญ...เราก็พึ่งนึกขึ้นได้ตอนถึงไทย)

เมื่อได้บัตรปุ๊บ พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังสถานีที่ใกล้ที่พักที่สุด พอลงจากสถานีพวกเราก็เดินไปเจอ 7-11 และแวะซื้อซิม 15 เหรียญ (ซิมที่ซื้อทำไมไม่รู้ ใช้ไม่ถึง 30% ของเงินที่เสียไป)

หลังจากนั้นก็เดินหาที่พักด้วยการเดินงงตามแมพกับการจราจรที่ไม่คุ้นเคยจนถึงที่พักประมาณบ่าย 2-3 พอเก็บของกันเสร็จพวกเราก็พากันออกไปเดินเที่ยวเล่น

แถวอินเดียทาวน์เดินกันจนมาถึงถนนอาหรับ พอเขาไปในตรอกเท่านั้นแหละหยิบกล้องกันเลย

หลังจากเดินชิลล์ๆ กันเสร็จแล้วก็เริ่มมีเสียงบ่นหิว

มื้อนี้ก็คงเป็นอาหารอินเดียสินะ

หลังจากอืมท้องก็เดินทะลุออกทางมัสยิดซุลต่าน

เดินเลื่อยๆมาจนถึงบูกิสสตรีท เจอร้านไอติมก็โดนไป 1 เหรียญ

 

วันที่ 2

                เมื่อคืนนั่งวางแผนกันเป็นอย่างดี เริ่มต้นของวันด้วยการนั่งรถเมย์จากที่พักไป mrt bugis (บัตรแพงใช้ให้คุ้ม) แล้วไปลงไชน่าทาวน์

ออกจาสถานีปุ๊บความเงียบสงัดก็มาเยือน คนที่นี่ยังไม่ตื่นอีกหรอหรอ? เขาออกไปทำงานกันแต่เช้ามั้ง?(ใส่ซาวด์จิ้งหรีด)

เดินไปเลื่อยๆ ก็เริ่มมีการรัวชัตเตอร์เกิดขึ้น

 

ถนนเขาดีจริงๆ ระหว่างทางก็ผ่าน...น่าจะเป็นวัดอินเดียซึ่งมีป้ายห้ามถ่ายภาพ ถ้าาถ่ายต้องเสียเงิน...งั้นขอผ่านคะ

เดินต่อไปเพื่อจะหาวัดพระเขี้ยวแก้ว ดูแผนที่ที่เหมือนใกล้จะถึง เดินข้ามถนนก็ยังไม่ถึง เดินถ่ายรูปวนกันไปเลื่อยๆ จนเริ่มมีการทะเลาะกันเล็กน้อย 

แล้วพวกเราก็พากันข้ามถนนกลับมาที่เดิมแล้วเดินตามนักท่องเที่ยวที่มีไม่กี่คนไป ในที่สุดก็ถึงแค่ 2 ตรอกทำไมไม่เห็น(โง่กันมาก555)

แต่การรอเพื่อนถ่ายรูปเป็นการเดินทางที่แสนยาวนานที่สุดแล้ว รู้สึกเหมือนตรอกละ 1 ปี ของเขาดีจริง

หลังจากเยี่ยมและไหว้พระเสร็จแล้ว

พวกเราก็ออกตามหาร้านข้าวมันไก่เลื่องชื่อของที่นี่แต่ระหว่างการตามหานั้น....!

เราเดินกันมาจนถึงตึกสีแดงที่เรียกว่า.. ประเทศนี้นี่มันอะไรกัน

นี่เป็นประเทศที่ศิลปะเฟืองฟูใช่ไหม ไหนร้านข้าวมันไก่..การเดินที่แสนจะยาวไกล+ความหิวโหย+การรอเพื่อนถ่ายรูป=ความแตกแยกเริ่มบังเกิด

ทุกคนต่างเดินไปข้างหน้า 1 ฝ่ายจุดมุ่งหมายคือเดินหาร้านข้าวอย่างจริงจัง กับอีก 1 ฝ่ายที่เดินตามและหยุดเป็นระยะๆ พร้อมโทรศัพท์ในมือ

แต่ทุกคนมีจุดหมายเด๋วกัน แต่เราก็เดินมาไกลมาก ไกลจนไร้ความวุ้นวาย ไกลจนหมาเห่าไล่

 

บรรยาการเหมือนไม่ใช่ย่านของกิน พวกเราก็พากันเดินกลับทางเดิม ที่ดูมีอะไรดึงดูดมากกว่า เราเจอศูนย์อาหารที่คิดว่าน่าจะใช่ที่นี่ แล้วมันก็ใช่

 

เราเหนื่อยเพื่อสิ่งนี้หรอ บอกไม่ได้หรอกว่าอร่อยแค่ไหน

 

ต้องมาลองเอง ลองแล้วรู้เลย

 

หลังจากอิ่มก็ไม่รู้จะไปไหนค่าเวลาแล้ว เราเลยเปิดดูรีวิวที่เที่ยว เจออุโมงค์กลม มีความหายากอยู่เหมือนกัน

 

ถ้าไม่มีไหวพริบ+การเถียงกันนิไม่รู้เลยว่าใช่หรือป่าว มันก็สวยงามตามท้องเรื่องนะ แต่มุมกล้องเราไม่ดีแค่นั้นเอง(เขาต้องนอนถ่ายกันใช่ไหม)

 


เดินขึ้นมาอีกนิด เหมือนจะเป็นสวนพฤกษศาาตร์ ที่คลายสวนสาธรณะที่มีวัยรุ่นมาทำกิจกรรมกัน

 

จบจากอุโมงค์ปุ๊บก็นั่งรถไฟไปลง santosa แวะกินข้าวในห้างกันอีกรอบเพราะสวนสนุกยังไงของที่นั่นแพงแน่ๆ

 

อิ่มแล้วเราก็ไปซื้อตั๋วนั่งรถไปข้ามไปเกาะ santosa คนละ 4 เหรียญ พวกเราเลือกลงสถานีสุดท้ายเป็นสถานีแรกเพราะคงอีกนานกว่าจะถึงเวลาไปรับตั๋วเข้าสวนสนุก 

 

เมื่อลงมาเราก็เดินไปชมวิวชายหาดของที่นี่

 

แล้วเราก็ไปเล่น sky line ต่อ ราคา 18 เหรียญ 1 รอบโดยเราจะต้องนั่งกระเช้าข้ามเขาเพื่อไปจะไปขับรถ

ดูจากข้างล่างเฉยมาก พอขึ้นไปถึงครึ่งทางขาก็เริ่มสั่น พร้อมกับมือที่ควานหาที่ยึดเหนี่ยว

 

พอลงจากกระเช้าก็มาต่อแถวรอเล่นรถ...ยาวมาก!!!

 

แล้วเราก็ขึ้นรถไฟไปลงสถานี...เดินเล่น ถ่ายรูป กันจนเวลาล่วงเลยไป4โมงเย็น

พวกเราจึงไปรับตั๋วเข้าฮาลาวีนกัน แต่ที่จุดขายตั๋วบอกว่าต้องไปรับ ณ จุดรับตั๋วของบ.ที่เราซื้อซึ่งอยู่ทางบลาๆๆๆ?

เราก็ตามหาตามที่เขาบอกอยู่นานในที่สุดก็เจอ พอเจอก็รีบเข้าไปรับตั๋ว โดนเจ้าหน้าที่วีนนิดหน่อย เขาหาว่ามาช้าเขากำลังเก็บของจะปิดพอดี พอดูนาฬิกานิใกล้จะ5โมงเย็นเอง(เวลาสิงคโปร์)ถือว่าโชคดีเกือบไม่ได้เข้าแล้วตรู

 

เมื่อได้ตั๋วก็แต่งหน้าจัดเต็มเข้างานกันเลย

 

พอประตูเข้างานเปิด เขาก็จัดคอนเสริต์ EDM แบบมินิให้ก่อนเลยจร้าเพื่อเป็นการเปิดงานอย่างแท้จริง 

 

หลังจากนั้นก็เข้าไปเต็มอิ่มกับเครื่องเล่นตรีมฮาลาวีนกันให้เต็มอิ่ม พอเลยกันอย่างเมามันแต่ยังไม่หายอยากก็ถึงเวลากลับซะแล้ว (งานจริงเลิกเที่ยงคืนแต่เราต้องกลับก่อน MRT ปิด)

แต่ความฮามันอยู่ตรงตอนเดินทางกลับที่พักด้วยหน้าผีๆของพวกเรา เพราะมันทำให้ประชาชนที่เขาพึ่งกลับบ้านช่วงนั้นมีตกใจเล็กน้อยกับผีที่เดินทางกลับร่วมกับเขา

 

วันที่3

                วันนี้วางแผนมาดีกว่าเดิม เพราะเมื่อวานเดินกันขาลากแบบนอลสต๊อปมาก เมื่อคืนวางแผนจะไปเดินในช่วงเช้ากันแล้วไปเจอที่สถานนีรถไฟที่นัดกันไว้เมื่อคืน

(เป็นการค้นพบสถานีที่ใกล้ที่พักที่สุดในวันสุดท้ายค่ะ มากัน7คนไม่มีใครสังสัยในระยะทาง555) เริ่มจากการตื่นนอนที่แสนจะเช้าแล้วแต่มีเรากับเพื่อนอีก 1 คนที่ตื่น

พอเดินออกไปไกลขึ้นไกลขึ้น บรรยากาศเหมือเช้าของเมื่อวานเลย(เริ่มมีความชิน)

พอถึงเวลาที่เรานัดรวมตัวเราก็เดินไปรอที่สถานี Farrer Park แต่ระหว่าทางความเมื่อยล้ามันถามหาแล้วดันไปเจอ...หายเมื่อยเลย ปัดโถ่เถอะ!!!

พอเดินถึงสถานีก็มีนักท่องเที่ยวสาวชาวอินเดีย 2 คนมาถามทาง ฮึ่ยเราก็มาเที่ยวนะคะ แต่พอดีเรามีแผนที่เยอะมาก(สามารถหยิบได้จากสนามบินหรือเจอที่ไหนที่เป็นโบร์ชัวฟรีก็หยิบๆมันไว้ก่อน)

เขาเห็นแผนที่ในมือเราก็ถามใหญ่โตว่าไปเอามาจากไหน แหม..สายตาแสกนมาที่แผนที่ขนาดนั้นเอาไปเลยเรามีเยอะ แต่ระหว่างรอเพื่อนมามีเซ้นว่าจะอีกนานเราเลย

เต็มพอดี.....

เพื่อนมาเราก็ได้เวลาไปล่องเรือชมเมืองกันที่ Clarke Quay

นั้นคือเรือที่เราจะนั่ง

แล้วเราก็เดินไปซื้อกันก่อน ไม่ซื้อขึ้นไม่ได้คะ

ราคาก็อยู่ที่  18 เหรียญต่อคน สำหรับการล่องเรือชมเมืองก็ถือว่าคุ้มค่ากับวิวกดว้าวยาวไปอีก

หลังจาเห็นสิงโตพ้นน้ำจากในน้ำแล้วเราก็ต้องไปชมสิงโตพ้นน้ำจากบนบกบ้างคะ พวกเรานั่งรถเมล์ไปยังสิงโตพ้นน้ำโดยมีเพื่อนผู้ช่ำชองด้านแผนที่นำทาง

อ่าวลงผิดฝั่ง...-_-!

นั่งรถข้ามสะพานต่อไปอีก

แล้วก็เดินต่อไปอีก แต่ระหว่างทาง!!

มันล่อตา

และอีกร้าน

ในที่สุดก็ถึงแลนมาร์คของประเทศนี้ การเดินมางมาที่นี่ที่ว่าเหนื่อยแล้วแต่....การแย่งชิงพื้นที่ในการถ่ายภาพมันยากยิ่งกว่า เพื่อให้ได้ฉากหลังที่สวยที่สุด มันคือการแย่งชิง!!

ไม่ต้องบรรยายทุกคนคงรู้ว่ามันเป็นอย่างไร5555555

หลังจากการต่อสู้กันอย่างดุเดือดเราก็ได้ภาพที่เกือบจะงดงาม แล้วเราก็เดินหันหลังพร้อมโบกมือลาสิงโตพ้นน้ำ

เราเดินข้ามสะพานมาได้ไม่กี่นาที หันกลับไป........

เขามาจากไหนกันเมื่อกี้มันน้อยกว่านี้ฮ่าๆๆๆ

 

จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่ Marina Barrage

เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจที่วิวสวยอีกมุมหนึ่งของที่นี่ เป็นสถานที่ๆ เหมาะกับหารออกกำลังกายของคนที่นี่

มีคนที่มาออกกำลังกายทั้งวิ่ง ทั้งปั่นจักรยาน และส่วนใหญ่มานั่งเล่นกันจนถึงค่ำเพราะวิวสวยดี

เรานั่งเล่นกันอยู่พักใหญ่ก็ใกล้ถึงเวลาไปดูแสดงแสงสีต้นไม้อวตาร เห็นว่าเขาต้องซื้อบัตรเข้าชมด้วยก็ต้องรีบไปพอเดินออกมาจาก Marina Barrage ก็ต่อรถเมล์เพื่อไป gardens by the bay

ระหว่างรอก็เจอคนไทย 2 คน ดูแล้วน่าจะมาเดทกัน พวกเราอยากจะถามทางแต่ก็ไม่กล้าจนกระทั้งขึ้นรถเมล์คันเดียวกัน อยู่ๆ พี่เขาก็ให้ตั๋วดูการแสดงดนตรีต้นไม้อวตารมา 2 ใบ

เขาบอกว่าเขาไม่ได้ไปแล้วด้วยสาเหตุอะไรสักอย่างเราก็ลืมไปแล้ว แต่ก็ขอบคุณพวกพี่มากๆ ค่ะ ^^

 

ถึงแล้ว gardens by the bay

พวกเราต่างก็หิวกันแต่ด้วยความบ้าพลังจึงได้ข้อสรุปว่า จะไปหาของกินปิดท้ายทริปที่ไชน่าทาวน์กัน เมื่อตกลงกันได้แล้วก็ชวนกันไปหาที่ซื้อตั๋ว แต่...........ข่าวร้ายคือ ที่ขายตั๋วพึ่งปิดไปเมื่อกี้ แค่เสี้ยววินาที ฮาฮาๆๆๆๆ ขำกันทั้งน้ำตา

ไปเดินดูรอบๆ ก็ได้ เห็นคนเดินไปเยอะๆก็ตามๆ เขาไปเผื่อมีอะไร แล้วพวกเราก็เจอที่ที่เขามานั่งรอนอนรอชมแสดงไฟประกอบเพลง นั่งรอได้ซักพักเพื่อนก็เดินมาบอกว่าตั๋วที่พี่ 2 คนที่เจอบนรถเมล์คือตั๋วขึ้นไปดูวิวข้างบนต้นไม้ แต่ปัญหาคือ มี 7 คน กับตั๋ว 2 ใบ จะทำไงละ??

เพื่อนอีกคนก็บอกว่าเดียวลองขอเขาขึ้น 4 คนจะได้ไหม ฮาฮาๆ พอถึงทางเข้าเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเร็วเข้ากำลังจะหมดเวลาแล้วด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มปรนตื่นเต้น มีเรากับเพื่อนอีกคนที่อยากมาที่นี่มาก อยู่ๆเพื่อนมันก็ให้เรา 2 คนขึ้นลิฟต์พร้อมมือถือที่มันฝากถ่ายรูปมุมบนด้วย ด้วยความดีใจและตื่นเต้นในขณะที่อยู่ในลิฟต์เราก็ไม่ยังไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอลิฟต์เปิดออกเท่านั้นแหละ แทบร้อง พึ่งนึกออกว่ากลัวความสูง พอเดินไปตามสะพานเท่านั้นแหละขามันเริ่มสั่น+ลมที่พักมาทำให้สะพานโงนเงนๆ ฮาฮาๆๆๆๆ

แต่ด้วยความที่เพื่อนอุส่าให้เราขึ้นมา เราต้องทำให้ได้ จากนั้นก็เริ่มตั้งสติจนมันเริ่มชิน

หลังจากการแสดงจบพวกเราก็กลับ โดยการเดินตามฝูงชนมากมายไป แต่ต้องบอกว่าแสงสีเมืองนี้สวยงามมาก

และสุดท้ายเราก็มาปิดทริปที่ไชน่าทาวน์ตามแผน กินอิ่มนอนหลับและเตรียมบอกลาสิงคโปร์

 

เช้าวันกลับ

เราก็เช็คเอ้าและเดินออกจากที่พักเดินหาอาหารเช้าบะแวกนั้นกินกันก่อน

แล้วเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานนี Farrer Park แต่เราใช้บัตร Singapore Tourist Pass หมดไปแล้วก็เลยต้องซื้อบัตร EZ-link card เพิ่ม

เพื่อเดินทางไปสนามบิน ราคาอยู่ที่ 12 เหรีนญซึ่งพนักงานบอกว่ามีอายุการใช้งาน 5 ปี ในบัตรมีเงินอยู่ 7 เหรียญ (อ่าว..มองหน้าเพื่อนแล้วขำดิ ฮาฮาๆๆๆ)

สุดท้ายนี้ ชีวิตไม่ได้มีเพียงจุดเดียวที่มีไว้ให้เรายืน แต่ยังมีอีกหลายจุดที่รอให้เราไปยืน ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเดินทางในทุกๆ ที่

 

หมายเหตุ

- ถ้าไปเที่ยว แค่ 3 วัน 2 คืน ซื้อบัตร Singapore Tourist Pass คุ้มค่าแน่นอน

- ถ้าไปมากกว่า 3 วัน ก็ซื้อแบบ EZ-link card เถอะขอร้อง ฮาฮาๆๆ

- มารยาทเป็นสิ่งที่ควรศึกษาไว้ก่อนไปต่างถิ่น มันทำให้เราเป็นนักท่องเที่ยวที่ดูดี

- ควรใช้เศษๆ เหรียญให้หมดก่อนออกนอกประเทศ

ติดตามทริปต่อๆไปของเราได้ใน http://www.facebook.com/ชีวิตติดเที่ยว-497676080603358/